ฉันไม่ลำบากใจในการร่วมมืออย่างปรองดองอีกต่อไป
ตลอดช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ฉันทำหน้าที่ให้น้ำผู้มาใหม่จากต่างประเทศในคริสตจักร เนื่องจากฉันมีประสบการณ์ในงานให้น้ำและพูดภาษาของพวกเขาได้บ้าง พี่น้องชายหญิงจึงมักมาขอความช่วยเหลือจากฉันเมื่อพวกเขามีปัญหาเกี่ยวกับการให้น้ำผู้มาใหม่ และพวกเขาก็มักจะยอมรับคำแนะนำของฉัน บางครั้งพี่น้องชายหญิงไม่รู้จะแก้ไขปัญหาบางเรื่องของผู้มาใหม่อย่างไร แต่ฉันสามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงเชื่อว่าขีดความสามารถของตัวเองดีและมีความสามารถในการทำงานเหนือกว่าคนทั่วไป ไม่นานนัก ฉันก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้ดูแล และรับผิดชอบในการจัดแจงและชี้ขาดเรื่องต่างๆ ในงานให้น้ำไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ฉันชอบความรู้สึกนี้มาก
ต่อมา เมื่อจำนวนผู้มาใหม่ที่ต้องการการให้น้ำเพิ่มขึ้น คริสตจักรจึงจัดให้พี่น้องหญิงคนหนึ่งชื่อเอมิลีมาทำงานร่วมกับฉันและแบ่งเบาความรับผิดชอบในงาน ระหว่างการชุมนุมครั้งแรกของเรา เอมิลีหารือเรื่องแนวคิดและความคิดเห็นของเธอเกี่ยวกับปัญหาที่มีอยู่ในการทำงานให้น้ำ พี่น้องชายหญิงล้วนเห็นด้วยกับเธอ แต่ฉันกลับรู้สึกไม่สบายใจ “ฉันคาดไม่ถึงเลยว่า แม้เธอจะทำหน้าที่นี้ได้ไม่นาน แต่เอมิลีมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องในสายงาน ก่อนที่เธอจะมาร่วมงานกับพวกเรา ทุกคนจะฟังฉันในระหว่างการปรึกษาหารือ แต่ตอนนี้ เธอปรากฏตัวขึ้นและแย่งความโดดเด่นไปจากฉัน วันข้างหน้า เมื่อเธอได้ใช้เวลาร่วมกับพี่น้องชายหญิงนานขึ้น และแสดงให้เห็นถึงจุดแข็งและความเหนือชั้นของเธอมากขึ้น ทุกคนคงจะยกย่องเธอแน่ ซึ่งจะสั่นคลอนสถานะของฉันในกลุ่มนี้” ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งกังวลมากเท่านั้น วันหนึ่ง ผู้นำมาตรวจงานร่วมกับพวกเรา ผู้นำสังเกตเห็นว่า ผู้มาใหม่ที่เอมิลีให้น้ำนั้นสามารถเข้าร่วมการชุมนุมได้ค่อนข้างปกติ และหลายคนก็ทำหน้าที่ของตนเองแล้ว ในขณะที่ผู้มาใหม่ที่ฉันให้น้ำกลับไม่ค่อยเข้าร่วมการชุมนุม และมีเพียงไม่กี่คนที่ทำหน้าที่ เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ผู้นำจึงขอให้ฉันมอบหมายงานบางส่วนที่ฉันรับผิดชอบให้เอมิลีทำ เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉันก็รู้สึกต่อต้านอย่างมากอยู่ในใจ คิดว่า “ถึงแม้ว่างานที่ฉันรับผิดชอบจะมีผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าฉันพยายามมากขึ้น ไม่ช้าก็เร็ว ปัญหาเหล่านี้ก็จะดีขึ้นและแก้ไขได้ทั้งหมด ทำไมฉันถึงควรมอบหมายงานของตัวเองให้เอมิลีด้วยล่ะ? ถ้าพี่น้องชายหญิงรู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาจะคิดกับฉันยังไง? พวกเขาจะต้องคิดว่าความสามารถในการทำงานของฉันไม่ถึงเกณฑ์แน่ๆ แล้วฉันจะอยู่ในกลุ่มนี้ต่อไปได้ยังไง? ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเอมิลีเข้ามาทำงานที่ฉันรับผิดชอบอยู่ และทุกคนเริ่มฟังเธอ แล้วใครจะฟังฉันล่ะ? จากผู้ดูแลฉันก็จะไม่กลายเป็นแค่หัวโขนหรอกเหรอ?” แต่เมื่อผู้นำได้จัดแจงเรื่องนี้ไว้แล้ว ฉันก็ไม่อาจปฏิเสธเขาไปตรงๆ ได้ ฉันก็เลยจำใจมอบหมายงานเล็กๆ น้อยๆ ให้เอมิลีไป ปกติแล้วฉันจะไม่เป็นฝ่ายนัดเจอเธอเพื่อหารือเรื่องงาน และบางครั้งเมื่อเธอส่งข้อความมา ฉันก็ไม่อยากตอบหลังจากอ่านแล้ว
ไม่นานนัก ฉันได้รู้ว่าพี่น้องชายคนหนึ่งชื่อฮันเตอร์มีสภาวะที่แย่ ฉันจึงเตรียมตัวจะเกื้อหนุนและช่วยเหลือเขา แต่โดยไม่คาดคิด เอมิลีบอกว่าเธอได้สามัคคีธรรมกับฮันเตอร์ไปแล้ว ฉันรู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย คิดว่า “ฉันเป็นคนที่สามัคคีธรรมกับฮันเตอร์มาโดยตลอด แต่ตอนนี้เธอกลับไปสามัคคีธรรมกับเขาโดยไม่บอกฉัน แบบนี้เธอกำลังพยายามจะแข่งกับฉันอยู่ชัดๆ ไม่ใช่เหรอ?” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อฮันเตอร์พูดระหว่างการชุมนุมว่า สามัคคีธรรมของเอมิลีเป็นประโยชน์กับเขามาก และช่วยให้เขาได้รับความเข้าใจในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองขึ้นมาบ้าง ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ฉันคิดว่า “ฮันเตอร์เคยบอกว่าสามัคคีธรรมของฉันเต็มไปด้วยคำสอน แต่ตอนนี้เขาชื่นชมเอมิลีที่สามารถชี้ให้เห็นถึงปัญหาของเขาได้ด้วยสามัคคีธรรมของเธอ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ก็จะเป็นที่ชัดเจนว่าเราสองคนใครดีกว่ากันไม่ใช่เหรอ? ทุกคนจะต้องคิดว่าเอมิลีเข้าใจความจริงและมีความเป็นจริง และต่อไปพวกเขาก็จะยกย่องเธอมากขึ้น แบบนี้สถานะของฉันในกลุ่มจะไม่ตกอยู่ในอันตรายหรอกเหรอ?” ตั้งแต่นั้นมา ฉันมองเอมิลีเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด ฉันเริ่มพยายามปกป้องงานที่ฉันรับผิดชอบโดยตรงอย่างเต็มที่ ไม่ยอมให้เธอมีโอกาสเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้นำมักจะขอให้เราร่วมกันหารือเรื่องงาน แต่ฉันไม่อยากให้เธอเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย รู้สึกว่านั่นเป็นการลดเกียรติและทำให้ฉันดูไม่มีความสามารถ ฉันก็เคยจัดการงานนี้ได้ดีมาตลอดโดยไม่มีเธอไม่ใช่เหรอ? ฉันจึงหาข้ออ้างมาปฏิเสธการมีส่วนร่วมของเธอ โดยบอกผู้นำไปว่า ฉันจัดการกับเรื่องต่างๆ ไปแล้ว หรือบอกว่าปัญหาไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น ฉันแก้ไขคนเดียวได้ การหารือเรื่องต่างๆ กับเอมิลีเพิ่มเติมจะทำให้เสียเวลา และอะไรทำนองนั้น ฉันหาเหตุผลสารพัดเพื่อกันเธอออกจากงานของฉัน ครั้งหนึ่ง ฉันเพิ่งคุยกับพี่น้องหญิงคนหนึ่งชื่อโจนเกี่ยวกับสถานการณ์ในงานของเธอเสร็จ พอเอมิลีไปถามโจนเกี่ยวกับเรื่องเดียวกันอีก โจนรู้สึกรำคาญเล็กน้อย บอกว่าการสื่อสารเรื่องงานซ้ำๆ ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นการเสียเวลานิดหน่อย ฉันรู้ดีว่านี่เป็นเพราะฉันไม่ได้สื่อสารกับเอมิลีให้เรียบร้อยก่อน แต่แทนที่จะคิดทบทวนตัวเอง ฉันกลับแอบสะใจ คิดว่า “ใช่เลย! การให้เอมิลีเข้ามายุ่งเกี่ยวมันเกินความจำเป็นจริงๆ ถ้าทุกคนไม่ชอบเธอ อย่างนั้น เธอก็จะไม่คุกคามสถานะของฉันอีกต่อไป” ฉันจึงเห็นด้วยกับโจนและพูดว่า “มันทำให้เสียเวลาไปบ้างจริงๆ” ระหว่างการหารือเรื่องงาน เมื่อพี่น้องบางคนเสนอให้เอมิลีมีส่วนร่วม ฉันจำใจต้องเห็นด้วยเพื่อรักษาหน้า แต่ในใจลึก ๆ ฉันไม่เต็มใจอย่างยิ่ง ฉันคิดว่า “อะไรๆ ก็เอมิลี! ตอนนี้สนใจกันแต่เธอสินะ ไม่มีเธองานจะเดินต่อไปไม่ได้เชียวเหรอ? ก่อนที่เธอจะมาร่วมงานกับเรา ฉันเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง และงานก็ไม่ล่าช้าเลยสักนิด!” ทุกครั้งที่ได้ยินพี่น้องชายหญิงพูดถึงชื่อเอมิลี ฉันจะไวต่อเรื่องนี้เป็นพิเศษ สงสัยว่าพวกเขายกย่องเธอกันหมดหรือเปล่า ทันทีที่เธออยู่ใกล้ ฉันก็จะระมัดระวังตัวเองขึ้นมาทันที เหมือนเม่นที่กางหนามออก พร้อมปกป้องสถานะของตัวเองทุกเมื่อ จากความพยายามของฉันในการขัดขวาง เอมิลีจึงไม่สามารถปรับตัวเข้ากับงานได้เลย และไม่รู้ว่าจะทำงานร่วมกับฉันได้อย่างไร สิ่งนี้ทำให้เธอกลุ้มใจมาก ฉันตระหนักได้ว่าสภาวะที่ย่ำแย่ของเธอนั้นเกี่ยวข้องกับฉันโดยตรง และฉันก็รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ถ้าเธอปรับตัวไม่ได้ งั้นก็อย่ามายุ่งกับงานของฉัน ถ้าเราต่างคนต่างทำงานของตัวเองโดยไม่ก้าวก่ายกันก็คงจะดี” ฉันถึงกับหวังว่าพระเจ้าจะจัดสภาพการณ์ให้เอมิลีถูกมอบหมายใหม่ให้ไปที่อื่น เพื่อที่ฉันจะได้สบายใจเสียที ในช่วงเวลานั้น ฉันใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของการต่อต้านและกีดกันเอมิลีอยู่ตลอด มักจะรู้สึกหงุดหงิดและเหนื่อยล้าโดยไม่ทราบสาเหตุ ฉันกลายเป็นคิดลบมากขึ้นเรื่อยๆ และหัวใจก็มืดมนลง ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า นับตั้งแต่ที่ข้าพระองค์เริ่มทำงานร่วมกับเอมิลี ข้าพระองค์ก็อยากแข่งขันกับเธอ และกังวลว่าเธอจะก้าวนำข้าพระองค์อยู่ตลอด ข้าพระองค์รู้ว่าสภาวะเช่นนี้ไม่ถูกต้อง แต่ข้าพระองค์มองแก่นแท้ในปัญหาของตนเองไม่ออก โปรดประทานความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ เพื่อให้ได้เข้าใจตนเองด้วยเถิด”
วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่เปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ และทำให้ฉันได้รับความเข้าใจตนเองขึ้นมาบ้าง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แก่นแท้ของศัตรูพระคริสต์มีลักษณะที่เด่นชัดที่สุดอยู่อย่างหนึ่งคือ พวกเขาผูกขาดอำนาจและใช้ความเผด็จการของตนเอง กล่าวคือ พวกเขาไม่ฟังใคร ไม่ให้ความเคารพผู้ใด และไม่ว่าผู้คนจะมีจุดแข็งอันใด หรือแสดงทัศนะที่ถูกต้องหรือความคิดเห็นด้วยปัญญาว่าอย่างไร หรือเสนอวิธีการอะไรที่เหมาะสม พวกเขาก็ไม่สนใจ เหมือนว่าไม่มีใครมีคุณสมบัติที่จะร่วมมือกับตน หรือมีส่วนร่วมในสิ่งใดก็ตามที่ตนทำอยู่ นี่คืออุปนิสัยแบบที่ศัตรูของพระคริสต์มี บางคนบอกว่านี่คือความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี—แต่จะเป็นความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีซึ่งพบเห็นกันทั่วไปได้อย่างไร? นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานโดยแท้ และอุปนิสัยเยี่ยงนี้ก็โหดร้ายอย่างยิ่ง เหตุใดเราจึงบอกว่าอุปนิสัยของพวกเขาโหดร้ายอย่างยิ่ง? ศัตรูของพระคริสต์ยึดทุกสิ่งไปจากพระนิเวศของพระเจ้าและยึดเอาทรัพย์สินของคริสตจักร ทำเหมือนสิ่งเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตนเอง จึงต้องให้ตนบริหารจัดการทั้งหมด และพวกเขาไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้ สิ่งเดียวที่พวกเขานึกถึงเวลาทำงานของคริสตจักรก็คือผลประโยชน์ของตนเอง สถานะของตนเอง และความภาคภูมิใจของตนเอง พวกเขาไม่ยอมให้ใครทำให้ผลประโยชน์ของตนเสียหาย และยิ่งไม่ยอมให้คนที่มีขีดความสามารถหรือคนที่กล่าวคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้ มาคุกคามความมีหน้ามีตาและสถานะของพวกเขา ดังนั้นในฐานะคู่แข่ง พวกเขาจึงพยายามป้องปรามและกีดกันคนที่สามารถกล่าวคำพยานจากประสบการณ์ รวมทั้งสามารถสามัคคีธรรมความจริงและจัดเตรียมให้แก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ และพวกเขาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะแยกผู้คนเหล่านี้ออกจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ทำให้ชื่อเสียงของคนเหล่านี้แปดเปื้อนด้วยประการทั้งปวง และโค่นล้มคนเหล่านี้ลง เมื่อนั้นเท่านั้นที่ศัตรูของพระคริสต์จะรู้สึกมีสันติสุข… ในความเป็นจริงแล้ว คนเหล่านี้มีคำพยานจากประสบการณ์อยู่บ้างและครองความเป็นจริงความจริงอยู่บ้าง พวกเขาค่อนข้างมีความเป็นมนุษย์ที่ดี มีมโนธรรมและเหตุผล และสามารถยอมรับความจริง และแม้พวกเขามีข้อบกพร่อง ความขาดตกบกพร่อง และการเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นครั้งคราวอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็สามารถทบทวนตัวเองและกลับใจได้ คนเหล่านี้คือผู้ที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด และคือผู้ที่มีความหวังที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า โดยสรุปคือ คนเหล่านี้เหมาะสมที่จะทำหน้าที่อย่างหนึ่ง พวกเขาตอบสนองข้อพึงประสงค์และหลักธรรมสำหรับการทำหน้าที่อย่างหนึ่ง แต่ศัตรูของพระคริสต์กลับคิดในใจว่า ‘ไม่มีทางที่ฉันจะยอมทนเรื่องนี้ คุณอยากมีบทบาทในพื้นที่ของฉัน อยากแข่งกับฉัน นั่นย่อมทำไม่ได้ อย่าคิดที่จะทำด้วยซ้ำ คุณมีการศึกษาสูงกว่าฉัน พูดจาฉะฉานกว่า ได้รับความนิยมมากกว่าฉัน และคุณก็ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยความขยันหมั่นเพียรมากกว่าฉัน ถ้าฉันร่วมมือกับคุณและคุณแย่งความสนใจไปจากฉัน แบบนั้นฉันจะทำอย่างไร?’ พวกเขาคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? ไม่” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)) พระเจ้าทรงเปิดโปงว่า ศัตรูของพระคริสต์ให้ความสำคัญกับสถานะและอำนาจเป็นพิเศษ ไม่ยอมให้ใครมาทำลายผลประโยชน์ของพวกเขา หากพวกเขาเห็นใครที่ดีกว่าตนเองและเป็นภัยต่อสถานะ พวกเขาจะกดขี่และกีดกันคนคนนั้น เมื่อเปรียบเทียบสิ่งนี้กับพฤติกรรมของฉัน ฉันตระหนักได้ว่าตนเองกำลังกระทำตัวเหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ เมื่อเห็นว่าเอมิลีไม่เพียงแต่สามัคคีธรรมความจริงและแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าฉัน แต่ยังค่อนข้างมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสายงานของพวกเราอีกด้วย ฉันก็กังวลว่าการทำงานร่วมกับเธอจะทำให้ฉันอวดตัวเองไม่ได้ ดังนั้น ฉันจึงกีดกันเธอและไม่ยอมให้เธอเข้ามามีส่วนร่วมในงานของฉัน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อปกป้องสถานะของตนเอง และหลีกเลี่ยงการต้องกระจายอำนาจ ผู้นำได้จัดแจงให้ฉันกับเอมิลีแบ่งงานกันทำและร่วมมือกัน ซึ่งการตัดสินใจนี้คำนึงถึงผลลัพธ์ของงานให้น้ำ แต่ฉันกลับต่อต้านอยู่ในใจ ถึงฉันจำใจให้เธอมีส่วนร่วม ฉันก็แค่ให้งานที่ไม่สำคัญกับเธอไป กลัวว่าถ้าทุกคนฟังเธอ ฉันจะสูญเสียสถานะในกลุ่ม เมื่อฮันเตอร์อยู่ในสภาวะไม่ดี เอมิลีได้สามัคคีธรรมกับเขาและแก้ไขปัญหาได้ทันที แต่แทนที่จะยินดี ฉันกลับหาข้ออ้างสารพัดมากดข่มเธอเพื่อปกป้องสถานะของตนเอง และป้องกันไม่ให้เธอเข้ามามีส่วนร่วมในงานที่ฉันรับผิดชอบอยู่ เมื่อโจนตำหนิเอมิลี ฉันก็แอบดีใจ หวังให้ทุกคนเริ่มมีอคติต่อเธอ เพื่อที่เธอจะได้ไม่เป็นภัยคุกคามต่อสถานะของฉันอีก เพราะการกีดกันของฉัน เอมิลีจึงไม่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในงานที่ฉันรับผิดชอบได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาวะของเธอ ฉันไม่ได้ทบทวนตนเอง กลับกันยังหวังให้เธอออกไปโดยเร็ว ฉันช่างเผด็จการเสียจริง พร้อมทั้งอยากได้อยากมีสถานะอย่างแรงกล้า เพื่อรักษาสถานะและอำนาจของตัวเอง ฉันกีดกันและกดข่มเอมิลีในทุกสิ่งที่ฉันทำ โดยไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรเลย ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจเหลือเกิน อีกทั้งยังไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ พฤติกรรมของฉันเป็นการสำแดงอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์อย่างชัดเจน!
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ซึ่งช่วยให้ฉันได้รับความเข้าใจถึงผลสืบเนื่องจากการกระทำของตัวเอง พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เมื่อผู้คนมีอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน พวกเขาสามารถต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้าเมื่อใดและที่ใดก็ได้ ผู้คนที่ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานสามารถปฏิเสธ ต่อต้าน และทรยศพระเจ้าได้ทุกเมื่อ ศัตรูของพระคริสต์นั้นโง่เขลามาก พวกเขาไม่ตระหนักในเรื่องนี้ คิดไปว่า ‘กว่าจะมีอำนาจ ฉันก็เจอปัญหามามากพอแล้ว จะแบ่งอำนาจให้ใครอื่นเพื่ออะไร? การมอบอำนาจให้คนอื่นหมายความว่าฉันจะไม่มีอำนาจเป็นของตัวเองไม่ใช่หรือ? แล้วถ้าไม่มีอำนาจ ฉันจะแสดงความสามารถพิเศษและฝีมือของตัวเองได้อย่างไร?’ พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ผู้คนนั้นไม่ใช่อำนาจหรือสถานะ แต่เป็นหน้าที่ ศัตรูของพระคริสต์ยอมรับแต่อำนาจและสถานะเท่านั้น พวกเขาละเลยหน้าที่ และไม่ทำงานจริง แต่กลับไล่ตามไขว่คว้าเพียงชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ เอาแต่อยากชิงอำนาจ ควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และหลงระเริงกับผลประโยชน์จากสถานะเท่านั้น การทำสิ่งต่างๆ แบบนี้อันตรายมาก—นี่คือการต่อต้านพระเจ้า! ใครก็ตามที่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ แทนที่จะทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม ย่อมกำลังเล่นกับไฟและเล่นกับชีวิตของตนเอง ผู้ที่เล่นกับไฟและชีวิตของตนย่อมจะพาให้ตัวเองจบสิ้นได้ทุกขณะ วันนี้ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน เจ้ากำลังรับใช้พระเจ้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดา เจ้าไม่ได้กำลังทำสิ่งต่างๆ เพื่อใครบางคน และยิ่งไม่ได้ทำงานเพื่อชำระค่าใช้จ่ายและหาอาหารมาเลี้ยงดูครอบครัว แต่เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนในคริสตจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงว่าหน้าที่นี้มาจากพระบัญชาของพระเจ้า การปฏิบัติหน้าที่แสดงนัยว่าอย่างไร? ว่าเจ้าต้องรายงานหน้าที่ของเจ้าต่อพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีหรือไม่ก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วต้องมีคำอธิบายต่อพระเจ้า และต้องมีผลลัพธ์ สิ่งที่เจ้าได้รับไว้แล้วคือพระบัญชาของพระเจ้า เป็นความรับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นไม่ว่าความรับผิดชอบนี้จะสำคัญหรือเล็กน้อยเพียงใด ก็เป็นเรื่องจริงจัง จริงจังขนาดไหน? ถ้ามองในวงแคบ นี่คือเรื่องที่ว่าเจ้าสามารถได้มาซึ่งความจริงในชีวิตนี้หรือไม่และพระเจ้าทรงมองเจ้าว่าอย่างไร ถ้ามองภาพให้กว้างขึ้น นี่สัมพันธ์โดยตรงกับโอกาสในอนาคตและชะตากรรม รวมทั้งจุดจบของเจ้า ถ้าเจ้าทำความชั่วและต่อต้านพระเจ้า เจ้าก็จะถูกกล่าวโทษและลงทัณฑ์ พระเจ้าทรงบันทึกทุกสิ่งที่เจ้าทำเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน พระเจ้าทรงมีหลักธรรมและมาตรฐานของพระองค์เองว่าจะให้คะแนนและประเมินอย่างไร พระเจ้าทรงพิจารณาจุดจบของเจ้าตามทุกสิ่งที่เจ้าสำแดงออกมาเวลาปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)) พระวจนะของพระเจ้าอธิบายไว้อย่างชัดเจนถึงผลสืบนื่องจากการไล่ตามไขว่คว้าสถานะของศัตรูของพระคริสต์ ศัตรูของพระคริสต์ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ไล่ตามไขว่คว้าเพียงชื่อเสียงและสถานะ พวกเขายึดถืออำนาจและสถานะเหนือสิ่งอื่นใด เกาะกุมอำนาจไว้แน่นและไม่ยอมปล่อย ต้องการเป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว และไม่ยอมให้ใครเข้ามามีส่วนร่วมในงานของพวกเขา ท้ายที่สุด พวกเขาก็ถูกเผยและกำจัดออกไปเพราะการต่อต้านพระเจ้า เมื่อคิดถึงตัวเอง หลังจากได้รับเลือกให้เป็นผู้ดูแลงานให้น้ำ ฉันเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างในงาน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ ทุกคนมาถามฉันเมื่อพวกเขามีปัญหาและฟังฉัน และฉันก็ชอบใจความรู้สึกนี้เป็นพิเศษที่ได้เป็นคนตัดสินใจ หลังจากเอมิลีได้เข้ามาร่วมงานกับเรา ฉันสังเกตว่าเธอโดดเด่นกว่าฉันในหลายด้าน ฉันกังวลว่าทุกคนจะเริ่มไปหาเธอเมื่อมีปัญหา ทำให้ฉันเสียสิทธิ์ในการพูดและอำนาจในการตัดสินใจในหมู่พวกเขา ดังนั้นฉันจึงกีดกันเธอทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ผู้นำขอให้ฉันแบ่งงานและร่วมมือกับเธอ หรือพี่น้องชายหญิงอยากให้เธอเข้าร่วมการหารืองาน ฉันก็ต่อต้านอยู่ในใจ ฉันถึงขนาดหาข้ออ้างเพื่อผลักไสเธอออกไป ไม่ยอมให้เธอได้มีส่วนร่วมในงาน และต้องการมีอำนาจเหนือกลุ่ม เพื่อที่พี่น้องชายหญิงจะได้ฟังแต่ฉันเวลาที่พวกเขามีปัญหา คริสตจักรได้มอบหมายหน้าที่สำคัญขนาดนี้ให้กับฉัน แต่ฉันกลับไม่เคยคิดว่าจะทำงานให้ดีได้อย่างไร กลับกัน ฉันใช้เวลาทั้งหมดคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เอมิลีเด่นเกินหน้า และวิธีรักษาสถานะของตัวเอง ความอยากได้อยากมีในชื่อเสียงและสถานะของฉันนั้นแรงกล้าเกินไป พระเจ้าตรัสว่า “ใครก็ตามที่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ แทนที่จะทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม ย่อมกำลังเล่นกับไฟและเล่นกับชีวิตของตนเอง ผู้ที่เล่นกับไฟและชีวิตของตนย่อมจะพาให้ตัวเองจบสิ้นได้ทุกขณะ” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)) การอ่านพระวจนะของพระเจ้า ทำให้ฉันรู้สึกกลัวอย่างมาก ตระหนักได้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าทรงชอบธรรมและไม่ผ่อนปรนต่อการถูกล่วงเกิน หากฉันไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะต่อไปโดยไม่มีการกลับใจ ทั้งยังเอาแต่กีดกันและโจมตีเอมิลีไม่หยุด ฉันก็จะลงเอยด้วยการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า ถูกเผยและถูกกำจัดออกไป ฉันยังนึกถึงพวกศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกขับไล่ออกจากคริสตจักร เมื่อมีคนที่ดีกว่าและวางท่าเป็นภัยคุกคามต่อสถานะของพวกเขา พวกเขาจะมองคนคนนั้นเป็นศัตรู และใช้วิธีการที่น่ารังเกียจต่างๆ เพื่อกดข่ม กีดกัน และทรมานคนเหล่านั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการยึดอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว สุดท้าย พวกเขาก็ถูกขับไล่ออกจากคริสตจักรเพราะการทำความชั่วมากมาย เช่นเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ต้องการรวบอำนาจการปกครองไว้ ต้องการอย่างเต็มที่ที่จะให้ทุกคนก้มหัวให้มัน มันโหดเหี้ยมกับผู้ที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อสถานะของมัน และต้องการกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก โดยพยายามรักษาสถานะและอำนาจไว้ในกำมืออย่างมั่นคงตลอดไป เมื่อมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง การกระทำของฉันที่พยายามรักษาสถานะของตัวเองด้วยการกีดกันเอมิลี แตกต่างจากธรรมชาติของพวกศัตรูของพระคริสต์และพญานาคใหญ่สีแดงตรงไหน? การตระหนักเช่นนี้ทำให้ฉันกลัว และฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าในการกลับใจ ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้แก้ไขปัญหาของตัวเอง
ไม่กี่วันต่อมา มีการประกาศเตือนภัยไต้ฝุ่นอย่างกะทันหันในพื้นที่ของเอมิลี ระหว่างการประชุมก่อนที่พายุไต้ฝุ่นจะมาถึง เธอรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างลึกซึ้งและพูดว่า “เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น ฉันรู้สึกว่าการได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก แต่ฉันกลับไม่ได้คว้าโอกาสนี้เอาไว้ หรือทำให้ดีที่สุดเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย…” เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉันก็รู้สึกตำหนิตัวเองอย่างหนัก ในช่วงเวลานี้ ฉันเอาแต่แข่งขันกับเอมิลีเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ กีดกันเธอทุกทางเพื่อรักษาสถานะของตนเอง ไม่ให้ความร่วมมือกับเธออย่างถูกควร หรือทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกเสียใจทั้งต่อเอมิลีและพระเจ้า ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ ในหัวใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า หากข้าพระองค์ไม่มีโอกาสได้ร่วมมือกับเอมิลีอีกในอนาคต ข้าพระองค์คงจะเสียใจไปตลอด หากเริ่มต้นใหม่ได้ ข้าพระองค์จะคว้าโอกาสนั้นและร่วมมือกับเธออย่างถูกควร” ในบ่ายวันนั้น ฉันรู้ว่าไต้ฝุ่นได้ผ่านพ้นไปแล้ว และพื้นที่ของเอมิลีก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ฉันขอบคุณพระเจ้าไม่หยุดสำหรับการทรงคุ้มครองของพระองค์
หลังจากนั้น ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติและการเข้าสู่ ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “ไม่ว่าทิศทางหรือเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของเจ้าคืออะไร หากเจ้าไม่ทบทวนการไล่ตามไขว่คว้าสถานะและความมีหน้ามีตา และหากเจ้าพบว่าเป็นการยากมากที่จะละวางสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า ตราบใดที่สถานะมีที่ทางในหัวใจของเจ้า สถานะก็จะควบคุมและมีอิทธิพลต่อทิศทางชีวิตของเจ้าและจุดหมายที่เจ้าเพียรพยายามบรรลุจนหมดสิ้น ซึ่งในกรณีนี้ย่อมจะยากมากที่เจ้าจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า การที่เจ้าจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่ในท้ายที่สุดนั้นแน่นอนว่าชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หากเจ้าไม่มีวันสามารถละวางการไล่ตามไขว่คว้าสถานะของตน นี่ย่อมจะส่งผลกระทบต่อความสามารถของเจ้าที่จะทำหน้าที่ของตนได้อย่างเพียงพอ ซึ่งจะทำให้ยากมากที่เจ้าจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งเป็นที่ยอมรับ เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้? พระเจ้าไม่ทรงเกลียดสิ่งใดมากไปกว่าเวลาที่ผู้คนไล่ตามไขว่คว้าสถานะ เพราะการไล่ตามไขว่คว้าสถานะคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เป็นเส้นทางที่ผิด และเกิดจากความเสื่อมทรามของซาตาน เป็นบางสิ่งที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษ และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพิพากษาและชำระให้บริสุทธิ์ พระเจ้าไม่ทรงเกลียดสิ่งใดมากไปกว่าเวลาที่ผู้คนไล่ตามไขว่คว้าสถานะ แต่ทว่าเจ้ายังคงแข่งขันกันอย่างดันทุรังเพื่อสถานะ เจ้าทะนุถนอมและปกป้องสถานะอย่างไม่ลดละ พยายามเอาสถานะมาเป็นของตนเองอยู่เสมอ และโดยธรรมชาติแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นปรปักษ์กับพระเจ้ามิใช่หรือ? พระเจ้าไม่ได้ทรงลิขิตสถานะขึ้นมาให้แก่ผู้คน พระเจ้าทรงจัดเตรียมความจริง หนทาง และชีวิตให้ผู้คน และในท้ายที่สุดแล้วก็ทรงทำให้พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ยอมรับได้ เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเล็กๆ และไร้นัยสำคัญของพระเจ้า—ไม่ใช่ใครบางคนที่มีสถานะและความมีเกียรติในสังคมและเป็นที่เคารพของผู้คนหลายพันคน” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม)) หลังจากได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่า การไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะนั้นตรงกันข้ามกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง ยิ่งคนไล่ตามไขว่คว้าสถานะมากเท่าไร พระเจ้าก็ยิ่งทรงเกลียดชังพวกเขามากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งห่างไกลจากพระประสงค์ของพระองค์ออกไปอีก ในที่สุด พวกเขาจะต่อต้านพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะนำไปสู่การถูกพระเจ้าลงโทษและกำจัดออกไป สิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงควรนบนอบอธิปไตยของพระเจ้าอย่างมีมโนธรรม และทำหน้าที่ของตนในลักษณะติดดินเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย นี่คือการไล่ตามเสาะหาที่ผู้คนควรมี พระเจ้าทรงโปรดปรานฉันและประทานโอกาสให้ฉันได้ปฏิบัติงานในฐานะผู้ดูแล ก็เพื่อช่วยให้ฉันทำหน้าที่ของตนได้อย่างถูกควร และใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของฉันในการทำงานให้ดี ไม่ใช่เพื่อมอบอำนาจให้ฉัน และยิ่งไม่ใช่เพื่อให้ฉันไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะ ฉันจำเป็นต้องละทิ้งความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมี ร่วมมือกับเอมิลีอย่างถูกควร และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทหนึ่งเกี่ยวกับวิธีการร่วมมือกับผู้อื่นที่ว่า “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร การร่วมมือกับผู้อื่นยากหรือไม่? อันที่จริงแล้วไม่ยาก พวกเจ้าสามารถพูดว่าง่ายด้วยซ้ำ แต่เหตุใดผู้คนจึงยังคงรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องยาก? เพราะพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม สำหรับผู้ที่ครองสภาวะความเป็นมนุษย์ มโนธรรม และเหตุผล การร่วมมือกับผู้อื่นนั้นค่อนข้างง่าย และพวกเขาสามารถรู้สึกได้ว่านี่เป็นบางสิ่งที่ชวนให้ชื่นบาน นี่เป็นเพราะการที่ใครสักคนจะทำสิ่งทั้งหลายให้สำเร็จลุล่วงด้วยตนเองไม่ใช่การง่าย และไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสายงานใดหรือพวกเขากำลังทำสิ่งใดอยู่ก็ตาม การมีใครบางคนอยู่ในที่นั้นด้วย ชี้แจงสิ่งต่างๆ และให้ความช่วยเหลือย่อมดีเสมอ—ง่ายกว่าการทำสิ่งนั้นด้วยตนเองเป็นอันมาก นอกจากนี้ยังมีขีดจำกัดในสิ่งที่ขีดความสามารถของผู้คนสามารถทำได้หรือสิ่งที่พวกเขาสามารถมีประสบการณ์ด้วยตนเองได้อีกด้วย ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญทุกศาสตร์ กล่าวคือ เป็นไปไม่ได้ที่บุคคลหนึ่งๆ จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ สำเร็จลุล่วงทุกสิ่งทุกอย่าง—นั่นเป็นไปไม่ได้ และทุกคนควรมีเหตุผลเช่นนี้ ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญหรือไม่ เจ้าจำเป็นจะต้องมีใครสักคนอยู่ตรงนั้นเสมอเพื่อคอยช่วยเหลือเจ้า ให้คำชี้แนะและคำแนะนำ หรือร่วมมือทำสิ่งต่างๆ กับเจ้า นี่เป็นทางเดียวที่จะแน่ใจได้ว่าเจ้าจะทำสิ่งทั้งหลายให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ผิดพลาดน้อยลง และมีแนวโน้มที่จะหลงผิดน้อยลง—นี่จึงเป็นเรื่องดี” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)) พระเจ้าตรัสไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับความหมายและความสำคัญของการร่วมมือกัน ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะมีความสามารถเพียงใด ไม่มีใครที่เก่งกาจไปเสียทุกอย่าง ทุกคนต่างต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น การร่วมมือกันช่วยให้เราสามารถเติมเต็มข้อบกพร่องของกันและกัน และหลีกเลี่ยงการเดินไปในทางที่ผิด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรด้วย การร่วมมือกับผู้อื่นและรับฟังความคิดเห็นของพวกเขา เป็นสิ่งที่คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติและมีเหตุผลควรทำ เมื่อได้คิดทบทวนตัวเอง แม้ว่าฉันจะเป็นผู้ดูแลงานให้น้ำ และเชื่อว่าตัวเองมีประสบการณ์และขีดความสามารถอยู่บ้าง รู้ภาษาต่างประเทศนิดหน่อย และดูเหมือนจะสามารถทำงานบางอย่างได้ แต่ฉันก็มักทำหน้าที่โดยใช้ความคิดและประสบการณ์ของตัวเอง แทบไม่เคยแสวงหาหลักธรรมความจริง การพึ่งพาสิ่งเล็กน้อยที่ฉันมีเพื่อทำงานตามลำพัง ทำให้มุมมองต่อปัญหาของฉันไม่แม่นยำหรือครอบคลุมทุกครั้ง มักจะมีการเบี่ยงเบนอยู่บ่อยๆ และผลลัพธ์ในงานของฉันก็ค่อนข้างแย่อยู่เสมอ เมื่อเทียบกับฉัน เอมิลีมีขีดความสามารถดีกว่าและเข้าใจความจริงมากกว่า เธอแสวงหาหลักความจริงเมื่อเผชิญกับปัญหา และจะทบทวนและเข้าใจตัวเองเมื่อเธอเผยให้เห็นถึงความเสื่อมทราม จุดแข็งของเธอคือสิ่งที่ฉันขาดอย่างชัดเจน พระเจ้าทรงวางคนที่ดีกว่าฉันไว้ข้างๆ เพื่อช่วยให้พวกเราสามารถเติมเต็มกันและกัน และทำหน้าที่ของพวกเราให้ดี สิ่งนี้ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของฉันเองด้วย นี่คือการแสดงความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อฉัน หลังจากเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้ว ฉันจึงอธิษฐานถึงพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เคยอิจฉาเอมิลีและแข่งขันกับเธออยู่ตลอด ถึงขั้นกดข่มและเยาะเย้ยเธอ ในที่สุด ตอนนี้ข้าพระองค์ก็เห็นแล้วว่า พระองค์ทรงจัดการเตรียมการให้เอมิลีมาทำงานร่วมกับข้าพระองค์เพื่อชดเชยข้อบกพร่องของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอบคุณพระองค์จากก้นบึ้งของหัวใจ จากนี้ไป ข้าพระองค์ยินดีร่วมมือกับเอมิลีอย่างถูกควรและทำหน้าที่ของตนเองให้ดี และจะไม่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะอีกต่อไป” หลังจากนั้น ฉันเป็นฝ่ายเริ่มเปิดใจในการเผยความเสื่อมทรามของตัวเองกับเอมิลี หลังจากการสามัคคีธรรม ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมาก และพวกเราทั้งคู่ก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น หลังจากนั้น ในการทำหน้าที่ของฉัน ฉันไม่มองเธอเป็นคู่แข่งอีกต่อไป แต่เห็นเธอเป็นผู้ช่วย เมื่อมีปัญหาภายในกลุ่ม ฉันเป็นฝ่ายเริ่มสื่อสารและหารือกับเธอ เมื่อพวกเราไม่เข้าใจบางเรื่อง พวกเราก็แสวงหาร่วมกัน และสามัคคีธรรมแลกเปลี่ยนข้อคิดของกันและกัน ด้วยหนทางนี้ พวกเราสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้า และสามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้บางอย่าง
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีพี่น้องชายคนหนึ่งส่งผลกระทบต่องาน เนื่องจากเขาทำหน้าที่อย่างสุกเอาเผากินอยู่เนืองนิจ พวกเราจำเป็นต้องสามัคคีธรรมกับเขาและปลดเขาออก ฉันกังวลว่าตนเองจะสามัคคีธรรมได้ไม่ชัดเจนและชี้ให้เห็นถึงปัญหาของเขาไม่ได้ ฉันคิดว่าการสามัคคีธรรมความจริงของเอมิลีให้ความกระจ่างมากกว่าของฉัน และคิดจะขอให้เธอมาร่วมสามัคคีธรรมด้วยกัน แต่ฉันก็รู้สึกหวั่นอยู่ในใจ คิดว่า “ถ้าฉันเป็นฝ่ายขอให้เธอเข้ามามีส่วนร่วมในงานของฉัน จะไม่ทำให้ฉันดูเหมือนไม่มีความสามารถหรอกหรือ?” เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้น ฉันรู้ตัวทันทีว่าสภาวะของฉันไม่ถูกต้อง ฉันกำลังพยายามปกป้องชื่อเสียงและสถานะของตนเองอีกแล้ว ดังนั้น ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า และได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “ผู้คนได้รับผลลัพธ์จากสิ่งทั้งหลายที่พวกเขามุ่งความสนใจไป ที่ใดก็ตามที่พวกเขามานะพยายาม หากเจ้ามุ่งความสนใจไปที่คำสอนอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะได้รับเพียงคำสอนเท่านั้น หากเจ้ามุ่งความสนใจไปที่การได้มาซึ่งสถานะและอำนาจ เช่นนั้นแล้วสถานะและอำนาจของเจ้าก็อาจจะมั่นคง แต่เจ้าจะยังไม่ได้รับความจริง และเจ้าจะถูกกำจัดออกไป ไม่ว่าเจ้าจะทำหน้าที่ใดก็ตาม การเข้าสู่ชีวิตคือสิ่งสำคัญ เจ้าไม่อาจผ่อนคลายในเรื่องนี้ได้ และเจ้าก็ไม่สามารถสะเพร่าได้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หกข้อบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตในชีวิต) “มีเพียงเมื่อร่วมมือกันด้วยความปรองดองเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถได้รับการอวยพรเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และยิ่งคนเราได้รับประสบการณ์กับการนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น ยามที่พวกเขาเดินไป เส้นทางของพวกเขาย่อมสว่างขึ้น และพวกเขาก็สบายใจยิ่งขึ้นทุกที” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ว่าด้วยการร่วมมือกันอย่างปรองดอง) พระวจนะของพระเจ้าให้เส้นทางแห่งการปฏิบัติที่ชัดเจนแก่ฉัน การไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะคือเส้นทางแห่งการต่อต้านพระเจ้า และในที่สุดจะนำไปสู่การถูกกำจัดออกไปเท่านั้น ฉันจะเอาแต่กังวลว่าสถานะของฉันจะมั่นคงหรือไม่ และพี่น้องชายหญิงจะคิดยกย่องฉันหรือเปล่าไม่ได้อีกแล้ว ฉันควรคำนึงถึงงานของคริสตจักร และทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่องานนั้น เมื่อตระหนักได้แบบนี้ ฉันก็รู้สึกโล่งใจขึ้น และฉันก็เชิญเอมิลีมาร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายคนนั้น หลังจากการสามัคคีธรรม เขาก็ได้รับความเข้าใจในธรรมชาติของปัญหาของตัวเองขึ้นบ้าง ในที่สุด ฉันก็ได้มีประสบการณ์กับความชื่นบานยินดีของการร่วมมือกันอย่างปรองดอง รวมถึงความสงบและความสุขที่มาจากการปฏิบัติตามความจริง ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ