โซ่ตรวนแห่งชื่อเสียงและผลประโยชน์
ในปี 2015 ผมได้ถูกเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักรในการเลือกตั้งประจำปี ผมตื่นเต้นมาก และคิดว่า การที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำจากพี่น้องชายหญิงหลายสิบคน แปลว่าผมนั้นต้องมีดีกว่าคนอื่นแน่ จากนั้นเป็นต้นมาในหน้าที่ของผม พี่น้องชายหญิงจะมาสามัคคีธรรมกับผมเมื่อพวกเขามีความลำบากยากเย็นกับการเข้าสู่ชีวิต และบรรดาผู้นำทีมก็จะหารือกับผมถึงประเด็นปัญหาที่พวกเขาเผชิญในงานของคริสตจักร ผมอดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกถึงความเหนือกว่า ผมเดินยืดอกอย่างโอหัง และเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ในเวลาที่สามัคคีธรรมในการชุมนุม หลังจากนั้นไม่นาน ผมสังเกตว่าพี่น้องหญิงหลิว เพื่อนร่วมงานของผม เป็นคนมีขีดความสามารถที่ดี การสามัคคีธรรมเรื่องความจริงของเธอนั้นกระจ่างชัดมาก และเธอยังสามารถเข้าถึงรากเหง้าปัญหาของผู้คนเพื่อแก้ไขมัน เธอยังชี้ให้เห็นถึงแนวทางปฏิบัติด้วย และทุกคนต่างต้องการฟังการสามัคคีธรรมของเธอ ผมทั้งชื่นชมและอิจฉาเธอ แต่ผมไม่อยากให้เธอแซงหน้า ผมจึงเตรียมตัวอย่างดีก่อนร่วมชุมนุมทุกครั้ง ผมใช้สมองอย่างหนัก เพื่อคิดว่าจะสามัคคีธรรมอย่างไรให้ครอบคลุมมากกว่าและให้มีความสว่างมากกว่า เพื่อให้ผมดูดีกว่าเธอ ครั้นผมเห็นพี่น้องชายหญิงพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อผมสามัคคีธรรมจบ ผมก็รู้สึกพอใจในตัวเองอย่างมาก และมีสำนึกรับรู้ถึงความสำเร็จ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมก็ได้ค้นพบว่า พี่ชายเจิ้งเพื่อนร่วมงานของผม ค่อนข้างมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านภาพยนตร์ และค้นพบว่าเขาเก่งด้านคอมพิวเตอร์ บรรดาพี่น้องชายหญิงที่มีหน้าที่ด้านdการทำภาพยนตร์มักจะหารือเรื่องนี้กับเขาเสมอ และในฐานะผู้นำคริสตจักร ผมกลับไม่มีอะไรจะพูดเสริม ผมรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน และนั่นทำให้ผมไม่พอใจจริงๆ ผมคิดว่า ที่พวกเขามองหาพี่เจิ้งเสมอเวลามีปัญหา พวกเขาต้องคิดว่าผมสู้พี่เจิ้งไม่ได้ ผมคิดว่ามันคงจะดีมาก หากผมรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับภาพยนต์ด้วย เมื่อนั้น พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นคงมาหารือประเด็นปัญหากับผมบ้าง ผมเริ่มตื่นแต่เช้าและอยู่จนดึกดื่น เพื่อค้นคว้าและเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการทำภาพยนตร์ ผมจะได้สามารถรู้มากขึ้น ผมเพิกเฉยต่อประเด็นปัญหาทั้งหมดในคริสตจักรอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งสภาวะของพี่น้องชายหญิงด้วย ไม่นานหลังจากนั้น ก็เริ่มปรากฏปัญหาขึ้นในงานของหลายๆ ทีม ซึ่งผมไม่สามารถแก้ไขได้ ไม่ว่าผมจะสามัคคีธรรมหรือจัดการชุมนุมอย่างไร เมื่อสภาวะของพี่น้องชายหญิงไม่ได้รับการแก้ไข ความคืบหน้าในการผลิตภาพยนตร์ก็ถูกขัดขวาง และปัญหาต่างๆ ก็เรียงกันเข้ามา ผมอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างหนักจนแทบหายใจไม่ออก ผมรู้สึกทุกข์ทรมาน ผมกังวลถึงสิ่งที่คนอื่นจะคิดเกี่ยวกับผม หากพวกเขาคิดว่าผมขาดความสามารถในการเป็นผู้นำโดยสิ้นเชิง และผมไม่มีคุณสมบัติพอที่จะปฏิบัติหน้าที่ ดูเหมือนว่าผมคงจะไม่สามารถดำรงตำแหน่งในผู้นำได้อีกต่อไป ผมกลายเป็นคิดลบมากยิ่งขึ้นเมื่อผมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมรู้สึกเหมือนลูกโป่งที่โดนปล่อยลม และไม่มีพลังงานที่ผมเคยมีเมื่อก่อน เมื่อใช้ชีวิตอยู่กับความคิดด้านลบ และหย่อนยานในหน้าที่ของผม ในที่สุดผมก็เสียพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ไป เมื่อผมไม่สัมฤทธิ์สิ่งใดในหน้าที่ของผม ผมจึงถูกแทนที่ ในตอนนั้น ผมรู้สึกเสียหน้ามาก และผมอยากโดนธรณีสูบหายไป ผมยังนึกไปอีกว่า “พี่น้องชายหญิงจะพูดไหมว่าผมเป็นผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ปฏิบัติงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง” ยิ่งคิดผมก็ยิ่งว้าวุ่นใจ
คืนนั้นผมนอนกระสับกระส่าย ไม่สามารถหลับลงได้ ผมอธิษฐานเรียกหาพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ขอให้พระองค์ทรงชี้นำ ให้ผมรู้ถึงสภาวะของผมเอง แล้วผมก็อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า “ในการแสวงหาของพวกเจ้านั้น พวกเจ้ามีมโนคติที่หลงผิด ความหวัง และอนาคตของแต่ละคนมากเกินไป พระราชกิจปัจจุบันเป็นไปเพื่อที่จะจัดการกับความอยากของพวกเจ้าที่มีต่อสถานะและความอยากอันฟุ้งเฟ้อของพวกเจ้า ความหวัง สถานะ และมโนคติที่หลงผิดทั้งหมดเป็นตัวแทนชั้นเยี่ยมของอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เหตุผลที่สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในหัวใจของผู้คนนั้นเป็นเพราะพิษของซาตานที่คอยกัดกร่อนความคิดของผู้คนอยู่ตลอดเวลาโดยทั้งสิ้น และผู้คนมักจะไร้ความสามารถที่จะสลัดการทดลองเหล่านี้ของซาตานอยู่ตลอดเวลา พวกเขากำลังใช้ชีวิตในท่ามกลางบาปแต่กระนั้นก็ยังไม่เชื่อว่ามันเป็นบาป และพวกเขายังคงคิดว่า ‘พวกเราเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพระองค์ต้องประทานพระพรแก่พวกเราและทรงจัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับพวกเราอย่างเหมาะสม พวกเราเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพวกเราต้องเหนือกว่าคนอื่น และพวกเราต้องมีสถานะที่มากกว่าและอนาคตที่มากกว่าใครอื่น เนื่องจากพวกเราเชื่อในพระเจ้า พระองค์ต้องทรงมอบพระพรอันไร้ขีดจำกัดแก่พวกเรา มิฉะนั้นแล้ว มันก็คงจะไม่ได้เรียกว่าการเชื่อในพระเจ้า’…ยิ่งเจ้าแสวงหาในหนทางนี้มากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งจะเก็บเกี่ยวได้น้อยลงเท่านั้น ยิ่งความอยากได้สถานะของบุคคลหนึ่งมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งจะต้องได้รับการจัดการอย่างจริงจังมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งจะต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุงที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น ผู้คนเช่นนั้นไร้ค่า! พวกเขาต้องได้รับการจัดการและได้รับการพิพากษาอย่างพอเพียงเพื่อที่พวกเขาจะได้ปล่อยวางสิ่งเหล่านี้อย่างถ้วนทั่ว หากพวกเจ้าไล่ตามเสาะหาหนทางนี้จนกระทั่งถึงที่สุด พวกเจ้าจะไม่ได้เก็บเกี่ยวสิ่งใดเลย พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาชีวิตไม่สามารถได้รับการแปลงสภาพ และพวกที่ไม่ได้กระหายความจริงไม่สามารถได้รับความจริง เจ้าไม่ได้มุ่งเน้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาการแปลงสภาพและการเข้าสู่ส่วนบุคคล แต่กลับมุ่งเน้นอยู่กับความอยากอันฟุ้งเฟ้อและสิ่งต่างๆ ที่จำกัดความรักของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าและป้องกันเจ้าจากการเข้าใกล้พระองค์ สิ่งเหล่านั้นสามารถแปลงสภาพเจ้าได้หรือไม่? สิ่งเหล่านั้นสามารถนำพาเจ้าเข้าไปสู่ราชอาณาจักรได้หรือไม่?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?) ผมได้ทบทวนสภาวะปัจจุบันของผมหลังอ่านพระวจนะนี้ ตั้งแต่เข้ารับหน้าที่เป็นผู้นำ ผมไม่ได้ทำสิ่งใดเลยนอกจากไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานะ และต้องการที่จะอยู่เหนือผู้อื่น เมื่อผมเห็นการสามัคคีธรรมเรื่องความจริงของพี่น้องหลิวดีกว่าการสามัคคีธรรมของผม ผมก็กลัวว่าเธอจะแซงหน้าผม ผมคิดว่าจะสามัคคีธรรมอย่างไรให้ดีกว่าเธอ เพื่อที่คนอื่นจะได้ยกย่องสรรเสริญผม เมื่อผมเห็นพี่เจิ้งมีทักษะความชำนาญ และพี่น้องชายหญิงหลายคนพูดคุยกับเขาถึงประเด็นปัญหาในหน้าที่ของพวกเขา ผมก็อิจฉาและไม่ยอมรับเขา ผมทำงานหนักเพื่อให้ตัวผมมีความรู้เพื่อจะได้นำหน้าเขา และถึงขั้นละเลยปัญหาภายในทีมต่างๆ เมื่อผมไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหาของบรรดาพี่น้องชายหญิงได้ ผมก็ไม่ได้พึ่งพิงพระเจ้า หรือแสวงหาความจริงกับบรรดาพี่น้องชายหญิงเพื่อหาทางแก้ไขผ่านการสามัคคีธรรม ผมแค่กังวลเกี่ยวกับการสูญเสียสถานะของผม กลัวว่าผมจะไม่สามารถรักษาตำแหน่งของผมในฐานะผู้นำเอาไว้ได้ หากผมไม่ทำหน้าที่ของผมให้ดี เช่นนั้นแล้ว ในที่สุดผมก็ตระหนักว่า ผมไม่ได้ทำหน้าที่ของผมโดยคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าเลย แต่เพื่อสนองความทะเยอทะยานอันสุดโต่งของผม ที่จะดีกว่าผู้อื่น ที่จะชี้นิ้วสั่งผู้อื่น พี่น้องชายหญิงมอบความไว้วางใจในตัวผม และเลือกตั้งผมให้เป็นผู้นำคริสตจักร แต่ผมไม่ได้นึกถึงงานของคริสตจักร หรือการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ผมไม่ได้แบกรับหน้าที่ของผมหรือรับผิดชอบอย่างจริงจัง และการนี้จบลงด้วยการสร้างความเสียหายให้งานของคริสตจักร ผมเห็นแก่ตัว และน่ารังเกียจยิ่งนัก ผมไม่ได้ทำหน้าที่ของผม ผมทำความชั่วและต่อต้านพระเจ้า! ผมเสียใจที่ไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในความเชื่อของผม แต่ต่อสู้เพื่อชื่อและผลประโยชน์อยู่เสมอ ทำให้พระเจ้าทรงชิงชัง การถูกปลดออกจากหน้าที่ของผม คือการพิพากษาและการตีสอนอันชอบธรรมของพระเจ้า พระองค์ไม่ได้ทรงกำจัดผม แต่ทรงให้ผมถูกแทนที่ เพื่อผมจะได้ทบทวนพฤติกรรมของตนเอง นั่นคือพระเจ้าทรงปกป้องและทรงช่วยผมให้รอด! สภาวะของผมค่อยๆ ดีขึ้นผ่านช่วงเวลาแห่งการอุทิศตนและทบทวนตัวเอง ดังนั้น ผู้นำคริสตจักรจึงจัดการเตรียมการให้ผมเข้ารับหน้าที่ประจำ ผมสำนึกขอบคุณต่อพระเจ้าอย่างยิ่งที่ให้โอกาสนั้นกับผม และผมตกลงใจแน่วแน่ว่าจะรักษาหน้าที่นี้ไว้ให้ดีอย่างแน่นอน และหยุดการไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานะ บนเส้นทางที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า
หลังจากประสบการณ์คราวนั้น ผมคิดว่าผมสามารถปล่อยวางความปรารถนาที่มีต่อชื่อและสถานะได้บ้างแล้ว แต่ผมได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งเกินไป อุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยความเข้าใจและการไตร่ตรองเพียงเล็กน้อย ดังนั้น พระเจ้าจึงได้ทรงสร้างสถานการณ์เพื่อเปิดโปงผมและช่วยผมให้รอดอีกครั้ง
วันหนึ่ง ไม่กี่เดือนต่อมา ผู้นำคริสตจักรบอกให้พวกเราเลือกผู้นำทีม ทันทีที่ผมได้ยินเรื่องนี้ ผมก็เริ่มชั่งใจว่า “ผมจะมีโอกาสได้รับเลือกให้เป็นผู้นำทีมหรือไม่? ผมเป็นคนงานที่มีความสามารถดีทีเดียว แต่ไม่มีทักษะความเชี่ยวชาญใดๆ ดังนั้นโอกาสของผมคงมีไม่มากนัก” จากนั้นผมจึงได้พิจารณาพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ สองสามคนในทีม พี่จางเก่งในทักษะอาชีพต่างๆ และการสามัคคีธรรมของเขาเรื่องความจริงก็สัมพันธ์กับชีวิตจริง บวกกับเขามีสำนึกรับรู้แห่งความเที่ยงธรรม และเขา สามารถสนับสนุนค้ำจุนงานของคริสตจักรได้ โดยรวมแล้ว ดูเหมือนเขามีแววว่าจะได้รับเลือกมากกว่า ผมนึกถึงตอนที่ผมเคยมอบหมายงานให้กับพี่จาง สมัยที่ผมยังเป็นผู้นำคริสตจักร แต่หากเขาได้รับเลือกเป็นผู้นำทีม เขาก็คงจะบอกว่าผมต้องทำอะไรนั่นจะไม่ทำให้ผมดูด้อยกว่าเขาหรือ? ความคิดนี้ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง เมื่อวันเลือกตั้งมาถึง ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า และความขัดแย้งภายในใจก็เริ่มขึ้น “ผมควรจะลงคะแนนให้ใคร ผมควรลงคะแนนให้พี่จางดีไหม” ผมนึกถึงเรื่องที่พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่หารือถึงความลำบากยากเย็นต่างๆ ในหน้าที่ของตัวเองกับเขา และคนจากทีมอื่นๆ ก็ยังมาหารือเรื่องงานของพวกเขากับเขาตลอดเวลาเช่นกัน—มันทำให้เขาดูดีเหลือเกิน หากเขาได้เป็นผู้นำทีม เขาก็จะไม่อยู่เหนือชั้นกว่าผมหรอกหรือ? พอคิดแบบนั้น ผมก็ไม่อยากลงคะแนนให้เขาอีกต่อไป แต่ผมก็ขาดความรู้ความเชี่ยวชาญ และผมไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้นำทีมได้ ผมรู้สึกผิดหวังและโศกเศร้าจริงๆ และเกลียดที่ตัวเองไม่มีความรู้เกี่ยวกับงานมากกว่านี้ ตอนนั้นเอง ความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมาในหัวผม “หากผมเป็นผู้นำทีมไม่ได้ ผมก็จะทำให้แน่ใจว่าคุณก็เป็นไม่ได้เช่นกัน” ดังนั้น ผมจึงลงคะแนนให้พี่น้องชายอู๋ ที่ไม่มีความรู้ชำนาญงานมากเท่า แต่ผิดคาดที่พี่จางก็ยังเป็นคนที่ได้รับเลือกอยู่ดี ผมไม่พอใจที่เห็นผลออกมาแบบนั้น แต่จู่ๆ ผมก็รู้สึกไม่สบายใจ เหมือนได้ทำเรื่องน่าอับอายลงไป ภายหลัง ผมได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า ความว่า “หากผู้คนบางคนเห็นใครบางคนดีกว่าที่พวกเขาเป็น พวกเขาก็ปราบปรามคนเหล่านั้น เริ่มข่าวลือเกี่ยวกับพวกเขา หรือนำเอาวิถีทางที่ไม่มีหลักศีลธรรมมาใช้ เพื่อให้ผู้คนอื่นๆ ไม่มองพวกเขาสูงส่ง และเพื่อให้ไม่มีใครดีกว่าใครอื่นแต่อย่างใดเลย เช่นนั้นแล้ว นี่ก็คืออุปนิสัยเสื่อมทรามแห่งความโอหังและการมองตัวเองถูกต้องเสมอ ตลอดจนความคดในข้องอในกระดูก ความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และความเคลือบแฝง และผู้คนเหล่านี้จึงหยุดอยู่ตรงที่ไม่มีอะไรเลยที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขา พวกเขาดำรงชีวิตอยู่เยี่ยงนี้ และกระนั้นก็ยังคงคิดว่าพวกเขายิ่งใหญ่และคิดว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ดีงาม อย่างไรก็ตามที พวกเขานั้นมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่? ก่อนอื่นใด เพื่อที่จะพูดจากมุมมองของธรรมชาติทั้งหลายของสาระเหล่านี้ ผู้คนที่ปฏิบัติตนแบบนี้ไม่ใช่แค่กำลังทำไปตามที่พวกเขายินดีหรอกหรือ? พวกเขาพิจารณาผลประโยชน์ของครอบครัวของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาคิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวพวกเขาเองเท่านั้น และพวกเขาต้องการเพียงที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขาเองเท่านั้น โดยไม่พิจารณาถึงความสูญเสียที่พระราชกิจของครอบครัวพระเจ้าต้องทนทุกข์ ผู้คนเช่นนี้ไม่เพียงโอหังและมองตัวเองถูกต้องเสมอเท่านั้น พวกเขายังเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยามอีกด้วย พวกเขาไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างถึงที่สุด และไม่ต้องกังขาเลยแม้แต่น้อยว่า ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่ครองหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่พวกเขาจึงทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาต้องการและปฏิบัติตนอย่างอุตริ โดยปราศจากสำนึกรู้ต่อการติเตียนอันใด โดยปราศจากความหวั่นเกรงอันใด ปราศจากความประหวั่นใจหรือกังวลใจอันใด และปราศจากการพิจารณาถึงผลสืบเนื่องที่ตามมา นี่คือสิ่งที่พวกเขาทำบ่อยครั้ง และคือวิธีที่พวกเขาได้ประพฤติตนเสมอมา อะไรคือผลสืบเนื่องที่ผู้คนเช่นนั้นเผชิญ? พวกเขาจะเดือดร้อน ใช่หรือไม่? พูดอย่างเบาๆ ได้ว่า ผู้คนเช่นนั้นช่างอิจฉาริษยามากเกินไปและมีความพึงปรารถนาเพื่อชื่อเสียงและสถานะส่วนบุคคลรุนแรงเกินไป พวกเขามีเล่ห์ลวงและคิดคดทรยศมากเกินไป พูดอย่างรุนแรงกว่านั้นได้ว่า ปัญหาอันเป็นแก่นสารก็คือ หัวใจของผู้คนเช่นนั้นไม่แม้แต่จะยำเกรงพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าตัวพวกเขาเองสำคัญที่สุด และพวกเขาถือว่าทุกแง่มุมของตัวพวกเขาเองสูงส่งกว่าพระเจ้าและสูงส่งกว่าความจริง ในหัวใจของพวกเขา พระเจ้าทรงมีค่าน้อยที่สุดที่จะเอ่ยถึง และปราศจากนัยสำคัญที่สุด และพระเจ้าจึงไม่ทรงมีพระสถานภาพใดในหัวใจพวกเขาแต่อย่างใดเลย พวกที่ไม่มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจพวกเขาและพวกที่ไม่เคารพพระเจ้าได้บรรลุการเข้าสู่ความจริงหรือไม่? (ไม่) ดังนั้นแล้ว ตอนที่พวกเขามักจะเที่ยวทำตัวเองให้มีธุระยุ่งหัวหมุนไปทั่ว และทุ่มเทพลังงานไปค่อนข้างมากมายนั้น พวกเขากำลังทำอะไรหรือ? ผู้คนเช่นนั้นถึงกับกล่าวอ้างว่าได้ทอดทิ้งทุกสิ่งเพื่อที่จะสละเพื่อพระเจ้าและได้ทนทุกข์ไปอย่างมหาศาล แต่อันที่จริงแล้ว สิ่งจูงใจ หลักธรรมและวัตถุประสงค์ของการกระทำทั้งหมดของพวกเขานั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง พวกเขาเพียงพยายามที่จะปกป้องผลประโยชน์ทั้งปวงของตัวพวกเขาเองเท่านั้น พวกเจ้าจะพูดหรือจะไม่พูด ว่าบุคคลจำพวกนี้ร้ายแรง? พวกเจ้าจะพูดว่า คนที่ไม่เคารพพระเจ้านั้นเป็นบุคคลจำพวกไหนหรือ? เขาหรือเธอโอหังหรือไม่? บุคคลเช่นนั้นเป็นซาตานหรือไม่? สิ่งประเภทใดกันที่ไม่เคารพพระเจ้า? นอกจากพวกสัตว์แล้ว พวกนั้นทั้งหมดที่ไม่เคารพพระเจ้าก็มีพวกปีศาจ ซาตาน หัวหน้าทูตสวรรค์ และพวกที่ขับเคี่ยวกับพระเจ้ารวมอยู่ด้วย” (“ห้าสภาวะที่จำเป็นต่อการอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในความเชื่อของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะเหล่านี้ทำให้ผมเจ็บปวดอย่างยิ่ง ย้อนมองไปถึงสิ่งที่ผมคิดและกระทำลงไประหว่างการเลือกตั้ง ผมรู้สึกเหมือนสู้หน้าใครไม่ได้ ผมลงคะแนนเสียงไปตามแรงจูงใจส่วนตัวของผม เพื่อปกป้องตำแหน่งและศักดิ์ศรีของผม โดยไม่ยอมรับการพิจารณาของพระเจ้า และไม่เคารพพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย ผมรู้ว่าพี่จางนั้นมีเป็นคนมีทักษะ การสามัคคีธรรมเรื่องความจริงของเขาก็สัมพันธ์กับชีวิตจริง และการที่เขากลายเป็นผู้นำทีม ก็คงจะเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของทุกคนและต่องานของคริสตจักร แต่ผมกลับอิจฉา กลัวว่าเขาจะอยู่เหนือผมในฐานะผู้นำทีม ผมจึงตั้งใจไม่ลงคะแนนให้เขา ผมได้หลงไปกับหลักการของพญานาคใหญ่สีแดงที่ว่า “หากเผด็จการล้มเหลว ก็จงทำให้แน่ใจประชาธิปไตยไม่สามารถสำเร็จได้” หลักการของพญานาคใหญ่สีแดงคือ หากมันไม่ได้มาซึ่งอำนาจแล้ว ผู้อื่นก็ต้องไม่ได้เช่นกัน หากจำเป็น มันก็จะใช้การดิ้นรนอย่างดุเดือดเพื่อทำลายทั้งสองฝ่าย ผมไม่ได้เป็นแบบเดียวกันนั้นหรอกหรือ? หากผมไม่สามารถได้ตำแหน่งนั้น ผมก็ไม่ต้องการให้พี่จางได้มันเช่นกัน ผมอยากจะเห็นคนที่ไม่เหมาะสมมาอยู่ในบทบาทนั้น และให้งานของคริสตจักรเสียหายมากกว่า เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและสถานะของผมเอง ผมเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ เจ้าเล่ห์ และเลวทรามต่ำช้ายิ่งนัก ไม่มีความเคารพต่อพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย ผมได้สำราญกับความจริงมากมายที่พระเจ้าทรงแสดงออก และการที่มีโอกาสได้ทำหน้าที่ของผมนั้น ก็เป็นการที่พระเจ้าทรงแสดงให้ผมเห็นถึงความเมตตา แต่แทนที่จะคิดเกี่ยวกับว่าจะตอบแทนความรักของพระเจ้าอย่างไร ผมกลับอิจฉาริษยา และต่อสู้เพื่อชื่อและผลประโยชน์ ผมทำหน้าที่เป็นสมุนของซาตาน ที่ทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงัก ผมไม่เสื่อมเป็นสองเท่าเลยหรือ? ผมนึกถึงเรื่องที่ผมเคยโดนปลดจากหน้าที่ของผมเมื่อหนึ่งปีก่อนนั้น เพราะว่าผมต่อสู้เพื่อชื่อและผลประโยชน์ ไม่ได้ทำหน้าที่ของผมอย่างเหมาะสม และไม่สามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ และตอนนี้ ผมก็อยู่ในสถานการณ์ประเภทเดียวกัน ทว่าผมยังคงไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานะ ไม่ใช่ความจริง หากผมยังดำเนินต่อไปในหนทางนั้น ผมคงถูกพระเจ้าทรงเขี่ยทิ้งและทรงกำจัด
หลังจากนั้น ผมก็ได้อ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า “พวกเจ้าไม่รู้จักสถานที่ของพวกเจ้า แต่พวกเจ้าก็ยังคงสู้รบกันเองในมูลสัตว์ พวกเจ้าจะสามารถได้รับสิ่งใดจากการต่อสู้ดิ้นรนเช่นนั้น? หากพวกเจ้ามีความเคารพให้กับเราในหัวใจของพวกเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าจะสามารถสู้กันเองลับหลังเราได้อย่างไร? ไม่สำคัญว่าสถานะของเจ้าจะสูงส่งเพียงใด เจ้าไม่ได้ยังคงเป็นหนอนตัวเล็กๆ ที่ส่งกลิ่นเหม็นตัวหนึ่งในมูลสัตว์หรอกหรือ? เจ้าจะสามารถงอกปีกและกลายเป็นนกพิราบในท้องฟ้าได้หรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เมื่อใบไม้ที่ร่วงหล่นกลับคืนสู่รากของพวกมัน เจ้าจะเสียใจกับความชั่วทั้งหมดที่เจ้าทำลงไป) “หตุใดพระเจ้าจึงตรัสว่าผู้คนเป็น ‘หนอนแมลงวัน’? ในสายพระเนตรของพระองค์ มนุษย์ที่เสื่อมทรามเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างชัดเจน—แต่พวกเขาทำให้ความรับผิดชอบและและหน้าที่ทั้งหลายลุล่วงเช่นที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำหรือไม่? แม้ว่าผู้คนมากมายกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาทำได้ดีเพียงใดเล่า? พวกเขาไม่เป็นไปในเชิงรุกแม้แต่น้อยในการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง พวกเขาแทบไม่คิดที่จะทำเช่นนั้นเองโดยไม่ต้องมีใครบอก สั่ง หรือร้องขอ หากพวกเขาไม่ได้รับการตัดแต่ง การจัดการ หรือการบ่มวินัย เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมไม่ทำอะไรเอาเสียเลย ดังนั้น นั่นจึงจำเป็นเสมออีกเช่นกันที่จะต้องประชุม สามัคคีธรรม และจัดเตรียม เพื่อให้พวกเขาถึงขั้นมีความเชื่อขึ้นมาบ้างสักเล็กน้อย ถึงขั้นเป็นไปในเชิงรุกขึ้นมาบ้างสักเล็กน้อย นี่ไม่ใช่ความเสื่อมทรามของมนุษย์หรอกหรือ?…สิ่งที่พวกเขาคิดพิจารณาตลอดทั้งวันไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความจริงหรือการติดตามหนทางของพระเจ้า พวกเขาใช้เวลาสวาปามทั้งวัน และไม่ใช้ความคิดกับสิ่งใด ต่อให้พวกเขาคิดถึงบางสิ่งสักเล็กน้อย นั่นก็ไม่ใช่บางสิ่งที่อยู่ในแนวเดียวกับความจริงหลักธรรม นั่นไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมวลมนุษย์เลยแม้แต่น้อย งานทั้งหมดที่พวกเขาปฏิบัติล้วนเป็นอุปสรรคและสร้างความแตกแยก และพวกเขาแทบจะไม่เป็นพยานให้แก่พระเจ้าเลย จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับวิธีแสวงหาสิ่งใดก็ตามที่ดีสำหรับเนื้อหนัง วิธีต่อสู้เพื่อสถานภาพและชื่อเสียง วิธีเข้าพวกท่ามกลางกลุ่มคนเฉพาะกลุ่ม และวิธีได้รับตำแหน่งกับวิธีมีกิตติศัพท์ที่ดี พวกเขากินอาหารที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา สุขสำราญกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงจัดเตรียม แต่พวกเขาไม่ทำสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายควรทำ พระเจ้าจะสามารถโปรดผู้คนเช่นนี้ได้หรือ?…เหนือสิ่งอื่นใด พวกที่เป็นหนอนแมลงวันย่อมไม่มีดี ไร้ยางอาย และไร้ค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า! เหตุใดเราจึงกล่าวว่าผู้คนเช่นนี้ไร้ค่า? พระเจ้าได้ทรงสร้างเจ้าและประทานชีวิตแก่เจ้า ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ซึ่งเป็นส่วนน้อยที่สุดที่เจ้าควรทำ เจ้าเพียงเอาแต่ได้เท่านั้น ในสายพระเนตรของพระองค์ เจ้าเป็นแค่คนไม่ได้ความ และการมีชีวิตอยู่ของเจ้าก็เปล่าประโยชน์ ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่หนอนแมลงวันหรอกหรือ? ด้วยเหตุนี้ ผู้คนควรทำเช่นใดหากพวกเขาไม่ต้องการเป็นหนอนแมลงวัน? ก่อนอื่น จงหาที่ทางของเจ้าเองและพยายามที่จะทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ แล้วเจ้าจะเชื่อมต่อกับพระผู้สร้าง โดยเจ้าสามารถเล่าเรื่องราวถวายพระองค์ หลังจากนั้น จงพิจารณาวิธีสัมฤทธิ์ความรักภักดีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เจ้าไม่ควรทำแค่ขอไปทีหรือพอแก้ขัด ตรงกันข้าม เจ้าควรทำอย่างสุดหัวใจของเจ้า เจ้าไม่ควรลองพยายามที่จะหลอกพระผู้สร้าง เจ้าควรทำสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงขอให้เจ้าทำ และเจ้าควรใส่ใจและนบนอบ” (“หกข้อบ่งบอกความก้าวหน้าในชีวิต” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)
ขณะที่ผมได้ใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ผมก็รู้สึกเศร้าเสียใจยิ่งนัก ผมตระหนักว่า พระเจ้าทรงมองการต่อสู้เพื่อชื่อและผลประโยชน์ของผมว่าโสมมและเลวทรามยิ่ง การมีโชคดีได้ทำหน้าที่ของผมในพระนิเวศของพระเจ้าเป็นการยกชูขื้นเป็นพิเศษของพระเจ้า แต่ผมกลับไม่ได้ลุล่วงพันธกิจของตน แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ผมกลับเอาแต่คิดถึงชื่อและสถานะของผมเอง และถึงขั้นทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงักเพื่อสิ่งเหล่านั้น ผมเล่นบทของซาตาน นั่นช่างน่ารังเกียจและน่าชิงชังต่อพระเจ้า! พระเจ้าตรัสว่า “ไม่สำคัญว่าสถานะของเจ้าจะสูงส่งเพียงใด เจ้าไม่ได้ยังคงเป็นหนอนตัวเล็กๆ ที่ส่งกลิ่นเหม็นตัวหนึ่งในมูลสัตว์หรอกหรือ?” ผมเข้าใจว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นคนที่โสมมและเสื่อมทราม ที่ไม่มีค่าหรือความมีเกียรติให้กล่าวถึง ดังนั้น ต่อให้ผมได้รับตำแหน่ง มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ผมเป็นได้ ผมไม่สามารถแม้กระทั่งทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี แต่กลับแก่งแย่งชื่อและผลประโยชน์ไม่หยุดหย่อน อยากให้ผู้อื่นยกย่องผม มโนธรรมและเหตุผลของผมอยู่ที่ไหน? ชีวิตของผมมีค่าอะไร? ไม่ใช่ว่าผมเป็นหนอนไร้ค่าอย่างแท้จริงหรอกหรือ? หลังจากได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติ และแก่นแท้ของผมจากสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดเผยแล้ว ผมก็เกลียดชังตนเอง และเต็มใจที่จะละทิ้งเนื้อหนังและปฏิบัติความจริง
ผมได้ไปหาพี่จางในภายหลัง และพูดเปิดอกเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของผม โดยเผยแรงจูงใจและการกระทำอันน่ารังเกียจในการเลือกตั้งนั้น ไม่เพียงเขาจะไม่ดูแคลนผม แต่เขายังแบ่งปันสามัคคีธรรมเรื่องประสบการณ์ของเขาเองเพื่อช่วยเหลือผมด้วย หลังการสามัคคีธรรม กำแพงระหว่างเราก็หายไป และผมรู้สึกเป็นอิสระ และผ่อนคลายจริงๆ ในหน้าที่ของผมหลังจากนั้น เมื่อใดก็ตามที่ผมมีความลำบากยากเย็นหรือไม่เข้าใจประเด็นปัญหาหนึ่ง ผมก็จะไปหาพี่จางเพื่อค้นหาคำตอบ และเขามักจะตอบคำถามผมอย่างอดทนผ่านการสามัคคีธรรมเสมอ ทักษะความชำนาญของผมเองพัฒนาขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อผมปล่อยวางชื่อและสถานะ แล้วปฏิบัติความจริง ผมก็ได้รับประสบการณ์กับความสบายใจและสันติสุขที่มาจากการทำหน้าที่ของผมแบบนั้น และผมได้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น เป็นอีกครั้งที่ผมได้หนีรอดจากโซ่ตรวนของชื่อและสถานะ และได้สัมผัสรสชาติความรอดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าที่มีให้ผม
การเลือกตั้งประจำปีของคริสตจักร ได้จัดขึ้นในเดือนตุลาคม ปี 2017 และพี่น้องชายหญิงก็ได้เสนอชื่อผมเข้าชิงตำแหน่ง ผมรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ปั่นป่วนอยู่ภายใน และผมคิดว่า “สองปีกว่าแล้วนับตั้งแต่ที่ผมโดนถอดจากตำแหน่งผู้นำ และผมได้ยินว่า พี่น้องชายหญิงบางคนมีทัศนคติอันดีต่อผม พวกเขากล่าวว่า การสามัคคีธรรมของผมสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น และตัวผมได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงมาบ้างแล้ว ผมนึกสงสัยว่าผมจะได้รับตำแหน่งผู้นำในครั้งนี้หรือไม่” ผมตระหนักว่า ผมไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและสถานะอีกแล้ว และนึกถึงว่าแต่ก่อนนั้นมันเจ็บปวดเพียงใดเมื่อผมถูกล่ามและเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยสิ่งเหล่านั้น ผมรู้ว่าผมไม่สามารถไล่ตามเสาะหาได้ต่อไป ผมควรละทิ้งเนื้อหนังและปฏิบัติความจริง จากนั้นผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าท่อนนี้ ความว่า “ทันทีที่เจ้าปล่อยมือจากเกียรติภูมิและสถานภาพซึ่งเป็นของซาตาน เจ้าจะไม่ถูกแนวคิดและทรรศนะเยี่ยงซาตานจำกัดควบคุมและหลอกลวงอีกต่อไป เจ้าจะพบกับการปลดปล่อยและจะรู้สึกสบายใจมากขึ้นทุกที เจ้าจะกลายเป็นอิสระและเสรี เมื่อวันที่เจ้ากลายเป็นอิสระและเสรีนั้นมาถึง เจ้าจะรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ที่เจ้าได้ละทิ้งไปแล้วเป็นเพียงภาวะพัวพันเท่านั้น และว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้รับไว้อย่างแท้จริงคือสิ่งล้ำค่าที่สุดสำหรับเจ้า เจ้าจะรู้สึกว่าเหล่านั้นคือสิ่งที่มีค่าที่สุด และเป็นสิ่งควรค่าแก่การทะนุถนอมความล้ำค่าที่สุด สิ่งเหล่านั้นที่เจ้าเคยชอบ—ความหรรษายินดีทางวัตถุ ชื่อเสียงและโชคลาภ สถานภาพ เงินทอง กิตติศัพท์ และความยอมรับนับถือจากผู้อื่น—จะดูเหมือนไร้ค่าสำหรับเจ้า สิ่งเหล่านั้นได้ก่อให้เกิดความทุกข์ใหญ่หลวงแก่เจ้า และเจ้าจะไม่ต้องการพวกมันอีกต่อไป ต่อให้เจ้าได้รับมอบเกียรติภูมิและสถานภาพที่สูงขึ้นไปอีก เจ้าก็จะไม่ต้องการพวกมันอีกแล้ว แต่เจ้ากลับจะรังเกียจและปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นจากก้นบึ้งหัวใจของเจ้า!” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หัวใจของผมสว่างสดใสขึ้น และผมรู้ว่าการไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานะนั้นไม่มีค่าอะไรเลย และรู้ว่าการได้เข้าใจและปฏิบัติตามความจริง และการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง คือสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุด ที่จริงแล้ว การเข้าร่วมในการเลือกตั้ง ไม่ใช่เพื่อต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งผู้นำ แต่เป็นการลุล่วงหน้าที่ความรับผิดชอบของผมด้วยการมีส่วนร่วมในกระบวนการนั้น ผมต้องปล่อยวางความอยากอันดิบเถื่อนของผมที่มีต่อชื่อและสถานะ และลงคะแนนเพื่อผู้นำที่เหมาะสมตามหลักธรรมแห่งความจริง นั่นจึงจะเป็นประโยชน์ต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า หากผมได้รับเลือกเป็นผู้นำ ผมต้องทำหน้าที่ของผมให้ดี หากผมไม่ได้รับเลือก ผมก็จะไม่โทษพระเจ้า แต่จะทำหน้าที่ของผมให้ดีสุดความสามารถของผม เมื่อผมกำหนดแรงจูงใจของผมต่อการเลือกตั้งนี้ให้ถูกต้องแล้ว ผมก็ต้องประหลาดใจ ที่ผมได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ในฐานะผู้นำ เมื่อเห็นผลลัพธ์เช่นนี้ ผมก็ไม่ได้หลงระเริงไปกับมันเช่นที่ผมเคยเป็นในอดีต ที่คิดว่าตนดีกว่าผู้อื่น แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นภารกิจและความรับผิดชอบของผม และผมควรมุ่งเน้นไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริง และทำหน้าที่ของผมให้ดี เพื่อให้ผมคู่ควรกับความรักและความรอดของพระเจ้า
ในช่วงเวลานั้น เกือบสามปี การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าได้แสดงให้ผมเห็นอย่างชัดเจนถึงอันตรายที่ชื่อและสถานะส่งผลต่อผม และผมได้กลายเป็นมุ่งมั่นที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง แม้บางครั้ง ผมยังคงต้องการที่จะต่อสู้เพื่อชื่อและผลประโยชน์อยู่ แต่ผมก็สามารถที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้าได้อย่างมีสติ มุ่งเน้นกับการปฏิบัติความจริง และทำหน้าที่ของผมให้ดี ผมไม่ถูกครอบงำด้วยอุปนิสัยเสื่อมทรามแบบซาตานของผมอีกแล้ว เมื่อผมปล่อยวางชื่อและสถานะ ผมรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่ผมได้ปล่อยวาง แต่รู้สึกว่าผมยังได้ปล่อยวางโซ่ตรวนอันหนักอึ้งที่ซาตานได้พันธนาการผมไว้อีกด้วย ผมรู้สึกผ่อนคลายและเป็นอิสระเหลือเกิน
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ