สิ่งใดอยู่เบื้องหลังความคิดลบและความเกียจคร้านในหน้าที่

วันที่ 29 เดือน 01 ปี 2025

วันหนึ่งในปี 2021 ผู้นำได้มอบหมายให้ฉันรับผิดชอบในงานชุมนุมกลุ่มหลายครั้ง หลังจากปฏิบัติมาบ้าง ฉันก็เริ่มเข้าใจหลักธรรมบางอย่าง และมีวิจารณญาณแยกแยะสภาวะต่างๆ ที่ผู้คนต้องเผชิญอยู่บ้าง ฉันรู้สึกว่าหน้าที่นี้ช่วยให้ฉันเข้าใจความจริงมากมายและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ต่อมามีตำรวจเริ่มสะกดรอยมัคนายกฝ่ายงานทั่วไปและเธอติดต่อกับคนอื่นๆ ไม่ได้ ผู้นำจึงจัดแจงให้ฉันจัดการงานทั่วไป ในช่วงเวลานั้น เหล่าพี่น้องชายหญิงถูกจับกุมกันไปทีละคน มีหลายอย่างที่ต้องดูแล เช่น การขนย้ายหนังสือ การหาบ้านใหม่ให้เหล่าพี่น้องชายหญิงพักพิงและอื่นๆ ฉันต้องออกไปวิ่งวุ่นแทบทุกวันเพื่อจัดการเรื่องเหล่านี้ หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ฉันก็อดรู้สึกหงุดหงิดและคับอกคับใจไม่ได้ ฉันรู้สึกว่านี่เป็นแค่การเดินทางเทียวไปเทียวมาและการใช้เวลาทั้งหมดไปกับการวิ่งวุ่น ฉันไม่สามารถได้รับความจริง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปฉันจะได้รับความรอดหรือไม่? ฉันเริ่มต่อต้านงานทั่วไปและไม่อยากทำต่อไปอีก

หลายครั้งที่ ฉันเห็นเหล่าพี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมในงานชุมนุม ขณะที่ฉันนำสิ่งของไปส่งที่บ้านพัก ฉันรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลย และถึงกับบ่นว่าผู้นำ ทำไมเธอถึงมอบหมายให้ฉันรับผิดชอบงานทั่วไป? พวกเขาสามัคคีธรรมความจริงร่วมกัน เรียนรู้มากมายและเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ฉันกลับได้ทำเพียงงานจิปาถะ แล้วฉันจะได้รับความจริงได้อย่างไร? หากปราศจากความจริง ฉันก็จะไม่มีชีวิตและไม่ได้รับการช่วยให้รอด ฉันไม่ได้เสียเปรียบหรอกหรือ? ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกหงุดหงิดและฉันก็หมดแรงจูงใจที่จะปฏิบัติหน้าที่อีกต่อไป วันหนึ่ง ฉันรู้เรื่องความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่บ้านของพี่น้องหญิงคนหนึ่ง และต้องรีบย้ายหนังสือที่นั่นไปยังสถานที่ปลอดภัยโดยด่วน ฉันสงสัยว่า “ทำไมถึงมีงานทั่วไปมากมายขนาดนี้? มันต้องใช้เวลาและพลังงาน แต่ฉันไม่สามารถได้รับความจริง ฉันไม่ได้ทำทั้งหมดนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ?” เมื่อคิดเช่นนั้น ฉันก็ไม่อยากทำมันอีกต่อไป แต่สถานการณ์เร่งด่วน ดังนั้นฉันจึงต้องไปช่วยขนย้ายหนังสือ โดยไม่คาดคิด ทันทีที่เราขนย้ายหนังสือเสร็จ ก็มีปัญหาเกิดขึ้นที่บ้านอีกหลังหนึ่งที่มีหนังสือเก็บไว้ ขณะที่ฉันขนย้ายหนังสือเหล่านั้น ก็ต้องผ่านกระบวนการจัดระเบียบและบรรจุหีบห่อเหมือนเดิมซ้ำอีกครั้ง และหลังจากทำงานมาทั้งวัน ฉันก็มีเรื่องบ่นมากมาย เมื่อฉันลากสังขารกลับมาถึงบ้าน ผู้นำและมัคนายกให้น้ำกำลังหารือเรื่องงานกันอยู่ ผู้นำถามฉันว่า “เธอแค่พาพี่น้องหญิงไปยังบ้านพักใหม่ไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงใช้เวลาทั้งวัน?” ฉันรู้สึกถูกกล่าวโทษอย่างไม่เป็นธรรมจริงๆ เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้น พวกเขาต่างสามัคคีธรรมความจริงและหลักธรรมร่วมกัน ขณะที่ฉันต้องออกไปวิ่งวุ่น ฉันจะได้รับอะไรจากการแค่ดูแลงานทั่วไป? ไม่ว่าจะทำงานมากแค่ไหน ฉันก็เป็นได้แค่คนออกแรงทำงานเท่านั้นไม่ใช่หรือ? ถ้าฉันได้อยู่ข้างในเพื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า ชุมนุมและสามัคคีธรรมกับทุกคน และหารืองาน นั่นคงจะดีมากไม่ใช่หรือ? มันคงง่ายขึ้นและฉันจะสามารถได้รับความจริงเพื่อจะได้รับการช่วยให้รอดในอนาคต ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ เหลือแต่ความรู้สึกเป็นลบอย่างมากและเหนื่อยล้าเป็นที่สุด ฉันยังคงครุ่นคิดอยู่ว่า ทำไมฉันจึงได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานทั่วไป? พระเจ้าต้องการให้ฉันเป็นคนออกแรงทำงานหรือ? หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ฉันจะเก่งแค่ในเรื่องจิปาถะเท่านั้นหรือ? ฉันจะได้อะไร?

วันต่อมา มีงานทั่วไปมากมายที่ต้องจัดการ และฉันเก็บงำความไม่พอใจเอาไว้ไม่ได้ ผู้นำได้สังเกตว่าสภาวะของฉันไม่ดีนักและเตือนให้ฉันทบทวนตนเองและเรียนรู้จากเรื่องนี้ นั่นเป็นการเตือนสติเล็กๆ สำหรับฉัน ในช่วงนั้นที่จัดการงานทั่วไป ฉันทำงานไป แต่รู้สึกต่อต้านอยู่ภายใน ฉันไม่พอใจและอยากที่จะเลือกหน้าที่ของตนเอง ฉันถึงขั้นคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงยุติธรรมกับฉัน ฉันตระหนักว่าตนเองอยู่ในสภาวะที่อันตราย ฉันไม่อาจต่อต้านเช่นนี้ต่อไปได้ ฉันต้องเสาะแสวงความจริงและกลับใจต่อพระเจ้า

ฉันได้อ่านบางอย่างจากพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หลักธรรมทั้งหลายที่เจ้าต้องเข้าใจและความจริงทั้งหลายที่เจ้าต้องนำไปปฏิบัตินั้นเหมือนกัน โดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดก็ตาม  ไม่ว่าเจ้าจะถูกขอให้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน หรือไม่ว่าเจ้าจะกำลังทำอาหารในฐานะเจ้าภาพ หรือไม่ว่าเจ้าจะถูกขอให้ดูแลกิจธุระภายนอกบางเรื่องหรือทำงานที่ออกแรงกายหรือไม่ก็ตาม หลักธรรมความจริงที่ควรถือปฏิบัติในการปฏิบัติหน้าที่ที่แตกต่างกันเหล่านี้ก็เหมือนกันในเรื่องที่ว่าต้องมีพื้นฐานอยู่ในความจริงและในพระวจนะของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการแสวงหาหลักธรรมความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี)  “ผู้คนมากมายไม่รู้แน่ชัดว่าการได้รับการช่วยให้รอดหมายความว่าอย่างไร  ผู้คนบางคนเชื่อว่าหากพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานาน เช่นนั้นก็ยิ่งมีแนวโน้มที่พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด  ผู้คนบางคนคิดว่าหากพวกเขาเข้าใจคำสอนฝ่ายวิญญาณมาก เช่นนั้นพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะได้รับการช่วยให้รอด หรือบางคนคิดว่าผู้นำและคนทำงานจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน  ทั้งหมดนี้คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์  กุญแจสำคัญคือผู้คนต้องเข้าใจว่าความรอดหมายถึงสิ่งใด  โดยส่วนใหญ่นั้นการได้รับการช่วยให้รอดหมายถึงการเป็นอิสระจากบาป เป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตาน หันมาหาพระเจ้าและนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง  เจ้าต้องมีสิ่งใดจึงจะเป็นอิสระจากบาปและจากอิทธิพลของซาตาน?  ความจริง  หากผู้คนหวังจะได้รับความจริง พวกเขาก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมด้วยพระวจนะอันมากมายของพระเจ้า พวกเขาต้องสามารถมีประสบการณ์และปฏิบัติตามพระวจนะได้ เพื่อที่พวกเขาอาจเข้าใจความจริงและเข้าไปสู่ความเป็นจริง  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด  การที่คนเราจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้นไม่เกี่ยวข้องกับว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานเพียงใด พวกเขามีความรู้มากเท่าใด ไม่เกี่ยวกับว่าพวกเขามีพรสวรรค์หรือจุดแข็งหรือไม่ หรือพวกเขาทนทุกข์มามากเพียงใด  สิ่งเดียวที่สัมพันธ์กับความรอดโดยตรงคือการที่บุคคลผู้หนึ่งสามารถได้รับความจริงหรือไม่  ดังนั้นในวันนี้มีความจริงมากเพียงใดที่เจ้าเข้าใจอย่างจริงแท้?  และมีพระวจนะของพระเจ้ามากเพียงใดที่ได้กลายเป็นชีวิตของเจ้า?  ในบรรดาข้อพึงประสงค์ทั้งหมดของพระเจ้า เจ้าสัมฤทธิ์การเข้าสู่ข้อใดไปแล้วบ้าง?  ในระหว่างหลายปีที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้ามากเพียงใดแล้ว?  หากเจ้าไม่รู้ หรือหากเจ้าไม่ได้สัมฤทธิ์การเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะใดของพระเจ้าเลย เช่นนั้นแล้ว กล่าวตามตรงก็คือเจ้าไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด  เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือรากฐานของการเชื่อในพระเจ้า)  จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นงานให้น้ำหรืองานทั่วไปในคริสตจักร เหล่านี้คือหน้าที่ที่เราควรทำ พระเจ้าหวังว่าขณะที่เราทำหน้าที่ของเรา เราจะได้แสวงหาความจริงและได้เข้าสู่ชีวิตบ้าง แม้หน้าที่ของเราจะแตกต่างกัน แต่หลักธรรมความจริงที่เราปฏิบัติในหน้าที่นั้นไม่แตกต่างกันเลย เราทุกคนแสดงออกถึงความเสื่อมทราม ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่ใด ตราบใดที่เรายังแสวงหาความจริงเมื่อเราแสดงความเสื่อมทราม แล้วกลับใจและเปลี่ยนแปลง เราก็ก้าวหน้าในชีวิตได้ จากนั้นเราจะได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอด แต่หากเราไม่เรียนรู้บทเรียนใดๆ เลยเมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น หรือสิ่งที่เราทำไม่ได้เกี่ยวข้องกับการนำไปปฏิบัติตามความจริงหรือเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย พระเจ้าก็จะทอดพระเนตรว่าเป็นเพียงการทำงานเท่านั้น และเราจะไม่ได้รับความจริง ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ได้รับความช่วยให้รอดจากพระเจ้าอีกด้วย แต่ฉันเคยเชื่ออย่างผิดๆ ว่าฉันไม่สามารถได้รับความจริงจากการจัดการงานทั่วไป และไม่ว่าจะทำมากเพียงใด ฉันก็จะเป็นแค่คนออกแรงทำงานเท่านั้น ฉันเคยคิดว่าการเป็นผู้นำหรือหัวหน้ากลุ่ม การสามัคคีธรรมความจริงและสนับสนุนผู้อื่น อ่านและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน จะทำให้ชีวิตก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และสามารถได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอด นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าขันหรอกหรือ? ความจริงแล้ว ผู้ที่แสวงหาความจริงอย่างแท้จริง สามารถเรียนรู้จากสิ่งที่เผชิญ ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่ใดก็ตาม แล้วจึงสร้างความก้าวหน้าที่แท้จริงในภายหลัง เหมือนกับในวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์ที่ฉันเคยดู เหล่าพี่น้องชายหญิงบางคนจัดการงานทั่วไป แต่พวกเขาสามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ แสวงหาความจริงและแก้ไขความเสื่อมทรามหลังจากที่มันเผยให้เห็น พวกเขาเปลี่ยนแปลงได้หลังจากประสบการณ์และแบ่งปันคำพยานจริงของตนเองได้ และมีผู้นำบางคน ที่มักจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ผู้อื่นและช่วยแก้ปัญหา แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามที่สอน เพียงแต่พูดถึงคำพูดและคำสอนเท่านั้น และสุดท้ายก็ถูกเปิดโปงและกำจัดออกไป เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ มิใช่หรือ? พระเจ้าไม่ได้แสดงความลำเอียงเพราะผู้คนทำหน้าที่ต่างกัน ผู้ที่ไม่แสวงหาความจริงคือผู้ที่เพียงออกแรงทำงานเท่านั้น ผู้ที่แสวงหาความจริงจะได้รับบำเหน็จรางวัลไม่ว่าจะจากหน้าที่ใดก็ตาม พระเจ้านั้นชอบธรรมและไม่ลำเอียง แต่ฉันเคยติดอยู่กับทัศนะที่คลาดเคลื่อนของตัวเองและต้องการเลือกหน้าที่ ฉันเคยต่อต้านการจัดการงานทั่วไป ฉันไม่อยากทำงานนั้น ฉันถึงขั้นเคยมีอคติต่อผู้นำและรู้สึกหงุดหงิดที่เธอมอบหมายงานประเภทนี้ให้ฉัน ฉันไม่ได้แสวงหาความจริง ฉันได้แสดงความเสื่อมทรามแต่ไม่ทบทวนหรือแก้ไขตนเองเลย และฉันยังคิดลบ บ่น และโทษผู้อื่น ฉันเคยคิดว่าพระเจ้าเพียงต้องการให้ฉันออกแรงทำงาน นี่ไม่ใช่การเข้าใจพระองค์ผิดหรอกหรือ? ฉันได้อยู่ในสภาพแวดล้อมจริง แต่กลับไม่ได้บทเรียนอะไร ฉันเอาแต่บ่น ช่างไม่สมเหตุสมผลเลย หากฉันยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป โดยไม่ได้รับความจริงใดๆ เลย ฉันคงจะกลายเป็นคนออกแรงทำงานไปจริงๆ มีงานทั่วไปมาให้ฉันทำและฉันไม่สามารถยอมรับงานนั้นจากพระเจ้าและนบนอบได้เลย ฉันไม่สามารถแก้ปัญหาของตนเองได้ นับประสาอะไรกับการแก้ปัญหาของเหล่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ แต่ในภาวะเช่นนั้น ฉันกลับยังอยากจะทำงานให้น้ำอยู่! นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลหรอกหรือ? ฉันนึกถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัส “ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าผู้คนจะสามารถบรรลุความรอดหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาทำหน้าที่ใด แต่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถเข้าใจและได้รับความจริงได้หรือไม่ และขึ้นอยู่กับว่าในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้าต่อโดยสมบูรณ์ มอบตนเองให้ความกรุณาแห่งการจัดการเตรียมการของพระองค์ ไม่คำนึงถึงอนาคตและบั้นปลายของตน และกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติดีพอได้หรือไม่  พระเจ้าทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ และสิ่งเหล่านี้คือมาตรฐานที่พระองค์ทรงใช้เพื่อประเมินวัดมวลมนุษย์ทั้งปวง  มาตรฐานเหล่านี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ และเจ้าต้องจดจำการนี้ไว้  จงจารึกมาตรฐานเหล่านี้ไว้ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้า และไม่ว่าเมื่อไรก็ตามจงอย่านึกถึงการค้นหาเส้นทางอื่นบางเส้นทางในการไล่ตามไขว่คว้าบางสิ่งที่ไม่เป็นจริง  ข้อพึงประสงค์และมาตรฐานทั้งหลายที่พระเจ้าทรงมีสำหรับทุกคนที่ต้องการบรรลุความรอดก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล สิ่งเหล่านั้นยังคงเป็นอย่างเดิมไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)โดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้ตระหนักว่า ไม่ว่าจะจัดการงานทั่วไปหรือรับใช้ในฐานะผู้นำ สิ่งสำคัญคือการแสวงหาความจริงขณะดำเนินงานตามหน้าที่ ผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดคือผู้ที่สามารถแสวงหาความจริงในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น และเข้าใจ กลับใจ และเปลี่ยนแปลงตนเองได้ การเข้าใจนี้ทำให้หัวใจของฉันผ่องใสขึ้น

ต่อมา ฉันเริ่มคิดทบทวนอีกครั้ง ทำไมฉันถึงได้ไม่พอใจและไม่เต็มใจทำงานเมื่อได้รับมอบหมายให้ทำงานทั่วไป? ฉันอ่านข้อความนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าของมวลมนุษย์ก็คือ การที่มนุษย์ดำเนินการบริหารจัดการของตัวเองท่ามกลางพระราชกิจของพระเจ้า และกระนั้นก็ยังไม่มีความใส่ใจทั้งสิ้นต่อการบริหารจัดการของพระเจ้า  ในเวลาเดียวกับที่กำลังพยายามที่จะนบนอบต่อพระเจ้าและนมัสการพระองค์นั้น ความล้มเหลวที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์อยู่ตรงที่วิธีที่มนุษย์กำลังก่อร่างสร้างบั้นปลายในอุดมคติของเขาเองขึ้นมา และวาดโครงร่างว่าจะได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดและบั้นปลายที่ดีที่สุดอย่างไร ต่อให้มีคนเข้าใจว่าพวกเขานั้นน่าสงสาร น่ารังเกียจ และน่าสมเพชอย่างไร จะมีสักกี่คนเล่าที่จะสามารถละทิ้งอุดมคติและความหวังเหล่านั้นได้โดยไม่ลังเล?  และใครเล่าที่จะสามารถยับยั้งย่างก้าวของพวกเขาเองและหยุดคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้นได้?  พระเจ้าทรงจำเป็นต้องมีบรรดาผู้ที่จะให้ความร่วมมือกับพระองค์อย่างใกล้ชิดเพื่อที่จะทำให้การบริหารจัดการของพระองค์เสร็จสิ้น  พระองค์ทรงจำเป็นต้องมีบรรดาผู้ที่จะนบนอบต่อพระองค์โดยการอุทิศจิตใจและร่างกายทั้งหมดทั้งสิ้นของพวกเขาให้กับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์  พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องมีผู้คนซึ่งยื่นมือออกมาขอรับจากพระองค์ทุกวัน นับประสาอะไรกับพวกที่ให้มาเล็กน้อยแล้วรอรับรางวัลตอบแทนยิ่งแล้วใหญ่  พระเจ้าทรงดูหมิ่นพวกที่มีส่วนช่วยสนับสนุนเพียงน้อยนิดแล้วก็หยุดพักอย่างพอใจในความสำเร็จของตัวเอง  พระองค์ทรงเกลียดชังพวกผู้คนเลือดเย็นที่ไม่พอใจพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ และพูดคุยแต่เรื่องการไปสวรรค์และการได้รับพระพรเท่านั้น  พระองค์ยิ่งทรงมีความเกลียดต่อพวกซึ่งฉวยผลประโยชน์จากโอกาสที่พระราชกิจซึ่งพระองค์ทรงกระทำในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนำมาเสนอให้นั้นอย่างมากมายกว่าด้วยซ้ำ  นั่นเป็นเพราะผู้คนเหล่านี้ไม่เคยเลยที่จะใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะสัมฤทธิ์ผลและได้มาโดยผ่านทางพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์  พวกเขาเพียงเป็นห่วงวิธีที่พวกเขาจะสามารถได้รับพระพรโดยอาศัยโอกาสที่จัดเตรียมโดยพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาไม่ใส่ใจเกี่ยวกับพระหทัยของพระเจ้า ด้วยความที่หมกมุ่นเต็มที่อยู่กับความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้และชะตากรรมของพวกเขาเอง  พวกที่คับแค้นใจในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าและขาดแม้กระทั่งความสนใจอันแผ่วบางที่สุดในวิธีที่พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและพระเจตนารมณ์ของพระองค์นั้น ก็แค่กำลังทำในสิ่งที่พวกเขายินดีในหนทางที่แยกออกจากพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น  พฤติกรรมของพวกเขานั้นไม่ได้รับการจดจำหรือรับรองโดยพระเจ้า—ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่า พระเจ้าจะทรงมองอย่างโปรดปราน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น)  พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นสภาวะของตัวฉันเอง ฉันเคยไม่เต็มใจที่จะจัดการงานทั่วไป เพราะฉันไม่มีแรงจูงใจที่ถูกต้องในหน้าที่ของฉัน ฉันทำเพื่อหวังได้รับการอวยพร คอยคำนวณผลได้ผลเสียในใจอยู่เสมอ ฉันพร้อมยอมลำบากเมื่อสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อฉัน แต่ทันทีที่ฉันเห็นว่าฉันได้รับมอบหมายงานทั่วไปและอาจเป็นเพียงคนออกแรงทำงาน ฉันรู้สึกว่านั่นเป็นการขาดทุนย่อยยับ ฉันทำหน้าบึ้งและบ่นพึมพำ และแม้ฉันจะทำงานบ้าง ก็ทำด้วยความไม่พอใจ ฉันใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน เช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไป” และ “อย่ายอมเสียเปรียบคนอื่น” “ถ้าไม่มีรางวัลก็ไม่มีวันขยับนิ้ว” “บำเหน็จรางวัล” มาก่อนเสมอ แม้แต่การสละตนเพื่อพระเจ้าก็เป็นการทำธุรกรรมกับพระองค์ ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันไม่ได้คิดเลยว่าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้อย่างไร แม้ในภาวะที่เลวร้าย เรื่องแรกที่ฉันคำนึงถึง ไม่ใช่การปกป้องพี่น้องและทรัพย์สินของคริสตจักรหรือเคลื่อนย้ายพวกเขาทั้งหมดไปยังที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด แต่กลับไปคิดว่าการทำงานนั้นคุ้มค่าหรือไม่ และจะเป็นประโยชน์ต่อจุดหมายปลายทางของฉันหรือไม่ ฉันเห็นว่าซาตานทำให้ฉันเสื่อมทรามจนเห็นแก่ตัวและเลวทราม ไม่มีทั้งมโนธรรมและเหตุผล ฉันใจแข็งกระด้าง ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตนเองเท่านั้น ฉันเป็นสมาชิกของคริสตจักร ดังนั้นไม่ว่าจะมีโครงการใดที่ต้องดำเนินการ ฉันก็ควรให้ความร่วมมือเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร แต่ฉันกลับมุ่งผลสำเร็จในทุกสิ่งที่ฉันทำจริงๆ ฉันรู้สึกว่าตนเองจะเสียเปรียบอย่างมากหากไม่ได้รับการอวยพรหลังจากทำงานหนัก ในหัวของฉันเต็มไปด้วยความคิดว่าฉันจะได้รับการอวยพรและก้าวหน้าได้อย่างไร ข้อเท็จจริงแสดงให้ฉันเห็นว่า แรงจูงใจที่ฉันพยายามในศรัทธามาหลายปีนั้น เป็นเพียงความอยากที่จะได้รับการอวยพร นั่นทำให้ฉันรำลึกถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “แม้แต่คนที่แสดงความใจดีมีเมตตาต่อผู้อื่นก็ยังได้รับการตอบแทน แต่พระคริสต์ผู้ได้ทรงพระราชกิจเช่นนี้ท่ามกลางพวกเจ้ากลับไม่ได้รับทั้งความรักของมนุษย์และค่าตอบแทนและการนบนอบของเขา  นี่ไม่ใช่เรื่องน่าปวดร้าวใจหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกที่เข้ากันไม่ได้กับพระคริสต์คือปรปักษ์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน)  ฉันรู้สึกเสียใจและทุกข์ใจยิ่งขึ้นเมื่อเผชิญกับพระวจนะของพระเจ้า ฉันกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากมายและได้ชื่นชมการให้น้ำและและการจัดเตรียมอันมากมายของพระองค์ แต่ไม่เคยคิดที่จะตอบแทนความรักของพระเจ้าโดยการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ฉันมุ่งมั่นอยู่กับการรับเพียงอย่างเดียว ฉันยื่นมือไปหาพระเจ้าเพื่อขอการอวยพรอย่างไม่รู้จบและอยากให้พระองค์ประทานบั้นปลายที่ดีให้แก่ฉัน ฉันอารมณ์เสียเมื่อไม่ได้รับสิ่งนั้น และเต็มไปด้วยคำบ่นขณะที่ทำหน้าที่เพียงน้อยนิด มโนธรรมและเหตุผลของฉันช่างด้านชาเหลือเกิน และนั่นทำให้พระเจ้าเจ็บปวดพระทัยอย่างแท้จริง เมื่อฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกเป็นหนี้และรู้สึกผิด ฉันเกลียดตัวเองที่ไร้มโนธรรมและความเป็นมนุษย์

ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนที่ว่า “เมื่อใดก็ตามที่มีการจัดเตรียมบางสิ่งให้เจ้าทำในพระนิเวศของพระเจ้า แม้จะยากลำบากหรือเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อย และไม่ว่าเจ้าจะชอบหรือไม่ก็ตาม นั่นก็คือหน้าที่ของเจ้า  ถ้าเจ้ามองได้ว่านั่นคือพระบัญชาและความรับผิดชอบที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีความสำคัญต่อพระราชกิจช่วยมนุษย์ให้รอดของพระองค์  และถ้าสิ่งที่เจ้าทำและหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติมีความสำคัญต่อพระราชกิจช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า และเจ้าสามารถน้อมรับพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าได้อย่างจริงจังและจริงใจ พระองค์จะทรงมองเจ้าว่าอย่างไร?  พระองค์จะทรงมองว่าเจ้าคือสมาชิกครอบครัวของพระองค์  นั่นเป็นพรหรือคำสาปแช่ง?  (พร)  นั่นคือพรอันยิ่งใหญ่(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?)  บทตอนนี้ทำให้ฉันซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ตราบใดที่มีคนเต็มใจทำหน้าที่ พระเจ้าก็จะประทานโอกาสให้เขา งานทุกอย่างในคริสตจักรล้วนมีความหมาย แม้แต่งานที่ดูไม่น่าประทับใจ งานทั้งหมดนี้ควรได้รับการยอมรับและถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของตนเอง หากคุณพยายามแสวงหาความจริงในหน้าที่ของตน และทำอย่างถูกควรไปตามสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ คุณจะได้รับโอกาสแห่งความรอด แต่หากคุณปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนราวกับเป็นธุรกรรม เป็นต้นทุนเพื่อให้ได้รับพรหรือเป็นตั๋วเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ว่าคุณจะทำงานหนักเพียงใด คุณจะไม่มีวันเข้าสู่ความจริง เพราะทัศนะต่อการแสวงหาและเส้นทางที่คุณดำเนินอยู่นั้นผิด การมีโอกาสปฎิบัติหน้าที่ และลงแรงเพื่อพระราชกิจของพระเจ้า เป็นการยกระดับและพรอันมหาศาลของพระเจ้า แล้วฉันจะจู้จี้จุกจิกกับหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไร? ฉันควรยอมรับและนบนอบต่อหน้าที่ นั่นคือเรื่องที่ฉัน ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ แต่ฉันกลับมืดบอดต่อการอวยพรที่อยู่รายล้อม และไม่เห็นคุณค่าของโอกาสในการแสวงหาความจริงผ่านหน้าที่นี้ ฉันมองหน้าที่ของตนเองเป็นงานหนักและเป็นเครื่องต่อรองในการทำธุรกรรมกับพระเจ้า และฉันเข้าใจผิดและตำหนิพระเจ้า ฉันช่างมืดบอดนัก เมื่อฉันตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็ไม่รู้สึกต่อต้านการจัดการงานทั่วไปอีกต่อไป ฉันรู้สึกยินดีอย่างแท้จริงที่จะยอมรับ นบนอบและปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดี

ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ว่า “ในการทำหน้าที่ของพวกเขานั้นผู้คนใช้การไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อที่จะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ค่อยๆ เข้าใจและยอมรับความจริง และแล้วจึงปฏิบัติความจริง  จากนั้นพวกเขาจึงไปถึงสภาวะที่พวกเขาปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ขจัดพันธนาการและการควบคุมแห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน และดังนั้น พวกเขาจึงกลายเป็นใครบางคนที่มีความเป็นจริงความจริงและใครบางคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เฉพาะเมื่อเจ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ปกติเท่านั้นที่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและการกระทำของเจ้าจะสอนใจผู้คนและเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า  และมีเพียงเมื่อพระเจ้าทรงเห็นชอบในตัวผู้คนเพราะการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเท่านั้นที่พวกเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่พระเจ้าทรงยอมรับ  ดังนั้น ในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า แม้ตอนนี้สิ่งที่พวกเจ้าสละและเผยให้เห็นในการอุทิศตนจะเป็นทักษะ การเรียนรู้ต่างๆ และความรู้ที่พวกเจ้าได้มา แต่ผ่านทางช่องทางแห่งการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้านี้เองที่พวกเจ้าจะสามารถเข้าใจความจริง และรู้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราคืออะไร การมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าคืออะไร การสละเพื่อพระเจ้าอย่างสุดหัวใจคืออะไร  โดยผ่านช่องทางนี้ เจ้าจึงจะรู้วิธีทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนไป รู้วิธีขบถต่อตนเอง ไม่ทำตัวโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ รวมถึงรู้วิธีนบนอบความจริงและพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้เท่านั้น เจ้าถึงจะสามารถบรรลุความรอด(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะได้รับความจริง คนเราต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายรอบตัว)  ฉันได้เรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้า ว่าการทำหน้าที่คือเส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยและการได้รับความจริง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการได้รับพรหรือผลประโยชน์แต่อย่างใด ไม่ว่าคุณจะทำหน้าที่อะไร การแสวงหาความจริงและมุ่งเน้นที่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยคือเส้นทางที่ถูกต้องเพียงเส้นทางเดียว เหตุผลที่ฉันไม่ได้เรียนรู้อะไรจากงานทั่วไป เป็นเพราะฉันไม่ได้แสวงหาความจริงหรือทำงานเพื่อการเข้าสู่ชีวิต ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่ฉันทำ ฉันคิดว่างานทั่วไปเป็นเพียงงานตรากตรำ เมื่อฉันแสดงความเสื่อมทราม ฉันไม่ได้มุ่งแสวงหาความจริงและแก้ไข ฉันคิดลบและเกียจคร้านในหน้าที่ของตน และถึงแม้ฉันจะทำงานนั้น แต่ก็ไม่ได้รับอะไรเลย และอุปนิสัยของฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ฉันคงไม่มีทางได้รับความรอด การตระหนักถึงเรื่องนี้ทำให้ฉันเห็นเส้นทางปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการงานทั่วไปหรือการให้น้ำและเกื้อหนุนพี่น้องชายหญิง ฉันไม่อาจปฏิบัติต่อมันเหมือนเป็นเพียงงานได้อีก ต้องมุ่งเน้นการอธิษฐานและแสวงหาหลักธรรมความจริง และเมื่อฉันแสดงความเสื่อมทราม ฉันต้องทบทวนตนเองและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข หลังจากปฏิบัติเช่นนี้อยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ฉันก็เริ่มเข้าใจตนเองได้ดีขึ้นและได้รับความเข้าใจที่แท้จริงถึงความจริงมากขึ้น

ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่ง เมื่อพี่น้องหญิงคนหนึ่งมักขอให้ฉันร่วมทำอะไรก็ตามที่เธอวางแผนอยู่เสมอ เธอยังขอให้ฉันช่วยในเรื่องง่ายๆ ที่เธอทำเองได้ด้วย เมื่อเธอขออีกครั้ง ฉันปรับทัศนคติตนเองและไม่ต่อต้านเพราะงานมากมายที่ฉันต้องทำ ขณะที่เราร่วมงานกัน ฉันสังเกตเห็นว่าเธอไม่ได้แบกรับภาระหน้าที่อย่างแท้จริง และเธอใฝ่หาความสะดวกสบาย ฉันอยากชี้ให้เธอเห็นถึงเรื่องนี้ แต่ฉันเกรงว่าเธออาจคิดว่าฉันเป็นคนคบหายาก ฉันจึงคำนึงถึงเนื้อหนังของเธอ ฉันคิดว่าตนเองทำงานแทนเธอได้ ฉันไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้หรือสามัคคีธรรมกับเธอ ต่อมา หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าและทบทวนตนเอง ฉันก็ตระหนักว่าฉันกำลังพยายามเอาใจคนอื่น แม้จะดูเหมือนฉันคำนึงถึงจิตใจและเข้าใจผู้อื่น แต่แท้จริงแล้ว ฉันมีแรงจูงใจของตนเอง ซึ่งก็คือการสร้างความประทับใจที่ดีแก่เธอ สิ่งนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเธอและทำให้เธอพึ่งพาฉันอยู่เสมอ ตอนนั้น ฉันได้เปิดใจต่อเธอและเล่าถึงความเสื่อมทรามของตน และยังกล่าวถึงปัญหาของเธอด้วย หลังจากนั้นเธอก็เปลี่ยนแปลงไปบ้าง เธอกระตือรือร้นในหน้าที่ของตนเองมากขึ้นและพึ่งพาฉันน้อยลง

ประสบการณ์เหล่านี้สอนฉัน ว่าฉันเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความจริงได้ไม่ว่าจะทำหน้าที่ใดก็ตาม พระเจ้าไม่ได้แสดงความลำเอียงจริงๆ ในขณะเดียวกัน ฉันก็ได้ตระหนักว่าไม่ว่าฉันทำงานใดหรือเผชิญสถานการณ์ใด การสามารถแสวงหาความจริงและนำไปปฏิบัติคือสิ่งที่สำคัญ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ใครเป็นคนทำลายครอบครัวของเรา?

โดย ไฉ่น่า ประเทศจีน ฉันกับสามีโตมาในหมู่บ้านเดียวกัน เราเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าตามครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก พอแต่งงาน ฉันก็เปิดคลินิก...

ติดต่อเราผ่าน Messenger