28. ฉันไม่กลัวหน้าที่ความรับผิดชอบอีกต่อไป

โดย  เฉิงนั่ว ประเทศจีน

วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2020 ผู้นำคนหนึ่งได้เข้าร่วมการชุมนุมทีมของพวกเรา และแล้วหลังจากการชุมนุมสิ้นสุดลง ก็ได้เอ่ยว่า เขาต้องการที่จะให้พวกเราเลือกผู้นำทีม ผู้ซึ่งจะเข้ารับงานด้านการบรรณาธิกรของพวกเรา  ฉันต้องประหลาดใจที่ฉันได้คะแนนเสียงมากที่สุด  ฉันตกใจอย่างที่สุด: ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำทีมหรือ?  ฉันแทบจะไม่มีการเข้าสู่ชีวิตใดๆ เลย และฉันขาดพร่องความเป็นจริงของความจริง  ฉันจะสามารถเข้ารับหน้าที่ในการนำทีมได้จริงๆ หรือ?  หากปัญหาทั้งหลายเกิดขึ้นในงานของพวกเรา คงจะเป็นเรื่องธรรมชาติไม่ใช่หรือ ที่จะมองหาผู้นำทีมที่จะยอมรับหน้าที่ความรับผิดชอบ?  จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้และงานของพวกเราประสบปัญหาเนื่องจากผลอันนั้น?  ฉันคิดเรื่องประสบการณ์ก่อนหน้านั้นที่ฉันได้มีในการกระทำการในฐานะผู้นำทีม  ฉันแค่ได้ปกป้องตัวเองโดยไม่ได้นำความจริงไปสู่การปฏิบัติ  เมื่อฉันได้เห็นผู้คนทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักและขัดขวางงานของคริสตจักร ฉันไม่ได้หยุดการนั้นทันทีด้วยความที่กลัวว่าจะล่วงเกินพวกเขา  ผลก็คือ งานของคริสตจักรมีความเสี่ยง และฉันก็ถูกปลด  ฉันรู้สึกว่า หากฉันไม่ทำหน้าที่ของฉันให้ดีในครั้งนี้ แต่กลับถ่วงเวลางานของพระนิเวศของพระเจ้าและการเข้าสู่ชีวิตของบรรดาพี่น้องชายและบรรดาพี่น้องหญิง นั่นคงจะเทียบได้กับการทำชั่ว การถูกปลดคงจะไม่ใช่เพียงความกังวลเดียวของฉัน—อาจมีความเป็นไปได้ที่ฉันจะถูกกำจัดทิ้งเสียด้วยซ้ำ  ฉันไม่เต็มใจที่จะเห็นการนั้นเกิดขึ้น และรู้สึกว่าฉันไม่สามารถรับการนั้นได้  และดังนั้น ฉันจึงบอกผู้นำคนนั้นว่า ฉันไม่มีการเข้าสู่ชีวิตที่เพียงพอ และฉันไม่สามารถแก้ไขปัญหาของผู้อื่นได้ ดังนั้นแล้ว ฉันจึงไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนั้น  ฉันคิดหาข้อแก้ตัวมากมาย  เขาบอกฉันว่า ฉันควรยอมรับหน้าที่นั้นและนบนอบต่อหน้าที่นั้น แต่ฉันไม่สามารถพบสันติสุขกับหน้าที่นั้นได้เลย  จิตใจของฉันปั่นป่วน  ตอนนั้นเองที่จู่ๆ ฉันก็คิดถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ ความว่า “เจ้าควรนบนอบและให้ความร่วมมืออย่างแข็งขัน  นี่คือหน้าที่ของเจ้าและความรับผิดชอบของเจ้า  ไม่ว่าถนนข้างหน้าจะเป็นเช่นไร เจ้าควรมีหัวใจที่เชื่อฟัง  ความขลาด ความเกรงกลัว ความวิตกกังวล ความสงสัย—เจ้าไม่ควรใช้สิ่งเหล่านี้เป็นท่าทีในการเข้าหาหน้าที่ของเจ้า(“อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ขณะที่ฉันไตร่ตรองพระวจนะนี้ ฉันเริ่มที่จะรู้สึกถึงสำนึกแห่งความสงบเยือกเย็น และฉันตระหนักว่า หน้าที่นี้ซึ่งถูกวางไว้ต่อหน้าฉัน มาจากกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ถึงแม้ว่าฉันไม่ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ณ เวลานั้น แต่ฉันได้เห็นว่า ฉันจำเป็นที่จะต้องเปิดโอกาสให้ตัวฉันเองได้รับการทรงนำทางโดยพระเจ้าและนบนอบ

หลังจากนั้น ฉันพบว่าตัวฉันเองกำลังเผชิญหน้าปัญหาและความลำบากยากเย็นทุกแบบในหน้าที่ของฉัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งฉันไม่เห็นความก้าวหน้าในงานของทีมของพวกเรา  ความวิตกกังวลของฉันเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันอีกครั้ง ว่าหากการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราไม่ดีขึ้น ฉันก็แค่คงจะไม่มีความสามารถที่จะปัดหน้าที่ความรับผิดชอบของฉันในฐานะผู้นำทีมได้  การคิดเกี่ยวกับการนี้ทำให้ฉันอยู่ในสภาวะของความสับสนอลหม่าน  เย็นวันหนึ่งเมื่อฉันกำลังสนทนาเรื่องสภาวะของพวกเราอยู่กับพี่น้องหญิงผู้ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับฉันมากที่สุด ฉันเริ่มรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ ขณะที่เธอพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องผู้นำทีมคนก่อนหน้า ผู้ซึ่งได้ถูกปลดไปแล้วเพราะเธอไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือเพียรพยายามที่จะทำให้ดีขึ้น  เธอไม่ได้ทำการปรับปรุงใดๆ ในทักษะทางวิชาชีพของเธอ และไม่สามารถทำงานใดๆ ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้เลย  ฉันรู้ว่า ฉันกำลังทำหน้าที่ในฐานะผู้นำให้กับทีมที่เผชิญหน้าความลำบากยากเย็นและปัญหาหลายอย่าง ดังนั้นแล้ว หากฉันไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งเหล่านั้นและทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงบางอย่างได้ ฉันจะเผชิญหน้ากับการถูกปลดด้วยหรือไม่?  ฉันต้องการกลับไปเป็นสมาชิกทีมปกติโดยไม่มีหน้าที่ความรับผิดชอบมากมายยิ่งนัก  ฉันคิดว่า ฉันจะทำหน้าที่นี้ในเวลานี้ เนื่องจากฉันเพิ่งจะได้รับเลือกมา เช่นนั้นแล้ว หากฉันกลับกลายเป็นว่าไม่ดีพอ ฉันควรลงจากตำแหน่งอย่างสง่างามโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ทำความชั่วซึ่งสามารถทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักและทำอันตรายต่องานของคริสตจักรได้ แล้วจากนั้นก็จะถูกปลด  หากการนั้นเกิดขึ้น นั่นจะสามารถหมายถึงการพลาดบั้นปลายสุดท้ายของฉันด้วยซ้ำ  ฉันพบว่าตัวเองติดอยู่ในสภาวะนั้น หวาดกลัวว่าจะทำหน้าที่ของฉันไม่ได้ดี ว่าจะจำเป็นที่จะต้องรับหน้าที่ความรับผิดชอบสำหรับปัญหาใดๆ  เมื่อฉันเผชิญกับความลำบากยากเย็นในงานของฉัน ฉันพบว่า ตัวฉันเองกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าฉันจะไม่มีความสามารถที่จะบริหารจัดการงานนั้นได้—ฉันถูกหน่วงเหนี่ยวอยู่ตลอด ในโลกแห่งความเจ็บปวดและความทุกข์

แล้วพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ฉันได้อ่านในวันหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยแก่นแท้ของอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ ก็ได้ให้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกบางอย่างแก่ฉันเกี่ยวกับสภาวะของฉันเอง ความว่า “เมื่อมีการปรับแก้หน้าที่ของเจ้าอย่างเรียบง่าย จงทำตามที่บอก และจงทำในสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ และไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร จงทำให้ดีเหมือนว่าสิ่งนั้นอยู่ในอำนาจของเจ้า ด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้าและเรี่ยวแรงทั้งหมดของเจ้า  สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำนั้นย่อมไม่ผิดพลาด  แม้กระทั่งความจริงที่เรียบง่ายยิ่งนักเช่นนี้ ก็ไม่อยู่ในหัวใจของพวกศัตรูของพระคริสต์  พวกเขามีสิ่งใดอยู่ในหัวใจของพวกเขาหรือ?  ความระแวงสงสัย ความกังขา การเยาะเย้ยท้าทาย การทดลอง...ช่างเป็นเรื่องที่เรียบง่าย—กระนั้นศัตรูของพระคริสต์ก็ยังทำเรื่องเช่นนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ และครุ่นคิดเรื่องดังกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งพวกเขานอนไม่หลับ  เหตุใดนี่จึงเป็นวิธีคิดของพวกเขา?  เหตุใดพวกเขาจึงคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียบง่ายในหนทางที่ซับซ้อนยิ่งนัก?  เหตุผลนั้นง่ายและมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น กล่าวคือ ในกิจธุระหรือการจัดการเตรียมการแต่ละอย่างของพระนิเวศของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา พวกเขาจะผูกเงื่อนอย่างแน่นหนาเพื่อเชื่อมโยงสิ่งนั้นเข้ากับบั้นปลายของพวกเขาและความปรารถนาที่จะได้รับพระพรของพวกเขา  นี่คือสาเหตุที่พวกเขาคิดว่า ‘ฉันจำเป็นต้องระมัดระวัง การก้าวพลาดเพียงก้าวเดียวจะนำไปสู่ทุกๆ ก้าวที่ผิดพลาดไปหมด และฉันก็บอกลาความปรารถนาของฉันที่จะได้รับพระพรได้เลย—และนั่นจะเป็นจุดจบของฉัน  ฉันไม่อาจประมาทได้!  พระนิเวศของพระเจ้า บรรดาพี่น้องชายหญิง ผู้นำระดับบน แม้กระทั่งพระเจ้า—พวกเขาล้วนไม่น่าเชื่อถือ  ฉันไม่ไว้วางใจพวกเขาเลยสักคน  บุคคลที่น่าเชื่อถือที่สุดและไว้วางใจได้ที่สุดคือตนเอง หากเธอไม่วางแผนให้ตัวเธอเอง ใครอื่นอีกหรือที่จะดูแลเอาใจใส่เธอ?  ใครอื่นอีกหรือที่จะคำนึงถึงความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเธอ และคำนึงถึงว่าเธอจะได้รับพระพรหรือไม่?  ดังนั้นฉันจำเป็นต้องทำงานหนักอย่างที่สุดเพื่อวางแผนให้ตัวฉันเอง และทำการตระเตรียมและคำนวณอย่างพิถีพิถัน ฉันไม่อาจพลาดได้ และฉันไม่อาจสะเพร่าแม้แต่น้อย—มิฉะนั้นผู้คนจะทำให้ฉันงุนงงสับสนและฉวยโอกาสกับฉันได้โดยง่าย’(“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (29)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย).  เพียงภายหลังจากที่อ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าแล้วเท่านั้น ฉันจึงได้เข้าใจว่า เป็นเรื่องปกติทั้งสิ้นที่จะได้รับประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงในหน้าที่ของพวกเรา และว่าฉันควรเข้าหาการนั้นด้วยท่าทีที่ถูกต้องเหมาะสม  ฉันควรทำอย่างสุดความสามารถที่จะปรับปรุงในงานของฉัน และที่จะลุล่วงหน้าที่ความรับผิดชอบของฉัน และหากฉันยังคงไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ แม้กระทั่งด้วยความพยายามที่ดีที่สุดของฉัน ฉันคงจะจำเป็นที่จะต้องยอมรับการถูกปลดอย่างมีความสุข  หน้าที่นั้นแปรผันไปตามความต้องการของพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดจนความสามารถส่วนบุคคลของผู้คนในการเข้ารับหน้าที่ที่กำหนดให้  นั่นไม่เกี่ยวข้องกับจุดจบและบั้นปลายของผู้คน  แต่ฉันขาดพร่องความเชื่อที่แท้จริงต่อพระเจ้า และฉันยังไม่ได้มีความสามารถที่จะเข้าใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ถึงการเปลี่ยนแปลงอันสมควรอย่างสมบูรณ์แบบ ในหน้าที่ของผู้คนภายในพระนิเวศของพระเจ้า  ฉันได้เคยมีมุมมองที่บิดเบี้ยว โดยคิดว่าหน้าที่ของฉันเชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่นกับบั้นปลายและจุดจบของฉัน ว่าฉันจะลงเอยด้วยการได้รับการอวยพรหรือไม่  ฉันลังเลสงสัยในทุกสิ่งทุกอย่าง คอยระแวดระวังพระเจ้า ด้วยกลัวว่า ฉันจะถูกเปิดโปงและถูกกำจัดทิ้งหากฉันไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดีได้ และแล้วฉันก็จะถูกทิ้งไว้โดยไม่มีสถานะหรืออนาคตประเภทใดเลย  ฉันคิดมากไปในเรื่องนั้นจริงๆ และง่วนอยู่กับความชั่วเหลือเกิน!  ฉันพยายามที่จะเจ้าเล่ห์และเล่นเกมกับพระเจ้า เพื่อที่จะปกป้องผลประโยชน์ส่วนตนของฉันเอง โดยวางแผนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ หากฉันไม่สามารถทำงานได้ดีในหน้าที่ของฉัน  ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดีจริงๆ อย่างไร แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับหมกมุ่นกับความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของฉันเอง  การที่พระเจ้าทรงยกฉันให้สูงขึ้นเพื่อกระทำการในฐานะผู้นำทีม เป็นการให้โอกาสแก่ฉันที่จะฝึกฝนตัวฉันเอง เพื่อที่ฉันจะสามารถทำความก้าวหน้าในงานของฉันและการเข้าสู่ชีวิตของฉันได้บ้าง  นั่นคือความรักของพระเจ้าที่มีต่อฉัน  แต่ฉันได้บิดเบือนแนวความคิดของฉันเกี่ยวกับความรักของพระเจ้า โดยคิดว่าอันที่จริงแล้วเป็นฉันนั่นเองที่กำลังจะถูกเปิดโปงและถูกกำจัดทิ้ง  นั่นไม่ใช่การหมิ่นประมาทพระเจ้าหรอกหรือ?  ไม่ใช่ฉันอย่างแน่แท้หรอกหรือที่เปิดเผยอุปนิสัยชั่วของศัตรูของพระคริสต์?

ฉันคิดย้อนกลับไปถึงสิ่งที่ฉันได้เปิดเผยในช่วงระยะเวลานั้น กล่าวคือ ฉันแทบจะไม่ได้เข้าใจพระเจ้าเลย แต่ฉันแค่ถูกครอบงำด้วยการคาดเดาและความระแวดระวัง  ฉันหัวเสียอย่างเหลือเชื่อ และฉันไม่สามารถหยุดฉงนฉงายได้ว่า เหตุใดฉันจึงอยู่ในสภาวะประเภทนั้น ซึ่งในที่นั้นเองเป็นที่ที่รากเหง้าของปัญหาอยู่จริงๆ  ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่เปิดโปงอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งตรงใจฉันจริงๆ ความว่า “พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่เชื่อว่ามีความจริงอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาไม่เชื่อในพระอุปนิสัย พระอัตลักษณ์ หรือแก่นแท้ของพระองค์  พวกเขามองทั้งหมดนี้ด้วยความคิดของมนุษย์และมุมมองของมนุษย์ เพื่อวิเคราะห์และตรวจสอบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา และพวกเขาพิจารณาหนทางที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คน พระราชกิจอันหลากหลายที่พระเจ้าทรงทำในตัวผู้คน ด้วยมุมมองของมนุษย์ ความคิดของมนุษย์ และเล่ห์มายาของมนุษย์ด้วยเช่นกัน  ที่มากไปกว่านั้น พวกเขาใช้ความคิดของมนุษย์และวิธีการของมนุษย์ อันเป็นการใช้ตรรกะและการคิดของซาตานมาพิจารณาพระอุปนิสัย พระอัตลักษณ์ และแก่นแท้ของพระเจ้า  เห็นได้ชัดว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ไม่เพียงไม่ยอมรับและไม่รับรู้พระอุปนิสัย พระอัตลักษณ์ และแก่นแท้ของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและแนวคิดอันคลุมเครือและกลวงเปล่าเกี่ยวกับพระอุปนิสัย พระอัตลักษณ์ และแก่นแท้ของพระเจ้า  ทั้งหมดที่พวกเขามีอยู่ในตัวก็คือความเข้าใจของมนุษย์ พวกเขาไม่มีความรู้ที่แท้จริงแม้สักเศษเสี้ยว  เมื่อเป็นดังนี้ สุดท้ายแล้วศัตรูของพระคริสต์นิยามพระอุปนิสัย พระอัตลักษณ์ และแก่นแท้ของพระเจ้าอย่างไร?  พวกเขาสามารถกำหนดได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม และพระองค์คือความรักสำหรับมนุษย์?  แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาไม่สามารถ  คำจำกัดความของพวกศัตรูของพระคริสต์ว่าด้วยความชอบธรรมและความรักของพระเจ้าคือเครื่องหมายคำถาม—ความไม่แน่ใจ  พระอุปนิสัยของพระเจ้ากำหนดพระอัตลักษณ์ของพระองค์ และพวกเขาทำเสียงขึ้นจมูกเยาะเย้ยพระอุปนิสัยของพระองค์ และเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง และเต็มไปด้วยการปฏิเสธและการดูแคลนพระอุปนิสัยของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว พระอัตลักษณ์ของพระองค์จะเป็นเช่นไรเล่า?  พระอุปนิสัยของพระเจ้าแสดงถึงพระอัตลักษณ์ของพระองค์ ด้วยการคำนึงถึงพระอุปนิสัยดังที่พวกเขาทำ การคำนึงถึงพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าของพวกเขาจึงชัดเจนในตัวเอง—การปฏิเสธโดยตรง  นี่คือแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์(“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (26)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้เห็นว่า บรรดาศัตรูของพระคริสต์ไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง นับประสาอะไรที่จะยอมรับรู้พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  พวกเขาไม่เคยใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานของความคิดเห็นของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลาย แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับเข้าหาทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นฐานของความเข้าใจของมนุษย์และปรัชญาของซาตาน  ฉันเห็นว่าฉันยังเก็บงำอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ประเภทนั้นด้วยเช่นกัน ว่าฉันไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าเลย เนื่องจากการนั้นเกี่ยวข้องกับการที่คริสตจักรปรับแก้ตำแหน่ง หรือปลดผู้คน หรือกำจัดผู้คนทิ้ง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับได้มีทรรศนะถึงประเด็นปัญหาเหล่านี้เรื่อยมาโดยผ่านทางแก้วตาแห่งตรรกะเยี่ยงซาตานดังเช่น “ตัวใหญ่ล้มดัง” “ตะปูที่โผล่หัวขึ้นมามากที่สุดย่อมถูกค้อนตอกลงไป” และ “ยิ่งสูงยิ่งหนาว”  ฉันคิดว่า การมีสถานะและหน้าที่ความรับผิดชอบมากขึ้น ก็คงจะแค่เปิดโปงฉันรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น และแล้วก็จะนำทางไปสู่การกำจัดฉันทิ้ง  นั่นคือสาเหตุที่ฉันระแวดระวังพระเจ้าเรื่อยไป ถึงแม้ว่าภายนอกฉันจะยอมรับตำแหน่งของฉันในฐานะผู้นำทีม ด้วยกลัวว่าจะถูกเปิดโปงและถูกกำจัดทิ้งหากฉันสะดุดล้ม จากนั้นในท้ายที่สุดแล้วก็พลาดบั้นปลายสุดท้ายของฉัน  ฉันเป็นผู้เชื่อที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่มุมมองของฉันว่าด้วยสิ่งทั้งหลายไม่ได้แปรผันเลยแม้แต่น้อย และฉันไม่เคยแสวงหาความจริงในยามที่เผชิญหน้ากับประเด็นปัญหาทั้งหลาย หรือมองดูสิ่งทั้งหลายโดยพิจารณาตามพระวจนะของพระเจ้า แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับประเมินพระราชกิจของพระเจ้าบนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดเยี่ยงซาตาน โดยจินตนาการพระเจ้าว่าทรงเป็นเผด็จการบางจำพวก ผู้ซึ่งจะเปิดโปงและกำจัดฉันทิ้งเมื่อเกิดความมะงุมมะงาหราเพียงเล็กน้อยที่สุด นั่นไม่ใช่การที่ฉันปฏิเสธพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าหรอกหรือ?  นั่นไม่ใช่การที่ฉันหมิ่นประมาทพระเจ้าหรอกหรือ?  ความจริงก็คือว่า เมื่อใดก็ตามที่ใครคนหนึ่งถูกปลดหรือถูกกำจัดทิ้งโดยคริสตจักร นั่นอยู่บนพื้นฐานของหลักธรรม  นั่นอยู่บนพื้นฐานของการพิจารณาโดยรวมถึงขีดความสามารถของบุคคล ว่าพวกเขามีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีหรือชั่ว ว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และพวกเขาอยู่บนเส้นทางประเภทใด  พวกเขาไม่ได้ถูกนิยามในฐานะบุคคล ไม่ได้ถูกปลดและไม่ได้ถูกกำจัดทิ้งบนพื้นฐานของการล่วงละเมิดเป็นครั้งคราวหรือการแสดงออกชั่วขณะของพวกเขา หรือว่าพวกเขามีสถานะสูงส่งหรือไม่  พระนิเวศของพระเจ้าจะมอบโอกาสพิเศษแก่บรรดาผู้นำที่สละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง แม้ว่าจะมีการล่วงละเมิดใดๆ  พวกเขาจะถูกตัดแต่งและถูกจัดการ ถูกย้ำเตือนและถูกเตือน และใครก็ตามที่สามารถที่จะรู้จักตัวเอง ใครก็ตามที่กลับใจและแปลงสภาพ จะยังถูกใช้ประโยชน์และถูกบ่มเพาะอยู่ต่อไป  มีบรรดาผู้นำเทียมเท็จบางคนผู้ซึ่งไม่ทำงานอันสัมพันธ์กับชีวิตจริง ผู้ซึ่งละโมบสิ่งชูใจ ละเลยต่อหน้าที่ของพวกเขา และผู้ซึ่งครองตำแหน่งของผู้นำโดยไม่เข้ารับภาระผูกพันที่ผู้นำควรเข้ารับ  บุคคลจำพวกนั้นจะถูกปลดจากตำแหน่งของพวกเขาแน่นอน แต่ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ใช่บุคคลที่เลว ผู้ซึ่งทำความชั่วทุกลักษณะ พวกเขาจะไม่ถูกกำจัดทิ้ง ไม่ถูกเตะออกจากคริสตจักรแม้แต่น้อย  พระนิเวศของพระเจ้าจะจัดการเตรียมการหน้าที่อื่นอันเหมาะสมสำหรับพวกเขา โดยให้โอกาสแก่พวกเขาเพื่อการกลับใจใหม่และการทบทวนตนเอง  มีบรรดาศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นผู้ซึ่งไม่ยอมรับที่จะยอมรับความจริงทุกประการ ผู้ซึ่งทำงานเพียงเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของสถานะและพลังอำนาจของพวกเขาเองเท่านั้น ผู้ซึ่งแค่ต้องการที่จะยึดพลังอำนาจเพื่อได้รับการควบคุมเหนือคริสตจักร—เพียงแค่ว่าพวกเขานั้นถูกเปิดโปงและถูกกำจัดทิ้งอย่างสิ้นเชิง ถูกขับไล่จากคริสตจักรเป็นการถาวร  ฉันเห็นว่า พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อผู้คนในหนทางที่เที่ยงธรรมและยุติธรรมโดยครบถ้วนบริบูรณ์ ว่าความจริงมีอิทธิพลควบคุมในพระนิเวศของพระเจ้า  ไม่มีบุคคลที่ดีคนใดจะถูกกล่าวหาผิดๆ เป็นอันขาด และไม่มีบุคคลที่ชั่วคนใดจะถูกปล่อยไปอย่างง่ายดาย  การที่ใครบางคนจะถูกเปิดโปงและถูกกำจัดทิ้งหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของพวกเขา  สิ่งที่สำคัญจริงๆ ก็คือว่า พวกเขาสามารถยอมรับและไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่  สำหรับผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อพวกเขาเข้ารับหน้าที่สำคัญ เมื่อพวกเขาแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบมากขึ้น พวกเขาได้รับโอกาสเหมาะมากขึ้นที่จะพัฒนาตัวพวกเขาเอง และมีความสามารถมากขึ้นที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า  แต่พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้ที่ไม่แสวงหาหลักธรรมในหน้าที่ของพวกเขา และไม่ยอมรับที่จะยอมรับการถูกพิพากษา ถูกตีสอน ถูกตัดแต่ง และถูกจัดการ ผู้ที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ไม่สำคัญว่าสถานะของพวกเขาอาจเป็นอะไร ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะถูกกำจัดทิ้ง  เมื่อคิดถึงการนั้นมากขึ้น ฉันตระหนักว่า เมื่อฉันได้ถูกปลดจากตำแหน่งของฉันในฐานะผู้นำทีมก่อนหน้านี้ นั่นเป็นเพราะฉันเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นโดยธรรมชาติ และไม่ได้นำความจริงไปสู่การปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย  ฉันกำลังยืนขวางทางงานของคริสตจักร  นั่นคือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าซึ่งมาถึงฉันโดยไม่คาดผัน และเป็นพระเจ้านั่นเองที่ทรงมอบโอกาสแก่ฉันในการกลับใจและแปลงสภาพ  แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับปฏิบัติตนเหมือนกับผู้ปราศจากความเชื่อคนหนึ่ง โดยไม่มีความเชื่อในความรอดของพระเจ้าเลยและเข้าใจพระองค์ผิด  เมื่อนั้นนั่นเองที่ในที่สุดแล้วฉันได้ตระหนักว่า ปรัชญาเยี่ยงซาตานที่ว่า “ตัวใหญ่ล้มดัง” ได้ทำอันตรายแก่ฉันแล้วอย่างมหันต์เพียงใด  ไม่เพียงแต่ฉันได้กลายเป็นถูกกลืนกินด้วยความเข้าใจผิดและความระแวดระวังพระเจ้าเท่านั้น แต่ฉันได้กลายเป็นเจ้าเล่ห์และชั่วมากขึ้นทุกทีไปแล้ว  ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถใช้ชีวิตตามตรรกะเยี่ยงซาตานและกฎเยี่ยงนั้นอยู่ต่อไปได้ แต่ฉันจำเป็นที่จะต้องมองดูสิ่งทั้งหลายและเข้าหาสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า  การรับหน้าที่นี้ในการเป็นผู้นำทีมได้รับการยกให้สูงขึ้นโดยพระเจ้า และเป็นพระเจ้านั่นเองที่ทรงมอบโอกาสแก่ฉันในการเรียนรู้  ฉันจำเป็นต้องหวงแหนโอกาสเหมาะนี้ราวสมบัติล้ำค่า  ฉันได้เป็นสิ่งกีดขวางในหน้าที่ของฉันในอดีต แต่ครั้งนี้ ฉันรู้ว่าฉันจำเป็นที่จะต้องจ่ายราคาในหน้าที่ของฉัน เพื่อชดเชยให้กับความล้มเหลวในอดีตของฉัน แสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงมากขึ้น และทุ่มเททั้งหมดของฉันเข้าไปในการนั้นเพื่อทำหน้าที่ของฉันให้ดี

การเข้าใจสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้เป็นการปลดปล่อยให้เป็นอิสระอย่างแท้จริงสำหรับฉันเรื่อยมาเช่นกัน  บัดนี้เมื่อฉันคิดย้อนกลับไปว่าฉันเข้าใจผิดและระแวดระวังพระเจ้าอย่างไร ฉันรู้สึกว่าฉันช่างไม่มีเหตุผลเสียจริง ฉันช่างโง่เขลาและหูหนวกตาบอดเสียจริง โดยไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าแต่อย่างใดเลย  ฉันได้อธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ภายในหัวใจของฉันแล้วว่า “โอ พระเจ้า ขอขอบคุณพระองค์สำหรับการทรงนำของพระองค์ สำหรับการทรงเปิดโอกาสให้ข้าพระองค์เห็นความน่าเกลียดของข้าพระองค์เอง และสำหรับการทรงแสดงให้ข้าพระองค์เห็นว่า มโนคติอันหลงผิดเยี่ยงซาตานเหล่านี้ ได้สร้างเครื่องขวางกั้นอันใหญ่หลวงอะไรเช่นนั้นระหว่างพระองค์กับข้าพระองค์  ข้าพระองค์ไม่ได้รู้สึกและไม่ตระหนักถึงสิ่งทั้งหลาย เข้าใจสิ่งทั้งหลายผิด และระแวดระวังเรื่อยมา และข้าพระองค์ไม่ได้รับรู้อย่างสิ้นเชิงว่าพระองค์ได้ทรงรู้สึกอย่างไร  ข้าพระองค์ได้เป็นกบฏเหลือเกินเรื่อยมา และข้าพระองค์กลับใจต่อพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม”

วันหนึ่งฉันได้อ่านบทความหนึ่ง ซึ่งในบทความนั้นผู้เขียนได้แสดงออกถึงสภาวะส่วนบุคคลของฉันเองอย่างสมบูรณ์แบบ และได้อ้างพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนซึ่งได้จัดเตรียมเส้นทางของการปฏิบัติให้ฉัน ความว่า “อันที่จริง ผลการปฏิบัติงานของมนุษย์เป็นความสำเร็จลุล่วงทั้งหมดที่มีอยู่โดยธรรมชาติในตัวมนุษย์ กล่าวคือ ทั้งหมดที่เป็นไปได้สำหรับมนุษย์  เป็นเวลานี้เองที่หน้าที่ของเขาได้กระทำให้ลุล่วงแล้ว  ข้อบกพร่องต่างๆ ของมนุษย์ในระหว่างการปรนนิบัติของเขาจะค่อยๆ ลดลงผ่านประสบการณ์ที่ก้าวหน้าและกระบวนการการก้าวผ่านการพิพากษาของเขาข้อบกพร่องต่างๆ เหล่านี้ไม่ขัดขวางหรือส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของมนุษย์  พวกผู้ที่หยุดรับใช้หรือยอมแพ้และถอยกลับเพราะกลัวว่าอาจมีข้อบกพร่องในการรับใช้ของพวกเขานั้นขี้ขลาดที่สุดของคนทั้งหมด…ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพระพรหรือถูกสาปแช่งหรือไม่  หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา  การได้รับพระพรคือเมื่อใครบางคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้ชื่นชมกับพระพรของพระเจ้าหลังได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา  การถูกสาปแช่งคือเมื่ออุปนิสัยของใครบางคนไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาแล้ว คือตอนที่พวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแต่ถูกลงโทษ  แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพระพรหรือถูกสาปแช่งก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่เป็นสิ่งที่น้อยที่สุดที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำ  เจ้าไม่ควรทำหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพระพรเท่านั้น และเจ้าไม่ควรปฏิเสธที่จะกระทำเพราะกลัวถูกสาปแช่ง  เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้า: การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์)  ขณะที่ฉันพิจารณาการนี้ ฉันได้มาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงคาดหวังทั้งหมดจากมวลมนุษย์มากมายขนาดนั้น  พระองค์แค่ทรงต้องการให้พวกเราไล่ตามเสาะหาความจริง ทำทั้งหมดที่พวกเราสามารถ เพื่อทำให้สิ่งใดก็ตามที่พวกเราสามารถจับความเข้าใจได้ สิ่งใดก็ตามที่พวกเราสามารถสำเร็จลุล่วงได้ ให้เข้ามามีบทบาท โดยไม่จับแพะชนแกะให้รอด ไม่ลื่นไหลและหลอกลวง แต่โยนทั้งหมดของพวกเราเข้าไปในการนั้นและทำสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากพวกเรา  ต่อให้พวกเราได้รับประสบการณ์กับความล้มเหลวและการก้าวผิดทางอยู่บ้างในระหว่างนั้น ตราบเท่าที่พวกเราสามารถยอมรับความจริงได้ และยอมรับการถูกตัดแต่งและถูกจัดการ ปัญหาเหล่านี้ย่อมสามารถได้รับการแก้ไขได้  พวกเราสามารถมองเห็นความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงได้  ตั้งแต่ที่รับพระบัญชานั้น ฉันได้ขาดพร่องท่าทีของการยอมรับและการนบนอบโดยสิ้นเชิง  ฉันกลัวว่าด้วยการก้าวผิดทางแม้แต่เพียงเล็กน้อย ด้วยการล่วงละเมิดอันใด ฉันคงจะถูกกำจัดทิ้ง กลัวว่าฉันคงจะสูญเสียจุดจบและบั้นปลายสุดท้ายของฉันไป  ฉันได้เห็นว่า จริงๆ แล้วฉันไม่ได้มีความเข้าใจอันใดเกี่ยวกับความจริงแต่อย่างใดเลย และว่าฉันไม่ได้เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าจริงๆ  ฉันได้เห็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งว่า ในช่วงตลอดหลายปีแห่งการที่เชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของฉัน นั่นไม่ใช่การทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย แต่นั่นเป็นแค่การเพียรพยายามเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอนาคตและบั้นปลายของฉันเอง  ฉันเห็นแก่ตัวและเจ้าเล่ห์เหลือเกิน!  หน้าที่คือพระบัญชาจากพระเจ้า และนั่นเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกอย่างจำเป็นที่จะต้องลุล่วง  ไม่สำคัญว่าสุดท้ายแล้วพวกเราได้รับการอวยพรหรือถูกสาป—พวกเราทั้งหมดจำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ของพวกเราเอง  ฉันไม่สามารถไม่ยอมรับที่จะทำหน้าที่ของฉันเพียงเพราะฉันกลัวว่าจะทำความชั่ว  ทั้งๆ ที่มีการเข้าสู่ชีวิตอันไร้ค่าของฉันและการขาดพร่องความเป็นจริงของความจริง พระเจ้าได้ทรงยกฉันให้สูงขึ้นแล้วเพื่อรับใช้ในฐานะผู้นำทีม  ไม่ใช่เพราะฉันควรค่าแก่ตำแหน่งนี้ในตอนนี้ แต่เป็นด้วยความหวังว่าโดยผ่านทางครรลองของการที่ฉันทำหน้าที่นี้ ฉันจะมีความสามารถที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ยอมรับการถูกพิพากษา ถูกตีสอน ถูกตัดแต่ง และถูกจัดการ และยังปรับปรุงข้อบกพร่องส่วนบุคคลของฉันต่อไปได้  เช่นนั้นแล้วก็เป็นที่หวังว่าสุดท้ายแล้ว ฉันจะสามารถทำหน้าที่นี้ได้สำเร็จอย่างเพียงพอ  ทันทีที่ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันได้รับความมั่นใจมากขึ้นในยามที่เผชิญกับประเด็นปัญหาและความลำบากยากเย็น ซึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันในหน้าที่ของฉัน และฉันได้รับความแน่วแน่ที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยโดยผ่านทางการทำหน้าที่นั้น

หลังจากนั้นฉันได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “สิ่งใดคือการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์?  ประเด็นหลักของเรื่องคือการปฏิบัติความจริงในทุกสรรพสิ่ง  หากเจ้าพูดว่าเจ้าซื่อสัตย์ แต่เจ้ามักจะเก็บพระวจนะของพระเจ้าเอาไว้ก่อน และทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการเสมอ เช่นนั้นแล้วนี่เป็นการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือ?  เจ้าพูดว่า ‘ขีดความสามารถของฉันต่ำ แต่ฉันซื่อสัตย์ที่ใจ’  อย่างไรก็ตาม เมื่อหน้าที่ตกอยู่กับเจ้า เจ้าก็กลัวความทุกข์ หรือกลัวว่าหากเจ้าไม่ทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างดี เจ้าก็จะต้องแบกรับความรับผิดชอบ ดังนั้นเจ้าจึงทำการแก้ตัวเพื่อละเลยหน้าที่นั้น  และแนะนำผู้อื่นให้ทำหน้าที่นั้น  นี่เป็นการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือ?  ชัดเจนว่าไม่ใช่  เช่นนั้นแล้ว บุคคลที่ซื่อสัตย์ควรประพฤติตัวอย่างไร?  พวกเขาควรยอมรับและเชื่อฟัง และจากนั้นก็ทุ่มเทอุทิศอย่างถึงที่สุดในการทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างสุดความสามารถของพวกเขา โดยเพียรพยายามที่จะประจวบพ้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  การนี้ได้รับการแสดงออกในหลายหนทาง  หนทางหนึ่งคือเจ้าควรยอมรับหน้าที่ของเจ้าด้วยความซื่อสัตย์ ไม่คิดถึงสิ่งอื่นใด และไม่ทำอย่างไม่เต็มใจ  จงอย่าวางอุบายเพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง  นี่คือการแสดงออกของความซื่อสัตย์  อีกหนทางหนึ่งคือการทุ่มเทเรี่ยวแรงและหัวใจของเจ้าทั้งหมดลงไปในหน้าที่นั้น  เจ้าพูดว่า ‘นี่คือทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันสามารถทำได้ ฉันจะนำทั้งหมดนี้มาใช้ และทุ่มเทอุทิศมันอย่างครบบริบูรณ์แด่พระเจ้า’  นี่ไม่ใช่การแสดงออกของความซื่อสัตย์หรือ?  เจ้าทุ่มเทอุทิศทั้งหมดที่เจ้ามีและทั้งหมดที่เจ้าสามารถทำได้—นี่คือการแสดงออกของความซื่อสัตย์ หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะทุ่มเทอุทิศทั้งหมดที่เจ้ามี หากเจ้าซ่อนเร้นและซุกซ่อนมันไว้ และปลิ้นปล้อนในการกระทำทั้งหลายของเจ้า เลี่ยงหนีหน้าที่ของเจ้า และให้ผู้อื่นทำ เพราะเจ้ากลัวที่จะต้องแบกรับผลสืบเนื่องจากการไม่ทำการงานอย่างดี เช่นนั้นแล้วนี่คือการเป็นคนซื่อสัตย์หรือ?  ไม่ นั่นไม่ใช่  เพราะฉะนั้น การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์จึงไม่เพียงแค่เป็นเรื่องของการมีความพึงปรารถนา  หากเจ้าไม่นำมันไปปฏิบัติเมื่อสิ่งต่างๆบังเกิดแก่เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์  เมื่อเจ้าเผชิญประเด็นปัญหา เจ้าต้องปฏิบัติความจริง และมีการแสดงออกที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  นี่เป็นหนทางเดียวในการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และเหล่านี้เท่านั้นเป็นการแสดงออกของหัวใจที่ซื่อสัตย์(“เพียงโดยการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีความสุขอย่างแท้จริงได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระเจ้าโปรดบรรดาผู้ที่ซื่อสัตย์ และบรรดาผู้ที่ซื่อสัตย์ไม่หมกมุ่นในพระพร  พวกเขาไม่กลัวการเข้ารับหน้าที่ความรับผิดชอบ แต่ลองพยายามที่จะทำหน้าที่ของพวกเขาให้ดีโดยสุดใจ เพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  พวกเขาทุ่มเททั้งหมดของพวกเขาให้กับการทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาอาจสามารถทำได้  การคิดถึงเรื่องนี้ทำให้ฉันละอายใจจริงๆ  ฉันพูดคุยอยู่เสมอเกี่ยวกับว่าฉันต้องการที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเพียงใด แต่เมื่อถึงเวลาที่ฉันจะยอมรับพระบัญชาจริงๆ ที่จะทุ่มเทหัวใจของฉันเข้าไปในบางสิ่งอย่างจริงแท้ ฉันกลายเป็นไม่จริงใจและต้องการที่จะออกจากการนั้น  ตอนนั้นเองฉันตระหนักว่า ฉันก็แค่กำลังพูดสิ่งที่ฟังดูดีบางอย่าง แต่ในข้อเท็จจริงนั้น ฉันกำลังลองพยายามที่จะหลอกพระเจ้า และภายในใจนั้นฉันไม่ซื่อสัตย์อย่างสิ้นเชิง  เมื่อฉันตระหนักการนี้ ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ในหนทางนั้น  ถึงแม้ว่าฉันมีปัญหาและข้อบกพร่องมากมาย แต่ฉันก็จำเป็นที่จะต้องฝึกฝนการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์โดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า  ฉันจำเป็นที่จะต้องมอบหัวใจของฉันแด่พระเจ้า และทำหน้าที่ของฉันโดยสุดความสามารถของฉันด้วยความมีเหตุมีผลอย่างหนักแน่น  และไม่สำคัญว่าสิ่งทั้งหลายกลับกลายเป็นอย่างไร ฉันเต็มใจที่จะเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  หลังจากนั้น ฉันก็ผ่อนคลายจนถึงระดับที่เหลือเชื่อเช่นนั้น  เมื่อฉันเผชิญกับความลำบากยากเย็นในหน้าที่ของฉัน ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อแสวงหาและแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านั้น และเมื่อฉันงุนงงสับสน ฉันสำรวจสิ่งทั้งหลายพร้อมกันกับบรรดาพี่น้องชายหญิง โดยแสวงหาหลักธรรมของความจริง  ฉันพบว่าเมื่อเวลาผ่านไป ฉันมีความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นมากมาย

ประสบการณ์นี้ได้แสดงให้ฉันเห็นว่า การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าจริงๆ แล้วคือความรักและความรอดของพระองค์ที่มีต่อมวลมนุษย์อย่างไร  ฉันได้สูญเสียความกลัวของฉันในการเข้ารับหน้าที่ความรับผิดชอบไปแล้ว และฉันไม่ปกป้องตัวเองเหลือเกินหรือโน้มเอียงไปสู่ความเข้าใจผิดอีกต่อไป  ถึงแม้ว่าฉันยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมากมาย แต่ฉันเต็มใจที่จะยอมรับการถูกพิพากษา ถูกตีสอน ถูกตัดแต่ง และถูกจัดการโดยพระเจ้า และที่จะไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และการแปลงสภาพ  ฉันขอขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 27. การแก้ไขสิ่งจูงใจของฉันในหน้าที่ของฉันให้ถูกต้อง

ถัดไป: 29. ข้าราชการกลับใจ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger