การเรียนรู้ที่จะเป็นพยานที่ดีขึ้น

วันที่ 29 เดือน 01 ปี 2022

โดย หม้อหราน, ประเทศจีน

เมื่อมิถุนายนปีก่อน ฉันถูกเลือกเป็นมัคนายกให้น้ำ ได้ดูแลการให้น้ำผู้ที่เพิ่งยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้าย ฉันคิดว่า “พระเจ้าทรงยกชูฉันด้วยหน้าที่ที่สำคัญขนาดนี้ ฉันจึงต้องทำหน้าที่ให้ดี และตอบแทนความรักของพระเจ้า” ในทีแรก ก็มีความลำบากมากมายในการทำงาน พี่น้องชายหญิงบางคนยุ่งกับงาน ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำ บ้างก็ถูกหลอกลวงโดยการใส่ร้ายทางศาสนาและของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ไม่เต็มใจจะเข้าร่วมการชุมนุม บ้างก็นิ่งเฉยและอ่อนแอเพราะถูกครอบครัวขัดขวาง ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ ฉันก็รู้สึกกดดันอย่างมาก เพื่อจะให้น้ำเหล่าพี่น้องชายหญิงได้ดี ให้พวกเขาสามารถเข้าใจความจริง และหยั่งรากในเส้นทางที่ถูกต้อง มีงานมากมายที่ต้องทำ ในช่วงนั้นฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า พึ่งพาพระเจ้า และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาและความลำบากของพวกเขา ผ่านไปสักพัก พี่น้องส่วนใหญ่ก็เข้าร่วมการชุมนุมตามปกติ บางคนรู้ความหมายของการทำหน้าที่ให้ลุล่วง พวกเขาก็เลยรับหน้าที่ พอฉันเห็นผลลัพธ์เช่นนี้ ฉันก็ดีใจมาก ฉันอดไม่ได้ที่จะชื่นชมตัวเอง “ต้องเป็นเพราะฉันทำงานนี้ได้ดี ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์จะออกมาดีขนาดนี้หรือ?” จากนั้นพอฉันได้ยินเหล่าพี่น้องชายหญิงพูดเรื่องสภาวะและความลำบาก ฉันเริ่มอวดตัว ว่าฉันเก่งกว่าและมีประสบการณ์มากกว่าพวกเขาโดยไม่รู้ตัว

มีครั้งหนึ่ง ในการชุมนุมกับพี่น้องหญิงบางคนที่เพิ่งเริ่มหน้าที่การให้น้ำ พวกเขาพูดขึ้นว่าผู้มาใหม่บางคน เผชิญการปราบปรามจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนและถูกจับกุม เลยรู้สึกคิดลบ อ่อนแอ ขี้ขลาดและหวาดกลัว พี่น้องหญิงเหล่านี้ไม่รู้ว่าจะสามัคคีธรรมเพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ฉันคิดว่า ในเมื่อฉันเพิ่งแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไปได้ไม่นาน และได้ผลลัพธ์อยู่บ้าง นี่เป็นโอกาสดีที่จะบอกพวกเขาว่า ฉันสามัคคีธรรมเรื่องความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาพวกนี้อย่างไร พวกเขาจะได้เห็นว่าฉันเข้าใจความจริงดีที่สุด ทำงานเก่งที่สุด ฉันเลยพูดอย่างมั่นใจว่า “เมื่อเร็วๆ นี้ฉันได้ให้น้ำพี่น้องชายหญิงสองสามคน ที่อยู่ในสภาวะเดียวกัน ในตอนนั้นฉันวิตกกังวลมาก เพื่อที่จะให้น้ำพวกเขาได้ดี ฉันจึงจัดการพบปะหลายครั้ง อ่านพระวจนะและสามัคคีธรรมเรื่องความจริง โดยมีเป้าหมายที่สภาวะของพวกเขา ฉันต้องขี่จักรยานไปกลับที่นั่นมากกว่า 50 กิโลเมตร หลังจากให้น้ำพวกเขาสักพัก พวกเขาก็ได้รับความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจ มหิทธานุภาพ และพระปัญญา พวกเขาเข้าใจว่าพระเจ้าใช้พญานาคใหญ่สีแดงเป็นตัวขับเน้นงานของพระองค์ จนพวกเขาเชื่อมั่นในพระเจ้า พวกเขาไม่รู้สึกว่าถูกการข่มเหงของพรรคฯ บีบอีก จนถึงกับอยากเป็นพยานยืนยันงานของพระเจ้า…” ขณะที่ฉันสามัคคีธรรม พี่น้องหญิงมองดูฉันเหมือนกับว่ามันจับใจพวกเขา ตอนที่พูดฉันรู้สึกอิ่มเอม และรู้สึกมีพลังมากขึ้น พอพูดจบ ก็มีน้องสาวพูดอย่างตื่นเต้นว่า “คุณมีประสบการณ์มากก็เลยเห็นปัญหาได้ชัดเจน ถ้าเป็นฉันคงสับสนไปหมดแล้ว” พี่น้องหญิงอีกคนก็พูดอย่างอิจฉาว่า “คุณแก้ไขปัญหาพวกนี้ได้ง่ายๆ เลย ถ้ามีประสบการณ์ดีๆ มากกว่านี้ก็สามัคคีธรรมกับเราอีกนะคะ เราจะได้เรียนรู้จากคุณ” พอได้ยินคำชมจากพวกเขา ฉันก็ดีใจมาก แม้ฉันจะพูดว่า ผลลัพธ์ของงานฉันเป็นการทรงนำของพระเจ้าทั้งหมด ไม่ใช่เพราะตัวฉันเอง แต่ในใจฉันก็รู้สึกว่า ฉันต้องทนทุกข์และยอมลำบากเพื่อผลลัพธ์เหล่านี้ จากนั้น ฉันก็ชอบอวดตัวยิ่งขึ้นอีก

ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง น้องสาวคนหนึ่งรู้สึกคิดลบ เพราะหน้าที่การให้น้ำของเธอไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดี เธอพูดถึงความลำบากมากมาย ฉันคิดว่า “ถ้าฉันบอกว่าฉันก็มีความลำบากแบบเดียวกัน คนอื่นจะนับถือฉันน้อยลงหรือเปล่า? ฉันรับผิดชอบงานของเธอ ฉันจะต้องเล่าถึงประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จของฉัน แสดงให้พวกเขาเห็นว่า ฉันสามัคคีธรรมเรื่องความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างไร เวลาเผชิญปัญหาและความลำบากต่างๆ เหล่านี้ แบบนั้น ฉันแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้ แถมพวกเขาจะยกย่องฉันมากขึ้น” เมื่อคิดแบบนี้ ฉันก็ไม่พูดถึงจุดอ่อนและข้อบกพร่องของฉัน แต่กลับคุยโวกับพวกเขาว่า ฉันทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิผลแค่ไหนแทน ฉันพูดว่า “ในช่วงนี้ ฉันให้น้ำและสนับสนุนพี่น้องชายหญิงห้าคน บางคนมีมโนคติอันหลงผิด บางคนอยากได้เงินทองและไม่เข้าร่วมการพบปะ และบางคนอ่อนแอคิดลบเนื่องจากปัญหาทางบ้าน ฉันไปหาพวกเขาทีละคน ได้เอาชนะความลำบากบางเรื่อง ได้แสวงหาพระวจนะมากมาย และสามัคคีธรรมกับแต่ละคนเพื่อแก้ไขปัญหา จนพวกเขาเข้าใจความจริงละทิ้งมโนคติอันหลงผิด เข้าร่วมพบปะเป็นประจำและเต็มใจรับหน้าที่ มีน้องชายคนหนึ่ง เป็นมืออาชีพที่มีความสามารถมาก ที่ไม่ค่อยมาชุมนุมเพราะไล่ตามเสาะหาสถานะและชื่อเสียงทางโลก ฉันมีความลำบากมากในการสนับสนุนเขา แต่ฉันพึ่งพาพระเจ้า อ่านพระวจนะให้เขาฟัง และสามัคคีธรรมเรื่องน้ำพระทัยของพระเจ้า สิ่งนี้ช่วยให้เขาเข้าใจคุณค่า ของการไล่ตามเสาะหาความจริงสำหรับผู้เชื่อในพระเจ้า ทำให้เขาเห็นว่าการไล่ตามเสาะหาความมีหน้ามีตาและสถานะนั้นว่างเปล่า และมีเพียงการติดตามพระเจ้าเขาถึงจะได้รับความจริงและชีวิต และถูกพระเจ้าช่วยให้รอด เขายังเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ให้ลุล่วง” หลังฉันสามัคคีธรรม ฉันก็เห็นสีหน้าเคารพเลื่อมใสของพี่น้องหญิง พวกเขาจดบทตอนของพระวจนะที่ฉันสามัคคีธรรม น้องสาวคนหนึ่งอุทานว่า “คุณใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของพวกเขา ช่วยให้พวกเขาเข้าใจน้ำพระทัย ติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วง คุณทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าคุณไม่มีความเป็นจริงทั้งหลายของความจริง” น้องสาวอีกคนก็พูดอย่างชื่นชมว่า “ถ้าฉันเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ คงแก้ปัญหาไม่ได้แน่ คุณมีประสบการณ์มากกว่า คุณเลยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ดีกว่าเรา” ตอนนั้นฉันเองก็รู้สึกได้ หลังการคุยกัน น้องสาวคนหนึ่งก็รู้สึกคิดลบเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าขีดความสามารถเธอต่ำ และเธอไม่สามารถใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของผู้มาใหม่ได้ ฉันคิดว่า “ฉันพูดถึงประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จของฉันมากไปหรือเปล่า? ปัญหาที่พวกเขาเจอ สำหรับฉันแล้วไม่ยุ่งยากและแก้ไขได้ง่ายๆ พวกเขาเลยรู้สึกไร้ความสามารถและนับถือฉัน และพึ่งพาฉันเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหมดของพวกเขางั้นหรือ?” ฉันนึกถึงผลเสียของความเลื่อมใสและการถูกเลื่อมใส แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ฉันบอกพวกเขาถึงประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของฉันเอง ดังนั้นคงไม่เป็นไร” ณ จุดนั้น ฉันไม่ได้ทบทวนตัวเอง จนเรื่องมันผ่านเลยไป ต่อมา ฉันไปเจอพี่น้องหญิงผู้ทำการให้น้ำสองคน เพื่อจะถามเกี่ยวกับงานของพวกเขา พอไปถึง พวกเขาคนหนึ่งก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า “คุณมาพอดีเลยค่ะ พี่น้องชายหญิงตรงนี้บางคนมีปัญหาที่เราไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร คุณอยู่นี่แล้ว เราจะได้ถามคุณค่ะ” เห็นสายตาที่คาดหวังของเธอ ทำให้ฉันทั้งตื่นเต้นและเป็นกังวล ที่ตื่นเต้นเพราะเธอนับถือฉัน แต่ที่กังวล เพราะฉันสงสัยว่า การที่ฉันมักจะพูดถึงผลลัพธ์การทำงานที่ประสบผลสำเร็จ ทำให้เธอเลื่อมใสฉัน ฉันคิดต่อไปว่า “ฉันมักจะพูดถึงความสำเร็จของฉันกับพวกเขา เพื่อให้เส้นทางการปฏิบัติแก่พวกเขา ซึ่งก็คือปกป้องพระราชกิจแห่งพระนิเวศ อีกอย่าง ฉันแค่พูดเกี่ยวกับประสบการณ์จริงของฉันเท่านั้น ไม่ได้พูดเกินจริง” ฉันก็เลยสามัคคีธรรมเรื่องประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จของฉันอีกครั้ง พวกเขาก็แสดงปฏิกิริยาเลื่อมใสและอิจฉาเหมือนอย่างเคย และฉันเองก็ดีใจมาก

จากนั้น ทุกการชุมนุม ฉันจะพูดถึงการที่ฉันทนทุกข์และยอมลำบากในหน้าที่ การที่ฉันสามัคคีธรรมเรื่องความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา และแต่ละตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จของฉัน พี่น้องชายหญิงทุกคนค่อยๆ เริ่มเคารพฉัน พวกเขารอให้ฉันแก้ไขปัญหาทุกอย่างของพวกเขา และฉันก็พอใจมากกับความรู้สึกถูกเคารพนับถือ ระหว่างทางกลับจากการพบปะ ฉันนึกถึงการแสดงความเลื่อมใสและความนับถือจากพี่น้องชายหญิง ฉันอดรู้สึกมีความสุขไม่ได้ หลังจากฉันทำหน้าที่ได้ไม่นาน ก็มีคนมากมายเลื่อมใสและนับถือฉัน ซึ่งเติมพลังและแรงจูงใจในการทำงานให้กับฉัน แต่ในขณะที่ฉันจมอยู่ในความสุขของการได้รับความเคารพ ฉันก็เผชิญกับการตัดแต่งและการจัดการโดยไม่คาดคิด

วันหนึ่ง ผู้นำคริสตจักรมาหาฉันและพูดว่า “ในการคัดเลือกของคริสตจักรครั้งนี้ ฉันขอให้พี่น้องชายหญิงประเมินคุณ และทุกคนต่างก็พูดว่าคุณชอบอวดตัว” พอฉันได้ยินแบบนี้ ฉันก็หน้าแดงด้วยความอับอายทันที ฉันคิดว่า “ทุกคนพูดว่าฉันชอบอวดตัวได้อย่างไรกัน? ผู้นำคิดกับฉันอย่างไร? ฉันจะเผชิญหน้าใครๆ อีกได้อย่างไร?” ฉันจึงรีบอธิบายตัวเอง “ฉันยอมรับว่าค่อนข้างโอหังค่ะ และบางครั้งฉันก็อวดตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ฉันไม่ได้มีเจตนาจะอวดตัว ฉันแค่ให้เรื่องราวที่แท้จริง เกี่ยวกับประสบการณ์และความรู้ของตัวเองเท่านั้น” ผู้นำเห็นว่าฉันไม่รู้จักตัวเอง และพูดว่า “คุณพูดถึงประสบการณ์ของตัวเอง แต่ทำไมพี่น้องชายหญิงถึงนับถือและพึ่งพาคุณ แทนที่จะพึ่งพาพระเจ้าและแสวงหาความจริงล่ะ? คุณบอกว่าไม่ได้มีเจตนาจะอวดตัว แต่ทำไมคุณไม่พูดถึงความเสื่อมทรามของคุณ ข้อบกพร่อง ความคิดด้านลบ ความอ่อนแอ หรือความคิดภายในที่เป็นจริงล่ะ? คุณพูดถึงแต่สิ่งดี ไม่ใช่ความเสื่อมทรามหรือจุดอ่อนของคุณเอง มันให้ความรู้สึกว่าคุณไล่ตามเสาะหาความจริงและรู้วิธีที่จะได้รับประสบการณ์ นี่มันก็แค่การยกย่องตัวเองและอวดตัวไม่ใช่หรือ?” ฉันไม่มีคำตอบถึงสิ่งที่ผู้นำเปิดโปงและวิจารณ์ ฉันจำได้ว่าปกติแล้วในการพบปะ ฉันจะพูดถึงแต่ประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จ แต่ฉันไม่เคยเปิดใจเกี่ยวกับการหันเห หรือความล้มเหลวในหน้าที่เลย ฉันกำลังอวดตัวจริงๆ พอคิดถึงตอนที่ฉันได้อวดตัวต่อหน้าพี่น้องชายหญิงมากมาย และตอนนี้ทุกคนมีปัญญาแยกแยะเกี่ยวกับฉัน ฉันรู้สึกอับอายขายหน้ามาก จนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ระทม ฉันหยุดร้องไห้ไม่ได้เลย ฉันจึงคุกเข่าเฉพาะพระพักตร์และอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ต้องการอวดตัวอีกต่อไป โปรดทรงนำ เพื่อให้ข้าพระองค์ได้ทบทวนและรู้จักตัวเองด้วยเถิด”

ต่อมา ฉันก็อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งค่ะ “การยกย่องและการให้การเป็นพยานกับตัวพวกเขาเอง การโอ้อวดตัวพวกเขาเอง การลองพยายามที่จะทำให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขา—มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ นี่คือวิธีที่ผู้คนแสดงปฏิกิริยาไปตามสัญชาตญาณเมื่อพวกเขาถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาครอบงำ และนี่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งปวง ผู้คนมักจะยกย่องและให้การเป็นพยานต่อตัวพวกเขาเองอย่างไรหรือ? พวกเขาสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้อย่างไรเล่า? หนทางหนึ่งคือการให้การเป็นพยานว่าพวกเขาได้ทนทุกข์มามากเพียงใด พวกเขาได้ทำงานมามากเพียงใด และพวกเขาได้สละตัวพวกเขาเองมามากเพียงใด พวกเขาพูดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในรูปแบบของเงินทุนส่วนตัว กล่าวคือ พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเงินทุนซึ่งพวกเขาใช้ในการยกย่องตัวพวกเขาเอง ซึ่งให้พวกเขามีที่ทางซึ่งสูงกว่า มั่นคงกว่า ปลอดภัยกว่าในจิตใจของผู้คน เพื่อที่จะได้มีผู้คนมากขึ้นนับถือ เลื่อมใส เคารพ และแม้กระทั่งเทิดทูน ชื่นชู และติดตามพวกเขา นั่นคือผลพวงสูงสุด สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำเพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้—การยกย่องและการเป็นพยานยืนยันต่อตัวพวกเขาเองทั้งหมด—มีเหตุผลหรือไม่? สิ่งเหล่านั้นไม่มีเหตุผล สิ่งเหล่านั้นอยู่เลยพ้นข่ายรับผิดชอบของความมีเหตุผล ผู้คนเหล่านี้ไม่มีความอับอายเลย กล่าวคือ พวกเขาเป็นพยานยืนยันอย่างหน้าไม่อายถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำไปเพื่อพระเจ้าและว่าพวกเขาได้ทนทุกข์ไปมากมายเพียงใดเพื่อพระองค์ พวกเขาถึงขั้นโอ้อวดพรสวรรค์ ความสามารถพิเศษ ประสบการณ์ และทักษะพิเศษของพวกเขา หรือเทคนิคอันฉลาดแยบยลของพวกเขาสำหรับการประพฤติปฏิบัติตน และวิธีการที่พวกเขาใช้ในการเล่นกับผู้คน วิธีการของพวกเขาในการยกย่องและการเป็นพยานยืนยันต่อตัวพวกเขาเองคือ การโอ้อวดตัวพวกเขาเองและดูแคลนผู้อื่น พวกเขายังกลบเกลื่อนและอำพรางตัวพวกเขาเองด้วยเช่นกัน โดยซ่อนเร้นความอ่อนแอ ข้อบกพร่อง และความล้มเหลวของพวกเขาจากผู้คน เพื่อที่ผู้คนเหล่านั้นจะเพียงแค่มองเห็นความปราดเปรื่องของพวกเขาไปตลอดเท่านั้น พวกเขาไม่แม้กระทั่งกล้าที่จะบอกผู้คนอื่นๆ เมื่อพวกเขารู้สึกคิดลบ พวกเขาขาดพร่องความกล้าที่จะเปิดกว้างและสามัคคีธรรมกับผู้อื่น และเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งที่ผิด พวกเขาก็ทำอย่างสุดความสามารถในการที่จะปกปิดสิ่งที่ผิดนั้นและปิดบังสิ่งที่ผิดนั้น พวกเขาไม่เคยพูดพาดพิงถึงอันตรายซึ่งพวกเขาได้เป็นเหตุให้เกิดขึ้นต่อพระนิเวศของพระเจ้าในครรลองของการทำหน้าที่ของพวกเขาเลย อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้มีส่วนร่วมแบ่งปันเล็กน้อยอยู่บ้างหรือได้สัมฤทธิ์ความสำเร็จเล็กน้อยอยู่บ้าง พวกเขาก็รีบร้อนที่จะโอ้อวดการนั้น พวกเขาไม่สามารถรอเพื่อให้ทั้งโลกรู้ว่าพวกเขามีความสามารถเพียงใด ขีดความสามารถของพวกเขาสูงเพียงใด พวกเขายอดเยี่ยมเพียงใด และพวกเขาดีกว่าผู้คนปกติมากเพียงใด นี่ไม่ใช่หนทางของการยกย่องและการเป็นพยานยืนยันต่อตัวพวกเขาเองหรอกหรือ? การยกย่องและการให้การเป็นพยานต่อตัวเจ้าเองนั้น อยู่ภายในเขตแดนอันมีเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติหรือไม่? ไม่เลย ดังนั้นแล้ว อุปนิสัยใดเล่าที่มักจะถูกเปิดเผยออกมาในยามที่ผู้คนทำการนี้? อุปนิสัยแห่งความโอหังคือหนึ่งในการสำแดงหลัก ตามมาด้วยความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นไปได้เพื่อทำให้ผู้คนอื่นๆ นับถือพวกเขาว่าสูงส่ง เรื่องราวของพวกเขารัดกุมอย่างสมบูรณ์ คำพูดของพวกเขาบรรจุแรงจูงใจและกลอุบายอย่างชัดเจน และพวกเขาได้พบหนทางที่จะซ่อนข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขากำลังอวดตัวอยู่ แต่จุดจบของสิ่งที่พวกเขาพูดก็คือ พวกเขายังคงทำให้ผู้คนรู้สึก ว่าพวกเขาดีกว่าผู้อื่น ว่าไม่มีผู้ใดเลยที่เทียบเท่าพวกเขา ว่าคนอื่นทุกคนด้อยกว่าพวกเขา และจุดจบนี้ไม่ได้สัมฤทธิ์ผ่านวิธีการอันซ่อนเร้นทุจริตหรอกหรือ? อุปนิสัยใดหรือที่อยู่เบื้องหลังวิธีการเช่นนั้น? และมีองค์ประกอบของความเลวอันใดหรือไม่? นี่คืออุปนิสัยที่เลวประเภทหนึ่ง(“พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) สิ่งที่พระวจนะเปิดเผยนั้นจับใจฉันมาก พฤติกรรมฉันคือการอวดตัวและเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง ซึ่งถูกพระวจนะเปิดโปงไม่ใช่หรือ? ฉันตระหนักว่าขณะที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ ฉันจะพูดถึงแต่ความทุกข์ของตัวเอง และผลลัพธ์ที่ประสบผลสำเร็จของหน้าที่ฉัน ในการพบปะ พี่น้องชายหญิงพูดถึงปัญหา ที่พวกเขาไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร แต่ฉันไม่ได้สามัคคีธรรมเรื่องความจริง ช่วยให้พวกเขาเข้าใจน้ำพระทัย และบอกให้พวกเขาพึ่งพาพระเจ้า ฉันกลับเป็นพยานยืนยันถึงความทุกข์ และความสามารถในการแก้ไขปัญหาของตัวเองแทน ฉันเอาแต่พูดเรื่องที่ตัวเองเดินทางไกลและยอมลำบากเพื่อให้น้ำผู้คน ฉันไม่เคยพูดถึงความอ่อนแอหรือข้อบกพร่อง ที่ถูกเปิดโปงเวลาฉันมีความลำบาก ฉันมักจะพูดถึงแต่การเข้าสู่ที่เป็นบวก ในการพบปะ การที่ฉันรับภาระและคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า เรื่องที่ฉันแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งต่างๆ เวลาพี่น้องชายหญิงมีปัญหา หรือมีผู้เข้าร่วมพบปะและทำหน้าที่ลุล่วงเพราะการให้น้ำและการสนับสนุนของฉันมากแค่ไหน ทำให้คนอื่นคิดว่าฉันเข้าใจความจริง และแก้ไขปัญหาได้ เห็นชัดว่าพระวจนะทำให้พวกเขาเข้าใจความจริงและมีความเชื่อ และต้องการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง นี่คือผลลัพธ์ที่ได้มาโดยพระวจนะ แต่ฉันก็ไม่ได้ยกย่องพระเจ้าหรือเป็นพยานยืนยันแก่พระราชกิจและพระวจนะ การได้ยินประสบการณ์ของฉัน ไม่ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าแก่ใคร แต่พวกเขาเคารพฉัน พวกเขาไม่ได้พึ่งพาพระเจ้า หรือแสวงหาความจริงเมื่อพวกเขามีปัญหา แต่พวกเขากลับแสวงหาสามัคคีธรรมจากฉันเพื่อแก้ไขสิ่งต่างๆ พวกเขามองฉันเหมือนเป็นคนที่สามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้ ฉันนำพาผู้คนมาอยู่ต่อหน้าตัวเอง ฉันหลอกลวงผู้คนและแข่งขันกับพระเจ้าเพื่อสถานะ ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนกำลังยกย่องตัวเองหรืออวดตัวอยู่ ฉันยังคิดว่าฉันแค่เสวนาเรื่องประสบการณ์จริงของตัวเอง ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าฉันมีเจตนาที่น่ารังเกียจ เวลาฉันเสวนาเรื่องประสบการณ์ของตัวเอง ฉันพยายามที่จะได้ตำแหน่งสูงส่งในหัวใจของผู้คน ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองน่ารังเกียจและไร้ยางอาย พระเจ้าทรงยกชูฉันด้วยหน้าที่การให้น้ำ เพื่อให้ฉันได้สามัคคีธรรมเรื่องพระวจนะเพื่อแก้ไขปัญหา นำผู้คนให้อยู่เฉพาะพระพักตร์ ช่วยให้พวกเขาเข้าใจความจริงและรู้จักพระเจ้า แต่ในการทำหน้าที่ของฉัน ฉันกลับอวดตัวไปทั่วเพื่อให้ผู้คนเคารพ ฉันถือว่าผลงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผลจากการพยายามของตัวเอง และใช้เป็นเงินทุนเพื่อโอ้อวดตัวเอง ฉันขโมยพระสิริของพระเจ้า และพอใจที่พี่น้องชายหญิงเลื่อมใสและเคารพ โดยไม่รู้สึกละอายเลย ฉันช่างไร้มโนธรรมและเหตุผลเหลือเกิน! พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้น้องสาวคนหนึ่ง ตัดแต่งและจัดการฉัน เพื่อให้ฉันทบทวนเรื่องเส้นทางที่ผิดที่ฉันเดิน และย้อนทางกลับทันเวลา นี่คือความรักและความรอดของพระเจ้าที่มีต่อฉัน ฉันรู้ว่าฉันไม่อาจทำร้ายพระทัยของพระเจ้าได้อีกต่อไป ฉันต้องกลับใจ

ตอนนั้นฉันนึกพระวจนะบทตอนหนึ่งได้ค่ะ “‘การบอกเล่าและเข้าสนิทประสบการณ์ทั้งหลาย’ หมายถึงการส่งเสียงแสดงทุกความคิดในหัวใจของเจ้า สภาวะความเป็นอยู่ของเจ้า ประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าของเจ้า และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามภายในตัวเจ้า และจากนั้นก็ยอมให้คนอื่นหยั่งรู้สิ่งเหล่านั้น ยอมรับส่วนทั้งหลายที่เป็นด้านบวก และระลึกได้ว่าสิ่งไหนเป็นด้านลบ มีเพียงการนี้เท่านั้นที่เป็นการบอกเล่า และมีเพียงการนี้เท่านั้นที่เป็นการเข้าสนิทอย่างแท้จริง(“การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) เมื่อฉันพิจารณาพระวจนะ ฉันก็เข้าใจค่ะ สามัคคีธรรมเรื่องประสบการณ์ไม่ควรมีเจตนา ความมักใหญ่ใฝ่สูงและความปรารถนาส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบ ฉันก็ควรจะเปิดใจ ต่อพี่น้องชายหญิงเกี่ยวกับสภาวะที่แท้จริงของฉันเสมอ เพื่อให้พวกเขาได้ซึมซับด้านบวก และเรียนรู้ที่จะแยกแยะด้านลบจากประสบการณ์ฉัน ให้พวกเขาเห็นว่าฉันก็เป็นกบฏและเสื่อมทราม และพวกเขาจะไม่นับถือและเลื่อมใสฉัน ด้วยวิธีนี้ ประสบการณ์ฉันจะสอนบทเรียนพวกเขาได้ และช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ผิดพลาด ในการพบปะวันต่อมา ฉันก็พบกับความกล้าที่จะเสวนาเกี่ยวกับสภาวะของฉัน ฉันวิเคราะห์และระบายว่าฉันได้อวดตัวเพื่อให้คนอื่นนับถือฉันอย่างไร และการที่ฉันได้ทบทวนและรู้จักตัวเอง ฉันรู้สึกถึงความปลอดภัยและความสุขในการพบปะครั้งนั้น

ต่อมา ฉันได้ข่าวว่ามีน้องสาวคนหนึ่งซึมเศร้ามาก ตอนเราคุยกัน เธอพูดว่า “ในการพบปะ ฉันฟังประสบการณ์ของคุณ และการที่คุณช่วยเหลือผู้อื่นอย่างมีประสิทธิผลอย่างไรเสมอ แต่ฉันขาดความเป็นจริงของความจริง และไม่เก่งเลย เมื่อเกิดปัญหาฉันก็แก้ไขไม่ได้ มันเครียดเหลือเกิน ฉันทำหน้าที่นี้ไม่ได้ค่ะ” พอได้ยินที่เธอพูดฉันก็รู้สึกอับอายมาก ฉันคิดว่า “ต้องโทษฉันโดยตรงที่เธอคิดลบแบบนี้ ฉันไม่ได้ยกย่องพระเจ้าในหน้าที่ของฉัน ไม่ได้แก้ไขความลำบากที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ของพี่น้องชายหญิงในการเข้าสู่ชีวิต ฉันมักจะพูดเกินจริงและอวดตัวเสมอ ทำให้เธอเข้าใจผิดคิดว่าฉันเข้าใจความจริงและมีวุติภาวะ ฉันจะทำผิดพลาดซ้ำไม่ได้ ฉันต้องพูดเปิดใจและเปิดเผยตัวเองกับเธอ” ดังนั้น ฉันเลยบอกเธอทุกอย่าง รวมถึงสภาวะของฉัน และเรื่องที่ฉันอวดตัวในช่วงนั้น ฉันให้เธอรู้ว่า ที่จริงฉันไม่ได้ครองความเป็นจริงทั้งหลายของความจริง ผลลัพธ์ของหน้าที่ฉันมาจากงานและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และฉันไม่สามารถทำสิ่งใดให้สัมฤทธิผลด้วยตัวเองได้ เธอตื้นตันใจและพูดว่า “ฉันไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่มีที่ให้พระเจ้าในหัวใจ มองแต่พรสวรรค์ภายนอก ไม่รู้ว่าทั้งหมดคืองานและการทรงนำของพระเจ้า ฉันไม่อยากใช้ชีวิตในด้านลบและอ่อนแอ ฉันอยากพึ่งพาพระเจ้าและทำหน้าที่ให้ลุล่วง”

จากนั้น ฉันก็เริ่มทบทวนตัวเอง ทั้งที่ฉันรู้ว่าการอวดตัวคือการต่อต้านพระเจ้า ทำไมฉันยังคงใช้เส้นทางนี้โดยไม่รู้ตัว? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ต่อมา ฉันก็อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งค่ะ “ผู้คนบางคนชื่นชูเปาโลมากเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาชอบที่จะออกไปข้างนอกและกล่าวสุนทรพจน์และทำงาน พวกเขาชอบที่จะเข้าร่วมการชุมนุมและเทศนา พวกเขาชอบให้ผู้คนฟังพวกเขา เคารพบูชาพวกเขา และกังวลสนใจพวกเขาเป็นหลัก พวกเขาชอบที่จะมีสถานะในจิตใจของผู้อื่น และพวกเขาซาบซึ้งเมื่อผู้อื่นให้คุณค่าภาพลักษณ์ที่พวกเขานำเสนอ พวกเราลองมาวิเคราะห์ธรรมชาติของพวกเขาจากพฤติกรรมเหล่านี้กันว่า สิ่งใดหรือที่เป็นธรรมชาติของพวกเขา? หากพวกเขาประพฤติเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วมันก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาโอหังและทะนงตน พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกเขาแสวงหาสถานะที่สูงส่งกว่าและปรารถนาที่จะมีสิทธิอำนาจเหนือผู้อื่น ที่จะครองพวกเขา และที่จะมีสถานะในจิตใจของพวกเขา นี่คือภาพลักษณ์ดั้งเดิมของซาตาน แง่มุมที่โดดเด่นของธรรมชาติของพวกเขาก็คือความโอหังและความทะนงตน ความไม่เต็มใจที่จะนมัสการพระเจ้า และความปรารถนาที่จะได้รับการเคารพบูชาจากผู้อื่น พฤติกรรมเช่นนั้นสามารถให้ทรรศนะที่ชัดเจนมากแก่เจ้าในเรื่องธรรมชาติของพวกเขา(“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) จากสิ่งที่พระวจนะเปิดเผย ฉันจึงได้เข้าใจ ฉันชอบอวดตัวกับพี่น้องชายหญิง เพื่อให้ทุกคนนับถือและเลื่อมใสฉัน เพราะฉันถูกธรรมชาติที่โอหังของฉันควบคุม นี่คือเส้นทางแห่งการต่อต้านพระเจ้า ธรรมชาติที่โอหังทำให้ฉันชื่นชมตัวเอง เมื่อการทำหน้าที่ฉันเกิดผลลัพธ์บางอย่าง ฉันมักจะพูดเกินจริงและอวดตัว ถึงผลลัพธ์เกี่ยวกับงานในการพบปะเสมอ เพื่อพิสูจน์ว่าฉันมีความสามารถ และทำให้ผู้อื่นเลื่อมใส ความลำบากในหน้าที่ทำให้ฉันรู้สึกอ่อนแอ ฉันเผยความเป็นกบฏ และความเสื่อมทรามออกมา แต่ไม่เคยพูดถึง เพื่อทำให้ตัวเองดูโดดเด่นและเหนือกว่า เพื่อจะให้ผู้อื่นนับถือและเคารพฉันมากยิ่งขึ้น เวลาพี่น้องชายหญิงสรรเสริญฉัน ฉันรู้สึกมีความสุขมาก ฉันพอใจกับความเลื่อมใสของพวกเขาอย่างหน้าไม่อาย นี่ฉันพยายามที่จะเป็นกษัตริย์ในหัวใจของผู้คน แข่งขันกับพระเจ้าเพื่อผู้คนไม่ใช่หรือ? ฉันนึกถึงเปาโลว่าเขาพอใจกับการพบปะและการประกาศ การที่เขาอ้างเอาผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นเงินทุนของเขาเอง อวดตัวและยกย่องตัวเองไปทุกที่เพื่อหลอกลวงผู้คน นำผู้เชื่อทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าตัวเอง ดังนั้นจนถึงตอนนี้ สองพันปีต่อมา ทั้งโลกศาสนาถึงได้เคารพและยกย่องเปาโล ถือเอาคำพูดของเปาโลเป็นพระวจนะของพระเจ้า ไม่มีความรู้เกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าเลยแม้แต่น้อย เปาโลโอหัง คิดว่าตนชอบธรรม ไม่เคารพพระเจ้า เขาเดินในเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ผู้ต่อต้านพระเจ้า เขาครองตำแหน่งของพระเจ้าในหัวใจผู้คน ล่วงเกินพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอย่างร้ายแรง และถูกพระเจ้าลงโทษและสาปแช่ง ฉันก็เหมือนกับเปาโลไม่ใช่หรือ? ฉันก็โอหัง คิดว่าตนชอบธรรม ชอบยกย่องตัวเองและอวดตัว ชอบให้ผู้คนห้อมล้อมตัวเอง เป็นผลให้หลังจาก “การปฏิบัติ” หลายเดือนของฉัน ทุกคนจึงนับถือและเลื่อมใสฉัน ไม่มีที่ให้พระเจ้าในหัวใจ พอเกิดปัญหา แทนที่จะแสวงหาพระเจ้า พวกเขากลับมาหาฉันเพื่อสามัคคีธรรมและการแก้ปัญหา นี่ฉันต่อต้านพระเจ้าและทำร้ายพี่น้องชายหญิงไม่ใช่หรือ? ฉันยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า แต่กลับยืนตรงข้ามพระเจ้ากลายเป็นศัตรูของพระองค์ และเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ของเปาโล ซึ่งต่อต้านพระเจ้า ถ้าฉันไม่กลับใจ จุดจบของฉันคงเหมือนกับเปาโล ฉันคงถูกพระเจ้ากำจัดทิ้งและลงโทษ ตอนนั้นเองฉันถึงเห็นว่า ฉันถูกธรรมชาติที่โอหังของฉันควบคุม ฉันอวดตัวและโอ้อวดตัวเองอย่างหน้าไม่อาย ครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันหลอกลวงพี่น้องชายหญิงให้เคารพฉัน และบางครั้งฉันถึงกับมีเจตนาที่น่ารังเกียจ หรือใช้กลอุบายเพื่ออวดตัว ช่างชั่วร้ายเหลือเกิน! ฉันขยะแขยงและเกลียดตัวเอง ฉันสาบานกับตัวเองว่าจะไม่อวดตัวอีก

จากนั้น ฉันก็เห็นวิดีโอการอ่านพระวจนะค่ะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “สิ่งใดคือความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า เกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น? สิ่งใดคือความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระองค์และเกี่ยวกับฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดและพระปรีชาญาณของพระองค์? ผู้ใดรู้หรือไม่ว่ากี่ปีมาแล้วที่พระเจ้าได้กำลังทรงพระราชกิจอยู่ท่ามกลางมนุษยชาติทั้งมวลและทุกสรรพสิ่ง? ตราบจนถึงวันเวลาปัจจุบัน ไม่มีใครเลยที่รู้จำนวนปีที่แม่นยำที่พระเจ้าได้กำลังทรงพระราชกิจและบริหารจัดการมวลมนุษย์ทั้งปวงอยู่ พระองค์ไม่ทรงแถลงสิ่งทั้งหลายดังกล่าวต่อมวลมนุษย์ ทว่าหากซาตานจะทำการนี้เพียงเล็กน้อย มันจะประกาศแถลงหรือไม่? แน่นอนว่ามันคงจะประกาศแถลงถึงการนั้น ซาตานต้องการอวดโอ้ตัวมัน เพื่อที่มันอาจหลอกลวงผู้คนเป็นจำนวนมากขึ้นและทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นเชื่อถือมัน เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงแถลงถึงการดำเนินงานนี้? มีแง่มุมหนึ่งของแก่นแท้ของพระเจ้าที่ถ่อมพระทัยและซ่อนเร้น สิ่งใดหรือที่อยู่ตรงข้ามกับความถ่อมใจและความซ่อนเร้น? ความโอหัง ความเหิมเกริม และความทะเยอทะยาน…พวกศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่แตกต่างออกไป กล่าวคือ พวกเขาอวดตัวต่อหน้าทุกคนเกี่ยวกับสิ่งเล็กน้อยทุกสิ่งที่พวกเขาทำ เวลาได้ยินพวกเขา ก็ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังให้การเป็นพยานต่อพระเจ้า—แต่หากเจ้าฟังอย่างใกล้ชิด เจ้าจะค้นพบว่าพวกเขาไม่ได้กำลังให้การเป็นพยานต่อพระเจ้า แต่กำลังอวดโอ้ กำลังสร้างชื่อให้ตัวเอง แรงจูงใจและแก่นแท้เบื้องหลังสิ่งที่พวกเขาพูดคือการแย่งชิงกับพระเจ้าเพื่อให้ได้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและสถานะพระเจ้าถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้น และซาตานก็โอ้อวดตัวมันเอง มีความแตกต่างหรือไม่? จะสามารถบรรยายซาตานว่าถ่อมใจได้หรือไม่? (ไม่) เมื่อตัดสินโดยธรรมชาติและแก่นแท้ที่เลวของมัน มันคือขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง ทั้งนี้ คงจะเป็นเรื่องพิเศษเหนือธรรมดาสำหรับซาตานที่จะไม่โอ้อวดตัวมันเอง จะสามารถเรียกซาตานว่า ‘ถ่อมใจ’ ได้อย่างไรกัน? ‘ความอ่อนน้อมถ่อมตน’ เป็นการพูดถึงพระเจ้า พระอัตลักษณ์ แก่นแท้ และพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสูงส่งเลิศเลอและทรงเกียรติ แต่พระองค์ไม่ทรงอวดโอ้เลย พระเจ้าถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้น พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้ผู้คนเห็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำแล้ว แต่ขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจในความเลือนรางดังกล่าว มนุษยชาติก็ได้รับการจัดเตรียมไว้ให้ การบำรุงเลี้ยง และการทรงนำอย่างไม่หยุดหย่อน—และทั้งหมดนี้จัดการเตรียมการโดยพระเจ้า การที่พระเจ้าไม่ทรงแพร่งพรายสิ่งเหล่านี้เลย ไม่ทรงพาดพิงถึงสิ่งเหล่านี้เลย นั่นใช่ความซ่อนเร้นและความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่? พระเจ้าถ่อมพระทัยแน่นอนว่าเพราะพระองค์ทรงมีความสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ไม่ทรงพาดพิงถึงหรือแพร่งพรายสิ่งเหล่านี้เลย ไม่ทรงเสวนาสิ่งเหล่านี้กับผู้คน เจ้ามีสิทธิอะไรหรือที่จะพูดถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนในเมื่อเจ้าไม่สามารถทำสิ่งทั้งหลายดังกล่าวได้? เจ้าไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นเลยไม่ว่าสิ่งใด แต่กระนั้นกลับดึงดันที่จะรับเอาความน่าเชื่อถือสำหรับสิ่งเหล่านั้น—นี่เรียกว่าการไร้ยางอาย ขณะที่ทรงนำมวลมนุษย์ พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ และพระองค์ทรงเป็นประธานเหนือทั้งจักรวาล สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก กระนั้นก็ตาม พระองค์กลับไม่เคยตรัสว่า ‘ความสามารถของเราพิเศษเหนือธรรมดา’ พระองค์ยังคงซ่อนเร้นท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง โดยทรงเป็นประธานเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง บำรุงเลี้ยงและจัดเตรียมให้แก่มนุษยชาติ เปิดโอกาสให้มนุษยชาติคงอยู่ต่อไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า ลองดูอากาศและแสงอาทิตย์เป็นตัวอย่างสิ หรือสิ่งของทางวัตถุที่มองเห็นได้ทั้งหมดซึ่งจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์—สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ไหลเวียนไปโดยไม่มีการหยุดยั้ง การที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับมนุษย์นั้นไม่ต้องสงสัยเลย ดังนั้น หากซาตานทำบางสิ่งที่ดี มันจะเก็บสิ่งนั้นไว้เงียบๆ และดำรงตนเป็นวีรบุรุษที่ไม่เป็นที่รู้จักอยู่กระนั้นหรือ? ไม่มีวัน นั่นก็เป็นเหมือนการที่มีพวกศัตรูของพระคริสต์บางคนในคริสตจักรซึ่งก่อนหน้านี้ได้ทำงานอันเป็นภัยอันตราย หรือครั้งหนึ่งได้ทำงานอันเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ซึ่งอาจได้เข้าคุกตารางไปแล้วเสียด้วยซ้ำ แล้วยังมีบรรดาผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยมีคุณูปการต่องานด้านหนึ่งแห่งพระนิเวศของพระเจ้าด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่เคยลืมสิ่งเหล่านี้เลย พวกเขาคิดว่าพวกเขาสมควรได้รับความดีความชอบไปชั่วชีวิตสำหรับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือทุนชีวิตของพวกเขา—ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้คนต่ำต้อยเพียงใด! ผู้คนต่ำต้อยและซาตานก็ไร้ยางอาย(“พวกเขาชั่ว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (ภาคที่สอง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พอเห็นพระวจนะเหล่านี้แล้วฉันก็รู้สึกอับอาย พระเจ้าคือพระผู้สร้าง พระองค์มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ และมีสถานะสูงสุด แต่พระเจ้าก็ยังเสด็จมาทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ที่เสื่อมทรามให้รอด ทรงแสดงความจริงอย่างเงียบๆ เพื่อจัดหาให้และช่วยผู้คนให้รอด พระเจ้าคือผู้ทรงอำนาจสูงสุด แต่พระองค์ก็ไม่เคยอ้างสถานะของพระเจ้า ทรงไม่เคยอวดพระองค์ ว่าทรงงานมากเพียงใดเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด หรือทนทุกข์ต่อความอัปยศและเจ็บปวดมากแค่ไหน กลับกัน พระองค์ทรงถ่อมใจและซ่อนเร้นในหมู่ผู้คน ทรงพระราชกิจ นี่เป็นสิ่งที่มนุษย์ที่เสื่อมทรามทำไม่ได้ เมื่อฉันเห็นแก่นแท้อันบริสุทธิ์และสวยงามของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกละอายในความโอหัง ความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และการอวดตัวของฉันเอง ฉันเป็นคนสกปรกอย่างที่สุด ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างมาก ฉันไร้ความหมายในสายพระเนตร แต่ฉันก็ยังยกย่องตัวเองอย่างหน้าไม่อาย อวดตัวและทำให้ผู้อื่นเคารพยกย่องฉัน ฉันโอหังมากจนสูญเสียเหตุผล ฉันไม่คู่ควรที่จะมีชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์จริงๆ! ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยความอับอาย “พระเจ้า ผ่านการพิพากษาและการเปิดเผยของพระองค์ ข้าฯ เห็นแล้วว่าใช้ชีวิตโดยไร้ซึ่งสภาพเสมือนมนุษย์ ข้าฯ ไม่อยากใช้ชีวิตเช่นนี้อีกต่อไป พระเจ้า ทรงนำให้ข้าฯ ปฏิบัติความจริง เป็นอิสระจากพันธนาการและการบีบบังคับของอุปนิสัยเยี่ยงซาตานด้วยเถิด”

หลังจากนั้น ฉันเห็นพระวจนะอีกบทตอน “ตอนที่กำลังเป็นคำพยานต่อพระเจ้า โดยหลักนั้น เจ้าควรพูดคุยให้มากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนผู้คน บททดสอบอะไรที่พระองค์ทรงใช้ถลุงผู้คนและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา เจ้าควรพูดคุยเกี่ยวกับการที่ความเสื่อมทรามได้ถูกเปิดเผยในประสบการณ์ของพวกเจ้าไปมากเท่าไร เจ้าได้สู้ทนไปมากเท่าใด และพระเจ้าได้ทรงพิชิตเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุดนั้น นั่นคือ เจ้ามีความรู้ที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ามากเท่าไร และเจ้าควรเป็นพยานสำหรับพระเจ้าและชดใช้คืนพระองค์สำหรับความรักของพระองค์อย่างไร พวกเจ้าควรใส่สาระสำคัญเข้าไปในภาษาประเภทนี้ ในขณะเดียวกันก็ทำไปในลักษณะอันเรียบง่าย จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่างเปล่าทั้งหลาย จงพูดจาแบบติดดินไม่ถือตัวให้มากกว่านี้ พูดจาจากหัวใจ นี่คือวิธีที่เจ้าควรได้รับประสบการณ์ จงอย่าทำให้มีทฤษฎีว่างเปล่าทั้งหลายที่ดูลุ่มลึกอยู่ในตัวพวกเจ้าเองด้วยความพยายามที่จะโอ้อวด การทำเช่นนั้นทำให้เจ้าปรากฎเป็นค่อนข้างโอหังและไร้เหตุผล เจ้าควรพูดให้มากขึ้นถึงสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นจริงจากประสบการณ์จริงของเจ้าซึ่งเป็นจริงแท้และมาจากหัวใจ การนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่สุด และเป็นการเหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะมองเห็น พวกเจ้าเคยเป็นผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้าที่สุด และมีความเอนเอียงที่จะนบนอบต่อพระองค์น้อยที่สุด แต่บัดนี้เจ้าได้ถูกพิชิตแล้ว—จงอย่าลืมการนั้น เจ้าควรไตร่ตรองและคิดคำนึงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ให้มากขึ้น ครั้นผู้คนได้เข้าใจเรื่องเหล่านั้นอย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาก็จะรู้ว่าจะเป็นคำพยานได้อย่างไร หาไม่แล้ว พวกเขาก็จะหมิ่นเหม่ที่จะกระทำการปฏิบัติตนแบบน่าละอายและไร้สำนึก(“โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันพบเส้นทางการปฏิบัติในพระวจนะค่ะ เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการอวดตัว ฉันจะต้องยกย่องและเป็นพยานยืนยันต่อพระเจ้าอย่างตั้งใจ เป็นพยานยืนยันต่อพระราชกิจ พระอุปนิสัย และข้อพึงประสงค์ต่อผู้คน เปิดโปงความเป็นกบฏและความเสื่อมทรามของฉันเอง เจตนาที่น่ารังเกียจของฉัน และผลสืบเนื่องเมื่อฉันทำสิ่งต่างๆ และคุยถึงว่าต่อมาฉันได้ประสบกับการพิพากษาและตีสอนในพระวจนะ และได้รู้จักตัวเอง เพื่อให้ผู้อื่นได้ปัญญาแยกแยะถึงความเสื่อมทรามของฉัน และมีความรู้เรื่องพระราชกิจ มองเห็นความรอดของพระเจ้าสำหรับผู้คน เป็นพยานยืนยันว่าพระเจ้าทรงรักผู้คน นอกจากนั้นฉันต้องเรียนรู้ที่จะพูดอย่างซื่อสัตย์จากหัวใจ เวลาเสวนาเรื่องประสบการณ์ของฉัน และไม่พูดเกินจริง อวดตัวหรือยืนเหนือผู้เหนือ เมื่อฉันเข้าใจเส้นทางการปฏิบัติเหล่านี้แล้ว ฉันก็เริ่มปฏิบัติอย่างตั้งใจ ในการพบปะครั้งหนึ่ง น้องชายคนหนึ่งพูดถึง การไล่ตามเสาะหาความมีหน้ามีตาและสถานะในหน้าที่ เขาเปรียบเทียบตัวเองกับทุกคน รู้สึกทุกข์ระทมและไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร เมื่อฉันได้ยินเขาอธิบายสภาวะตัวเอง ฉันก็คิดว่า “ถ้าฉันแก้ไขปัญหาของเขา ในอนาคตเวลาเขาพูดถึงประสบการณ์ของเขา ก็จะพูดว่า สามัคคีธรรมของฉันทำให้เขาเปลี่ยนแปลงสภาวะ พี่น้องชายหญิงก็จะนับถือฉันและพูดว่า ฉันเข้าใจความจริงและมีวุฒิภาวะ ฉันต้องเรียบเรียงคำพูดและแนวคิดในสามัคคีธรรมของฉัน และบอกเขาถึงประสบการณ์ทั้งหมดของฉัน” ในตอนนั้นฉันรู้สึกตำหนิตัวเอง ตระหนักได้ทันทีว่า นี่ฉันกำลังจะปฏิบัติเยี่ยงซาตานอีกแล้ว ความคิดที่เพิ่งเกาะกุมในใจฉันมันน่าขยะแขยง เหมือนกับฉันได้กลืนแมลงวันที่ตายแล้ว ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ ขอให้ประทานความแข็งแกร่งให้ฉันทรยศตัวเอง ยกย่องและเป็นพยานยืนยันต่อพระเจ้าในครั้งนี้ ฉันแค่บอกน้องชายคนนั้นว่า ในอดีตฉันเคยไล่ตามเสาะหาความมีหน้ามีตาและสถานะ ประสบการณ์ของฉันเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและโชคลาภ ความล้มเหลวและการถูกแทนที่ และต่อมาก็ผ่านการพิพากษาและการเปิดเผยจากพระวจนะ จนฉันสามารถทบทวนตัวเอง รู้จักตัวเอง และประสบผลสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง หลังการสามัคคีธรรมของฉัน เขาก็รับรู้ว่าธรรมชาติของเขานั้นโอหังเกินไป และการไล่ตามเสาะหาความมีหน้ามีตา คือเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ เขาต้องการที่จะกลับใจค่ะ พอได้ยินเขาสามัคคีธรรม ฉันก็หยุดขอบคุณพระเจ้าในใจไม่ได้ นี่คือการทรงนำของพระเจ้า

หลังจากนั้น การสามัคคีธรรมของฉันกับพี่น้องชายหญิงในการพบปะ แม้บางครั้งฉันจะยังอวดตัว มันก็ไม่ได้ชัดเจนหรือรุนแรงเหมือนเมื่อก่อน บางครั้งฉันนึกถึงการอวดตัว แต่พอรู้สึกได้ ฉันก็จะอธิษฐานและทรยศตัวเอง ฉันค่อยๆ อวดตัวน้อยลงเรื่อยๆ ประสบกับสภาวะที่ต้องการคุยโวน้อยลง ฉันรู้ว่าเป็นการพิพากษา การตีสอน การตัดแต่งและการจัดการในพระวจนะที่เปลี่ยนแปลงฉัน ฉันขอบคุณสำหรับความรอดของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างสุดซึ้ง!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ฉันเปลี่ยนแปลงวิถีที่แสนภาคภูมิอย่างไร?

เมื่อก่อน ผมมักคิดว่าตัวเองเป็นคนฉลาดมาก คิดว่าผมทำทุกอย่างได้ โดยไม่ต้องให้ใครมาช่วย ทั้งเวลาอยู่ที่โรงเรียน และที่บ้าน เวลาใครถามอะไร...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger