คนเราสามารถเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ได้แค่โดยการยอมรับการไถ่บาปขององค์พระเยซูเจ้าหรือ?

วันที่ 14 เดือน 10 ปี 2020

โดย Shen Qingqing, เกาหลีใต้

ผู้คนจำนวนมากตั้งตาคอยที่จะได้รับการช่วยให้รอดโดยองค์พระผู้เป็นเจ้าในการเสด็จมาถึงของพระองค์ และถูกรับขึ้นไปในแผ่นดินสวรรค์ ณ วันนี้ มีเพียงคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้นที่ให้คำพยานอย่างเปิดเผยเรื่อยมาว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมา และว่าพระองค์กำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาซึ่งเริ่มต้นจากพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อช่วยผู้คนให้รอดและชำระผู้คนให้สะอาด บางคนอาจรู้สึกงุนงงสับสนเมื่อได้ยินข่าวนี้ พวกเขาอ่านข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ ความว่า “ใครเชื่อและรับบัพติศมาก็จะรอด แต่ใครไม่เชื่อจะต้องถูกลงโทษ(มาระโก 16:16) “เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด” (โรม 10:10) และเชื่อว่าข้อพระคัมภีร์เหล่านี้หมายความว่า เพราะองค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อลบมลทินสำหรับบาปของมวลมนุษย์ทั้งปวง ว่าตราบเท่าที่พวกเขาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด และว่าทันทีที่พวกเขาได้รับการช่วยให้รอด พวกเขาย่อมได้รับการช่วยให้รอดไปตลอดกาล พวกเขาเชื่อว่า ตราบเท่าที่พวกเขาพิทักษ์รักษาพระนามขององค์พระผู้เป็นพระเจ้าและสู้ทนจนกระทั่งถึงที่สุด พวกเขาก็อาจถูกรับขึ้นไปในแผ่นดินสวรรค์โดยตรงในคราที่องค์พระผู้เป็นพระเจ้าทรงกลับมา โดยไม่จำเป็นที่จะต้องยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระให้สะอาดในยุคสุดท้ายของพระเจ้า การเชื่อประเภทนี้ถูกต้องหรือไม่?

เรามาพิจารณากันเถิดว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้เคยตรัสหรือไม่ว่า ทันทีที่บุคคลหนึ่งได้รับการช่วยให้รอด พวกเขาอาจเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์? ในพระคัมภีร์กล่าวการนี้หรือไม่? คำตอบต่อคำถามทั้งสองข้อนี้ เห็นได้ชัดว่าก็คือไม่ องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ จึงจะเข้าได้(มัทธิว 7:21) บนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า พวกเรารู้ว่า มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยพระบิดาแห่งสวรรค์เท่านั้น ที่จะมีความสามารถที่จะเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ได้ การปฏิบัติตามน้ำพระทัยพระบิดาแห่งสวรรค์หมายความถึง การมีความสามารถที่จะนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ การนบนอบต่อพระเจ้า และการมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตไปตามพระวจนะของพระเจ้าไม่สำคัญว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นใด และการไม่กระทำบาปหรือต่อต้านพระเจ้าอีกเลย กระนั้นพวกเราก็ยังคงโกหกและกระทำบาปต่อไปโดยไม่คำนึงถึงตัวพวกเราเอง และแม้กระทั่งล้มเหลวที่จะนำคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปปฏิบัติ ดังนั้นแล้ว บุคคลหนึ่งที่ยังคงมีความสามารถที่จะกระทำบาปและต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้าในหนทางนี้ สามารถเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ได้หรือไม่? น่าเสียดายที่การเชื่อของพวกเราว่า “เมื่อได้รับการช่วยให้รอดครั้งหนึ่งแล้วก็ได้รับการช่วยให้รอดอยู่เสมอ” เป็นการเชื่อที่ผิดพลาด เมื่อมาถึงเรื่องสำคัญของการเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า พวกเราต้องติดตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราไม่สามารถทำไปตามมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของมนุษย์ได้! ดังนั้นแล้ว อะไรกันแน่คือความหมายที่แท้จริงของ “ความรอด” ในบทคัมภีร์? อันที่จริงแล้วคนเราเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์อย่างไร? เหล่านี้คือคำถามที่พวกเราควรเสวนากันและสำรวจค้นร่วมกันตอนนี้

ความหมายที่แท้จริงของ “ความรอด”

พวกเราทั้งหมดรู้ว่า ในยุคธรรมบัญญัติตอนปลาย มวลมนุษย์กำลังกลายเป็นถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนแห่งอิสราเอลล่วงละเมิดธรรมบัญญัติและพระบัญญัติบ่อยครั้ง และกำลังกระทำบาปมากขึ้นเรื่อยๆ—มากจนกระทั่งเครื่องบูชาไม่ว่าจำนวนเท่าใดก็ไม่เพียงพอ และพวกเขาล้วนแต่เผชิญหน้ากับอันตรายจากการถูกกล่าวโทษและการถูกธรรมบัญญัติลงโทษจนถึงแก่ความตาย เพื่อที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากลางร้ายของความตาย พระเจ้าจึงได้เสด็จลงมายังแผ่นดินโลกเป็นมนุษย์ในฐานะองค์พระเยซูเจ้า เพื่อทรงพระราชกิจแห่งการไถ่บาป เพื่อทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของมนุษย์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวง และเพื่อยกโทษให้มนุษย์จากบาปของเขาครั้งเดียวและตลอดไป นับตั้งแต่นั้นมา ตราบเท่าที่คนเราเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า สารภาพบาปของเขาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและกลับใจ เขาย่อมจะได้รับการให้อภัยสำหรับบาปของเขา และชื่นชมพระพรและพระคุณทั้งปวงที่องค์พระเยซูเจ้าทรงมอบให้ สำหรับผู้คนที่ดำรงชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติ นี่คือ “ความรอด” ดังนั้น “ความรอด” ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสถึงจึงไม่ใช่อย่างที่พวกเราจินตนาการ ที่ตราบเท่าที่พวกเราเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า พวกเราย่อมจะได้รับการช่วยให้รอดครั้งเดียวและตลอดไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การนั้นกลับหมายความว่า ผู้คนที่ทำบาปจะไม่ถูกกล่าวโทษและถูกธรรมบัญญัติลงโทษจนถึงแก่ความตายอีกต่อไป และบาปของมนุษย์ย่อมจะได้รับการยกโทษ เราลองมาดูกันที่บทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กันเถิด ความว่า “สำหรับทุกสิ่งที่มวลมนุษย์อาจได้รับการไถ่และการยกโทษในบาปของเขาไปแล้วนั้น พิจารณาได้เพียงว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจดจำการล่วงละเมิดของมนุษย์และไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์โดยสอดคล้องกับการล่วงละเมิดของเขา อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป เขาก็ย่อมสามารถทำบาปต่อไปได้เท่านั้นเอง อันเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาอย่างไม่รู้จบ นี่คือชีวิตที่มนุษย์ดำเนินอยู่ วัฏจักรอันไม่รู้จบของการทำบาปและการได้รับการยกโทษ บาปส่วนใหญ่ของมวลมนุษย์ตอนกลางวันก็เพื่อที่จะสารภาพในตอนค่ำเท่านั้นเอง เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นมีประสิทธิภาพต่อมนุษย์ตลอดกาล แต่มันก็จะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้ พระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่…ไม่ง่ายสำหรับมนุษย์ที่จะกลับกลายเป็นตระหนักรู้บาปทั้งหลายของเขาเอง เขาไม่มีหนทางที่จะตระหนักได้ถึงธรรมชาติอันหยั่งรากลึกของตัวเขาเอง และเขาต้องพึ่งพาการพิพากษาโดยพระวจนะ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้ เฉพาะเมื่อเป็นเช่นนั้นเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถค่อยๆ ถูกเปลี่ยนแปลงจากจุดนี้เป็นต้นไป(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4))

เมื่อพวกเราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงแม้ว่าพวกเราจะรับของขวัญแห่งความรอดและบาปของพวกเราจะได้รับการยกโทษ แต่พวกเราก็ไม่ได้รับการปลดปล่อยจากโซ่ตรวนแห่งบาปและดำรงชีวิตต่อไปในบาป ตัวอย่างบางอย่างของการนี้ก็คือว่า พวกเราอาจโอหังได้อย่างไม่น่าเชื่อ ต้องการอยู่เสมอที่จะมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้ายในสถานการณ์กลุ่มอันใด และทำให้ผู้คนอื่นๆ ทำไปตามสิ่งที่พวกเราพูด และหากใครคนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเราพูด พวกเราก็อาจกลายเป็นอารมณ์ร้อนและตักเตือนพวกเขา และในกรณีที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นอีก พวกเราก็อาจลงโทษหรือปฏิบัติต่อพวกเขาผิดๆ ในบางวิธี พวกเราสามารถเห็นแก่ตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อและ ใช้หลักการของผลประโยชน์ส่วนตนเป็นพื้นฐานในทุกสิ่งทุกอย่าง และแม้กระทั่งลองพยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้าในความเชื่อในพระองค์ของพวกเรา เมื่อสิ่งทั้งหลายสันติสุขและกำลังเป็นไปอย่างราบรื่น พวกเราก็ขอบคุณพระองค์ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความพลั้งพลาดและความล้มเหลว พวกเราก็กลายเป็นเต็มไปด้วยความเข้าใจผิดและคำร้องทุกข์ต่อพระองค์ และแม้กระทั่งไปไกลถึงขนาดที่ทรยศพระองค์และทอดทิ้งพระองค์เสียด้วยซ้ำ พวกเราสามารถเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงได้อย่างไม่น่าเชื่อ จนกระทั่งเมื่อใดก็ตามที่ผลประโยชน์ส่วนบุคคลของพวกเราเองเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเราก็โกหกและเล่นไม่ซื่อโดยไม่คำนึงถึงตัวพวกเราเอง เหล่านี้เป็นแค่ตัวอย่างสองสามตัวอย่างถึงวิธีที่พวกเราดำรงชีวิตต่อไปในบาป พระคัมภีร์กล่าวว่า “เพราะถ้าเรายังจงใจทำบาปอยู่เรื่อยๆ หลังจากได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปเหลืออยู่เลย แต่จะมีความหวาดกลัวในการรอคอยการพิพากษาและไฟอันร้ายแรง ซึ่งจะเผาผลาญบรรดาศัตรู(ฮีบรู 10:26–27)เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป(ยอห์น 8:34–35) พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ หลังจากที่พวกเราเรียนรู้หนทางที่แท้จริง พวกเรายังคงสามารถทำบาปและต่อต้านพระเจ้าได้โดยไม่คำนึงถึงตัวพวกเราเอง นั่นหมายความว่า พวกเราเป็นทาสแห่งบาป และไม่สามารถได้รับการกล่าวชมเชยโดยพระเจ้าได้ พระคัมภีร์กล่าวว่า “เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย” (ฮีบรู 12:14) หากใครคนหนึ่งไม่ได้รับการชำระให้สะอาดจากบาปของพวกเขา และพวกเขาทำบาปและต่อต้านพระเจ้าบ่อยครั้ง บุคคลนี้สามารถได้รับการช่วยให้รอดไปตลอดกาลได้หรือไม่? บุคคลนี้สามารถเหมาะสมที่จะเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ได้หรือไม่? เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขาไม่สามารถ เป็นเพียงหลังจากที่พวกเราได้รับการชำระให้สะอาดจากบาปของพวกเราอย่างถ้วนทั่วแล้วเท่านั้น พวกเราจึงอาจกลายเป็นบริสุทธิ์และเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ได้ และตอนนี้บางคนอาจถามว่า พวกเราจะสามารถกลายเป็นได้รับการชำระให้สะอาดได้อย่างไร เพื่อที่พวกเราอาจเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์?

พวกเราสามารถรับความรอดและเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ได้อย่างไร?

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ทรงได้กลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้นำพามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) จากการนี้พวกเราสามารถเข้าใจได้ว่า เพื่อที่จะแก้ไขอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันหยั่งรากลึกในมนุษย์ และปลดปล่อยมนุษย์จากโซ่ตรวนแห่งบาปได้อย่างสิ้นเชิง เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะทรงกลับมาในยุคสุดท้าย เพื่อดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษาให้เสร็จสิ้นโดยเริ่มต้นด้วยพระนิเวศของพระเจ้า และเพื่อแสดงความจริงเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ในข้อเท็จจริงนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเผยพระวจนะการนี้นานมาแล้ว ดังที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12–13)ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:48)เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า(1 เปโตร 4:17)

วันนี้ บนพื้นฐานของพระราชกิจแห่งการไถ่บาปขององค์พระเยซูเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษาให้เสร็จสิ้นโดยเริ่มต้นด้วยพระนิเวศของพระเจ้า และกำลังทรงแสดงความจริงทั้งปวงเพื่อการชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เพื่อแก้ไขธรรมชาติอันเต็มไปด้วยบาปของมนุษย์เป็นครั้งสุดท้าย และปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระจากโซ่ตรวนแห่งบาป ชำระเขาให้บริสุทธิ์ จนกระทั่งในท้ายที่สุดแล้วเขาจึงได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้า และได้รับการทรงนำทางเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย ทำให้คำเผยวจนะเหล่านี้ลุล่วงอย่างครบบริบูรณ์ คนเหล่านั้นทั้งหมดที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย จะรับการชำระให้บริสุทธิ์และความรอดของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดจะมีโอกาสเหมาะที่จะได้รับการทำให้เป็นผู้ชนะก่อนที่ความวิบัติอันใหญ่หลวงจะมาถึง ที่จะได้รับเกียรติกับพระเจ้า และที่จะได้รับการรับขึ้นไปในแผ่นดินสวรรค์ ดังนั้นแล้ว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพิพากษาและชำระผู้คนให้สะอาดและปลดปล่อยพวกเขาจากโซ่ตรวนแห่งบาปอย่างไร?

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กล่าวว่า “ในยุคสุดท้ายนั้น พระคริสต์ทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้าอย่างไร มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างไร มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาอย่างไร รวมไปถึงพระปรีชาญาณและพระอุปนิสัยของพระเจ้า และอื่นๆ พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่แก่นแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระวจนะซึ่งตีแผ่ให้เห็นว่ามนุษย์เหยียดหยันพระเจ้าอย่างไรนั้น ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นร่างทรงของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ได้สูญเสียไปจนหมดสิ้น เพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจให้ยอมหมอบราบต่อพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)

สามารถเห็นจากการนี้ได้ว่า พระเจ้าทรงใช้ความจริงมากมายเพื่อพิพากษาและเปิดโปงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานในการเป็นกบฏและต่อต้านพระเจ้าของมนุษย์ เมื่อพวกเราได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเราได้รับประสบการณ์ด้วยตนเองโดยเฉพาะว่า พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่ทนยอมรับการทำให้ขุ่นเคือง ทุกๆ พระวจนะของพระเจ้าเจาะทะลุหัวใจของพวกเราและเปิดโปงการสำแดงความเสื่อมทรามทุกประเภท ตลอดจนความคิดและแนวคิดที่ผิด สิ่งจูงใจที่แปดเปื้อน และมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการในส่วนลึกของหัวใจของพวกเรา ตลอดจนธรรมชาติเยี่ยงซาตานเบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ ด้วยการนั้นจึงเป็นการทำให้พวกเรารู้สึกอับอายด้วยความละอายใจและเสียใจอย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งพวกเราร่วงลงต่ำเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและกลับใจต่อพระองค์อย่างแท้จริง ในขณะเดียวกัน พระเจ้ายังทรงแสดงให้พวกเราเห็นเส้นทางของการปฏิบัติด้วยเช่นกัน อาทิ ทรรศนะใดที่พวกเราควรยึดถือในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเรา วิธีเป็นบุคคลซื่อสัตย์ วิธียกย่องและเป็นพยานต่อพระเจ้า วิธีหลีกเลี่ยงการเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ วิธีสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังที่แท้จริงต่อพระเจ้าและความรักที่แท้จริงที่มีให้พระเจ้า เป็นเพียงเมื่อพวกเราได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าแล้วและพวกเราปฏิบัติไปตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น พวกเราจึงอาจดำรงชีวิตไปตามสภาพเสมือนของบุคคลปกติ นี่คือผลลัพธ์ของการพิพากษาของพระเจ้าโดยครบถ้วนบริบูรณ์

วันนี้ คำพยานเชิงประสบการณ์ทุกชนิดจากบรรดาพี่น้องชายหญิงมากมายในคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา ตอนนี้ได้รับการตีพิมพ์บนอินเทอร์เน็ตแล้ว จากประสบการณ์และคำพยานจริงเหล่านี้ สามารถเห็นได้ว่า เป็นเพียงโดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาซึ่งพระเจ้าทรงปฏิบัติในยุคสุดท้ายเท่านั้น คนเราจึงอาจได้รับการชำระให้สะอาดและได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์—นี่เป็นหนทางเดียวสำหรับพวกเราที่จะไปถึงแผ่นดินสวรรค์ สำหรับตอนนี้ ผู้คนมากมายจากทั่วทั้งโลกที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ได้ค้นพบหนทางสู่แผ่นดินสวรรค์ด้วยพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และได้กลับคืนสู่พระองค์ หากพวกเรายึดติดอยู่กับมโนทัศน์ที่ว่า “เมื่อได้รับการช่วยให้รอดครั้งหนึ่งแล้วก็ได้รับการช่วยให้รอดอยู่เสมอ” ต่อไป และไม่ยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราก็ย่อมจะไม่ได้รับการชำระให้สะอาดและแปลงสภาพ และดังนั้น พวกเราย่อมจะไม่มีวันมีโอกาสเหมาะที่จะเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ ดังนั้นแล้ว เจ้ายังคงกำลังรออะไรอยู่เล่า?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สัญญาณของสมัยสุดท้าย: สมัยของโนอาห์ในวาระสิ้นสุดได้มาถึงแล้ว ดังนั้นพระเยซูจะทรงหวนคืนเพื่อทรงพระราชกิจอย่างไร?

สมัยของโนอาห์ได้อุบัติขึ้นแล้ว: การนี้เป็นลางบอกเหตุสิ่งใด? เมื่อเราพูดถึงมวลมนุษย์ในสมัยของโนอาห์ ทุกคนรู้ว่าฆาตกรรมและการลอบวางเพลิง...

เหตุใดเราจึงสารภาพบาปและกลับใจ แต่บ่อยครั้งก็ยังคงกระทำความบาปอยู่?

องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป” (ยอห์น...

ติดต่อเราผ่าน Messenger