เมื่อครอบครัวพยายามหยุดฉันจากการเชื่อในพระเจ้า

วันที่ 07 เดือน 12 ปี 2022

เมื่อมีนาคมปี 2018 มีญาติมาประกาศข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แก่ฉัน และชวนฉันไปเข้าร่วมการชุมนุมออนไลน์ ผ่านการอ่านพระเจ้าวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันเรียนรู้ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงงานพิพากษาบนพื้นฐานของงานแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า และได้เสด็จมาเพื่อชำระให้สะอาดและช่วยผู้คนให้รอดโดยถ้วนทั่ว ให้ผู้คนเป็นอิสระจากบาป และนำพวกเขาเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า แม้ว่าในอดีตฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และมีส่วนในงานปรนนิบัติของคริสตจักรอย่างแข็งขัน ฉันกลับอยู่ในวงจรการทำบาปและสารภาพ ไม่อาจปฏิบัติพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ และอยู่ในความเจ็บปวด ตอนนี้ ในที่สุดฉันก็พบหนทางได้รับการชำระให้สะอาดจากความเสื่อมทราม ฉันจึงมีความสุขมาก และแน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการเสด็จมาครั้งที่สองขององค์พระเยซูเจ้า ฉันเริ่มเข้าร่วมการชุมนุมออนไลน์กับพี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และบอกแม่เกี่ยวกับความสว่างที่ฉันได้รับที่การชุมนุม แม่พูดว่าฉันบอกสิ่งที่มีประโยชน์มาก และแม่สนใจในคำเทศนาที่ฉันได้ยินออนไลน์ ฉันก็เลยชวนท่านไปเข้าร่วมชุมนุมออนไลน์กับฉัน โดยไม่คาดคิด แม่เลิกฟังไปกลางทาง แล้วพยายามหยุดฉันจากการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

วันหนึ่ง จู่ๆ แม่กก็ถามฉันว่า “การสามัคคีธรรมที่การชุมนุมเมื่อวันก่อนเป็นคำเทศนาของฟ้าแลบจากทิศตะวันออกใช่ไหม?” พอจู่ๆ ก็เจอกับคำถามของแม่แบบนี้ ตอนแรกฉันก็ตอบไม่ถูกเลยค่ะ ฉันคิดว่า “แม่ของฉันฟังศิษยาภิบาลเสมอ ถ้าแม่ถามมาแบบนี้ แม่ถูกข่าวลือของศิษยาภิบาลที่กล่าวโทษฟ้าแลบจากทิศตะวันออกหลอกลวงมาหรือเปล่า?” อย่างที่ฉันคิด พอฉันพูดจบ ท่านก็พูดอย่างกล่าวหาว่า “คิดดูสิว่าพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่ายังไง ‘ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า “นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่” หรือ “อยู่ที่โน่น” อย่าเชื่อเลย เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้(มัทธิว 24:23-24) ศิษยาภิบาลกล่าวถึงข้อพระคัมภีร์เหล่านี้หลายครั้ง ในยุคสุดท้าย พระคริสต์เทียมเท็จมากมายจะปรากฏเพื่อหลอกลวงผู้คน โดยเฉพาะในกรณีฟ้าแลบจากทิศตะวันออก พวกนั้นเป็นพยานยืนยันว่าองค์พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับมาประกฏในรูปมนุษย์แล้ว นี่ต้องเป็นความเท็จแน่ ศิษยาภิบาลบอกเราไม่ให้เชื่อเด็ดขาด และอย่าไปฟังคำเทศนาของพวกนั้นเลย! ลูกก็ควรทำตามที่ศิษยาภิบาลบอกเหมือนกัน เลิกฟังคำเทศนาพวกนั้นซะ!” ฉันโกรธตอนที่ได้ยินแม่พูดแบบนั้น ศิษยาภิบาลไม่ได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ หรือสืบค้นงานในยุคสุดท้ายของพระองค์ แล้วเขากล่าวโทษการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างง่ายๆ ได้ยังไง? แม่ของฉันก็ยังไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เหมือนกัน แม่ไม่คิดวิเคราะห์เลย และเชื่อตามคำอ้างของศิษยาภิบาลง่ายๆ ว่าเป็นความเท็จได้ยังไง? ผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจมากมายได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และระลึกรู้ว่าคือพระสุรเสียงของพระเจ้า หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันยังรู้สึกถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระวจนะเหล่านั้นด้วย พระวจนะเหล่านี้มาจากแหล่งเดียวกับพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า และคือเสียงของพระเจ้าพระองค์เอง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา พวกเขาพูดได้ยังไงว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์เทียมเท็จที่หลอกลวงผู้คน?

พี่น้องชายเชงจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้สามัคคีธรรมถึงความจริงแง่มุมนี้ และเขาก็อ่านพระวจนะบางส่วนให้ฉันฟัง “พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์เขลาและไม่รู้เท่าทัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)หากในระหว่างยุคปัจจุบันมีบุคคลผู้หนึ่งโผล่ออกมา ซึ่งสามารถแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไล่ผี รักษาคนป่วย และทำปาฏิหาริย์มากมาย และหากบุคคลผู้นี้อ้างว่าพวกเขาคือพระเยซูผู้ได้เสด็จมา เช่นนั้นแล้วนี่จะเป็นสิ่งเทียมเท็จที่ทำขึ้นโดยพวกวิญญาณชั่วที่เลียนแบบพระเยซู จงจดจำการนี้ไว้! พระเจ้าไม่ทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ ช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเยซูได้ครบบริบูรณ์ไปแล้ว และพระเจ้าจะไม่มีวันทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะนั้นอีกครั้ง พระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ได้ ยกตัวอย่างเช่น พันธสัญญาเดิมได้บอกล่วงหน้าถึงการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ และผลลัพธ์ของคำพยากรณ์นี้คือการเสด็จมาของพระเยซู เมื่อการนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ก็น่าจะผิดที่จะมีพระเมสสิยาห์อีกองค์เสด็จมาอีกครั้ง พระเยซูได้เสด็จมาแล้วครั้งหนึ่ง และมันน่าจะผิดหากพระเยซูจะเสด็จมาอีกครั้งในครานี้ มีชื่อเดียวสำหรับทุกยุค และแต่ละชื่อประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญของยุคนั้น ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พระเจ้าต้องทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เสมอ ต้องทรงรักษาคนป่วยและไล่ผีเสมอ และต้องทรงเป็นดุจดั่งพระเยซูเสมอ กระนั้นในครานี้ พระเจ้าไม่ทรงเป็นเหมือนเช่นนั้นเลย หากในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้ายังคงทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และยังคงทรงไล่ผีและรักษาคนป่วย—หากพระองค์ทรงทำอย่างเดียวกันกับพระเยซู—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็คงจะกำลังทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ และพระราชกิจของพระเยซูก็จะไม่มีนัยสำคัญหรือคุณค่า ดังนั้นในทุกยุคพระเจ้าจึงทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะเดียวจนแล้วเสร็จ ทันทีที่แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระองค์ได้ดำเนินการครบบริบูรณ์แล้ว ในไม่ช้าก็ถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว และหลังจากซาตานเริ่มตามหลังพระเจ้าไปติดๆ พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนแปลงไปสู่วิธีการที่ต่างออกไป ทันทีที่พระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์ ก็จะถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว พวกเจ้าต้องชัดเจนเกี่ยวกับการนี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้) พี่น้องเชงสามัคคีธรรมกับฉันเรื่องพระวจนะด้วยว่า “ในการแยกแยะระหว่างพระคริสต์แท้จริงกับเทียมเท็จ ก่อนอื่นเราต้องดูว่าพวกนั้นแสดงความจริง แสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้าและทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และทรงงานช่วยมนุษยชาติให้รอดได้หรือไม่ นี่คือหลักธรรมส่วนที่สำคัญและเป็นรากฐานที่สุด มีเพียงพระคริสต์ที่แสดงความจริงได้ และคนที่แสดงความจริงไม่ได้ย่อมไม่ใช่พระคริสต์แน่นอน พระคริสต์เทียมเท็จไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้า และแสดงความจริงไม่ได้ พวกเขาเลียนแบบองค์พระเยซูเจ้า และแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ง่ายๆ ได้เท่านั้น เพื่อหลอกลวงผู้ที่หัวทึบและขาดวิจารณญาณ ดังนั้น ถ้ามีใครอ้างว่าเป็นการเสด็จมาของพระคริสต์ แต่ไม่อาจแสดงความจริงได้แม้แต่น้อย และแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ได้เท่านั้น เช่นนั้นพวกเขาก็เป็นการเลียนแบบของวิญญาณชั่ว และพระคริสต์เทียมเท็จที่มาหลอกลวงผู้คน พระคริสต์เท่านั้นคือความจริง หนทาง และชีวิต และพระองค์เท่านั้นแสดงความจริง และทรงงานช่วยมนุษยชาติให้รอดได้ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงแสดงความจริงมากมายเมื่อพระองค์ทรงปรากฏและทรงงาน พระองค์ทรงมอบหนทางกลับใจให้ผู้คนและไถ่มวลมนุษย์ทั้งมวล และพระองค์ทรงเริ่มยุคพระคุณและสรุปจบยุคธรรมบัญญัติ เราทุกคนจึงล้วนระบุได้ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ คือพระคริสต์ ยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมา เพื่อแสดงความจริงทั้งมวลที่จำเป็นสำหรับความรอดของมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม พระวจนะของพระองค์มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ และพระวจนะเหล่านั้นเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระเจ้าและทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น พระองค์ทรงเปิดม้วนหนังสือ เปิดผนึกทั้งเจ็ด เปิดเผยความล้ำลึกของพระคัมภีร์ สิ้นสุดยุคพระคุณ เริ่มยุคราชอาณาจักร และทรงงานพิพากษาเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดโดยสมบูรณ์ พระวจนะและงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์พิสูจน์เต็มที่ ว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ การทรงปรากฏของพระคริสต์ในยุคสุดท้าย” คิดถึงสิ่งนี้ หัวใจฉันสว่างขึ้น ฉันพูดกับแม่ว่า “ทำไมแม่เชื่อคำของศิษยาภิบาลมากนัก? เราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจึงควรฟังพระวจนะ ดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา(ยอห์น 10:27) พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สามัคคีธรรมชัดเจนถึงความจริงของพระคริสต์แท้จริงและเทียมเท็จ พระคริสต์คือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปบุตรมนุษย์ เพราะพระคริสต์คือพระเจ้าพระองค์เอง พระองค์ทรงแสดงความจริงและทรงงานเพื่อช่วยผู้คนให้รอดได้ พระคริสต์เทียมเท็จคือคนเสื่อมทราม การเลียนแบบ ผู้ที่แสดงความจริงหรือช่วยมวลมนุษย์ไม่ได้ และแสดงได้แค่หมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อหลอกลวงผู้คน ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาทรงงานพิพากษา แปลว่าพระองค์ทรงแสดงความจริงเพื่อชำระและช่วยผู้คนให้รอดโดยถ้วนทั่ว ถ้าเราอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากขึ้น เราก็สามารถแยกแยะระหว่างพระคริสต์แท้จริงและเทียมเท็จได้ และเราสามารถได้ยินเสียงของพระเจ้าและต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้…” ก่อนที่ฉันจะพูดจบ แม่ก็เลิกฟัง ฉันอยากอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้แม่ฟัง แต่ท่านกลับเดินหนีไปอย่างโกรธขึ้ง หลังจากพี่น้องชายหญิงได้ยินเรื่องนี้ก็บอกฉันว่า แม่ของฉันถูกศิษยาภิบาลหลอก และไม่เข้าใจความจริงของการแยกแยะพระคริสต์แท้จริงและเทียมเท็จ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เธอเข้าใจงานของพระเจ้าผิด พวกเขาบอกฉันด้วยว่าให้สามัคคีธรรมความจริงกับท่านมากขึ้น และแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความสับสนของท่านด้วยความรัก หลังจากนั้น ฉันก็หาโอกาสสามัคคีธรรมกับท่านถึงวิธีการแยกแยะพระคริสต์แท้จริงและเทียมเท็จ หลังจากแม่ฟังฉัน ท่านก็รู้สึกว่าฟังดูเข้าท่าและเป็นไปตามพระคัมภีร์ ท่านไม่ต่อต้านการชุมนุมออนไลน์ของฉันมากอีกต่อไป และพูดว่าท่านอยากอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ นี่ทำให้ฉันสุขใจมากค่ะ ฉันจึงดาวน์โหลดแอพฯ คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้แม่และชวนเธอเข้าชุมนุม แต่ก่อนการชุมนุม แม่เห็นข่าวลือที่ศิษยาภิบาลโพสต์ออนไลน์และเริ่มขัดขวางฉันอีก

วันหนึ่ง ตอนฉันอยู่ที่ทำงาน แม่ของฉันส่ง ภาพหน้าจอของวิดีโอที่พวกศิษยาภิบาลเคร่งศาสนาหมิ่นประมาทและกล่วโทษคริสตจักร และให้ฉันดูวิดีโอนั้น เมื่อดูภาพหน้าจอนั้นฉันโกรธมาก ทำไมศิษยาภิบาลเคร่งศาสนาพวกนี้ไม่ยำเกรงพระเจ้าเลยสักนิด พวกนั้นโกหกและปล่อยข่าวลือเพื่อกล่าวโทษงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และขัดขวางผู้เชื่อจากการสืบค้นหนทางที่แท้จริง พวกเขาชั่วร้ายมาก! ฉันไม่เข้าใจ ในฐานะผู้นำทางศาสนา ศิษยาภิบาลคือคนที่รับใช้พระเจ้าในคริสตจักร ทำไมเมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมา พวกเขาไม่ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่กลับต่อต้านการทรงกลับมาของพระองค์แบบนี้? ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อแสวงหา หลังอธิษฐาน ฉันนึกถึงวลี “ตั้งแต่สมัยโบราณ หนทางที่แท้จริงถูกข่มเหงมาเรื่อย” ฉันตระหนักในทันที ในยุคพระคุณ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน พระองค์ก็ทรงถูกข่มเหงและกล่าวโทษโดยมหาปุโรหิต ธรรมาจารย์ และฟาริสีแห่งศาสนายิว พวกเขาคือคนที่อธิบายพระคัมภีร์และรับใช้พระเจ้าในโบสถ์ของชาวยิว ตอนคิดเรื่องนี้ ฉันอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง “พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ต้นตอหรือไม่ว่าทำไมพวกฟาริสีจึงต่อต้านพระเยซู? พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ธาตุแท้ของพวกฟาริสีหรือไม่? พวกเขาเต็มไปด้วยความเพ้อฝันเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาเชื่อเพียงว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา ทว่าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงของชีวิต และดังนั้น แม้กระทั่งวันนี้พวกเขาก็ยังคงรอคอยพระเมสสิยาห์ เพราะพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับหนทางแห่งชีวิต และไม่รู้ว่าหนทางแห่งความจริงคืออะไร พวกเจ้าพูดว่า ผู้คนที่โง่เขลา ดื้อรั้น และไม่รู้เท่าทันเช่นนั้นได้รับพรของพระเจ้าได้อย่างไร? พวกเขาจะสามารถมองเห็นพระเมสสิยาห์ได้อย่างไร? พวกเขาต่อต้านพระเยซูเพราะพวกเขาไม่รู้ทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพวกเขาไม่รู้หนทางแห่งความจริงที่พระเยซูตรัส และยิ่งไปกว่านั้น เพราะพวกเขาไม่เข้าใจพระเมสสิยาห์ และเนื่องจากพวกเขาไม่เคยพบเห็นพระเมสสิยาห์และไม่เคยได้ร่วมเคียงกับพระเมสสิยาห์ พวกเขาทำผิดพลาดที่ยึดติดกับเพียงแค่พระนามของพระเมสสิยาห์ ในขณะที่ต่อต้านเนื้อแท้ของพระเมสสิยาห์ในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ โดยธาตุแท้แล้ว พวกฟาริสีเหล่านี้ดื้อรั้น โอหัง และไม่เชื่อฟังความจริง หลักการของความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าคือ ไม่สำคัญว่าการประกาศของพระองค์จะลุ่มลึกเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์จะสูงส่งเพียงใดก็ตาม พระองค์ไม่ใช่พระคริสต์หากพระองค์ไม่ได้รับการขนานพระนามว่าพระเมสสิยาห์ การเชื่อนี้ไม่ได้โง่เขลาและไร้สาระน่าขันหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจ ต้นตอของการต่อต้านและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าของพวกฟาริสี คือธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขาที่เกลียดความจริงและเป็นปรปักษ์กับพระเจ้า พวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้าหรือแสวงหาความจริงเลย พวกเขาเห็นชัดเจนว่าพระวจนะและงานขององค์พระเยซูเจ้ามีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่เพราะมันไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา พวกเขาปฏิเสธ บอกปัด ว่าร้าย และกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า และตอกองค์พระผู้เป็นเจ้ากับกางเขนในท้ายที่สุด ต่องานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสในโลกศาสนาวันนี้ ยังยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาอย่างหัวชนฝา ไม่ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากแค่ไหน หรือพระวจนะมีสิทธิอำนาจแค่ไหน ถ้าหากไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา ก็จะต่อต้านและกล่าวโทษอย่างกระวนกระวาย และกระจายข่าวลือเพื่อหยุดการสืบค้นของเรา หวังว่าจะควบคุมเราโดยสมบูรณ์ และกีดกันเราจากการได้ยินเสียงของพระเจ้า และต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาเลวทรามมาก! นี่เป็นแก่นแท้เดียวกับพวกฟาริสีที่ต่อต้านและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าไม่ใช่เหรอ? พวกเขาต่อต้านพระเจ้าอย่างจริงจังยิ่งกว่าพวกฟาริสีเสียอีก! ฉันยังเห็นข้อเท็จจริงด้วย ว่าเพราะแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ในโลกศาสนาคือการเกลียดความจริง ไม่ว่าพระเจ้าทรงปรากฏและทรงงานในยุคไหนหรือที่ไหน พวกเขาก็จะปฏิเสธและต่อต้านพระองค์เสมอ นี่ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วง “เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน(ลูกา 17:24-25) ฉันเข้าใจประเด็นนี้ ไม่สับสนอีกต่อไป และฉันตัดสินใจว่าพอถึงบ้าน ฉันจะสามัคคีธรรมกับแม่ให้ถูกต้อง

พอถึงบ้าน แม่ของฉันโกรธมากเมื่อรู้ว่าฉันไม่ดูวิดีโอที่ท่านส่งให้ และก่อนฉันจะทันอธิบาย ท่านก็ถามฉันซ้ำๆ ว่าทำไมฉันไม่ดูวิดีโอ ฉันจึงถามกลับไปว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์พูดชัดเจนมาก แต่แม่ไม่สืบค้น ทำไมแม่ถึงดูวิดีโอหมิ่นประมาทพวกนี้คะ?” ถึงจุดนั้นแม่ยิ่งโกรธและกล่าวหาว่าการเชื่อของฉันผิดพลาด การเห็นแม่โกรธจัดทำให้ฉันเสียใจมาก เหตุผลที่แม่ขัดขวางฉันอย่างหัวรั้นจากการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็คือท่านถูกข่าวลือของศิษยาภิบาลหลอก ซึ่งทำให้ฉันเกลียดพวกศิษยาภิบาลยิ่งขึ้นอีก พวกนั้นเป็นอย่างที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ตอนทรงสาปแช่งพวกฟาริสีไม่มีผิด “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม(มัทธิว 23:13) จากนั้น ฉันกระตุ้นให้แม่ฟังพระวจนะ ไม่ใช่คำพูดของผู้คน ไม่เช่นนั้นเธออาจเสียความรอดของพระเจ้าไปง่ายๆ และฉันพูดว่าฉันจะไม่มีวันเลิกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พอเห็นว่าฉันไม่มีความตั้งใจจะล้มเลิก น้ำเสียงแม่ก็เปลี่ยนเป็นกังวล และขอให้ฉันเลิกเข้าร่วมชุมนุมและเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันลองทุกทางเพื่อสามัคคีธรรมกับแม่ แต่ท่านไม่ยอมฟังสิ่งที่ฉันพูดเลย และท่านพูดว่ายอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วไม่ได้ ผ่านไปสักพัก ท่านก็ปิดหน้าและเริ่มร้องไห้ การเห็นแม่ร้องไห้ทำให้ฉันว้าวุ่นใจมาก ตั้งแต่โตมา ฉันไม่กลัวอะไรมากไปกว่าการเห็นแม่ร้องไห้และทำให้แม่เสียใจ ในสายตาของแม่ ฉันเป็นลูกที่เชื่อฟังมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ฉันทำให้เธอกังวลและร้อนใจเพราะฉัน ฉันคิดว่าการฟังแม่และเริ่มเข้าร่วมชุมนุมไปก่อน จะเป็นการดีที่สุด แต่พอคิดอีกที ตอนฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าก่อนนั้น ฉันวางการรับใช้คริสตจักรมาก่อน และเรื่องส่วนตัวของฉันเองมาที่สองเสมอ ตอนนี้ฉันยอมรับงานใหม่ของพระเจ้าแล้ว การให้พระเจ้มาก่อนเป็นเรื่องสำคัญกว่าครั้งไหนๆ ฉันไม่เข้าใจความจริงมากนัก จึงจำเป็นต้องเข้าร่วมชุมนุมเป็นพิเศษ หากไม่มีการชุมนุม ฉันก็ไม่อาจได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากพี่น้องชายหญิง ฉันจะทำยังไง ถ้าถูกทดลองหรือก่อกวนและยืนหยัดไม่ได้? แต่ถ้าฉันไม่เลิกเข้าร่วมชุมนุม การเห็นแม่เศร้าใจมากทุกวันเป็นเรื่องทรมานสำหรับฉัน! ฉันติดกับ จึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้ทรงนำฉันให้เลือกทางที่ถูกต้อง

ระหว่างการชุมนุมค่ำนั้น ฉันบอกพี่น้องหญิงคนหนึ่งถึงสภาวะของฉัน และเธอก็ส่งพระวจนะมาให้ฉันบทตอนหนึ่ง “เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจ ดูแลบุคคลผู้หนึ่ง และทรงเฝ้ามองบุคคลผู้นี้ และเมื่อพระองค์ทรงโปรดปรานและให้ความเห็นชอบในตัวบุคคลผู้นี้ ซาตานย่อมตามไปอย่างใกล้ชิด พยายามจะหลอกและทำร้ายบุคคลดังกล่าว หากพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้บุคคลผู้นี้เอาไว้ ซาตานก็จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจของมันเพื่อขัดขวางพระเจ้า ใช้ลูกเล่นชั่วร้ายต่างๆ นานาเพื่อทดลองพระราชกิจของพระเจ้า ทำให้พระราชกิจหยุดชะงักและลดทอนพระราชกิจ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ที่ซ่อนเร้นของมัน วัตถุประสงค์นี้คืออะไร? มันไม่ต้องการให้พระเจ้าได้รับผู้ใดสักคน มันต้องการช่วงชิงผู้ที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้ไว้มาครอบครองเสียเอง มันต้องการที่จะควบคุมพวกเขา กำกับดูแลพวกเขา เพื่อให้พวกเขาเคารพบูชามัน เพื่อให้พวกเขาเข้าร่วมกับมันในการกระทำความชั่วและต้านทานพระเจ้า นี่ไม่ใช่แรงจูงใจที่ชั่วร้ายเลวทรามของซาตานหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4) เธอสามัคคีธรรมว่า “สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับคุณ ภายนอกอาจดูเหมือนถูกครอบครัวขัดขวาง ขณะคุณติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่เบื้องหลังเป็นการควบคุมบงการของซาตาน นี่เป็นการสู้รบทางฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าเสด็จมาปรากฏในรูปมนุษย์ในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยผู้คนให้รอด แต่ซาตานไม่ต้องการให้ผู้คนได้รับความรอดของพระเจ้า มันจึงใช้ผู้คนรอบตัวเราเพื่อก่อกวนและขัดขวางเรา ทำให้เราปฏิเสธและทรยศพระเจ้า และสุดท้ายเข้ายึดเรา ควบคุมเรา และลากเราลงนรกไปกับมัน เหมือนกับครั้งนี้ คุณเพิ่งยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และซาตานโจมตีและก่อกวนคุณผ่านแม่ของคุณ เพื่อให้คุณเชื่อฟังแม่ ละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า และเสียความรอดของพระเจ้า นี่คือเจตนามุ่งร้ายของซาตาน เราต้องมองกลอุบายของซาตานให้ออก อีกทั้งพึ่งพระพระเจ้าและตั้งมั่น ลองคิดถึงโยบ เมื่อซาตานใช้การพร่ำบ่นของภรรยาเขาเพื่อทำให้เขาละทิ้งพระเจ้า โยบรักษาความเชื่อและการเชื่อฟังของเขาต่อพระเจ้า ยืนหยัดในคำพยานของเขาต่อรพะเจ้า และหลู่เกียรติซาตาน สุดท้าย ความเชื่อของโยบได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า เราจำเป็นต้องมีความเชื่อเพื่อตั้งมั่นและไม่หลงกลอุบายของซาตานด้วย!” สามัคคีธรรมของพี่น้องหญิงต่อพระวจนะดลใจฉันมากค่ะ หลังจากยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันเผชิญอุปสรรคในทุกๆ ขั้นตอน และปรากฏว่าเบื้องหลังมีการสู้รบทางจิตวิญญาณอยู่ ซาตานรู้ว่าฉันคำนึงถึงใจแม่และฟังท่าน มันจึงใช้แม่เพื่อรบกวนฉันครั้งแล้วครั้งเล่า เติมความคิดวิบัติให้ฉัน กระจายข่าวลือเพื่อหลอกลวงฉัน และบังคับให้ฉันเลิกติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เจตนาของซาตานเคลือบแฝงและชั่วร้ายจริงๆ ฉันจะให้ตัวเองถูกซาตานหลอกไม่ได้ ฉันแน่วแน่ว่าไม่ว่าแม่จะรบกวนฉันยังไง ฉันก็จะเชื่อในพระเจ้าต่อไป และชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงเพื่อแสวงหาและเข้าใจความจริงมากขึ้น

สองสามวันต่อจากนั้น แม่ของฉันดูเศร้าและถอนหายใจทุกวัน และเมื่อท่านเห็นฉันชุมนุมออนไลน์ ก็โกรธฉัน การเห็นแม่เป็นอย่างนี้ ฉันยังรู้สึกถูกจำกัดนิดหน่อย แต่ฉันรู้ว่าไม่อาจประนีประนอมในเรื่องการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้า “เจ้าต้องมีความกล้าหาญของเราภายในตัวเจ้า และเจ้าต้องมีหลักการยามที่เจ้าเผชิญหน้ากับบรรดาญาติที่ไม่เชื่อ อย่างไรก็ตาม เพื่อเห็นแก่เรา เจ้าต้องไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจมืดใดๆ เช่นกัน จงวางใจในสติปัญญาของเราที่จะเดินไปตามหนทางที่เพียบพร้อม จงอย่ายอมให้แผนประทุษกรรมใดๆ ของซาตานเริ่มมีผล(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) พระวจนะทำให้ฉันเห็นชัดเจนขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ฉันตระหนักว่าแผ่นร้ายของซาตานได้มาถึงฉันอีกครั้ง ซาตานเห็นว่าฉันยังไม่ล้มเลิกการเชื่อในพระเจ้า มันจึงยังใช้แม่ของฉันมาโจมตีและก่อกวนฉัน เพื่อให้ฉันหาความเงียบเพื่อเข้าร่วมชุมนุมอย่างเต็มที่ไม่ได้ ฉันต้องพึ่งพาพระเจ้าเพื่อเอาชนะการทดลองของซาตาน และทำให้ซาตานอับอายอย่างสิ้นเชิง หลังจากนั้น ฉันพูดกับแม่อย่างแข็งขันทุกวัน แสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อแม่อย่างเคย แต่พยายามเลี่ยงท่านเวลาได้เวลาชุมนุมและอ่านพระวจนะ แล้วแม่ ก็ค่อยๆ เลิกตอแยกับการเชื่อในพระเจ้าของฉันมากนัก และถึงกับไม่พูดอะไรเลยเมื่อท่านเห็นฉันเข้าชุมนุมออนไลน์ ฉันซาบซึ้งการทรงนำของพระเจ้า ในการเอาชนะการทดลองของซาตานอย่างมาก

แต่โดยไม่คาดคิด เมื่อผ่านไปไม่นาน พ่อกับพี่ชายของฉันรู้เข้าว่าฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพยายามขัดขวางฉัน นำฉันกลับเข้าสู่ศาสนา วันหนึ่ง พี่ชายของฉันโกรธมากและกล่าวหาฉันว่า “ทำไมแกถึงดื้อรั้นนัก? แม่กังวลและเสียใจเรื่องที่แกเชื่อในพระเจ้า แกไม่รู้สึกผิดบ้างเลยเหรอ? ทั้งครอบครัวเราไม่เห็นด้วยการการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของแก แกเลิกเชื่อเพื่อให้พ่อแม่สบายใจไม่ได้เหรอ?” เผชิญกับการเข้าใจผิดและการกล่าวหาของครอบครัว ฉันรู้สึกว่ามันผิด และไม่อาจห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้ ฉันอยากบอกพวกเขาจริงๆ ถึงทั้งหมดที่ฉันได้รับจากการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่พวกเขากล่าวหาและต่อว่าฉันด้วยทุกคำที่พวกเขาพูด ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ่อนแออยู่บ้าง ฉันร้องหาพระเจ้าอย่างเงียบๆ ขอให้พระองค์ทรงมอบความเชื่อเพื่อตั้งมั่นให้ฉัน หลังจากอธิษฐาน ฉันนึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ใครที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเรา ก็ไม่มีค่าควรกับเรา(มัทธิว 10:37)เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่สละบ้าน หรือภรรยา หรือพี่น้อง หรือบิดามารดา หรือบุตรเพราะเห็นแก่แผ่นดินของพระเจ้า จะได้รับผลตอบแทนหลายเท่าในยุคนี้ และในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์(ลูกา 18:29-30) ตอนนี้ครอบครัวขัดขวางฉันจากการเชื่อในพระเจ้า ถ้าฉันอยากติดตามพระเจ้า ฉันก็ต้องตัดสินใจ ฉันไม่อาจเลิกติดตามพระเจ้าเนื่องจากการขัดขวางความไม่เข้าใจของครอบครัวได้ ฉันนึกถึงเปโตร เมื่อเขาติดตามองค์พระเยซูเจ้า เขาก็ถูกพ่อแม่ข่มเหงและกีดขวาง แต่เขากลับยังเลือกติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่ลังเล เขารักพระเจ้ามากกว่าสิ่งอื่นใด และฉันรู้ว่าฉันควรเอาเขาเป็นแบบอย่าง เมื่อคิดเรื่องนี้ ฉันรู้สึกสงบลงเล็กน้อย ฉันอยากคุยกับพวกเขาอย่างเหมาะสม เพื่อให้รู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ฉันเชื่อคือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา แต่พ่อกับพี่ชายฉันก็ไม่ยอมฟัง และยืนกรานให้ฉันกลับเข้าคริสตจักรเพื่อเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันหมดหนทาง คิดว่าครอบครัวขัดขวางฉันจากการเชื่อในพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกยังไง ฉันยังจำได้ด้วยว่าพ่อแม่และพี่ชายรักและห่วงใยฉันตั้งแด่เด็ก ตอนนี้พวกเขาดุด่าและรุมฉัน ซึ่งยากรับไหว ทำไมการเชื่อในพระเจ้าจึงยากนัก? ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาจะทำอะไรเพื่อขัดขวางฉันอีก ฉันควรจะทำอย่างไรดี? จากนั้น จู่ๆ ฉันก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “ความเชื่อและความรักอย่างถึงที่สุดเป็นสิ่งที่พวกเราพึงต้องมี ในช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจ พวกเราอาจจะสะดุดจากความเลินเล่อแม้เพียงเล็กน้อยที่สุด ด้วยว่าช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจแตกต่างไปจากช่วงระยะก่อนหน้านี้ทั้งหมด กล่าวคือ สิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมก็คือความเชื่อของมวลมนุษย์ ซึ่งการนี้ทั้งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำคือทรงแปลงพระวจนะเป็นความเชื่อ เป็นความรักและเป็นชีวิต ผู้คนต้องไปให้ถึงจุดที่พวกเขาได้ทนฝ่ากระบวนการถลุงนับหลายร้อย ครั้ง และครองความเชื่อที่ยิ่งใหญ่กว่าของโยบ พวกเขาต้องทนฝ่าความทุกข์อันเหลือเชื่อ และการทรมานทุกลักษณะ โดยไม่เคยจากพระเจ้าไปเลย เมื่อพวกเขาเชื่อฟังตราบจนสิ้นชีพ และมีความเชื่อยิ่งใหญ่ในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจของพระเจ้าก็จะครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (8)) พระวจนะทำให้ฉันเข้าใจ ฉันถูกครอบครัวกลุ้มรุม แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้สิ่งแวดล้อมนี้เกิดกับฉัน เพื่อเตรียมฉันให้พร้อมไปด้วยความจริงและวิจารณญาณ และเพื่อเพียบพร้อมความเชื่อของฉัน ครอบครัวหยุดฉันจากการเชื่อในพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า และแม้ว่าฉันรู้สึกเสียใจและอ่อนแอ พระเจ้าก็ไม่ไปจากฉัน และทรงชี้แนะและนำฉันด้วยพระวจนะมาตลอด ซึ่งเปิดโอกาสให้ฉันตั้งมั่นต่อหน้าการขัดขวางและทำให้หยุดชะงักของครอบครัว หลังจากก้าวผ่านมา ฉันก็เข้าใจความจริงขึ้นบ้าง ฉันแยกแยะแก่นแท้ของการต่อต้านพระเจ้าของศิษยาภิบาลและเจตนาชั่วร้ายของซาตาน และความเชื่อในพระเจ้าของฉันก็เพิ่มขึ้น งานของพระเจ้ามีปัญญาและสัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่ว่าฉันเจอความยากลำบากอะไรในอนาคต ฉันก็ไม่จำเป็นต้องกังวลหรือกลัว ฉันเชื่อว่า ถ้าฉันพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริง พระองค์จะทรงชี้แนะและนำฉัน พอคิดแบบนี้ ความอยากติดตามพระเจ้าของฉันก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้น

วันหนึ่ง พ่อมาเคาะประตูของฉันเสียงดัง และทันทีที่ฉันเปิดประตู แม่ก็ร้องไห้พร้อมพูดว่า “ลูกรัก เลิกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เถอะ ฟังศิษยาภิบาลนะ ลูกเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าในคริสตจักรก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” พอเห็นท่านแบบนี้ทำให้ฉันทั้งโกรธและเสียใจ แม่ของฉัน เมื่อเผชิญความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดง ก็ไม่แสดงท่าทีแสวงหาหรือยอมรับเลย ท่านฟังศิษยาภิบาลเต็มร้อย และเห็นคำพูดของเขาเป็นความจริง แม่ปฏิเสธความรอดของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และทำเต็มที่เพื่อก่อกวนและขัดขวางฉันจากการติดตามพระเจ้า ฉันเห็นว่าแม่ไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง แม่ติดตามผู้คน ในยุคสุดท้าย ความจริงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงเปิดเผยคนทุกประเภทจริง ข้าวสาลีและข้าวละมานถูกแยกจากกัน เหมือนกับผู้เชื่อแท้จริงและเทียมเท็จ แม้ว่าเราเป็นครอบครัว เนื่องจากท่าทีต่อความจริงที่ต่างกันของเรา เราจึงเลือกเดินทางต่างกัน ถ้าแม่ยังปฏิเสธที่จะยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า เช่นนั้นท่านกับฉันก็เดินบนทางที่ต่างกัน ตอนนี้ ฉันต้อง และพึ่งพาพระเจ้าเพื่อตั้งมั่นเป็นพยาน ฉันจึงสงบใจลงและพูดกับแม่ว่า “ในฐานะผู้เชื่อ เราเฝ้ารอการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว และงานแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าก็เริ่มขึ้นแล้ว หนูจึงหวังว่าแม่จะสืบค้นอย่างรอบคอบด้วย และไม่ฟังแต่คำพูดของศิษยาภิบาล ถ้าเราเสียความรอดของพระเจ้าในยุคสุดท้าย เราก็เสียโอกาสแห่งความรอดโดยสิ้นเชิง” แม่ของฉันเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอโกรธและพูดว่า “พ่อถามแกข้อเดียว จะเลิกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไหม?” ฉันมองตาพ่อ แล้วตอบอย่างแน่วแน่ว่า “ไม่ค่ะ” พอพูดออกไป ฉันก็รู้สึกถึงสันติสุขและความปลอดภัย ในที่สุดฉันก็แสดงจุดยืนที่หนักแน่นแล้ว พ่อยิ่งโกรธมากขึ้นและพูดกับฉันอย่างจริงจังมากว่า “แกมันโตเกินกว่าฉันจะควบคุมแล้ว เลือกทางของตัวเองเถอะ อย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน” คำพูดของพ่อทำให้ฉันตระหนักว่า ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว และถึงเวลารับผิดชอบชีวิตของตัวเอง ตอนนี้ ฉันได้ยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และเดินตามย่างพระบาทของพระองค์ ฉันจึงควรเดินตามเส้นทางของฉันโดยไม่ลังเล

หลังจากนั้น พ่อแม่ก็เลิกก้าวก่ายการเชื่อในพระเจ้าของฉัน ฉันได้รับวิจาณญาณขึ้นบ้างจากการก่อกวนของครอบครัว และเข้าใจความจริงบางส่วน ฉันรู้สึกถึงพระมหิทธิฤทธิ์และพระปัญญาของพระเจ้าจริงๆ ฉันเห็นว่าซาตานน่ารังเกียจและชั่วร้าย และฉันรู้สึกว่าตัวเองวางใจในพระเจ้าได้ ตอนนี้ ฉันอยากไล่ตามความจริงอย่างเหมาะสมและติดตามพระเจ้าถึงปลายทาง!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ติดต่อเราผ่าน Messenger