ความไม่ละอายแห่งการโอ้อวด
โดย ว่าน ซินผิง, ประเทศจีน เดือนมีนาคมปี 2020 ฉันย้ายไปยังคริสตจักรใหม่ ที่คริสตจักรเก่าฉันเป็นผู้นำ และพี่น้องชายหญิง ก็เคารพฉันมาก...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมของพระเจ้าถูกทำให้สำเร็จลุล่วงได้โดยวิถีทางใด? มันสำเร็จลุล่วงได้โดยวิถีทางของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระเจ้าส่วนใหญ่แล้วประกอบด้วยความชอบธรรม พระพิโรธ พระบารมี การพิพากษา และการสาปแช่ง และส่วนใหญ่แล้วพระองค์ทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยวิถีทางของการพิพากษาของพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น) “ก่อนหน้าเวลาแห่งคนปรนนิบัตินั้น มนุษย์ไม่มีความเข้าใจใดเลยเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาชีวิต ไม่เข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงสิ่งใด หรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับพระปรีชาญาณแห่งพระราชกิจของพระเจ้า และเขาไม่เข้าใจว่าพระราชกิจของพระเจ้าสามารถทดสอบมนุษย์ได้ จากเวลาแห่งคนปรนนิบัติตลอดมาจนถึงวันนี้ มนุษย์มองเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าน่าอัศจรรย์เพียงใด—มันเป็นสิ่งที่มนุษย์มิอาจหยั่งรู้ได้—มนุษย์ไร้ความสามารถที่จะคิดฝันได้ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจโดยการใช้สมองของเขาได้อย่างไร และเขายังมองเห็นว่าวุฒิภาวะของเขาต่ำเพียงใดและเห็นว่าเขานั้นไม่เชื่อฟังมากเกินไป เมื่อพระเจ้าทรงสาปแช่งมนุษย์ ก็เป็นไปเพื่อให้สัมฤทธิ์ประสิทธิผล และพระองค์มิได้ทรงทำให้มนุษย์ถึงแก่ความตาย แม้ว่าพระองค์ได้ทรงสาปแช่งมนุษย์ พระองค์ก็ทรงทำเช่นนั้นโดยผ่านทางพระวจนะ และคำสาปแช่งทั้งหลายของพระองค์มิได้บังเกิดกับมนุษย์อย่างแท้จริง เพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงสาปแช่งคือความไม่เชื่อฟังของมนุษย์ และดังนั้น พระวจนะแห่งการสาปแช่งของพระองค์จึงได้ถูกตรัสไปเพื่อที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมด้วยเช่นกัน ไม่ว่าพระเจ้าทรงพิพากษามนุษย์หรือทรงสาปแช่งเขา ทั้งสองสิ่งนั้นทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม กล่าวคือ ทั้งสองถูกกระทำไปเพื่อที่จะทำให้สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ภายในมนุษย์มีความเพียบพร้อม มนุษย์ได้รับการถลุงโดยผ่านทางวิถีทางนี้ และเป็นวิธีซึ่งทำให้สิ่งที่ขาดหายไปภายในมนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยผ่านทางพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ พระราชกิจของพระเจ้าทุกขั้นตอน—ไม่ว่าจะเป็นพระวจนะที่เกรี้ยวกราด หรือการพิพากษา หรือการตีสอน—ทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และถูกต้องเหมาะสมอย่างแน่นอน ตลอดยุคทั้งหลายพระเจ้ามิเคยได้ทรงพระราชกิจเหมือนเช่นนี้เลย วันนี้ พระองค์ทรงพระราชกิจภายในตัวพวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะซึ้งคุณค่าในพระปรีชาญาณของพระองค์ ถึงแม้ว่าพวกเจ้าได้ทนทุกข์กับความเจ็บปวดบางอย่างภายในตัวพวกเจ้า แต่หัวใจของพวกเจ้ารู้สึกมั่นคงและอยู่อย่างสงบ มันเป็นพรของพวกเจ้าที่มีความสามารถชื่นชมกับพระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระเจ้าได้ ไม่ว่าสิ่งที่พวกเจ้ามีความสามารถที่จะได้รับในอนาคตจะเป็นอะไร แต่ทั้งหมดที่พวกเจ้ามองเห็นจากพระราชกิจของพระเจ้าในตัวพวกเจ้าวันนี้คือความรัก หากมนุษย์ไม่ได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและกระบวนการถลุงของพระเจ้า การกระทำทั้งหลายและความเร่าร้อนของเขาก็จะคงอยู่ในระดับผิวเผินตลอดเวลา และอุปนิสัยของเขาก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้นับว่าเป็นการได้ถูกพระเจ้ารับไว้กระนั้นหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น) พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าดลใจผมมากจริงๆ ผมรู้สึกได้ว่า โดยทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว พระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้านั้น เป็นไปเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ผมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงบททดสอบแรกที่ผมเคยผ่านหลังจากยอมรับในพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย ซึ่งเป็นบททดสอบพวกคนปรนนิบัติ
วันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ค.ศ. 1991 ผมไปเข้าร่วมการชุมนุมเหมือนเช่นเคย โดยตอนนั้น พี่ชายคนหนึ่งพูดกับเราอย่างเปี่ยมสุขว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ดำรัสพระวจนะแล้ว!” เหล่าพี่น้องชายหญิงจึงเริ่มต้นอ่านว่า “คำสรรเสริญได้มาสู่ศิโยน และสถานที่ประทับของพระเจ้าได้ปรากฏขึ้น พระนามบริสุทธิ์อันรุ่งโรจน์ซึ่งได้รับการถวายสาธุการโดยบรรดาผู้คนทั้งปวงแพร่ไปทั่ว โอ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! พระเศียรแห่งจักรวาล พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย—พระองค์ทรงเป็นองค์ตะวันอันทรงแสงที่ขึ้นบนภูเขาศิโยน ซึ่งตั้งตระหง่านเหนือจักรวาลทั้งมวลด้วยพระบารมีและความโอ่อ่าตระการ…” “พระองค์ได้ทรงจัดกลุ่มของผู้ชนะขึ้นและทำให้แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าลุล่วง ผู้คนทั้งปวงจะหลั่งไหลมายังภูเขาแห่งนี้ ผู้คนทั้งปวงจะคุกเข่าลงต่อหน้าพระบัลลังก์! พระองค์คือพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์นั้นแต่ผู้เดียว พระองค์ทรงสมควรแก่พระสิริและพระเกียรติ ขอพระสิริ คำสรรเสริญ และสิทธิอำนาจทั้งปวงจงมีแด่พระบัลลังก์!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 1) ถึงตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจพระวจนะนี้ทั้งหมด แต่ตอนที่ได้ยิน ผมก็รู้สึกว่าพระวจนะนั้นแสนพิเศษ ช่างดลใจ และไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถกล่าวคำพูดเช่นนั้นได้ ผมมั่นใจว่าคำพูดเหล่านี้ต้องมาจากพระเจ้า ว่าคำพูดเหล่านั้นคือถ้อยดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หลังจากนั้น พระวจนะแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์บทแล้วบทเล่าก็ถูกส่งมาที่คริสตจักรของเราโดยตลอด พระวจนะที่เปิดเผยความจริงมากมายแห่งความเชื่อและข้อล้ำลึกทั้งหลายของพระคัมภีร์ อีกทั้งยังเปิดเส้นทางของการปฏิบัติความจริงและการเข้าสู่ชีวิตให้แก่พวกเราด้วย ระหว่างเวลานั้น พวกเราทำการชุมนุมกันเกือบทุกวันเพื่ออ่านพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวจนะนั้นช่างค้ำชูและบำรุงเลี้ยงหัวใจของพวกเรายิ่งนัก ทุกคนต่างดื่มด่ำอยู่ในความชื่นบานและความปีติยินดี และรู้สึกได้รับการทรงอวยพรอย่างมาก พวกเราทุกคนล้วนคิดไปว่า พวกเราอยู่ในกลุ่มแรกที่ได้ถูกยกขึ้นไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า คิดว่าพวกเราคือพวกผู้ชนะที่พระเจ้าจะทรงสร้าง คิดว่าพวกเราคงจะมีส่วนแบ่งในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์แน่นอน และพวกเราก็เหมาะที่จะได้รับพระสัญญาและพระพรจากพระเจ้า พวกเราทุกคนต่างสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างเปี่ยมด้วยความเชื่อ บ้างก็กำลังคัดลอกพระวจนะแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ออกมาอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง บ้างก็กำลังนำพระวจนะไปใส่ดนตรีเพื่อแต่งเป็นบทเพลงสรรเสริญ รูปการณ์แวดล้อมของพวกเราในตอนนั้นก็กำลังลำบากมากเช่นกัน ด้วยความที่มีเหล่าพี่น้องชายหญิงจำนวนไม่น้อยถูกจับกุมระหว่างการชุมนุม ผมไม่ได้ขี้ขลาดหรือหวาดกลัว แต่กลับสละตัวเองเพื่อพระเจ้าอย่างมีใจกระตือรือร้นต่อไป
เพราะผมเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังที่จะได้รับพระพรและได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ พระเจ้าดำรัสพระวจนะใหม่ๆ และเปิดนำพวกเราเข้าไปสู่บททดสอบพวกคนปรนนิบัติ อยู่มาวันหนึ่งในเดือนตุลาคม ผมได้รับแจ้งให้ไปที่การชุมนุมที่คริสตจักรซึ่งอยู่ห่างออกไป 25 ไมล์ เพื่อรวบรวมพระวจนะใหม่ซึ่งดำรัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมคิดว่าจะต้องมีข่าวที่วิเศษแน่ ผมจึงรีบขึ้นจักรยานและปั่นไปยังสถานที่ชุมนุมอย่างตื่นเต้น พลางฮัมเพลงและทะยานพุ่งไปด้วยพลังงาน พอไปถึงผมก็ต้องแปลกใจ ผมเห็นว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงดูเหมือนจะมีปัญหา และทุกคนต่างก้มหน้าคอตก พี่ชายคนหนึ่งพูดกับผมว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ดำรัสพระวจนะแล้ว พระเจ้าตรัสว่าพวกเราทุกคนคือพวกคนปรนนิบัติ” พี่สาวคนหนึ่งก็พูดขึ้นมา สองตาของเธอมีน้ำตาเอ่อ “พวกเราทุกคนคือคนปรนนิบัติ ประชาชนชาวจีนมีไว้เพื่อจัดเตรียมการปรนนิบัติ และพวกเราจะไม่ได้รับพระพรใดๆ ทั้งสิ้น” ผมไม่เชื่อเลยว่ามันคือเรื่องจริง ผมจึงรีบไปอ่านพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และอ่านพระวจนะนี้ที่มาจากพระเจ้า: “ในประเทศจีน นอกเหนือจากบรรดาบุตรหัวปีของเราและประชากรของเราแล้ว บุคคลอื่นทั้งหมดคือเชื้อสายของพญานาคใหญ่สีแดงและจะต้องถูกละทิ้ง พวกเจ้าต้องเข้าใจว่า จะว่าไปแล้วประเทศจีนคือชนชาติที่ถูกเราสาปแช่ง และมีประชากรของเราไม่กี่คนที่นั่นที่ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าพวกที่ทำการปรนนิบัติเพื่องานในอนาคตของเรา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ นอกเหนือจากบรรดาบุตรหัวปีของเราแล้ว ก็ไม่มีบุคคลอื่นใด—พวกเขาทั้งหมดจะต้องพินาศ จงอย่าคิดว่าเราสุดขั้วจนเกินไปในกิจการของเรา—นี่คือประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา พวกที่ทุกข์ทนกับคำสาปแช่งของเราคือเป้าหมายของความเกลียดชังของเรา และการนี้ได้รับการกำหนดไว้อย่างมั่นคง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 95) พอได้อ่านบทตอนนี้ ผมถึงกับอึ้งไปเลย พวกคนปรนนิบัติเคยถูกพูดถึงหลายครั้งในพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผมคิดมาตลอดว่านั่นหมายถึงผู้ไม่เชื่อ แต่กลายเป็นว่ามันเกี่ยวกับตัวเราเอง พระวจนะนั้นกล่าวว่า ชาวจีนคือพวกคนปรนนิบัติผู้ถูกสาปแช่งโดยพระเจ้า และเมื่อพวกเขาเสร็จงานปรนนิบัติของตัวเอง พวกเขาก็จะถูกขว้างทิ้งลงสู่บาดาลลึก ผมรู้สึกอ่อนแรงไปทั้งตัว ผมไม่เคยจินตนาการเลยว่าตัวเองคือคนปรนนิบัติ ความเชื่อตลอดหลายปีที่ผ่านมาสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ? ไม่เพียงแต่ผมไม่ได้รับการทรงอวยพรในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์เท่านั้น แต่ผมยังจะถูกขว้างทิ้งลงสู่บาดาลลึกอีก! ผมรู้สึกเหมือนถูกโยนลงไปในนรกขุมลึก ผมรู้สึกทุกข์ระทม และการตัดพ้อทั้งหลายก็เริ่มผุดขึ้นมา ผมคิดถึงการที่ผมได้ล้มเลิกการศึกษาเพื่อดำเนินตามองค์พระผู้เป็นเจ้า การที่ผู้คนบนโลกนี้เย้ยหยันผม การที่เพื่อนฝูงและครอบครัวไม่เข้าใจผม และคิดถึงการข่มเหงจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน และการที่ผมหลบหนีการจับกุมมาได้อย่างหวุดหวิดหลายครั้ง แต่ผมก็ไม่เคยถอยกลับ ผมกลับเดินหน้าสละตัวเองและทำการพลีอุทิศต่อไป ผมได้ทนทุกข์มามากเหลือเกิน ผมคิดว่าตัวเองคงได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์และชื่นชมพระพร แต่ตอนนี้ ผมเป็นเพียงคนปรนนิบัติที่ต่ำต้อย ผมจับต้นชนปลายไม่ถูก ผมนั่งอยู่ตรงนั้นสักพักพลางถอนหายใจด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง เหล่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ก็ได้แต่ก้มหน้าคอตก บางคนเช็ดน้ำตา บางคนปิดหน้าแล้วเริ่มส่งเสียงร้องไห้ออกมา พี่ชายน้องชายบางคนถึงขนาดคร่ำครวญเสียงดัง
ระหว่างทางกลับบ้านหลังการชุมนุม ผมแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะปั่นจักรยาน ผมสงสัยไปตลอดทางว่า “ฉันเป็นคนปรนนิบัติได้อย่างไรกัน?” ยิ่งผมคิดถึงมันมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าผมถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมมากขึ้นเท่านั้น และน้ำตาก็เอาแต่เอ่อท้นขึ้นมา พอกลับถึงบ้าน ผมไม่สนใจที่จะทำอะไรทั้งสิ้น และกระทั่งขณะกำลังเดิน ผมยังก้มหน้าคอตก ไม่อยากพูดกับใครทั้งนั้น ขนาดหายใจยังเหนื่อยเกินทน ผมไม่สามารถทำใจยอมรับได้กับการเป็นคนปรนนิบัติ ผู้ซึ่งสุดท้ายแล้วก็คงจะไม่ได้รับพระพรใดๆ เลย
พระวจนะของพระเจ้าถูกปล่อยออกมาบทแล้วบทเล่า และผมก็อ่านแต่ละบทอย่างกระหายร้อนรน เฝ้าปรารถนารอคอยว่าจะมีสักเศษเสี้ยวของความหวังในพระวจนะของพระองค์ ที่จุดจบของผมจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่นอกจากผมจะไม่เจออะไรเกี่ยวกับพระพรอย่างที่หวังแล้ว พระวจนะทั้งหมดมีเพียงการพิพากษาอันกร้าวกระด้าง มีพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนโดยเฉพาะที่กล่าวว่า “พวกที่ทำการปรนนิบัติและพวกที่เป็นของมารคือคนตายที่ไร้จิตวิญญาณ และพวกเขาทั้งหมดต้องถูกลบล้างและถูกทำให้ไปสู่ความไม่มีอะไร นี่คือความล้ำลึกแห่งแผนการบริหารจัดการของเรา และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการของเราที่มวลมนุษย์ไม่สามารถหยั่งลึกได้ อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกัน เราก็ได้ทำให้การนี้เป็นที่เผยเป็นสาธารณะต่อทุกคน พวกที่ไม่ได้เป็นของเราก็ขัดต่อเรา บรรดาผู้ที่เป็นของเราคือผู้ที่เข้ากับเราได้ นี่โต้แย้งไม่ได้อย่างที่สุด และเป็นหลักการเบื้องหลังการพิพากษาซาตานของเรา หลักการนี้ควรเป็นที่รู้จักต่อคนทั้งหมดเพื่อที่พวกเขาจะสามารถมองเห็นความชอบธรรมและความเป็นธรรมของเรา ทุกคนที่มาจากซาตานจะถูกพิพากษา ถูกเผาผลาญ และถูกทำให้แปรเป็นเถ้า นี่ก็คือความโกรธเคืองของเราด้วยเช่นกัน และจากการนี้อุปนิสัยของเราก็ได้ถูกทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดมากขึ้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 108) “หลังจากทำงานปรนนิบัติให้เราในวันนี้แล้ว พวกเขาทั้งหมดต้องจากไป! จงอย่าเอ้อระเหยอยู่ในบ้านของเรา จงหยุดการเอาแต่ได้ที่ต่อเนื่องไร้ยางอายของพวกเจ้า! พวกที่เป็นของซาตานคือบุตรของมารทั้งหมด และย่อมจะพินาศตลอดกาล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 109) พอได้เห็นพระเจ้าทรงพิพากษาและสาปแช่งพวกคนปรนนิบัติแล้ว ผมก็สูญสิ้นความหวังทั้งหมด และรู้สึกว่าตัวเองร่วงหล่นตรงสู่บาดาลลึกแล้วจริงๆ ผมไม่รู้เลยว่าจะบรรยายความรู้สึกที่ทุกข์ระทมนั้นได้อย่างไร ผมคิดถึงการที่เคยได้อยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า การที่เคยอาบไออุ่นอยู่ในความรักของพระองค์ แต่ตอนนี้ผมกลับถูกโยนทิ้ง ถูกกล่าวโทษและถูกสาปแช่งโดยพระเจ้า ถูกขับลงสู่บาดาลลึก ผมจมดิ่งลงสู่กระบวนการถลุงของความระทมทุกข์ และกลายเป็นคนคิดลบอย่างหนัก ผมไม่มีเรี่ยวแรงที่จะอธิษฐาน ฟังบทเพลงสรรเสริญ หรืออ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมถึงขั้นเริ่มนึกเสียใจกับทุกสิ่งที่ผมได้ทุ่มลงไปและพลีอุทิศไปก่อนหน้า ถ้าผมรู้ว่ามันจะกลายเป็นแบบนั้น ผมคงเหลือทางออกไว้ให้ตัวเอง แต่ตอนนี้ผมไม่ได้เหลืออะไรไว้เลย ถ้าเพื่อนฝูงและครอบครัวผู้ไม่เชื่อของผมรู้ว่าผมกลายเป็นคนปรนนิบัติ และจะจบลงแบบมือเปล่า พวกเขาจะไม่เย้ยหยันผมอย่างไม่มีจบสิ้นงั้นหรือ? ผมจะมีหน้าไปให้ใครเห็นได้อย่างไร? ผมจะทำอย่างไรดี? พอผมคิดถึงเรื่องนั้น ผมก็รู้สึกว่าถูกตำหนิจริงๆ พอคิดทบทวนถึงเวลาหลายปีที่ตัวเองได้มีความเชื่อมา แม้ว่าผมจะทุกข์ทนไปไม่น้อยเลย แต่ผมก็ได้ชื่นชมพระคุณและพระพรของพระเจ้าไปมากมาย มาวันนี้ พระเจ้าทรงยกระดับให้ผมได้ยินพระวจนะใหม่ของพระองค์ และผมก็ได้เรียนรู้ข้อล้ำลึกและความจริงมากมาย ผมไม่อาจแยกห่างพระเจ้าได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
ในขณะเดียวกับที่พวกเรากำลังดำรงชีวิตอยู่ในความเจ็บปวด พวกเราก็ได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าในการชุมนุมครั้งหนึ่ง: “เราพึงปรารถนาเพียงแค่ว่าพวกเจ้ามอบถวายกำลังทั้งหมดที่เจ้ามีให้แก่เราด้วยสุดหัวใจและจิตใจของเจ้า และด้วยสุดความสามารถของพวกเจ้า ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครบางคนผู้ซึ่งทำการปรนนิบัติเราหรือใครบางคนผู้ซึ่งได้รับพร เจ้าควรทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่เจ้าวัดได้ให้กับราชอาณาจักรของเรา นี่คือภาระผูกพันที่ผู้คนซึ่งถูกสร้างทั้งปวงควรรับไว้ และต้องถูกกระทำและดำเนินการในหนทางนี้ เราจะระดมทุกสรรพสิ่งเพื่อทำการปรนนิบัติในการทำให้ความงดงามแห่งราชอาณาจักรของเราใหม่ตลอดเวลา และเพื่อบ้านของเราจะได้ถูกทำให้ปรองดองและรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เยาะเย้ยท้าทายเรา และผู้ใดก็ตามที่ทำเช่นนั้นจะต้องทนทุกข์กับการพิพากษาและถูกสาปแช่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 100) ผู้นำคริสตจักรในตอนนั้นได้แบ่งปันการสามัคคีธรรมของพี่ชายจากจากเบื้องบนด้วยเช่นกัน “ผู้คนจำนวนมากรู้สึกว่ามันน่าอายที่จะเป็นคนปรนนิบัติ แต่นั่นผิดอย่างที่สุด การที่พวกเราสามารถให้การปรนนิบัติพระเจ้าได้ในวันนี้นั้น เป็นบางสิ่งบางอย่างที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรพวกเราเพื่อให้ทำเช่นนั้น ในข้อเท็จจริงนั้น การให้การปรนนิบัติพระเจ้าผู้ทรงสูงสุดและทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นสิ่งที่มีสง่าราศีทีเดียว! พวกเราเป็นมนุษย์ผู้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึก และเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นแค่สิ่งทรงสร้างตัวจิ๋วทั้งหลาย ผู้ใดเล่าที่เหมาะจะทำงานปรนนิบัติเพื่อพระเจ้า? ในบรรดามวลมนุษย์ทั้งปวงนั้น พวกเราคือบรรดาผู้ที่พระเจ้าได้ทรงคัดเลือกให้ทำงานปรนนิบัติเพื่อพระองค์ พวกเราได้รับมามากมาย และนี่คือการยกระดับที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงจากพระเจ้า นี่คือคำแถลงการณ์ที่เป็นธรรมที่สุด และหากพวกเราไม่สามารถจับใจความมันได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเราก็โอหังเกินกว่าเหตุผลทั้งมวล พูดจากใจจริงเลยว่า พระเจ้าได้ทรงเปิดโอกาสให้พวกเรา—พวกเราผู้ซึ่งขาดพร่องในสภาวะความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง—มาทำงานปรนนิบัติเพื่อพระองค์ ถึงกระนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่า พระองค์ได้ทรงทนทุกข์กับความอัปยศอดสูมากเพียงใด? พระองค์ทรงเผชิญหน้ากับผู้คนที่เสื่อมทรามดังเช่นตัวพวกเราเองในแต่ละวัน แต่ทว่าผู้ใดเล่าท่ามกลางพวกเราที่เคยคิดคำนึงถึงความอัปยศอดสูงอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทรงทนทุกข์มา? พวกเรามักกบฏต่อพระองค์และเยาะเย้ยท้าทายพระองค์อยู่เสมอ พวกเราตัดสินพระองค์ด้วยมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการทั้งหลายของพวกเราเอง และพวกเราได้ทำให้พระทัยของพระองค์แตกสลาย พระเจ้าได้ทรงทนทุกข์กับความปวดร้าวมากเพียงใด? พูดตามความจริงก็คือ พวกเรานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทราม และเวลาที่พวกเราทำงานปรนนิบัติเพื่อพระองค์นั้น พวกเราทำไม่ได้ตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์ ด้วยพฤติกรรมเช่นนั้นเอง พวกเราจึงไม่เหมาะแม้กระทั่งจะให้การปรนนิบัติพระเจ้า พวกเราจะสามารถเหมาะที่จะเป็นประชากรของพระองค์ได้อย่างไรกัน?” การได้ยินเช่นนี้ปลุกให้ผมได้รู้ตัว พระเจ้าคือพระผู้สร้าง และพระองค์คือผู้ประทับอยู่สูงสุด ส่วนตัวผมก็ต่ำต้อยและเล็กจ้อยนัก ดังนั้นการสามารถทำงานปรนนิบัติเพื่อพระองค์ได้ก็คือการยกระดับและพระเมตตาของพระเจ้า แต่ผมกลับไม่รู้จักตัวตนหรือสถานะของตัวเอง โดยเชื่อว่าการเป็นคนปรนนิบัตินั้นต่ำต้อย และผมไม่เต็มใจจะทำสิ่งนั้นเพื่อพระเจ้า ผมช่างโอหังและไร้เหตุผลนัก พอคิดย้อนไป ถึงแม้ผมจะไล่ตามเสาะหาอย่างกระหายร้อนรน ทำการพลีอุทิศและสละตัวเอง แต่ทั้งหมดก็เพื่อจะได้รับพระพร เพื่อชื่นชมพระพรของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ผมกลายเป็นคนที่มีแรงจูงใจอย่างมากเมื่อได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเรื่องพระสัญญาและพระพรสำหรับมนุษย์ และผมก็ได้เดินหน้าต่อแม้ต้องเผชิญกับการข่มเหงจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่พอผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่บอกว่าพวกเราคือพวกคนปรนนิบัติ ผู้จะถูกโยนลงสู่บาดาลลึก ผมก็เริ่มตัดพ้อและติเตียนพระเจ้า ถึงขั้นคิดว่าจะทรยศและทอดทิ้งพระเจ้าด้วยซ้ำ ผมจะเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงสักประเภทได้อย่างไร? สิ่งที่ผมได้มอบ สิ่งที่ผมพลีอุทิศและสละทั้งหมดล้วนแปดเปื้อนด้วยเหตุจูงใจและราคีทั้งหลายของผม นั่นก็คือเพื่อให้ได้รับพระพร เพื่อพยายามที่จะโกงพระเจ้า ทำข้อตกลงกับพระเจ้า ผมช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจมาก ผมได้ชื่นชมพระคุณและพระพรของพระเจ้า เสบียงอาหารและการให้น้ำแห่งพระวจนะของพระองค์อย่างมาก แต่ผมกลับต้องการทรยศพระองค์เวลาที่ผมไม่เห็นมีพระพรสำหรับผมอยู่ในนั้น ผมไร้ซึ่งมโนธรรมหรือเหตุผลอันใดโดยสิ้นเชิง ความคิดนี้ทิ้งให้ผมเต็มไปด้วยความสำนึกผิดและการตำหนิตนเอง ผมเป็นเชื้อสายของพญานาคใหญ่สีแดง ผมเป็นของซาตานและไม่ได้เป็นของพระนิเวศแห่งพระเจ้า และแม้แต่ความเชื่อของผมก็ยังมีแรงจูงใจที่จะได้รับการอวยพร พระเจ้านั้นทรงบริสุทธิ์และชอบธรรม และพระอุปนิสัยของพระองค์นั้นไม่ยอมทนต่อการล่วงเกิน เมื่อดูตามพฤติกรรมและท่าทีของผมที่มีต่อพระเจ้า ตัวผมนั้นไม่คู่ควรแม้แต่จะเป็นคนปรนนิบัติด้วยซ้ำ ผมควรถูกสาปแช่งและถูกพระเจ้าทรงส่งไปนรกตั้งนานแล้ว พระเจ้าไม่ได้กำลังทรงลงโทษผม แต่กำลังทรงเปิดโอกาสให้ผมมีชีวิตอยู่ด้วยลมหายใจนี้ เพื่อให้ผมได้มีโอกาสฟังถ้อยดำรัสของพระองค์ ยอมรับในเสบียงอาหารของพระองค์เพื่อชีวิต และทำงานปรนนิบัติเพื่อพระเจ้า องค์ผู้สูงส่งที่สุด นี่คือการยกย่องอันสุดพิเศษ และผมควรที่จะขอบคุณพระเจ้า ผมมีสิทธิ์อะไรหรือที่จะไปตัดพ้อ? ผมได้รู้แล้วว่า ผมจำเป็นต้องให้การปรนนิบัติพระเจ้าเป็นอย่างดี!
ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน พวกเราได้รับพระวจนะใหม่ของพระเจ้ามากขึ้น พระเจ้าตรัสว่า “หลังจากที่เราหวนคืนสู่ศิโยน บรรดาผู้ที่อยู่บนแผ่นดินโลกจะยังคงสรรเสริญเราต่อไปดั่งเช่นในอดีต พวกคนปรนนิบัติที่จงรักภักดีเหล่านั้นจะรอคอยตลอดไปเพื่อทำการปรนนิบัติเรา แต่การทำหน้าที่ของพวกเขาจะมาถึงบทอวสานแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาสามารถทำได้ก็คือการใคร่ครวญรูปการณ์แวดล้อมของการสถิตของเราบนแผ่นดินโลก ในเวลานั้น เราจะเริ่มนำพาความวิบัติลงมายังพวกที่จะทนทุกข์กับหายนะ กระนั้นทุกคนก็ยังเชื่อว่าเราคือพระเจ้าผู้ชอบธรรม เราจะไม่ลงโทษพวกคนปรนนิบัติที่จงรักภักดีเหล่านั้นอย่างแน่นอน เพียงแต่จะยอมให้พวกเขารับพระคุณของเราไว้ เพราะเราได้พูดไว้แล้วว่าเราจะลงโทษคนทำชั่วทั้งหมด และว่าบรรดาผู้ที่ทำความประพฤติดีจะรับความชื่นชมยินดีทางวัตถุที่เรามอบให้ไว้ อันเป็นการสาธิตแสดงว่าเราคือพระเจ้าแห่งความชอบธรรมและความสัตย์ซื่อพระองค์เอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 120) ผมได้เห็นแล้วว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงทอดทิ้งพวกเราเลย และพระองค์ก็ไม่ได้ทรงลงโทษพวกเราเพราะพวกเราเป็นเชื้อสายของพญานาคใหญ่สีแดงด้วย พระเจ้ายังทรงเปิดโอกาสให้พวกเราเป็นคนปรนนิบัติที่อุทิศตนเพื่อพระองค์และสรรเสริญพระองค์บนแผ่นดินโลก สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น และผมก็มีเรี่ยวแรงขึ้นจริงๆ ผมรู้สึกอย่างแท้จริงว่า การสามารถทำงานปรนนิบัติพระเจ้าคือการได้รับการยกย่องจากพระองค์ และนั่นคือพระพรประการหนึ่ง ตลอดช่วงเวลานั้น พวกเราขับร้องบทเพลงสรรเสริญ “เป็นโชคลาภของพวกเราที่ได้ทำการปรนนิบัติพระเจ้า” ในทุกการชุมนุมที่ร้องว่า “…โดยผ่านทางวิวรณ์และการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น พวกเราจึงเห็นว่าตัวพวกเรานั้นเสื่อมทรามดิ่งลึกเพียงใด ครั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจและความอยากที่จะได้รับการทรงอวยพร แล้วพวกเรานั้นจะคู่ควรต่อดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าได้อย่างไรกัน? พวกเรานั้นไม่เหมาะที่จะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ กล่าวคือ การได้ให้การปรนนิบัติพระเจ้านั้นก็คือการยกย่องของพระองค์นั่นเอง โอ้! พวกเราให้การปรนนิบัติโดยพระคุณของพระเจ้า และการให้การปรนนิบัตินั้นก็คือโชควาสนาของพวกเรา ไม่ว่าโดยผ่านทางโชคลาภหรือความวิบัติ ฉันปรารถนาเพียงทำงานปรนนิบัติจวบจนถึงปลายทางเท่านั้นเอง วันนี้ พวกเราสามารถให้การปรนนิบัติพระเจ้า และพวกเรารู้สึกไม่คู่ควรยิ่งนัก ไม่ว่าความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ ชะตากรรม และจุดจบของพวกเราจะเป็นอะไร พวกเราจะติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง พระเจ้าทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อชำระพวกเราให้บริสุทธิ์ เพื่อฟื้นฟูมโนธรรมและเหตุผลของพวกเรา โอ้! พวกเราเต็มใจที่จะทำงานเสมือนพวกสัตว์พาหนะสำหรับพระเจ้า และนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการ ด้วยหัวใจทุกดวงของพวกเรา พวกเราจะให้การปรนนิบัติพระเจ้าด้วยชีวิตทั้งหมดของพวกเรา และจะสรรเสริญพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไปตลอดกาล” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ)
ครั้นพวกเราเต็มใจที่จะทำงานปรนนิบัติเพื่อพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จึงได้ตรัสพระวจนะใหม่ ครั้งนี้คือวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992 พระองค์ได้ทรงยกระดับพวกเราให้เป็นประชากรแห่งราชอาณาจักร และได้ทรงปิดฉากบททดสอบพวกคนปรนนิบัติ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น และงานของเราได้เข้าสู่จุดเริ่มต้นใหม่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อมจะมีแนวทางใหม่ กล่าวคือ บรรดาผู้ที่เห็นวจนะของเราและยอมรับวจนะว่าเป็นชีวิตของพวกเขาโดยแท้ คือประชากรในราชอาณาจักรของเราทั้งหมด และเมื่ออยู่ในราชอาณาจักรของเรา พวกเขาก็คือประชากรของราชอาณาจักรของเรา เพราะพวกเขายอมรับการนำของวจนะของเรา แม้ว่าพวกเขาได้รับการบ่งถึงว่าเป็นประชากรของเรา สมญานี้ก็ไม่มีทางเป็นรองการได้รับเรียกว่า ‘บุตร’ ของเรา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 1) พอเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงเปลี่ยนพวกคนปรนนิบัติให้กลายเป็นประชากรของยุคแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ ผมก็รู้สึกมีความสุขระคนไปกับความเสียใจและการตำหนิตัวเอง ผมเสียใจที่ผมเคยเป็นคนคิดลบ อ่อนแอ และไร้ซึ่งความหวังในระหว่างบททดสอบพวกคนปรนนิบัติ และถึงขนาดได้ตัดพ้อต่อพระเจ้าไปโดยเข้าใจพระองค์ผิดและตำหนิพระองค์ ผมเคยไม่เต็มใจที่จะเป็นคนปรนนิบัติของพระองค์ ผมไร้ซึ่งการอุทิศและการเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง สิ่งนี้ทิ้งให้ผมรู้สึกเสียใจและเป็นหนี้พระเจ้าจริงๆ ผมมีความสุขที่ในฐานะเชื้อสายของพญานาคใหญ่สีแดงซึ่งเป็นกบฏและเสื่อมทรามยิ่งนักนั้น แค่เพียงเพราะว่าพวกเราไม่ได้ยอมแพ้ในระหว่างบททดสอบ พระเจ้าก็ได้ทรงยกระดับพวกเราให้เป็นประชากรแห่งราชอาณาจักร เป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระองค์แล้ว ผมรู้สึกได้ถึงความรักยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเรา และความสำนึกบุญคุณและการสรรเสริญต่อพระเจ้าที่ท่วมท้นขึ้นมาในหัวใจของผม
หลังจากผ่านบททดสอบของพวกคนปรนนิบัติมา ผมก็ได้เห็นถึงพระปัญญาอันน่าทึ่งในพระราชกิจของพระเจ้า พระองค์ทรงพิพากษา ตีสอน และแม้แต่สาปแช่งผู้คนด้วยพระวจนะของพระองค์ และถึงแม้ว่าพระวจนะนั้นจะกร้าวกระด้าง ทิ้งให้พวกเราเจ็บปวดและรู้สึกเป็นทุกข์ แต่ทั้งหมดก็เพื่อชำระพวกเราให้บริสุทธิ์และแปลงสภาพพวกเรา แม้ว่าผมได้รับการถลุงผ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ได้เห็นถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ พระองค์ทรงขยะแขยงเหตุจูงใจและราคีทั้งหลายของเรา และพระองค์ทรงขยะแขยงความเชื่อที่มีพระพรเป็นแรงจูงใจ หลังจากประสบการณ์นี้ มุมมองของผมที่มีต่อความเชื่อได้เปลี่ยนไปพอสมควรเลยทีเดียว ผมตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะหยุดไล่ตามเสาะหาพระพรและการเข้าไปสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่รู้สึกว่าการเป็นคนปรนนิบัติที่ให้การปรนนิบัติพระผู้สร้างนั้น คือการได้รับการยกย่องโดยพระเจ้า และนี่เองคือพระพรสำหรับผม นี่เองที่ทำให้ผมรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติ!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ว่าน ซินผิง, ประเทศจีน เดือนมีนาคมปี 2020 ฉันย้ายไปยังคริสตจักรใหม่ ที่คริสตจักรเก่าฉันเป็นผู้นำ และพี่น้องชายหญิง ก็เคารพฉันมาก...
โดย หย่งสุย ประเทศเกาหลีใต้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การเข้าสู่ความจริงนั้น คนเราต้องหันทุกสิ่งไปหาชีวิตจริง...
ปี 2021 ฉันได้รับเลือกเป็นผู้นำคริสตจักร เป็นเวลานึง ที่ฉันมีปัญหากับงานให้น้ำของเรา ผู้ให้น้ำบางคนไม่มาร่วมชุมนุมอย่างสม่ำเสมอ...
โดย หวาง หลิน, เกาหลีใต้ เพราะว่าผมมีทักษะการเชื่อมเหล็ก ในปี 2017 ผมจึงได้รับมอบหมายให้ไปดูแลงานของคริสตจักร มันเป็นงานที่ใช้กำลัง...