การรู้จักสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้าในชีวิต

วันที่ 14 เดือน 10 ปี 2020

โดย ซิ่นซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ความรู้ในเรื่องสิทธิอำนาจของพระเจ้า ฤทธานุภาพของพระเจ้า พระอัตลักษณ์ของพระเจ้าเอง และแก่นแท้ของพระเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้โดยการพึ่งพาจินตนาการ ในเมื่อเจ้าไม่สามารถพึ่งพาจินตนาการในการรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้ในหนทางใดเล่า? หนทางในการทำการนี้ก็คือโดยผ่านทางการกินและการดื่มพระวจนะของพระเจ้า โดยผ่านทางการสามัคคีธรรม และโดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ เจ้าจะมีประสบการณ์และการพิสูจน์ยืนยันสิทธิอำนาจของพระเจ้าทีละน้อย และเจ้าจะได้รับความเข้าใจทีละน้อยและได้รับความรู้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องนั้น นี่คือหนทางเดียวที่จะสัมฤทธิ์ความรู้ในเรื่องสิทธิอำนาจของพระเจ้า ไม่มีทางลัดอันใดเลย การขอให้พวกเจ้าไม่จินตนาการไม่ใช่อย่างเดียวกันกับการทำให้พวกเจ้านั่งรอการทำลายล้างอยู่อย่างนิ่งเฉย หรือการหยุดพวกเจ้าจากการทำสิ่งอันใด การไม่ใช้สมองของพวกเจ้าเพื่อคิดและจินตนาการหมายถึงการไม่ใช้ตรรกะเพื่ออนุมาน การไม่ใช้ความรู้เพื่อวิเคราะห์ และการไม่ใช้วิทยาศาสตร์มาเป็นพื้นฐาน แต่กลับเป็นการซาบซึ้ง การพิสูจน์ยืนยัน และการยืนยันว่าพระเจ้าที่เจ้าเชื่อนั้นมีสิทธิอำนาจ การยืนยันว่าพระองค์ทรงถือครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของเจ้า และว่าฤทธานุภาพของพระองค์พิสูจน์อยู่ตลอดเวลาว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า โดยผ่านทางความจริง โดยผ่านทางทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าเผชิญในวิถีชีวิตต่างหาก นี่คือหนทางเดียวเท่านั้นที่ใครสักคนจะสามารถสัมฤทธิ์การทำความเข้าใจพระเจ้าได้” (“พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ผมเคยคิดว่าการผ่านเรื่องใหญ่ๆ หรือได้เป็นพยานในเรื่องอัศจรรย์ คือทางเดียวที่จะได้รู้ถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า ความเข้าใจเรื่องสิทธิอำนาจของพระเจ้าของผมแคบมากครับ ผมเคยเห็นจากในพระวจนะของพระเจ้า ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการรู้ถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า คือการได้รับประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตปกติ และการได้รับประสบการณ์ในพระวจนะของพระองค์ จะทำให้เราเห็นถึงสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระองค์ที่อยู่เหนือทุกสิ่ง นั่นคือวิธีที่ความเชื่อในพระเจ้าของเราเติบโตขึ้น

เมื่อปีที่แล้ว จู่ๆ ก็เกิดการบุกรบกวนอย่างหนักของแมลงชนิดหนึ่งเป็นบริเวณกว้าง ในไร่มะเขือเทศที่ครอบครัวผมเป็นคนปลูก และพวกมันก็กัดกินทุกอย่าง—ทั้งผล ดอก แล้วก็ใบ ผมกังวลเรื่องนี้มากๆ และหารือกับครอบครัวว่าจะกำจัดมันทิ้งอย่างไรดี การใช้ยาฆ่าแมลงจะทำลายดินและทิ้งสารก่อมะเร็งเอาไว้ ซึ่งจะทำให้สิ่งที่ปลูกในบริเวณนั้นเป็นอันตรายต่อการกิน เราพยายามจับพวกมันด้วยมือ แต่มันก็ขยายพันธุ์เร็วเกินไป เราจับกันอยู่สามหรือสี่วันก็ไม่ลดลงเลย กลับเพิ่มจำนวนขึ้นด้วยซ้ำ ผมรีบลองใช้วิธีอื่นเพื่อกำจัดพวกมัน ถึงแม้ผมจะอธิษฐานต่อพระเจ้าเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น ผมก็ไม่เข้าใจในสิทธิอำนาจและการปกครองของพระเจ้า พระองค์จึงไม่มีที่ในหัวใจของผมเลย ผมไม่รู้ว่าจะพึ่งพาพระเจ้าและแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์อย่างแท้จริงได้อย่างไร ผมไม่เคยเผชิญหน้ากับแมลงชนิดนั้นมาก่อน แต่ผมปลูกพืชผักมาหลายสิบปีและมีประสบการณ์ในการควบคุมศัตรูพืชมามาก ผมคิดว่าตัวเองคงผ่านเรื่องนี้ไปได้ถ้าผมหาวิธีต่อไป ผมลองใช้วิธีแก้ที่จะพอรู้ทีละอย่าง แต่ลองไปได้หกหรือเจ็ดวิธีก็ยังไม่ได้ผล ตลอดหลายสิบปีที่ผมเพาะปลูกมา ผมไม่เคยเจอแมลงที่กำจัดยากแบบนี้เลย เมื่อก่อนผมมักจะดูแลเรื่องการบุกรบกวนได้ตลอด แต่ครั้งนี้ ไม่มีวิธีไหนที่ผมพัฒนาอย่างหนักหน่วงแล้วได้ผลเลย ต่อมา เพื่อนของผมบอกว่าอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยด้านการเกษตรพูดว่าน้ำมันสะเดายับยั้งศัตรูพืชได้ดี ผมเลยซื้อมาทันที แต่มันก็ไม่ได้ผลเหมือนกัน ผมจนปัญญาและก็ยังหาทางแก้ไม่ได้ ตลอดสองสามวันหลังจากนั้นผมจะออกไปตรวจดูทุกเช้า และได้เห็นว่าต้นมะเขือเทศถูกแมลงทำลายไปจนหมด บางต้นก็ดอกร่วงลงเรื่อยๆ ปลายของบางใบเหี่ยวเฉา และผลบางส่วนก็เน่าเปื่อย ผมทุกข์ใจมากครับ พี่น้องชายหญิงมาช่วยผมปลูกมะเขือเทศเหล่านั้นทุกวัน พวกเขาทำตั้งหลายอย่าง ทั้งช่วยสร้างระแนง ตัดแต่งและค้ำยันต้นไม้ แต่พอมะเขือเทศเจริญงอกงาม และมองเห็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่อยู่รำไร แมลงพวกนี้ก็บุกเข้ามาทันที ผมคิดว่าผลผลิตของปีนั้นคงเสียไปแล้ว การเห็นทุกต้นถูกปกคลุมไปด้วยแมลง ผมก็ทำอะไรไม่ถูกเลยครับ พี่หวังที่เป็นเพื่อนบ้านของผมมีประสบการณ์เรื่องพืชผลและรู้เกี่ยวกับศัตรูพืชเยอะ ผมเลยคิดว่าเขาน่าจะพอมีทางแก้ ผมไปถามเขาครับ แต่เขาบอกว่า “ตลอดสามสิบปีที่ทำไร่มา พี่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย พี่ฉีดยาฆ่าแมลงวันละสามหน แต่มันกลับฆ่ามะเขือเทศของพี่ไปหมด ไม่ใช่แมลง” ส่วนพี่จางที่เป็นเพื่อนบ้านอีกคนก็พูดอย่างสิ้นหวังว่า “พี่ถึงขนาดเอายาฆ่าแมลงสามสี่อันมาผสมกันก็แล้ว แต่ไม่มีอะไรฆ่ามันได้เลย!” พอได้ยินแบบนี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกหมดหวังจริงๆ ครับ นี่คือโรคระบาดแห่งแมลง และมันก็ไม่มีทางที่จะกำจัดพวกมันไปได้ ดูเหมือนว่ามะเขือเทศทุกต้นของผมจะถูกทำลาย ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยความรู้สึกสิ้นหวังว่า “โอ้พระเจ้า! ข้าองค์ไม่รู้จะจัดการกับการระบาดนี้อย่างไรดี ข้าพระองค์ทำอะไรไม่ถูก ไ้ด้โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำให้ข้าพระองค์ได้รู้ว่าควรได้รับประสบการณ์จากเรื่องนี้อย่างไร และควรเรียนรู้บทเรียนอะไรด้วยเถิด”

ผมได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าในการชุมนุมครั้งหนึ่งว่า “ภายใต้อธิปไตยและการควบคุมของพระเจ้านั้น ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นหรืออันตรธานไปโดยสอดคล้องกับพระดำริของพระองค์ กฎทั้งหลายเกิดขึ้นมาเพื่อกำกับดูแลการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านี้ และสิ่งเหล่านี้ก็เจริญเติบโตและเพิ่มทวีคูณโดยเป็นไปตามกฎเหล่านี้ ไม่มีมนุษย์หรือสิ่งใดอยู่เหนือกฎเหล่านี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? มีเพียงคำตอบเดียวก็คือ เป็นเพราะสิทธิอำนาจของพระเจ้า หรือพูดอีกอย่างว่า เป็นเพราะพระดำริของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า เพราะการกระทำส่วนพระองค์ของพระเจ้าพระองค์เอง นี่หมายความว่า สิทธิอำนาจของพระเจ้าและพระกมลของพระเจ้านี่เองที่ให้กำเนิดกฎเหล่านี้ซึ่งขยับย้ายและเปลี่ยนแปลงไปตามพระดำริแห่งพระองค์ การขยับย้ายและการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นหรือเลือนหายไปก็เพื่อประโยชน์แห่งแผนการของพระองค์ ตัวอย่างเช่น การเกิดโรคระบาด โรคเกิดแพร่ระบาดโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ไม่มีผู้ใดรู้จุดกำเนิดของพวกมันหรือเหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดโรคระบาดจึงเกิดขึ้น และเมื่อใดก็ตามที่โรคหนึ่งแพร่ระบาดไปถึงบางสถานที่ พวกที่ถูกชี้ชะตาไว้ย่อมไม่สามารถหลีกหนีจากหายนะได้ วิทยาศาสตร์ของมนุษย์เข้าใจว่าโรคระบาดทั้งหลายเกิดจากการแพร่กระจายของจุลินทรีย์ที่ร้ายแรงหรือเป็นอันตราย และวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ไม่สามารถคาดคะเนหรือควบคุมความเร็ว แนวเขต และวิธีการแพร่เชื้อของพวกมันได้ แม้ผู้คนต่อต้านโรคระบาดโดยใช้ทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมได้ว่าผู้คนหรือสัตว์ใดจะได้รับผลกระทบอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงเมื่อเกิดการระบาดของโรค สิ่งเดียวที่มนุษย์ทำได้ก็คือ พยายามป้องกันโรค ต้านทานโรคเอาไว้ และศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพวกมัน แต่ไม่มีใครรู้มูลเหตุที่อธิบายการเกิดขึ้นหรือการสิ้นสุดของโรคระบาดแต่ละโรค และไม่มีใครสามารถควบคุมพวกมันได้ ครั้นได้เผชิญกับการเกิดขึ้นและการแพร่กระจายของโรคระบาดแล้ว มาตรการแรกที่มนุษย์ใช้ก็คือ การพัฒนาวัคซีนขึ้นมา แต่บ่อยครั้งที่โรคระบาดวายไปเองก่อนที่วัคซีนจะพร้อมใช้ เหตุใดเล่าโรคระบาดจึงสลายตัว? บ้างก็พูดว่าพวกเชื้อโรคถูกควบคุมไว้ได้แล้ว ในขณะที่คนอื่นพากันพูดว่า พวกมันหายสูญไปก็เพราะการเปลี่ยนไปของฤดูกาล…ในส่วนที่ว่าการคาดเดาส่งเดชเหล่านี้ฟังขึ้นหรือไม่นั้น วิทยาศาสตร์กลับไม่สามารถให้คำอธิบายและไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้ มนุษยชาติต้องไม่เพียงให้ความสำคัญกับการคาดเดาเหล่านี้ แต่ต้องให้ความสำคัญกับการขาดความเข้าใจและความหวาดกลัวที่มวลมนุษย์มีต่อโรคระบาดด้วย ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ไม่มีผู้ใดรู้สาเหตุที่โรคระบาดก่อตัวหรือสาเหตุที่พวกมันจบลง เนื่องจากมนุษยชาติมีความเชื่อแต่ในวิทยาศาสตร์ วางใจในวิทยาศาสตร์จนหมดสิ้น และไม่ระลึกรู้ถึงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างหรือยอมรับอธิปไตยของพระองค์ พวกเขาย่อมจะไม่มีวันได้มาซึ่งคำตอบ” (“พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสิ่ง ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ มองเห็นด้วยตาหรือไม่ เป็นสิ่งมีชีวิตหรือตายแล้ว ทุกสิ่งปรากฏหรือหายไปตามแต่น้ำพระทัยของพระเจ้าจะปรับเปลี่ยน ทุกความวิบัตินั้นอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้า ผู้คนไม่รู้เลยว่าการระบาดและแมลงที่ระบาดนั้นมาจากไหน หรือจะป้องกันมันได้อย่างไร เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่มันจะหายไป ทั้งหมดนี้ชี้ขาดโดยพระเจ้าทั้งนั้น แต่ผมไม่เข้าใจในสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้าอย่างแท้จริง ทำให้พอแมลงเหล่านั้นบุกรบกวนมะเขือเทศของผม ผมก็ไม่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาและพึ่งพาพระองค์ก่อน กลับพยายามจะหาทางแก้ด้วยวิธีของตัวเอง วิธีนั้นมันไม่ได้ผล แต่ผมก็ยังไม่หันหาพระเจ้าหรือพึ่งพาพระองค์ ผมรู้สึกสิ้นหวังและหมดหนทางเมื่อพบว่าแม้แต่ยาฆ่าแมลงก็ไม่ได้ผล ผมเชื่อในพระเจ้าและเอ่ยคำอธิษฐานถึงพระองค์ แต่ผมกลับไม่มีที่สำหรับพระองค์ในหัวใจเลย ผมคิดว่าผมคงกำจัดแมลงพวกนี้ได้ด้วยตัวเอง ผมนี่มันโอหังและโง่เขลานัก! แล้วผมก็ตระหนักได้ ว่าพระเจ้าตัดสินพระทัยว่าพวกมันจะโผล่มาหรือจะไปตอนไหน มันนอกเหนือการควบคุมของเรา ผมยังไม่เข้าใจว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าในการบุกรบกวนนั้นคืออะไร แต่ผมรู้แค่ว่าผมต้องทำในส่วนของตัวเอง และปล่อยเรื่องแมลงไว้กับพระเจ้า ผมต้องนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การตระหนักเช่นนั้นได้ทำให้ผมสงบ ผมอธิษฐานต่อพระเจ้า ยินดีที่จะนบนอบและได้รับประสบการณ์ในสิ่งที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการเอาไว้

สองวันต่อมาผมไปที่ไร่ และเห็นว่ามีใยแมงมุมตามต้นมะเขือเทศอยู่เต็มไปหมด ผมสงสัยว่าแมงมุมทั้งหมดนี่มาจากไหน ผมเข้าไปดูใกล้ๆ และเห็นว่ามีแมลงเม่าอยู่ในใยเหล่านี้เต็มไปหมด แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าแมงมุมชอบกินแมลงพวกนี้ พอไม่มีตัวแมลงเม่าก็จะไม่มีไข่ เพราะฉะนั้นแมลงก็จะน้อยลงโดยธรรมชาติ ผมตระหนักได้ว่ามันมีแมลงน้อยลงกว่าเมื่อสองวันก่อนมากๆ ผมรู้ว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ รู้ว่าพระองค์ทรงนำแมงมุมเหล่านี้มาเพื่อกินแมลง ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามาก! หลังจากนั้นอีกเจ็ดหรือแปดวัน ผมก็เห็นว่า แมลงพวกนั้นหายไปจากผล กิ่ง ดอก และใบของต้นมะเขือเทศหมดเลย ผมตื่นเต้นมาก ผมไม่เคยคิดเลยว่าในช่วงไม่กี่วันสั้นๆ แมงมุมจะกินแมลงพวกนั้นได้จนหมด พระเจ้าทรงมีมหิทธิฤทธิ์จริงๆ! ถ้าผมไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ผมคงแทบไม่เชื่อว่ามันคือเรื่องจริง ผมเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกขอบคุณและสรรเสริญแก่พระเจ้า ผู้ปราศจากความเชื่อไม่เข้าใจการปกครองและสิทธิอำนาจของพระเจ้า พวกเขาเชื่อและพึ่งพาแค่วิทยาศาสตร์ในการเรียนรู้และหลีกเลี่ยงความวิบัติ แต่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจมันได้อย่างครบถ้วน พวกเขาไม่มีอะไรให้พึ่งพา พอเผชิญหน้ากับความวิบัติพวกเขาก็หมดท่า ดังนั้น ผลผลิตของพวกเขาจึงได้รับผลกระทบมาก แต่พอผมหันเข้าหาพระเจ้า ยินดีที่จะนบนอบและพึ่งพาพระเจ้า พระองค์ก็ทรงใช้แมงมุมต่ำต้อยเหล่านี้เพื่อกินแมลงทั้งหมด ทรงดูแลการบุกรบกวนนี้ได้อย่างง่ายดายมากๆ เรื่องนี้ทำให้ผมเห็นจริงๆ ว่าพระเจ้าทรงปกครองทุกอย่างและรวบรวมทุกสรรพสิ่งได้ พระองค์ทรงรอบรู้และมีมหิทธิฤทธิ์มากๆ! พอถึงเวลาที่มะเขือเทศจะสุกดี ผมคิดว่ามันคงเป็นการเก็บเกี่ยวที่เลวร้ายเพราะมีการบุกรบกวน แต่ก็ต้องประหลาดใจที่มันกลับให้ผลผลิตที่ดีมาก พระเจ้าทรงพระราชกิจในวิธีอันแสนมหัศจรรย์! เหมือนกับที่กล่าวไว้ในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ว่า “กิจการของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน พระปรีชาญาณของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน และสิทธิอำนาจของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน ธรรมบัญญัติและกฎเกณฑ์แต่ละประการเหล่านี้คือรูปจำแลงของกิจการของพระองค์ และแต่ละประการเผยพระปรีชาญาณและสิทธิอำนาจของพระองค์ ใครกันเล่าที่ตัวพวกเขาสามารถจะได้รับการยกเว้นจากอธิปไตยของพระองค์? และใครกันเล่าที่สามารถปลดตัวพวกเขาเองออกจากการออกแบบของพระองค์? ทุกสรรพสิ่งดำรงอยู่ภายใต้การเขม้นมองของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ทุกสรรพสิ่งมีชีวิตอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระองค์ กิจการของพระองค์และฤทธานุภาพของพระองค์ไม่ได้ทิ้งทางเลือกไว้ให้กับมนุษย์ นอกเหนือจากให้รับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่จริงและครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง” (“มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ขอบคุณพระเจ้า! ผมได้รับประสบการณ์ผ่านเรื่องนี้จริงๆ ว่าสิทธิอำนาจและพระปรีชาญาณของพระเจ้านั้นอยู่ในทุกหนแห่ง สภาพอากาศ ดวงอาทิตย์ และฟ้าฝนต่างก็ถูกปกครองโดยพระเจ้า เช่นเดียวกับแมลงทุกชนิด ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างสิ่งใดมาควบคุมสิ่งเหล่านั้นได้ ในทุกรายละเอียดเล็กๆ ของสรรพสิ่งและการบริหารจัดการทุกเรื่องของพระเจ้า เราสามารถเห็นได้ถึงสิทธิอำนาจที่เป็นเอกลักษณ์ของพระเจ้าจริงๆ พระองค์ทรงรอบรู้และมีมหิทธิฤทธิ์มากครับ! ผมคิดกับตัวเองว่า ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นผมก็ต้องพึ่งพาพระเจ้า และเข้าใจในกิจการของพระองค์ให้ดีขึ้นครับ

สองเดือนต่อมา เราปลูกต้นบานไม่รู้โรยพุ่มหนึ่ง และหลังจากนั้นสักสองอาทิตย์ก็เริ่มมีใบเขียวๆ โผล่ให้เห็น ผมคิดว่าเราคงมีการเก็บเกี่ยวที่ดีแน่ แต่ในเช้าวันหนึ่ง ภรรยาได้บอกผมว่ามีตัวอ่อนหนอนใยผักอยู่บนต้น และขอให้ผมไปจัดการให้ พอได้ยินเรื่องนี้ผมก็กลัวขึ้นมา ตัวอ่อนพวกนั้นมันว่องไวมากและจับด้วยมือเปล่ายาก แถมพวกมันยังขยายพันธุ์อย่างบ้าคลั่ง โตเต็มวัยได้ในหนึ่งหรือสองวันเท่านั้น มันเคยโตบนแตงที่เราปลูกมาก่อนหน้านี้ และผมก็ลองใช้วิธีเป็นสิบๆ อย่าง แต่ก็ไม่ได้ผลเลย พวกมันกินผักของเราจนหมดในเวลาแค่สองวัน และสวนที่เจริญงอกงามของเราก็กลายเป็นพื้นที่รกร้าง ผมกังวลขึ้นมานิดหน่อย สงสัยว่าพวกมันจะกินต้นบานไม่รู้โรยของเราจนหมดในสองวันอีกรึเปล่า ผมไม่รู้จะทำอย่างไรเลยครับ ผมรีบไปอธิษฐานต่อพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงนำให้ผมได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์

ต่อมาผมก็ได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “โยบครอบครองและไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านี้ในขณะที่ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าหรือได้ยินพระวจนะของพระเจ้าได้ ถึงแม้ว่าเขาไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้า เขาก็ได้มารู้จักวิธีการที่พระเจ้าทรงใช้ปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และเขาเข้าใจพระปรีชาญาณที่พระเจ้าทรงมีในการทำเช่นนั้น ถึงแม้ว่าเขาไม่เคยได้ยินพระวจนะที่พระเจ้าตรัส แต่โยบก็รู้ว่ากิจการแห่งการให้รางวัลมนุษย์และเอาไปจากมนุษย์นั้นล้วนมาจากพระเจ้า ถึงแม้ว่าหลายปีแห่งชีวิตของเขาจะไม่แตกต่างไปจากหลายปีของบุคคลธรรมดาคนใด เขาก็ไม่ยอมให้ความไม่โดดเด่นแห่งชีวิตของเขาส่งผลกระทบต่อความรู้ของเขาเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า หรือส่งผลกระทบต่อการติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว ในสายตาของเขานั้น ธรรมบัญญัติทั้งหลายของทุกสรรพสิ่งเต็มไปด้วยกิจการต่างๆ ของพระเจ้า และอธิปไตยของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้ในทุกส่วนของชีวิตของบุคคลหนึ่ง เขาไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้า แต่เขาสามารถตระหนักว่ากิจการของพระเจ้าอยู่ทุกหนแห่ง และในช่วงระหว่างเวลาที่ไม่มีความโดดเด่นของเขาบนแผ่นดินโลก ในทุกมุมแห่งชีวิตของเขานั้นเขาสามารถมองเห็นและตระหนักถึงกิจการต่างๆ ที่เหนือธรรมดาและน่าอัศจรรย์ของพระเจ้า และเขาสามารถมองเห็นการจัดการเตรียมการที่น่าอัศจรรย์ของพระเจ้า ความซ่อนเร้นและความนิ่งเงียบของพระเจ้าไม่ได้ขัดขวางความตระหนักของโยบที่มีต่อกิจการทั้งหลายของพระเจ้า อีกทั้งสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความรู้ของเขาเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า ชีวิตของเขาคือความตระหนักถึงอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ผู้ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งในช่วงระหว่างชีวิตประจำวันของเขา ในชีวิตประจำวันของเขานั้นเขายังได้ยินและเข้าใจพระสุรเสียงแห่งพระทัยของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า ผู้ซึ่งนิ่งเงียบท่ามกลางทุกสรรพสิ่งแต่กระนั้นก็ทรงแสดงพระสุรเสียงจากพระทัยของพระองค์และพระวจนะของพระองค์ด้วยการควบคุมธรรมบัญญัติแห่งทุกสรรพสิ่งด้วยเช่นกัน เช่นนั้นแล้ว เจ้ามองเห็นว่าหากผู้คนมีสภาวะความเป็นมนุษย์และการไล่ตามเสาะหาแบบเดียวกันกับโยบ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็สามารถได้รับความตระหนักและความรู้แบบเดียวกันกับโยบ และสามารถได้มาซึ่งความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าแบบเดียวกันกับโยบ” (“พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ผมได้เห็นในพระวจนะของพระเจ้า ว่าโยบจดจ่อกับการเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของเขา รวมถึงได้รับประสบการณ์การปกครองและพระมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า ผ่านสิ่งนี้ เขาได้เห็นว่าทุกสิ่งล้วนมาจากพระเจ้า อีกทั้งพระเจ้าทรงปกครองและควบคุมทุกสรรพสิ่ง รวมถึงโชคชะตาของมนุษยชาติ โยบรู้โดยไม่สงสัยเลย ว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เขามีเป็นเพราะพระพรและการปกครองของพระเจ้า และมันไม่ได้มาจากการทำงานหนักของเขา เมื่อทรัพย์สมบัติทั้งหมดถูกพรากไป เขายังเชื่อด้วยว่าทั้งหมดล้วนเป็นการอนุญาตของพระเจ้า สิ่งที่ได้มาและสิ่งที่ถูกพรากไปนั้นถูกปกครองและกำหนดโดยพระเจ้าทั้งนั้น เขาถึงได้ไม่ตัดพ้อ และยังสรรเสริญพระเจ้าด้วยซ้ำ แต่พอมีบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากหรือเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบ ผมกลับไม่สามารถยอมรับมันและนบนอบต่อพระเจ้าได้ ผมได้เห็นว่าผมไม่มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจ แถมยังขาดความเชื่อ ความคิดนี้ทำให้ผมละอายใจมาก และผมเข้าใจแล้วว่าพระเจ้าทรงอนุญาตให้เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้น พระเจ้าทรงต้องการให้ผมรู้ถึงพระมหิทธิฤทธิ์และการปกครองของพระองค์ รวมถึงนบนอบต่อพระองค์อย่างแท้จริงได้ในชีวิตประจำวันของผม การกำจัดแมลง รวมถึงไม่ว่าต้นบานไม่รู้โรยจะงอกงามดีไหม ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เหมือนกับคำกล่าวโบราณที่ว่า “การเพาะปลูกขึ้นอยู่กับมนุษย์ ผลผลิตนั้นขึ้นอยู่กับสวรรค์” ผมรู้ว่าผมควรปล่อยให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามครรลอง เรียนรู้ที่จะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า และนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์ พอคิดแบบนั้นผมก็รู้สึกดีขึ้นมาก และผมได้อธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์เชื่อว่าต้นบานไม่รู้โรยจะงอกงามดีแค่ไหนก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพระองค์จะปล่อยวางทั้งผลผลิตและความกังวล จะได้รับประสบการณ์แห่งพระวจนะของพระองค์ในสภาพแวดล้อมนี้ และจะเชื่อฟังพระองค์” หลังจากนั้นเราได้ลองกำจัดหนอนไหมอยู่สองสามวิธี แต่ก็ไม่ได้ผลเลย ถึงอย่างนั้นผมก็สงบมาก เพราะผมรู้ว่าทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และถึงแม้สุดท้ายเราจะไม่ได้ผลผลิตที่ดี นั่นก็คงเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ผมนบนอบต่อสิ่งที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการครับ หลังจากนั้นได้สองวันผมก็ไปที่ไร่ผัก ซึ่งผมเห็นฝูงนกกระจอกกำลังกินแมลงจากต้นบานไม่รู้โรย ผมประหลาดใจที่ได้เห็น พระเจ้าทรงเปิดเส้นทางให้ผมและทรงแก้ไขปัญหาที่ผมแก้เองไม่ได้อีกครั้งหนึ่ง ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามากๆ ครับ! ถัดจากนั้นได้สองวัน หนอนไหมก็ถูกนกกระจอกกินไปจนหมด พวกเราตื่นเต้นมาก เฝ้าขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าซ้ำไปซ้ำมา พระเจ้าช่างทรงมหิทธิฤทธิ์จริงๆ!

ต่อมา ผมก็ได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า: “เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงใช้วิธีการและหนทางทุกชนิดเพื่อให้พวกมันมีสมดุล เพื่อให้สภาพเงื่อนไขในการดำรงชีวิตของภูเขาและทะเลสาบ ของพืชพรรณและสัตว์ นก และแมลงทุกชนิดมีสมดุล เป้าหมายของพระองค์คือการเปิดโอกาสให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดได้ดำรงชีวิตและทวีจำนวนภายใต้กฎที่พระองค์ได้ทรงกำหนดขึ้น ไม่มีสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างใดสามารถออกนอกกฎเหล่านี้ และกฎเหล่านี้ไม่สามารถถูกทำลายได้ เฉพาะภายในสภาพแวดล้อมพื้นฐานประเภทนี้เท่านั้น มนุษย์จึงสามารถอยู่รอดและทวีจำนวนได้อย่างปลอดภัยรุ่นแล้วรุ่นเล่า” (“พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 9” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ผมได้เห็นจากพระวจนะของพระเจ้า ว่าเมื่อพระองค์ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ก็ทรงสร้างสมดุลให้แก่สภาพความเป็นอยู่ของสิ่งเหล่านั้นในทุกทาง เพื่อให้สิ่งมีชีวิตทั้งปวงภายใต้การปกครองของพระองค์ ได้มีชีวิตและสืบพันธุ์ต่ออย่างเป็นระเบียบ สนับสนุนกันและกัน และคอยเฝ้าดูกันและกันตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ ไม่มีสิ่งใดสามารถฝืนต้านกฎที่พระเจ้าทรงบัญญัติขึ้นได้ พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ พืชพันธุ์ และแมลงทุกชนิดเพื่อสมดุลทางระบบนิเวศ เพื่อปกป้องสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยและมอบเสถียรภาพให้แก่เรา ถ้าไม่มีการจัดการเตรียมการเหล่านี้จากพระเจ้า ถ้าไม่มีกฎที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น สรรพสัตว์และแมลงก็คงตกอยู่ในความวุ่นวาย และนั่นคงทำให้ชีวิตของเราวุ่นวายไปด้วย เราคงอยู่ไม่รอด การพิจารณาของพระเจ้าเป็นไปอย่างพิถีพิถัน ทุกสรรพสิ่งล้วนแสดงให้เห็นถึงฤทธานุภาพ พระปรีชาญาณ และความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ ที่ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือความรักของพระองค์ต่อมนุษยชาติ! อย่างที่เราเห็นว่ามันไม่มีวิธีแก้ไข ในเรื่องที่แมลงที่ปรากฏอยู่บนพืชผักของเรา แต่พระเจ้าทรงใช้นกกระจอกและแมงมุมเพื่อมากินพวกมัน เราจึงสามารถเพลิดเพลินกับอาหารที่พระเจ้าประทานแก่เราได้ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมีวัตถุประสงค์อยู่ในตัว แม้แต่แมงมุมที่ต่ำต้อยและนกกระจอกก็ยังมีภารกิจของมันเอง พระเจ้าทรงใช้มันเพื่อสร้างสมดุลแก่สภาพแวดล้อม พระเจ้าทรงทำให้ทุกสรรพสิ่งสัมพันธ์กัน ทั้งหมดก็เพื่อให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น ต่อมา มีแมลงสีดำตัวเล็กๆ รวมถึงแมลงเหม็นโผล่มาบนผักที่เราปลูก ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าและพลันนึกถึงศัตรูตามธรรมชาติของแมลงพวกนั้นขึ้นมา ซึ่งคือคางคก เราปล่อยคางคกห้าตัวเข้าไปในไร่ เพียงแค่สองเดือน พวกมันก็เพิ่มจำนวนเป็นสามสิบตัว แมลงลดน้อยลงเรื่อยๆ และเราก็ได้ผลผลิตที่ดีเยี่ยม ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าในเรื่องนี้มากๆ ครับ ผมนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “แม้ว่าวลี ‘สิทธิอำนาจของพระเจ้า’ อาจดูเหมือนมิอาจหยั่งลึกได้ แต่สิทธิอำนาจของพระเจ้าก็ไม่ได้เป็นนามธรรมแต่อย่างใด พระองค์สถิตอยู่กับมนุษย์โดยตลอดทุกนาทีของชีวิตมนุษย์ ทรงนำทางเขาโดยตลอดในทุกๆ วัน ดังนั้น ในชีวิตจริงแล้ว บุคคลทุกคนจำเป็นจะต้องมองเห็นและมีประสบการณ์กับแง่มุมที่จับต้องได้มากที่สุดแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า แง่มุมที่จับต้องได้นี้คือข้อพิสูจน์ที่เพียงพอว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้ามีอยู่จริง และยังเปิดโอกาสให้คนเราระลึกรู้และจับใจความได้อย่างครบถ้วนในข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจดังกล่าว” (“พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ผมเคยคิดว่าผมคงต้องผ่านเหตุการณ์ใหญ่ๆ บางอย่างเพื่อจะได้เข้าใจในสิทธิอำนาจของพระเจ้า ผมเลยไม่ได้ให้ความสนใจกับการได้รับประสบการณ์ผ่านสิ่งเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน หลังจากนั้น ผมก็ได้เห็นว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้าไม่ได้เข้าใจยากอย่างที่ผมคิดเลย สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ปรากฏอยู่ทุกที่เสมอ และมันอยู่กับเราในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆ หรือสิ่งที่ใหญ่โต ตราบใดที่เรามุ่งมั่นที่จะได้รับประสบการณ์พระวจนะของพระเจ้า เราก็จะเห็นสิทธิอำนาจของพระองค์ครับ

พอคิดย้อนกลับไปถึงช่วงสองสามเดือนนั้น ที่ผมได้เผชิญกับการบุกรบกวนครั้งใหญ่ ตอนแรกผมรู้แค่ว่าต้องพึ่งพาประสบการณ์และความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของตัวเอง แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย พอผมนบนอบและได้รับประสบการณ์พระวจนะของพระเจ้า ผมก็ได้เห็นกิจการของพระองค์ และได้รับความเข้าใจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเรื่องสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้า ความเชื่อในพระเจ้าของผมก็เติบโตขึ้นด้วยครับ ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ความไม่ละอายแห่งการโอ้อวด

โดย ว่าน ซินผิง, ประเทศจีน เดือนมีนาคมปี 2020 ฉันย้ายไปยังคริสตจักรใหม่ ที่คริสตจักรเก่าฉันเป็นผู้นำ และพี่น้องชายหญิง ก็เคารพฉันมาก...

การเปลี่ยนแปลงหลังจากถูกจัดการ

โดย หย่งจื้อ เกาหลี เดือนมีนาฯที่แล้ว ผมรับผิดชอบงานวิดีโอของคริสตจักร ผมไม่เข้าใจหลักธรรมหลายอย่างเพราะยังใหม่อยู่ ผมเลยกังวลอยู่ทุกวัน...

การโกหกมีแต่ทำให้เจ็บปวด

โดย เกิ้งซิน, เกาหลี ผมจำได้ว่าเมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้ เราถ่ายทำมิวสิกวิดีโอเพลงที่พี่หลิวร้อง ส่วนผมก็ทำเรื่องการจัดไฟ พี่หลิวเดินไปรอบๆ...

ติดต่อเราผ่าน Messenger