ยึดมั่นกับหลักธรรมเพื่อทำหน้าที่ให้ดี
โดย สี่ น่อ, ประเทศจีน เดือนสิงหาคม 2019 พี่ลิน ผู้นำของคริสตจักรหนึ่ง เขียนจดหมายลาออก ผู้นำฉันจัดการให้ฉันไปตรวจสอบที่คริสตจักรนี้...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ตอนที่ฉันอายุหกขวบ แม่ของฉันพบว่าพ่อของฉันกำลังมีชู้ และเกิดมีอาการป่วยทางจิตเนื่องจากสะเทือนใจจากการค้นพบครั้งนั้น สองปีต่อมา พ่อของฉันเสียชีวิตด้วยอาการป่วย และค่ารักษาพยาบาลกับค่าจัดงานศพก็ทำให้พวกเราหมดตัว แต่ลุงกับป้าทางฝั่งพ่อฉันไม่เห็นความจำเป็น ที่จะช่วยเหลือภรรยาหม้ายกับลูกของพี่ชายของพวกเขา ฉันกับแม่เผชิญกับการกลั่นแกล้งและความเย็นชามากมาย ทั้งยังทนทุกข์อย่างหนักในชีวิต ในตอนนั้น แม่ของฉันก็เริ่มเชื่อในพระเจ้าแล้ว และท่านมักจะพูดกับฉันว่า “ถ้าเราไม่เชื่อในพระเจ้า เราจะอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นาน” และท่านยังบอกอีกว่าอาการป่วยทางจิตของท่านอยู่ๆ ก็หายไปหลังจากที่เชื่อในพระเจ้า ทำให้ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าเป็นอย่างมาก ตอนที่ฉันโดนเพื่อนร่วมชั้นขับออกจากกลุ่มและโดนรังแก ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างเงียบๆ ที่น่าประหลาดใจก็คือ หลังจากนั้น เพื่อนร่วมชั้นคนที่ไม่ถูกกับฉันก่อนหน้านี้ กลับเริ่มช่วยเหลือฉันอย่างจริงจัง และไม่ยอมให้คนอื่นรังแกฉัน จิตวิญญาณในวัยเยาว์ของฉันรู้สึก ณ ตอนนั้นว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ และพระเจ้านั้นทรงเป็นเสาหลักของฉันเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันต้องการพระองค์ และฉันอยากสละตนเพื่อพระเจ้าและทำหน้าที่เหมือนแม่ของฉันตอนที่ฉันโตขึ้น พอฉันเข้ามัธยมปลาย ฉันเริ่มเข้าร่วมการชุมนุมอย่างเป็นทางการ บางครั้งฉันจะขอลาหยุดเรียนเพื่อเข้าร่วมการชุมนุม แม้ว่าจะเรียนตามเพื่อนไม่ทันก็ตาม ฉันมักจะป่วยบ่อยและเวียนศีรษะ และต้องฉีดยากับทานยาอยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากที่เชื่อในพระเจ้า ฉันก็เริ่มดีขึ้น นี่คือประสบการณ์แห่งพระคุณและการคุ้มครองของพระเจ้าที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ครั้งหนึ่งระหว่างการชุมนุม เมื่อฉันได้ยินพี่น้องชายหญิงคุยกันว่าตอนนี้เป็นเวลาสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ ฉันคิดในใจว่า “ฉันโชคดีอย่างแท้จริงที่มีชีวิตอยู่ในยุคแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า การแสดงออกของความจริง และความรอดของมนุษยชาติ ฉันต้องคว้าโอกาสนี้เพื่อปฏิบัติความเชื่อและทำหน้าที่ของฉันให้ถูกควร” ณ ตอนนั้น ฉันไม่ลังเลที่จะตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนมัธยมปลายชั้นนำที่ฉันเรียนอยู่ และเริ่มทำหน้าที่ของฉันกับพี่น้องชายหญิง ฉันคิดว่าตราบใดที่ฉันปฏิบัติความเชื่ออย่างถูกควรและปฏิบัติหน้าที่ของฉันอย่างกระตือรือร้น พระเจ้าจะทรงประทานพระคุณแก่ฉันและทรงทำให้แน่ใจว่าทุกสิ่งดำเนินไปได้ด้วยดีและราบรื่นสำหรับฉันอย่างแน่นอน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉันก็เข้าร่วมการชุมนุมและปฏิบัติหน้าที่ของฉันไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก ในช่วงฤดูหนาว ไม่มีรถโดยสารตรงไปยังสถานที่ที่ฉันกำลังให้น้ำผู้มาใหม่ ฉันจึงปั่นจักรยานหลายชั่วโมงเพื่อไปที่นั่น ร่างกายของฉันทนทุกข์ในระดับหนึ่ง แต่ฉันคิดว่าความทุกข์นี้คุ้มค่าตราบใดที่ฉันได้รับ การดูแลและพระพรจากพระเจ้า
ในเดือนเมษายน ปี 2020 ฉันไปปฏิบัติหน้าที่ไกลบ้าน เที่ยงวันหนึ่ง อยู่ๆ ฉันรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วและแรง แน่นหน้าอกมาก จนหายใจไม่ออก แล้วฉันก็เริ่มสั่นและรู้สึกอ่อนแรง ฉันแทบจะจับตะเกียบที่ใช้กินมื้อเที่ยงไม่ได้ ฉันรู้สึกไม่สบายตัว แต่ฉันก็ไม่กังวลอะไรมาก ฉันคิดว่า “ฉันมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจมาตลอดตั้งแต่เด็ก ฉันมีอาการใจสั่นเมื่อฉันเหนื่อย แต่นั่นก็ไม่เคยเป็นปัญหาใหญ่ ดังนั้นครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ และร่างกายกับสุขภาพของฉันก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ตราบใดที่ฉันยังคงมั่นคงในหน้าที่ พระเจ้าจะทรงคุ้มครองฉันและทรงทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับฉันอย่างแน่นอน” คืนนั้น ฉันรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ไม่กี่วันหลังจากนั้น ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าและวางความเจ็บป่วยของฉันไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ฉันจะมีอาการใจสั่นและรู้สึกอ่อนล้าหากฉันพูดเยอะเกินไป แต่ฉันยังสามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำและทำหน้าที่ของฉันต่อไป ฉันคิดว่าพระเจ้าอาจจะกำลังทดสอบฉันอยู่ด้วยสถานการณ์นี้ และตราบใดที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ของฉันมากขึ้น พระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อฉันด้วยพระคุณ และฉันจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ที่น่าประหลาดใจคือ หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็เกิดอาการอีกครั้ง ขณะที่ฉันกำลังทานมื้อเย็น อยู่ๆ ฉันก็เริ่มมีอาการใจสั่น มือของฉันเริ่มสั่น และฉันก็คีบอาหารด้วยตะเกียบไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นาน ตัวฉันก็เริ่มสั่น และหัวใจก็เต้นระรัวตลอดเวลา หน้าของฉันเริ่มแดง มือเท้าเย็นและชา และฉันก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ฉันเริ่มหอบ และรู้สึกหายใจไม่ออกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันกลัวว่าจะหายใจต่อไม่ได้ ฉันเลยอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างต่อเนื่องว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ยังไม่อยากสิ้นใจ โปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดด้วยเถิด” พี่น้องหญิงคนหนึ่งเริ่มกดจุดฝังเข็มใช้ในยามฉุกเฉินและให้ฉันทานยาฉุกเฉิน หลังจากนั้นประมาณสิบนาที ตัวฉันก็หายกระตุก แต่ฉันรู้สึกอ่อนแรงมากและพูดลำบาก พี่น้องหญิงคนนั้นพาฉันไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจเช็ค และคุณหมอบอกว่าฉันเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เมื่อฉันอายุมากขึ้น ของเสียสะสมในเลือดและหลอดเลือดอุดตันมากขึ้น หัวใจของฉันจะทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดให้เพียงพอ และอาการของฉันก็จะแย่ลงเรื่อยๆ ไม่มียารักษาอาการเจ็บป่วยของฉัน และสิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือทานยาสมุนไพรจีนบางตัวและพักผ่อนให้มากขึ้น ถ้าไม่มีอาการอื่นอีก ฉันก็จะไม่เป็นไร แต่ถ้าอาการกำเริบอีก ก็อาจจะแย่มาก ถ้าอาการกำเริบบ่อยๆ ฉันก็จะอยู่ในสภาพที่แย่มาก และเลวร้ายที่สุดก็อาจต้องได้รับการผ่าตัด ฉันอดกังวลไม่ได้ คิดว่า “ฉันทำหน้าที่ของฉันสม่ำเสมออย่างกระตือรือร้น แล้วทำไมพระเจ้าถึงไม่ทรงคุ้มครองฉัน? ทำไมอาการของฉันถึงแย่ลง?” ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ และสุขภาพของข้าพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ขอกลับมาแข็งแรงเหมือนคนสุขภาพดีปกติทั่วไป และไม่เป็นไรหากข้าพระองค์จะอ่อนแอ่ลงเล็กน้อย ขอเพียงข้าพระองค์ไม่มีอาการกำเริบและค่อยๆ ดีขึ้นได้ ร่างกายของข้าพระองค์ไม่อาจทนต่ออาการกำเริบเหล่านี้ได้ทั้งหมด หากสุขภาพของข้าพระองค์ไม่ดีจริงๆ ข้าพระองค์จะทำเช่นใด?” หลังจากนั้น แม้ว่าฉันกำลังทานยาอยู่ก็ตาม ฉันก็กังวลตลอดว่าฉันจะมีอาการอีก และก็จะอธิษฐานถึงพระเจ้าทุกวันเกี่ยวกับสุขภาพของฉัน แต่ฉันก็ยังคงมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจอยู่อีกบ่อยครั้ง ฉันจะรู้สึกดีอยู่สองสามวัน แล้วอยู่ๆ ก็มีอาการอีก ซึ่งหลังจากนั้นฉันก็จะรู้สึกค่อนข้างอ่อนแรง เมื่อเห็นว่าสุขภาพของฉันย่ำแย่ คริสตจักรจึงให้ฉันกลับบ้านเพื่อพักผ่อน และทำหน้าที่อะไรก็ตามที่ฉันสามารถพอทำได้
ขณะอยู่ที่บ้าน สุขภาพของฉันไม่ดีขึ้นแม้ว่าจะทานสมุนไพรก็ตาม ฉันยังคงมีอาการใจสั่นและชาที่มืออยู่ จากนั้นก็มีอาการกระตุกทั้งตัวและหายใจลำบากร่วมด้วย แน่นหน้าอกมาก จนรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก ยาฉุกเฉินที่ฉันทานสามารถบรรเทาอาการได้ชั่วคราว แต่อาการก็กลับมาอีกเสมอ ขณะที่ฉันป่วย แม้แต่การพลิกตัวบนเตียงก็ทำให้ฉันเหนื่อยมากจนมีอาการใจสั่น ในหนึ่งวันฉันจะนอนอยู่บนเตียงครึ่งวันหรือนานกว่านั้น ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวและหมดหนทางเหลือเกิน น้ำตาไหลลงมาเป็นทางไม่หยุดหย่อน แล้วคำพร่ำบ่นและความเข้าใจผิดต่างๆ ก็จะค่อยๆ ผุดขึ้นมาในใจของฉัน ฉันไม่เคยเห็นใครมีอาการเกี่ยวกับหัวใจซ้ำๆ บ่อยขนาดนี้มาก่อน ฉันอ่อนแออยู่แล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันจะรอดเหรอ? ครอบครัวของฉันไม่มีเงินจ่ายค่าผ่าตัดให้ฉัน แล้วฉันควรต้องสู้ทนต่อไปอีกใช่ไหม? ฉันอายุเพียง 20 ต้นๆ เท่านั้น ฉันจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือไปกับอาการกำเริบอยู่เรื่อยๆ และแทบจะพิการอย่างนั้นเหรอ? บางทีวันหนึ่งฉันอาจจะล้มลงและตายไปเลยก็ได้ “ข้าแต่พระเจ้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าพระองค์เลิกไปเรียนและพลีอุทิศวัยเยาว์ของข้าพระองค์เพื่อติดตามพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ได้ขออะไรอื่นอีก ข้าพระองค์ปรารถนาเพียงแค่ให้พระองค์ทรงคุ้มครองข้าพระองค์ให้อยู่รอดปลอดภัย แล้วเหตุใดอาการของข้าพระองค์ถึงแย่ลง? แม้ล้มป่วยลงแล้ว ข้าพระองค์ก็ยังทำหน้าที่ต่อ เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงคุ้มครองข้าพระองค์เล่า? แล้วเมื่อไหร่ข้าพระองค์จะดีขึ้น?” ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกไม่ยุติธรรมและเศร้าใจมากขึ้น และฉันมักจะนอนร้องไห้บนเตียง ฉันมักจะซื้อยาที่ฉันได้ยินมาว่ามีประโยชน์ต่อโรคหัวใจ ฉันใช้เฉพาะยาจีนเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของยาแผนปัจจุบัน แต่พอทานสมุนไพรไปซักพัก ฉันก็ยังไม่ดีขึ้นเลย ฉันมักจะจมอยู่กับความคิดลบ พี่น้องชายหญิงบางคนเห็นสิ่งที่ฉันกำลังเผชิญอยู่ ก็สามัคคีธรรมถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้ากับฉัน บอกฉันว่าฉันควรเรียนรู้จากสถานการณ์นี้และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน บางคนก็จะหาวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์เกี่ยวกับการเผชิญกับความเจ็บป่วยมาให้ฉันดูด้วย สิ่งนี้มีผลกระทบต่อฉันเล็กน้อย: “ฉันไม่ได้แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าในความเจ็บป่วยของฉัน และมีแต่พร่ำบ่นแทนที่จะได้รับความจริง คำพยานของฉันอยู่ไหน? ฉันต้องเลิกเป็นคนที่เสื่อมทรามมากขนาดนี้ และเริ่มแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของฉัน” พอตระหนักเช่นนี้แล้ว ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์เข้าใจในทางทฤษฎีว่าเจตนารมณ์อันดีของพระองค์อยู่เบื้องหลังความเจ็บป่วยของข้าพระองค์ และทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำนั้นดี แต่อาการกำเริบต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้กำลังทำให้เนื้อหนังของข้าพระองค์ทนทุกข์อย่างหนัก ข้าพระองค์รู้สึกทุกข์ใจและคิดลบยิ่งนัก ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทราบว่าข้าพระองค์อยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่ และข้าพระองค์เต็มใจที่จะหันไปหาพระองค์และเลิกคิดลบ โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงชี้แนะข้าพระองค์ให้เข้าใจตัวข้าพระองค์เองอย่างแท้จริง และทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากสภาวะอันเป็นลบนี้ด้วยเถิด”
หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มมองหาพระวจนะของพระเจ้าบทตอนที่เกี่ยวข้องกับสภาวะของฉัน วันหนึ่ง ฉันได้พบบทตอนนี้ “‘การเชื่อในพระเจ้า’ หมายถึงการเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง นี่เป็นมโนทัศน์ที่เรียบง่ายที่สุดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น การเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่งไม่เหมือนกับการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ตรงกันข้าม มันเป็นความเชื่อที่เรียบง่ายประเภทหนึ่งซึ่งมีนัยแฝงทางศาสนาที่รุนแรง ความเชื่อแท้จริงในพระเจ้าหมายถึงสิ่งต่อไปนี้คือ บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่าพระเจ้าทรงครองอำนาจอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง คนเรามีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ ลบล้างอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของคนเรา สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า และมารู้จักพระเจ้า มีเพียงการเดินทางแบบนี้เท่านั้นที่อาจถูกเรียกว่า ‘ความเชื่อในพระเจ้า’ กระนั้นผู้คนมักเห็นว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องเรียบง่ายและไร้สาระ ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ได้สูญเสียความหมายของความเชื่อในพระเจ้าไปแล้ว และแม้ว่าพวกเขาอาจจะยังเชื่อต่อไปจวบจนวาระสุดท้าย แต่พวกเขาจะไม่มีวันได้รับการเห็นชอบของพระเจ้า เพราะพวกเขาก้าวย่างไปบนเส้นทางที่ผิด ณ วันนี้ ยังมีพวกที่เชื่อในพระเจ้าตามคำพูดและคำสอนที่กลวงเป็นโพรง พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาขาดแก่นแท้ของการเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาไม่สามารถได้รับการเห็นชอบของพระเจ้า พวกเขายังคงอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อขอพรแห่งความปลอดภัยและพระคุณที่เพียงพอ พวกเราจงมาหยุดนิ่ง สงบใจและถามตัวเองว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดบนแผ่นดินโลกอย่างแท้จริง? เป็นไปได้หรือไม่ที่การเชื่อในพระเจ้าไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าการได้รับพระคุณมากมายจากพระเจ้า? ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าโดยที่ไม่รู้จักพระองค์ หรือเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงต่อต้านพระองค์ จะสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้จริงหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) พระเจ้าตรัสว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดบนแผ่นดินโลกอย่างแท้จริง? เป็นไปได้หรือไม่ที่การเชื่อในพระเจ้าไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าการได้รับพระคุณมากมายจากพระเจ้า? ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าโดยที่ไม่รู้จักพระองค์ หรือเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงต่อต้านพระองค์ จะสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้จริงหรือ?” คำถามของพระเจ้าแต่ละข้อทำให้ฉันรู้สึกละอายใจมาก แม้ว่าฉันเชื่อในพระเจ้ามานานมากแล้ว ฉันกลับไม่รู้ว่าความเชื่อที่แท้จริงคืออะไร พระเจ้าตรัสว่าความเชื่อที่แท้จริงอาศัยการมีประสบการณ์กับพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้า นบนอบแต่ละสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม และแสวงหาความจริงและเจตนารมณ์ของพระองค์ในสถานการณ์นั้นๆ ทบทวนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและความไม่บริสุทธิ์ในความเชื่อของตน เพื่อบรรลุความเข้าใจความจริงและความรู้เรื่องพระเจ้า และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ความเชื่อแบบนี้เท่านั้นที่จะสามารถได้รับคำยกย่องชมเชยของพระเจ้า หากผู้คนเพียงแต่ปรารถนาที่จะรับพระคุณและพระพรจากพระเจ้าเท่านั้น แต่ไม่แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์อันไม่พึงปรารถนา และไม่มีประสบการณ์กับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า ถ้าอย่างนั้น นี่ก็เป็นความเชื่อในนามเพียงอย่างเดียว เป็นความเชื่อทางศาสนา พระเจ้าทรงไม่ยอมรับความเชื่อเช่นนั้น พระเจ้าทรงทำพระราชกิจแห่งการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุงในยุคสุดท้าย มีเพียงการมีประสบการณ์กับการพิพากษาตามพระวจนะของพระเจ้า การได้รับการทดสอบด้วยสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียง การแสวงหาความจริง และการรู้จักตนเองและพระเจ้าผ่านทางสิ่งเหล่านี้เท่านั้น ที่จะทำให้ชีวิตของตนก้าวหน้า ฉันนึกถึงพี่น้องชายหญิงบางคนที่ป่วยหนักกว่าฉัน และถึงขั้นโรงพยาบาลวินิจฉัยว่ารักษาไม่หาย แต่พวกเขายังคงแสวงหาความจริงผ่านความเจ็บป่วยของตน ได้รับความรู้เกี่ยวกับความเสื่อมทรามของตน แก้ไขทัศนคติผิดๆ ของตนเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าให้ถูกต้อง และมีความก้าวหน้าบ้าง แม้ฉันอ้างว่าเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว และมักจะสามัคคีธรรมกับผู้อื่นเรื่องความจำเป็นที่ต้องมีประสบการณ์กับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าในความเชื่อก็ตาม แต่ตอนที่ฉันล้มป่วยเสียเอง ฉันกลับไม่ได้แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า และดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะอันเป็นลบ ซึ่งฉันไม่สามารถหนึได้พ้น ดังนั้นหลังจากที่ล้มป่วย ฉันจึงไม่ได้รับความจริงเลย ฉันตระหนักว่า ฉันไม่ได้กำลังทนทุกข์เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงไว้ แต่เพราะฉันไม่ได้แสวงหาความจริง ในเมื่อฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันจึงควรนบนอบ แสวงหาความจริงผ่านความเจ็บป่วยของฉันและตั้งมั่นในคำพยานของตนเพื่อสนองพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่ฉันควรจะมี เมื่อตระหนักถึงทั้งหมดนี้ ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับความเจ็บป่วยของข้าพระองค์ก็ตาม ข้าพระองค์เต็มใจที่จะนบนอบและมุ่งเน้นในการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของข้าพระองค์”
ต่อมา ฉันเจอพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “จากเวลาที่มนุษย์ได้เริ่มเชื่อในพระเจ้านั้น เขาได้พิจารณาว่าพระเจ้าทรงเป็นความอุดมสมบูรณ์ เป็นมีดพับสวิส และเขาได้พิจารณาตัวเขาเองว่าเป็นเจ้าหนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า ราวกับว่าการพยายามได้รับพรและสัญญาจากพระเจ้านั้นเป็นสิทธิ์และภาระผูกพันประจำตัวของเขา ในขณะที่หน้าที่รับผิดชอบของพระเจ้าคือการคุ้มครองปกป้องและดูแลมนุษย์ และการจัดเตรียมให้กับเขา เช่นนั้นเองคือความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ ‘การเชื่อในพระเจ้า’ ของพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่เชื่อในพระเจ้า และเช่นนั้นคือความเข้าใจส่วนลึกที่สุดของพวกเขาเกี่ยวกับมโนทัศน์แห่งการเชื่อในพระเจ้า จากแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ไปจนถึงการไล่ตามเสาะหาในใจของเขา ไม่มีสิ่งใดที่สัมพันธ์กับความยำเกรงพระเจ้าเลย จุดมุ่งหมายของมนุษย์ในการเชื่อในพระเจ้าไม่สามารถเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์ไม่เคยได้พิจารณาหรือเข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าจำเป็นต้องมีการยำเกรงและการนมัสการพระเจ้า เนื่องจากสภาพเงื่อนไขเช่นนั้น เนื้อแท้ของมนุษย์ก็ชัดแจ้ง เนื้อแท้นี้คือสิ่งใด? มันก็คือหัวใจของมนุษย์นั้นมุ่งร้าย เก็บงำการทรยศหักหลังและการหลอกลวง ไม่รักความยุติธรรมและความชอบธรรมและสิ่งที่เป็นเชิงบวก และมันน่าเหยียดหยามและโลภมาก หัวใจของมนุษย์ไม่สามารถใกล้ชิดกับพระเจ้าได้มากขึ้น เขาไม่ได้มอบมันให้แก่พระเจ้าเลย พระเจ้าไม่เคยทรงมองเห็นหัวใจที่แท้จริงของมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่เคยได้รับการนมัสการโดยมนุษย์ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงจ่ายราคาที่ยิ่งใหญ่เพียงใด หรือพระองค์ทรงพระราชกิจมากเพียงใด หรือพระองค์ทรงจัดเตรียมให้มนุษย์มากเพียงใด มนุษย์ยังคงมืดบอดและไม่แยแสอย่างสิ้นเชิงต่อการนั้นทั้งหมด มนุษย์ไม่เคยได้มอบหัวใจของเขาแด่พระเจ้า เขาเพียงต้องการที่จะเอาใจใส่หัวใจของเขาด้วยตัวเอง ที่จะทำการตัดสินใจของเขาเองเท่านั้น—ซึ่งความนัยก็คือว่ามนุษย์ไม่ต้องการที่จะติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว หรือนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า อีกทั้งเขาไม่ต้องการนมัสการพระเจ้าในฐานะพระเจ้า เช่นนั้นคือสภาวะของมนุษย์ในปัจจุบัน บัดนี้พวกเรามาดูที่โยบกันอีกครั้งเถิด ก่อนอื่น เขาเคยทำข้อตกลงกับพระเจ้าหรือไม่? เขามีแรงจูงใจแฝงในการยึดมั่นกับหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่? ในเวลานั้น พระเจ้าเคยตรัสถึงบทอวสานที่จะมาถึงหรือไม่? ในเวลานั้นพระเจ้าไม่ได้ทรงทำพระสัญญาต่อผู้ใดเกี่ยวกับบทอวสาน และมันขัดแย้งกับภูมิหลังที่โยบสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ผู้คนของวันนี้ได้ยืนขึ้นเพื่อการเปรียบเทียบกับโยบหรือไม่? มีความต่างมากเกินไป พวกเขาอยู่ในกลุ่มที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าโยบไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้ามากนัก เขาได้มอบหัวใจของเขาแด่พระเจ้าและมันเป็นของพระเจ้า เขาไม่เคยทำข้อตกลงกับพระเจ้า และไม่มีความอยากได้อยากมีหรือข้อเรียกร้องที่ฟุ่มเฟือยต่อพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาเชื่อว่า ‘พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย’ นี่เป็นสิ่งที่เขาได้มองเห็นและได้รับจากการยึดมั่นกับหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วในช่วงระหว่างหลายปีของชีวิต ในทำนองเดียวกันนั้น เขายังได้รับบทอวสานที่ได้ถูกแสดงแทนไว้ในพระวจนะเหล่านี้ด้วย นั่นคือ ‘เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?’ สองประโยคนี้เป็นสิ่งที่เขาได้เห็นและได้มารู้ว่าเป็นผลจากท่าทีที่เขานบนอบพระเจ้าระหว่างที่เขามีประสบการณ์ชีวิต และสองประโยคนี้ยังเป็นอาวุธที่ทรงพลังมากที่สุดของเขาที่เขาใช้เพื่อมีชัยชนะในช่วงระหว่างการทดลองของซาตานด้วยเช่นกัน และสองประโยคนั้นยังเป็นรากฐานแห่งการตั้งมั่นของเขาในคำพยานต่อพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2) พระเจ้าทรงเปิดโปงทัศนะของผู้คนเกี่ยวกับความเชื่อโดยสมบูรณ์ ผู้คนไม่ปฏิบัติต่อพระเจ้าเหมือนเป็นพระเจ้า แต่กลับเหมือนเป็นกรวยแห่งความอุดมสมบูรณ์ หรือมีดพับสารพัดประโยชน์ พวกเขาเห็นตัวเองเหมือนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของพระเจ้า และพวกเขาพยายามที่จะรีดเค้นพระคุณจากพระองค์อย่างละโมบ ความเชื่อแบบนี้ไม่บริสุทธิ์และเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ และไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย พระเจ้าตรัสได้ตรงกับสภาวะปัจจุบันของฉัน ตอนที่ครอบครัวของฉันกำลังเผชิญความยากลำบากและไม่รู้จะหันไปทางไหน ฉันมีประสบการณ์กับพระพรและพระคุณของพระเจ้า ฉันจึงคิดว่าพระเจ้าจะทรงทำให้แน่ใจว่าฉันกับแม่ดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขและไร้ปัญหา ฉันคิดว่าความเชื่อในพระเจ้าจะให้ภูมิคุ้มกันจากความยากลำบากอย่างครบถ้วนแก่ฉันไปตลอดชีวิต หากเกิดอะไรขึ้น พระเจ้าจะทรงคุ้มครองฉันและทรงรับผิดชอบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของฉัน ในช่วงหลายปีนั้น ฉันมีความคิดเพ้อฝันแบบนี้ในระหว่างการไล่ตามเสาะหาของฉัน และการบรรลุผลของพระคุณและพระพรของพระเจ้าก็เป็นแรงกระตุ้นให้ฉันละทิ้งทุกอย่างเพื่อทำหน้าที่ของฉัน พอฉันล้มป่วยแล้วพระเจ้าไม่ได้รักษาฉัน ฉันก็เปลี่ยนทันที เหมือนกับว่าความหวังของฉันที่ยึดถือไว้มานานถูกบดขยี้ ฉันเริ่มโต้เถียงกับพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันได้ละทิ้งและสละไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฉันถามพระเจ้าถึงเหตุที่พระองค์ทรงปฏิบัติกับฉันเช่นนั้น และไม่เต็มใจที่จะอธิษฐานหรืออ่านพระวจนะของพระองค์ด้วยซ้ำ ฉันดำเนินชีวิตในสภาวะอันเป็นลบและเป็นกบฏ ในหลายปีนั้น พระเจ้าทรงคุ้มครองและทรงดูแลฉัน ทรงประทานพระคุณและพระพรทางวัตถุแก่ฉัน เพราะทรงสงสารวุฒิภาวะอันอ่อนด้อยของฉัน แต่ฉันกลับไม่สำนึกในพระคุณเลยแถมโลภมากขึ้นด้วยซ้ำ หลังจากสละเพียงเล็กน้อย ฉันก็เรียกร้องพระเจ้าให้คุ้มครองฉันไปตลอดชีวิต และเมื่อพระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้น ฉันก็กลายเป็นโกรธพระองค์ ฉันช่างไร้ยางอายและไร้เหตุผลเสียจริง! โยบไม่เคยมีข้อเรียกร้องใดๆ ต่อพระเจ้า เขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วไม่ว่าสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าทรงอวยพระพรเขา เขาก็ขอบคุณพระเจ้า แต่เมื่อสถานการณ์ของเขาเปลี่ยนไป และเขาสูญเสียทรัพย์สมบัติ ลูกๆ ของเขาถูกฆ่า และเขาก็มีฝีร้ายที่แสนจะเจ็บปวด เขายังคงมีความเชื่อในพระเจ้าและยำเกรงพระองค์ และไม่เคยบ่นพระเจ้าเลยแม้แต่คำเดียว เขายังสรรเสริญพระนามของพระเจ้าด้วยซ้ำ ไม่ว่าสถานการณ์ของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เขาสามารถยืนอยู่ในตำแหน่งของเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและนบนอบพระเจ้าได้ โยบเป็นผู้มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ความเป็นมนุษย์และเหตุผลของเขาทำให้ฉันรู้สึกละอายใจ ฉันไม่มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และเพียงแค่ปฏิบัติต่อพระองค์เฉกเช่นมีดพับสารพัดประโยชน์ ฉันอยากให้พระคุณและพระพรของพระเจ้าอยู่กับฉันตลอดเวลา ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันจะเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้! ฉันนึกถึงฝูงชนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงเลี้ยงด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวในยุคพระคุณ พวกเขาไม่สนใจคำเทศนาของพระองค์ แต่เพียงต้องการได้รับพระคุณ พระพร และสิทธิพิเศษจากพระองค์ พวกเขาเป็นเพียงผู้ที่ฉวยโอกาสและผู้ไม่เชื่อ ฉันเห็นว่าความโลภของฉันก็ไม่ต่างจากความโลภของฝูงชนที่ปรารถนาเพียงได้กินให้อิ่มท้องเท่านั้น ฉันช่างน่ารังเกียจมาก และทำให้พระเจ้าทรงรู้สึกขยะแขยงและไม่ชอบเป็นแน่แท้ ถ้าฉันยังคงเชื่อตามทัศนะอย่างนั้นต่อไป ฉันจะไม่มีวันได้รับความจริงและการช่วยให้รอดต่อให้ฉันจะเชื่อไปตลอดชีวิตก็ตาม ฉันเห็นว่าความเจ็บป่วยของฉันเป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่กว่าที่พระเจ้าทรงประทานแก่ฉัน ถ้าฉันไม่ได้ถูกเผยให้เห็นผ่านทางความเจ็บป่วยของฉัน ฉันก็คงดูไม่ออกว่าความอยากในพระพรของฉันนั้นแรงกล้าเพียงใด ฉันโลภและน่ารังเกียจเพียงใด แล้วโอกาสที่ฉันจะเปลี่ยนแปลงก็คงไม่มี พระเจ้าไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อฉันตามการกระทำของฉัน และถึงกับทรงช่วยเหลือฉันผ่านทางพี่น้องชายหญิง ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงชี้แนะฉันให้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ผ่านทางพระวจนะของพระองค์ ฉันรู้สึกละอายใจและรู้สึกผิด ไม่คู่ควรต่อความรักและการช่วยให้รอดของพระเจ้า ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าทั้งน้ำตาว่า “ข้าแต่พระเจ้า จากการถูกเผยผ่านความเจ็บป่วย ข้าพระองค์ได้เรียนรู้ว่าข้าพระองค์กำลังเอาแต่เรียกร้องพระคุณจากพระองค์เท่านั้นในช่วงหลายปีมานี้ และพอไม่ได้ก็พร่ำบ่น ข้าพระองค์เป็นหนี้พระองค์มากเหลือเกิน และไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้มีความเชื่อ ข้าพระองค์รู้ว่าตัวเองมีความเสื่อมทรามมากมาย และจำเป็นต้องให้ความเจ็บป่วยนี้ถลุงและชำระข้าพระองค์เองให้บริสุทธิ์ ต่อให้ข้าพระองค์ต้องอยู่กับความเจ็บป่วยนี้ไปตลอดชีวิตก็ตาม ข้าพระองค์ก็จะนบนอบและไม่พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระองค์อีกเลย” ที่น่าประหลาดใจก็คือ เมื่อท่าทีของฉันเปลี่ยนไป ร่างกายของฉันก็ฟื้นตัวทีละน้อย ฉันไม่มีอาการซ้ำๆ เช่นนั้นอีก และค่อยๆ สามารถเริ่มทำหน้าที่ของตัวเองได้
วันหนึ่ง ฉันเจอพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ที่ทำให้ฉันเข้าใจสภาวะของฉันมากขึ้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ไม่ว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับพวกเขามากมายเพียงใดก็ตาม คนจำพวกที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่เคยพยายามจัดการแก้ไขเรื่องเหล่านั้นด้วยการแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และยิ่งไม่พยายามมองสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า—ซึ่งล้วนเป็นเพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าทุกประโยคในพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่เปิดใจรับฟังอยู่ดี และดังนั้นจึงไม่มีท่าทีที่ถูกต้องไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญสถานการณ์เช่นใดก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเป็นหนทางที่พวกเขาเข้าหาพระเจ้าและความจริง ศัตรูของพระคริสต์ดื้อรั้นไม่ยอมวางมโนคติอันหลงผิดของตน พระเจ้าที่พวกเขาเชื่อจึงเป็นพระเจ้าที่กระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ เป็นพระเจ้าที่เหนือธรรมชาติ ใครก็ตามที่สามารถทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ได้—ไม่ว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม พระพุทธเจ้า หรือพระแม่มาจู่—พวกเขาก็เรียกว่าพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าบรรดาผู้ที่สามารถแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ทั้งหลายได้เท่านั้นที่เป็นพระเจ้าซึ่งมีอัตลักษณ์ของพระเจ้า และพวกที่ทำไม่ได้นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาแสดงความจริงมากมายเพียงใดก็ตาม ศัตรูของพระคริสต์ไม่เข้าใจว่าการแสดงความจริงคือมหาฤทธานุภาพและมหิทธานุภาพของพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับคิดว่าการแสดงหมายสำคัญกับการอัศจรรย์เท่านั้นที่เป็นมหาฤทธานุภาพและมหิทธานุภาพของบรรดาพระเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อคำนึงถึงการที่พระราชกิจอันสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์แสดงความจริงเพื่อพิชิตและช่วยมนุษย์ให้รอด การให้น้ำ การเลี้ยง และการนำทางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร การทำให้พวกเขาสามารถรับประสบการณ์กับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุงของพระเจ้าตามจริง และมาเข้าใจความจริง ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และกลายเป็นผู้คนที่นบนอบและนมัสการพระเจ้า และอื่นๆ แล้ว—พวกศัตรูของพระคริสต์ถือว่าทั้งหมดนี้เป็นงานของมนุษย์ และไม่ใช่ของพระเจ้า ในความรู้สึกนึกคิดของศัตรูของพระคริสต์ พระเจ้าทั้งหลายควรเร้นกายอยู่หลังแท่นบูชา ให้ผู้คนถวายของแก่ตน กินอาหารที่ผู้คนถวาย สูดควันกำยานที่พวกเขาจุดให้ ยื่นมือออกมาช่วยเหลือในเวลาที่พวกเขาเดือดร้อน แสดงตนว่ามีฤทธานุภาพอย่างมากและให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาทันทีภายในขอบเขตของสิ่งที่พวกเขาเข้าใจได้ และสนองความต้องการของพวกเขาในเวลาที่ผู้คนร้องขอความช่วยเหลือและจริงจังตั้งใจในคำวิงวอนของตน สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว พระเจ้าแบบนี้เท่านั้นคือพระเจ้าที่แท้จริง ในขณะเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำในวันนี้กลับเผชิญกับการดูถูกของพวกศัตรูพระคริสต์ แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เมื่อตัดสินตามแก่นแท้ธรรมชาติของพวกศัตรูพระคริสต์แล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่พระราชกิจของการให้น้ำ การเป็นผู้เลี้ยง และการช่วยให้รอดซึ่งพระผู้สร้างทรงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่เป็นความเจริญรุ่งเรืองและการลุล่วงความทะยานอยากของตนในทุกสิ่ง การไม่ถูกลงโทษในชีวิตนี้ และการไปสวรรค์ในโลกที่จะมาถึง มุมมองและความต้องการของพวกเขายืนยันแก่นแท้ของพวกเขาที่เกลียดชังความจริง” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบห้า: พวกเขาไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า และพวกเขาไม่ยอมรับแก่นแท้ของพระคริสต์ (ภาคที่หนึ่ง)) เมื่อฉันอ่านบทตอนนี้ครั้งแรก ฉันก็ตกใจเล็กน้อย นี่เป็นการอธิบายที่ตรงกับสภาวะปัจจุบันของฉันเลยไม่ใช่เหรอ? ก่อนหน้านี้ ฉันรู้เพียงว่ามุมมองของฉันต่อการไล่ตามเสาะหาในความเชื่อของฉันนั้นผิด แต่หลังจากอ่านบทตอนนี้แล้วฉันตระหนักว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันได้เชื่อในพระเจ้าจากมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของฉัน ในอดีต ฉันได้ชื่นชมกับพระคุณของพระเจ้ามากมายและเป็นพยานให้กิจการของพระองค์บางส่วน นี่คือการที่พระเจ้าทรงกรุณาและทรงคุ้มครองเรา และการที่พระองค์ทรงเปิดทางให้แก่เราตรงตามปัญหาของเรา ทำให้เราดำเนินชีวิตเป็นปกติและมีสถานการณ์ที่เหมาะสมเพื่อติดตามพระองค์ เมื่อฉันค่อยๆ เริ่มเข้าใจความจริงบางประการ พระเจ้าจะทรงจัดวางเรียบเรียงสถานการณ์ที่เหมาะสมเพื่อชำระฉันให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลงฉันตามสิ่งที่จำเป็นในชีวิตของฉัน และจะทรงอนุญาตให้ฉันได้รับความรู้เรื่องพระองค์ นี่คือวิธีหนึ่งที่พระเจ้าทรงช่วยมนุษยชาติให้รอด แต่หลังจากเพลิดเพลินกับพระคุณของพระเจ้ามากมาย ฉันกลับตีกรอบพระองค์ในมโนคติอันหลงผิดของฉัน เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงประทานพระคุณและพระพร เมื่อสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำไม่สอดคล้องกับความคาดหวัง ฉันก็ตัดสินพระองค์ตามมโนคติอันหลงผิดของฉัน เชื่อว่าพระองค์ทรงควรคุ้มครองฉันและไม่ทรงปล่อยให้ฉันป่วยหนัก ฉันยอมรับพระนามของพระเจ้าในคำพูด แต่ฉันกลับเชื่อในพระเจ้าที่คลุมเครือจากมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของฉัน นี่คือการหมิ่นประมาทพระเจ้า พอตระหนักเช่นนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกตกใจกลัว และเห็นมากยิ่งขึ้นว่าความเจ็บป่วยนี้เป็นพระคุณอย่างหนึ่งสำหรับฉัน ช่วยให้ฉันแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของฉันเกี่ยวกับพระเจ้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความรักและการช่วยให้รอดของพระเจ้า ฉันรีบอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อกลับใจ
ความเจ็บป่วยของฉันไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่เป็นโรคเรื้อรังและไม่สามารถคาดเดาได้ ฉันจึงจำเป็นต้องแสวงหาเส้นทางการเข้าสู่ ต่อมา ฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนเหล่านี้ที่ว่า “เจ้าอาจคิดว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นเกี่ยวกับความทุกข์ หรือการทำสิ่งทั้งหลายในทุกลักษณะเพื่อพระองค์ เจ้าอาจคิดว่าจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าคือเพื่อที่เนื้อหนังของเจ้าอาจอยู่ในสันติสุข หรือเพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเจ้าดำเนินไปอย่างราบรื่น หรือเพื่อที่เจ้าอาจรู้สึกชูใจและสบายใจในทุกสรรพสิ่ง อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์เหล่านี้ไม่มีจุดประสงค์ใดเลยที่ผู้คนควรยึดติดไปกับการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา หากเจ้าเชื่อเพราะจุดประสงค์เหล่านี้ เช่นนั้นแล้วมุมมองของเจ้าก็ไม่ถูกต้อง และมันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เจ้าจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม การกระทำของพระเจ้า อุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พระปรีชาญาณของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ และความน่าอัศจรรย์กับความมิอาจหยั่งลึกได้ของพระองค์ ทั้งหมดเป็นสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนควรจะเข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจนี้ เจ้าควรใช้มันเพื่อปลดปล่อยหัวใจของเจ้าให้เป็นอิสระจากข้อเรียกร้อง ความหวัง และมโนคติที่หลงผิดส่วนตัวทั้งหมด โดยการกำจัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปเท่านั้น เจ้าจึงสามารถประจวบพ้องกับสภาพเงื่อนไขที่พระเจ้าทรงเรียกร้องได้ และโดยการทำสิ่งนี้เท่านั้นนั่นเอง เจ้าจึงสามารถมีชีวิตและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าคือการทำให้พระองค์พึงพอพระทัยและใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ เพื่อที่การกระทำและพระสิริของพระองค์อาจได้รับการสำแดงโดยผ่านทางผู้คนที่ไม่ควรค่ากลุ่มนี้ นี่คือมุมมองที่ถูกต้องสำหรับการเชื่อในพระเจ้า และนี่ก็เป็นเป้าหมายที่เจ้าควรแสวงหาอีกด้วย เจ้าควรมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าและเจ้าควรพยายามให้ได้มาซึ่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจำเป็นต้องกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและเจ้าต้องมีความสามารถที่จะดำเนินชีวิตตามความจริงได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าต้องมีความสามารถที่จะมองเห็นกิจการที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ กิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ทั่วทั้งจักรวาล ตลอดจนพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พระองค์ทรงทำในเนื้อหนังได้ ผู้คนสามารถซาบซึ้งได้ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ในตัวพวกเขาอย่างไรกันแน่และสิ่งใดคือเจตนารมณ์ที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาโดยผ่านทางประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพวกเขา จุดประสงค์ของการนี้ทั้งหมดคือการกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของผู้คนทิ้งไป… เฉพาะผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แสวงหาความรู้เรื่องพระเจ้า และไล่ตามเสาะหาชีวิตอย่างแท้จริงเท่านั้นคือบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) “เจ้าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า และดังนั้นแล้วเจ้าต้องมีหัวใจที่รักพระเจ้า เจ้าต้องรักพระเจ้า เจ้าต้องทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เจ้าต้องพยายามสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเจ้าต้องลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เนื่องจากเจ้าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า เจ้าควรถวายทุกสิ่งทุกอย่างแด่พระองค์ และไม่ควรตัดสินใจเลือกหรือทำการเรียกร้องเป็นการส่วนตัว และเจ้าควรสัมฤทธิ์การสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า เนื่องจากเจ้าได้ถูกสร้างขึ้น เจ้าควรนบนอบต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้ทรงสร้างเจ้า เพราะโดยธรรมชาติแล้วเจ้าไม่มีอำนาจครอบครองเหนือตัวเอง และไม่สามารถควบคุมชะตาลิขิตของเจ้าเอง เนื่องจากเจ้าเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งเชื่อในพระเจ้า เจ้าควรแสวงหาความบริสุทธิ์และการเปลี่ยนแปลง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้รับความเข้าใจในพระประสงค์ของพระองค์ขึ้นมาบ้าง ในความเชื่อของเรา เราไม่ควรแสวงหาพระพรและสันติสุข แต่ควรยืนอยู่ในตำแหน่งของเราในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเพื่อมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า เข้าใจถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและอุปนิสัยของพระองค์ผ่านทางสถานการณ์ต่างๆ อีกทั้งคิดทบทวนและรู้จักตัวเราเอง และขัดขืนต่อความอยากได้อยากมีในพระพรและความไม่บริสุทธิ์ของเราผ่านสถานการณ์ดังกล่าว การกระทำเช่นนี้เท่านั้นที่จะทำให้เราเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยได้สำเร็จและได้รับความรอด ในอดีต ความเชื่อของฉันขึ้นอยู่กับการได้รับพระคุณ ดังนั้นแม้ว่าจะป่วยมานานมาก ฉันกลับไม่เคยแสวงหาความจริง และชีวิตของฉันต้องทนทุกข์กับความสูญเสีย เมื่อฉันนบนอบ แสวงหาความจริง และเริ่มมีประสบการณ์กับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า ฉันเริ่มรู้สึกถึงเจตนารมณ์อันดีของพระเจ้า เนื้อหนังของฉันทนทุกข์อยู่ระดับหนึ่ง แต่สถานการณ์นี้ทำให้ทัศนะผิดๆ ของฉันเกี่ยวกับความเชื่อได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง และทำให้ฉันดูเจตนาอันน่าดูถูกในความเชื่อของฉันออก และแก้ไขเจตนาเหล่านั้นให้ถูกต้องอย่างทันท่วงที นี่เป็นตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าของพระกรุณาและความรักของพระเจ้า ยิ่งใหญ่กว่าพระคุณและพระพรที่พระองค์ทรงประทานแก่เนื้อหนังของฉันเสียอีก ฉันยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และบางครั้งก็มีอาการซ้ำอีก ฉันไม่สามารถพึงพอใจได้เพียงแค่นบนอบและไม่บ่นเกี่ยวกับพระเจ้า ฉันต้องแสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์ต่อไป ทบทวนเรื่องความเสื่อมทรามที่ฉันเผยให้ออกมา ด้านต่างๆ ของตัวฉันที่พระเจ้ายังทรงเกลียดชัง และยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน นี่เป็นถนนที่ฉันต้องเดินทาง หลังจากตระหนักเช่นนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกห่างเหินจากพระเจ้าน้อยลง กลับมาจริงจังในหน้าที่ของฉันมากขึ้น เริ่มมุ่งเน้นไปที่การทบทวนปัญหาต่างๆ ในงานของฉัน ศึกษาหลักธรรมทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับด้านที่ฉันบกพร่อง และฉันก็เริ่มเห็นการปรับปรุงบางอย่างในทักษะที่ฉันเชี่ยวชาญ สุขภาพของฉันค่อยๆ เริ่มดีขึ้น และอาการที่เกิดซ้ำๆ ก็ลดน้อยลง ขอขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงชี้แนะฉันให้บรรลุความเข้าใจและการเปลี่ยนแปลงนี้
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย สี่ น่อ, ประเทศจีน เดือนสิงหาคม 2019 พี่ลิน ผู้นำของคริสตจักรหนึ่ง เขียนจดหมายลาออก ผู้นำฉันจัดการให้ฉันไปตรวจสอบที่คริสตจักรนี้...
โดย เสี่ยว ฉิง, ประเทศจีน ในฤดูร้อนปี 2016 ตอนนั้น ฉันเป็นผู้นำใหม่ในคริสตจักร วันหนึ่ง พี่หวังผู้นำระดับบนกว่ามาร่วมชุมนุมกับเรา...
โดย Melinda, USA ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2017 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ตอนที่ฉันเริ่มชุมนุมหรือหารือกับพี่น้องครั้งแรก...
โดยลอร์เรน ประเทศเกาหลีใต้ช่วงแรกที่ฉันได้รับมอบหมายงานข่าวประเสริฐในคริสตจักร ผลลัพธ์ไม่ค่อยดีนัก และนั่นทำให้ฉันวิตกกังวลมาก ช่วงนั้นเอง...