การรักษาโรคริษยา

วันที่ 23 เดือน 01 ปี 2021

โดย สวุนฉิว ประเทศจีน

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เนื้อหนังของมนุษย์เป็นของซาตาน มันเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเป็นกบฏ มันโสโครกอย่างน่าตำหนิ และมันเป็นสิ่งที่ไม่สะอาด ผู้คนละโมบต่อความชื่นชมยินดีของเนื้อหนังมากเกินไป และมีการสำแดงของเนื้อหนังมากเกินไป นี่คือสาเหตุที่พระเจ้าทรงรังเกียจชิงชังเนื้อหนังของมนุษย์ในระดับหนึ่ง เมื่อผู้คนละทิ้งสิ่งที่โสโครกและเสื่อมทรามทั้งหลายของซาตาน พวกเขาก็ได้ความรอดของพระเจ้า แต่หากพวกเขายังคงไม่ปลดเปลื้องตัวพวกเขาเองจากความโสโครกและความเสื่อมทราม เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน การสมคบคิด การหลอกลวง และความคดโกงของผู้คนล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของซาตานทั้งสิ้น การช่วยเจ้าให้รอดของพระเจ้าเป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าหนีรอดจากสิ่งเหล่านี้ของซาตาน พระราชกิจของพระเจ้าไม่อาจผิดพลาดได้ พระราชกิจทุกอย่างกระทำขึ้นเพื่อช่วยมนุษย์จากความมืดมิด เมื่อเจ้าได้เชื่อถึงจุดหนึ่งและสามารถปลดเปลื้องตัวเองจากความเสื่อมทรามของเนื้อหนัง และไม่ได้ถูกล่ามโซ่ตรวนไว้โดยความเสื่อมทรามนี้อีกต่อไป เจ้าจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดแล้วหรอกหรือ? เมื่อเจ้าใช้ชีวิตภายใต้แดนครอบครองของซาตาน เจ้าไม่สามารถสำแดงพระเจ้าได้ เจ้าเป็นบางสิ่งที่โสโครก และไม่สามารถได้รับการสืบทอดของพระเจ้า เมื่อเจ้าได้รับการชำระล้างให้สะอาดและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้ว เจ้าจะบริสุทธิ์ เจ้าจะเป็นบุคคลปกติ และเจ้าจะได้รับพระพรจากพระเจ้าและเป็นที่น่าปีติยินดีต่อพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2)) ฉันได้เข้าใจผ่านพระวจนะของพระเจ้า ว่าพวกเรามีปัญหาเรื่องความริษยาและความขัดแย้งระหว่างบุคคล เพราะพวกเราถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และพวกเราต่างใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่หลอกลวงและชั่วร้าย ทั้งยังเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง ฉันก็เคยมีช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งความริษยา วางแผนต่อต้านคนอื่นอยู่ตลอด อีกทั้งดิ้นรนเพื่อชื่อและผลประโยชน์ มันเป็นหนทางในการใช้ชีวิตที่เจ็บปวด แต่ฉันก็ไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้ ฉันเป็นหนี้บุญคุณการทรงพิพากษาและการทรงตีสอนของพระเจ้าทั้งหมด ที่ทำให้ฉันเปลี่ยนแปลงไปบ้าง และรอดพ้นจากความเจ็บปวดนั้นมาได้

มันคือเดือนมิถุนายนปี 2017ตอนที่ฉันได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้นำกลุ่มในคริสตจักร ดูแลรับผิดชอบต่อชีวิตในคริสตจักรของสถานที่ชุมนุมสองสามแห่ง ฉันมีความสุขมากที่ได้ทำหน้าที่นั้น และรู้สึกว่าพระเจ้าทรงยกระดับฉัน ฉันจะทำหน้าที่อย่างดีเพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า ในการชุมนุมหลังจากนั้น ฉันกระตือรือร้นในการสามัคคีธรรมมากๆ และเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงเผชิญความยากลำบากหรือสภาพจิตใจย่ำแย่ ฉันก็จะหาพระวจนะของพระเจ้าเพื่อสามัคคีธรรมและพูดถึงถึงปัญหาเหล่านั้น ผ่านไปสักพัก คนอื่นๆ ก็มองฉันในทางที่ดี และบอกว่าฉันสามารถแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ ผ่านการสามัคคีธรรมในการชุมนุม บอกว่าฉันมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และรักใคร่พี่น้องชายหญิง พอได้ยินแบบนี้ฉันก็รู้สึกพอใจในตัวเองมาก

หลังจากนั้นไม่นาน ฉันได้ยินว่าจะมี การเลือกตั้งผู้นำคริสตจักร และคิดว่า “ทุกคนพากันยกย่องฉัน เพราะงั้นฉันอาจจะมีโอกาสได้รับเลือก ถ้าฉันได้รับเลือก พี่น้องชายหญิงจะยิ่งเคารพฉันมากขึ้นไปอีกแน่ๆ” ภายหลัง พี่สาวหยางและฉันต่างได้รับการเสนอชื่อหลังจากการลงคะแนน ฉันรู้สึกกลัวนิดหน่อยตอนที่เห็นว่าเธอได้คะแนนมากกว่าฉันเล็กน้อย ฉันคิดว่า “ฉันมีความรับผิดชอบในหน้าที่และสามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ แล้วเธอได้คะแนนมากกว่าฉันได้ยังไง?” แต่แล้วฉันก็คิดว่า “นี่ก็แค่การเสนอชื่อไม่ใช่ผลคะแนนสุดท้ายเสียหน่อย ฉันยังมีโอกาสอยู่ ฉันจำเป็นต้องหาความจริงมาประดับตัวเอาไว้ตอนนี้ และช่วยคนอื่นๆ แก้ไขความยากลำบากในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาให้มากขึ้น พวกเขาจะได้เห็นว่าเธอไม่มีอะไรเหนือกว่าฉัน แบบนั้นฉันก็จะได้รับเลือกแน่นอน!” ฉันคิดถึงปัญหาที่พี่สาวหวังยกขึ้นมาแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในการชุมนุมครั้งล่าสุด ฉันจึงเร่งจัดเตรียมพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องเพื่อสามัคคีธรรมกับเธอในครั้งหน้า เมื่อวันที่ชุมนุมมาถึง ฉันก็ไปถึงสถานที่นัดพบของเรา แต่ทันทีที่เดินเข้าไป ฉันก็เห็นพี่สาวหยางกำลังสามัคคีธรรมกับพี่สาวหวังอยู่ ฉันรู้สึกไม่พอใจมาก ฉันคิดว่า “ที่ฉันมาวันนี้ก็เพื่อสามัคคีธรรมกับเธอเพื่อช่วยเธอแก้ไขปัญหา แต่คุณดันมาโฉบไปซะก่อน! ถ้าคุณดูแลมันไปแล้ว ฉันจะแสดงความสามารถของตัวเองได้อย่างไร?” แน่นอนว่ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพี่สาวหวัง หลังการสามัคคีธรรมของพี่สาวหยาง อีกทั้งพี่น้องชายหญิงคนอื่นต่างก็พยักหน้ายอมรับ เห็นแบบนี้แล้วฉันไม่มีความสุขเลย ฉันอิจฉาพี่สาวหยาง คิดว่าเธอขโมยความรุ่งโรจน์ของฉันไป ฉันคิดว่า “ก่อนคุณมาเข้าร่วมการชุมนุม ใครๆ ก็อยากฟังการสามัคคีธรรมของฉันทั้งนั้น แต่ตอนนี้ทุกคนต่างนับถือคุณและไม่สนใจฉันเลย” หลังจากนั้นทุกคนก็เข้าร่วมสามัคคีธรรมกันอย่างมีความสุข แต่ฉันกลับไม่ได้อะไรเลย และรอแทบไม่ไหวที่จะออกไปจากตรงนั้น

พอกลับถึงบ้านฉันก็นั่งลงบนเตียงด้วยความหดหู่ ยิ่งครุ่นคิดถึงมันฉันก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ฉันคิดว่า “ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปโอกาสจะได้เป็นผู้นำของฉันก็จะน้อยมาก ไม่มีทาง ฉันต้องทำตัวเชิงรุกในการสามัคคีธรรมมากกว่านี้ ฉันแพ้เธอมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว” ต่อมา ฉันสังเกตเห็นว่าพี่สาวเซียงมีความกังวลใจเรื่องของการข่มเหงอันโหดเหี้ยมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน อีกทั้งรู้สึกว่าถูกบีบบังคับในหน้าที่ของเธอด้วย ฉันจึงรีบหาพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนไปสามัคคีธรรมกับเธอก่อนเริ่มการชุมนุม วันถัดมาฉันไปถึงสถานที่ชุมนุมแต่เช้าตรู่ แต่ก็ต้องประหลาดใจที่พี่สาวหยางไปถึงเช้ายิ่งกว่า และได้สามัคคีธรรมกับพี่สาวเซียงไปก่อนแล้ว หัวใจฉันดิ่งเหวและคิดว่า “คุณทำแบบนี้อีกได้อย่างไร? ฉันต้องการที่จะเห็นว่าการสามัคคีธรรมของคุณมีความสว่างอะไร ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะครอบคลุมทุกอย่าง” ด้วยความไม่เชื่อ ฉันเลยไปนั่งถัดจากพวกเขาเพื่อฟังสิ่งที่เธอพูด พอได้ฟังฉันก็พบว่า พี่สาวหยางสามัคคีธรรมเรื่องบางเส้นทางแห่งการปฏิบัติโดยพิจารณาจากพระวจนะของพระเจ้า แต่เธอไม่ได้พูดถึงรากเหง้าแห่งความอ่อนแอและการคิดลบของพี่สาวเซียง ฉันคิดว่า “ฉันต้องใช้โอกาสนี้ให้ดีที่สุดในการแบ่งปันความเข้าใจของฉันเอง และลดความสำคัญของพี่สาวหยางลง” ด้วยความคิดเช่นนี้ ฉันก็เร่งแบ่งปันการสามัคคีธรรมของตัวเอง บอกว่า “พี่สาว การมีเส้นทางปฏิบัติอย่างเดียวมันไม่พอแก้ไขสภาวะที่คิดลบหรอก เราจำเป็นต้องเข้าใจในความจริงที่เกี่ยวข้องด้วย ว่าพระเจ้าทรงใช้พญานาคใหญ่สีแดงเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น เพื่อทำให้ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรเพียบพร้อมได้ยังไง ด้วยความเข้าใจในพระราชกิจ ความทรงมหิทธิฤทธิ์ และพระปรีชาญาณของพระเจ้าเท่านั้น เราจึงจะหลุดพ้นจากสภาวะที่คิดลบได้ เรามาอ่านพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนไปพร้อมกันเถอะ” ตอนที่พี่สาวเซียงพยักหน้า ฉันเหลือบมองไปทางพี่สาวหยาง ฉันเห็นเธอหลบไปนั่งอยู่ข้างๆ อย่างกระอักกระอ่วน ฉันรู้สึกราวกับตัวเองเพิ่งชนะในสงครามนี้ และคิดว่า “เวลาเอามาเทียบกันทุกคนก็จะเห็นว่าการสามัคคีธรรมของใครกันแน่ที่มีประสิทธิภาพจริง ฉันสามารถเชิดหน้าชูคอได้อีกครั้ง และมันก็พิสูจน์แล้วว่าฉันไม่ได้แย่” หลังจากนั้นฉันก็ยิ่งกระตือรือร้นในหน้าที่ของตัวเองมากขึ้น ในจังหวะที่ฉันได้ยินว่ามีคนอยู่ในสภาวะที่เลวร้าย หรือเผชิญความยากลำบาก ฉันก็ไม่รีรอที่จะหาพระวจนะของพระเจ้า จดบันทึก และนำไปสามัคคีธรรมกับพวกเขา เวลาเห็นคนพยักหน้า ฉันจะรู้สึกตื่นเต้นมาก ในขณะที่ถ้าไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ฉันก็จะกังวลมากจนไม่อาจทนได้ แล้วยิ่งทุกข์ใจมากเท่าไหร่ ฉันจะยิ่งเข้าใจสภาวะของคนอื่นหรือแก้ปัญหาได้น้อยลงเท่านั้น ฉันรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย และคิดว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พี่น้องชายหญิงจะต้องบอกว่าฉันไร้ซึ่งความเป็นจริงของความจริง และพวกเขาจะไม่เลือกฉันเป็นผู้นำแน่ๆ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนฉันเห็นพี่สาวหยางแบ่งปันการสามัคคีธรรมเรื่องความจริงที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ซึ่งพี่น้องชายหญิงต่างก็เห็นด้วย ฉันจะยิ่งปั่นป่วนมากขึ้นไปอีก ความริษยาและการไร้ความสามารถในการยอมรับของฉันนำเด่นขึ้นมาเลย ฉันเริ่มไม่พอใจเธอถึงขนาดที่ไม่อยากคุยกับเธอด้วยซ้ำ ฉันใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของการต่อสู้เพื่อชื่อและผลประโยชน์ สำหรับฉันมันเจ็บปวดมาก ฉันไม่ได้รับความรู้แจ้งใดๆ จากพระวจนะของพระเจ้าเลย และส่วนการอธิษฐานฉันก็ทำแค่พอผ่านๆ ไปเท่านั้น ฉันรู้สึกว่าฉันยิ่งห่างออกจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ

ต่อมาฉันได้อธิษฐานต่อพระเจ้า และวอนขอความรู้แจ้งจากพระองค์ เพื่อให้ฉันได้เข้าใจอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเอง และหลุดพ้นจากสภาวะที่น่ากลัวเช่นนั้นได้ โดยผ่านพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ฉันจึงได้เข้าใจในสภาวะที่เสื่อมทรามของตัวเองขึ้นมาบ้าง นี่คือสิ่งที่พระวจนะกล่าว: “ผู้คนบางคนกลัวเสมอว่าผู้อื่นจะลักขโมยความเป็นจุดสนใจของพวกเขาไป และล้ำเลิศกว่าพวกเขา โดยได้มาซึ่งการระลึกถึง ในขณะที่พวกเขาเองนั้นถูกละเลย นี่นำทางพวกเขาไปสู่การโจมตีและการกันแยกผู้อื่นออกไป นี่ไม่ใช่กรณีของการอิจฉาผู้คนที่มีความสามารถมากกว่าตัวพวกเขาเองหรอกหรือ? พฤติกรรมเช่นนั้นไม่เป็นการเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยามหรอกหรือ? นี่คืออุปนิสัยประเภทใดหรือ? มันช่างมุ่งร้ายนัก! การคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น การสนองความอยากได้อยากมีของตัวเองเท่านั้น การไม่แสดงให้เห็นการคำนึงถึงหน้าที่ของผู้อื่นเลย และการคิดเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตัวคนเราเองเท่านั้น และไม่คิดถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า—ผู้คนเยี่ยงนี้มีอุปนิสัยที่ไม่ดี และพระเจ้าไม่ทรงมีความรักให้แก่พวกเขาเลย หากเจ้าสามารถอย่างแท้จริงที่จะคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างยุติธรรม หากเจ้าให้การแนะนำกับบางคน และบุคคลนั้นได้รับการปลูกฝังให้กลายเป็นบางคนที่มีความสามารถพิเศษ ด้วยผลจากการนั้นได้นำพาบุคคลที่มีความสามารถพิเศษอีกหนึ่งคนเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ได้ทำงานของเจ้าดีแล้วหรือ? เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ได้จงรักภักดีในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือ? นี่เป็นความประพฤติดีเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเป็นมโนธรรมและเหตุผลจำพวกที่พวกมนุษย์ควรครอง(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันรู้สึกละอายใจหลังจากที่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า และคิดถึงทุกความริษยา การดิ้นรนเพื่อชื่อและผลประโยชน์ที่ฉันทำไปทั้งหมด ฉันรู้สึกร้อนรุ่มไปด้วยแรงปรารถนาต่อสิ่งนั้นตั้งแต่ได้ยินว่าทางคริสตจักรจะเลือกผู้นำ แล้วพอฉันเห็นว่าพี่สาวหยางได้คะแนนไปมากกว่าฉันในการเสนอชื่อ ฉันก็เริ่มมองเธอเป็นคู่แข่ง แอบสู้และแข่งขันกับเธออยู่เงียบๆ การเห็นว่าเธอแก้ปัญหาของพี่น้องชายหญิงผ่านการสามัคคีธรรมเรื่องความจริงได้ มันทำให้ฉันอิจฉา ฉันคิดว่าเธอขโมยความรุ่งโรจน์ไปจากฉัน เธอคุกคามโอกาสในการได้เป็นผู้นำของฉัน ฉันแอบสู้กับเธออยู่ลับๆ หาข้อผิดพลาดและคอยจับผิดการสามัคคีธรรมของเธอ ฉันแอบดูถูกเธอในขณะที่ยกตัวเองให้สูงขึ้น และทำให้เธอรู้สึกดีกับหน้าที่ของตัวเองน้อยลง พอเห็นว่าตัวเองไม่ชนะ ฉันก็จะไม่พอใจเธอขึ้นมา ถึงขนาดที่ไม่อยากยอมรับเธอด้วยซ้ำ ฉันแก่งแย่งชิงดีเพื่อชื่อและผลประโยชน์ อีกทั้งยังขี้อิจฉาในหน้าที่ของตัวเอง ฉันด่าว่าและกีดกันเธอออกไป ฉันไม่ได้เปิดเผยอะไรเลยนอกจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ฉันช่างเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และร้ายกาจนัก! ฉันใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ไม่เพียงแต่ทำร้ายผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการใช้ชีวิตอยู่ในความขุ่นเคืองและเจ็บปวดอีกด้วย มันทำให้ฉันนึกถึงจิ่วยี่ในนิยายเรื่องสามก๊ก เขาเป็นคนที่ใจแคบ มักจะอิจฉาจูเหลียงอยู่เสมอ ก่อนที่เขาจะตายเขาพูดว่า “ยี่เกิดมาทั้งคน เหตุใดยังจำเป็นต้องมีเหลียงอีกเล่า?” ท้ายที่สุดเขาก็จากไปกับความโกรธเคือง สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ผลอันเลวร้ายแห่งความริษยาหรอกหรือ? ฉันตระหนักได้ว่าตัวเองก็เป็นแบบนั้น ความพยายามที่จะมีสถานะมันทำให้ฉันอิจฉา มันไม่เพียงขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของตัวฉันเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่นด้วย ฉันขาดความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง ซึ่งน่ารังเกียจและน่าเกลียดชังสำหรับพระเจ้า ความจริงพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้ฉันได้รายล้อมไปด้วยคนที่มีขีดความสามารถสูงกว่า ทรงหวังว่าฉันจะเรียนรู้จากจุดแข็งของเธอเพื่อเอามาปรับปรุงจุดด้อยของตัวเองได้ แต่ฉันเอาแต่ต่อสู้และทำการเปรียบเทียบ ท้ายที่สุดฉันก็ไม่ได้อะไรเลย แถมยังเจ็บปวดแสนสาหัสด้วย ฉันโง่มาก นอกจากนี้ ความจริงปกครองพระนิเวศของพระเจ้า และมีหลักปฏิบัติสำหรับการเลือกผู้นำอยู่ด้วย อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็เป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดี ที่สามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้ แต่ฉันมักจะขี้อิจฉา แข่งขันเพื่อชื่อและผลประโยชน์อยู่เสมอ แถมไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยความเป็นมนุษย์ใดๆ ทั้งสิ้น นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันไม่คู่ควรกับการเป็นผู้นำ ฉันรู้ว่าฉันต้องหยุดต่อสู้ เพื่อจะจดจ่อในการปฏิบัติความจริงและใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าให้ได้ นั่นคือเส้นทางเดียวที่เหมาะสม หลังจากรับรู้ทุกอย่างได้ ฉันก็รู้สึกโล่งใจจริงๆ

วันที่เลือกผู้นำฉันได้กล่าวคำอธิษฐานนี้: “โอ้พระเจ้า! ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ข้าพระองค์ก็ยินดีที่จะเชื่อฟังพระองค์ และข้าพระองค์จะทำการลงคะแนนอย่างยุติธรรม” แต่พอถึงเวลาลงคะแนนฉันก็ยังคงลังเล และคิดว่า “ถ้าฉันลงคะแนนให้พี่สาวหยาง แล้วเธอเกิดเป็นคนที่ได้รับเลือกขึ้นมา คนอื่นจะคิดกับฉันอย่างไร? พวกเขาจะบอกว่าฉันเทียบเท่าเธอไม่ได้แน่ๆ” แล้วพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าก็ผุดขึ้นมาในใจฉัน: “เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยมือและพักวางสิ่งเหล่านี้ เรียนรู้ที่จะเสนอแนะผู้อื่น และเปิดโอกาสให้พวกเขาโดดเด่น จงอย่าดิ้นรนหรือเร่งร้อนที่จะเอาเปรียบจากชั่วขณะที่เจ้าเผชิญหน้ากับโอกาสเหมาะที่จะโดดเด่นหรือได้มาซึ่งสง่าราศี เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะถอยห่างออกมา แต่ต้องไม่ล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า จงเป็นบุคคลซึ่งทำงานแบบปิดทองหลังพระ และเป็นผู้ที่ไม่โอ้อวดแก่ผู้อื่นในขณะที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างจงรักภักดี ยิ่งเจ้าปล่อยมือเกียรติยศและสถานะของเจ้าและยิ่งเจ้าปล่อยมือผลประโยชน์ของเจ้าเองมากขึ้น เจ้าก็จะกลายเป็นเปี่ยมสันติสุขมากขึ้น และจะมีที่ว่างเปิดกว้างมากขึ้นภายในหัวใจเจ้าและสภาวะของเจ้าก็จะปรับปรุงมากขึ้น(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ตอนนั้นฉันคิดว่า “ฉันต้องปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า ฉันเอาแต่ใช้ชีวิตอยู่เพื่อศักดิ์ศรีและสถานะไม่ได้” ฉันคิดเรื่องที่พี่สาวหยางเป็นคนมีขีดความสามารถดี และการสามัคคีธรรมของเธอก็สัมพันธ์กับชีวิตจริงขนาดไหน ดังนั้นการได้เธอมาเป็นผู้นำก็คงเป็นประโยชน์ต่อคริสตจักร เช่นเดียวกับการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง ฉันต้องปฏิบัติความจริงและค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักรเอาไว้ ดังนั้น ฉันจึงลงคะแนนให้เธอไป เธอได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ฉันรู้สึกสงบและมีสันติสุขกับผลนั้นมาก ฉันรู้สึกว่าในที่สุดฉันก็สามารถปฏิบัติความจริงได้สำเร็จ ขอบคุณพระเจ้า!

ต่อมาในเดือนเมษายน ปี 2018 ฉันได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ผู้นำคริสตจักร โดยทำงานร่วมกับพี่น้องชายหญิงอีกสองสามคน รับผิดชอบการงานของคริสตจักร ตอนแรกพวกเราหารือกันเรื่องงานทุกชิ้นของคริสตจักร และทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นมากๆ แต่พอผ่านไปสักพัก ฉันสังเกตได้ว่าพี่สาวลี่ที่รับผิดชอบด้านงานเขียน มีขีดความสามารถดีและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เร็ว การสามัคคีธรรมของเธอก็กระจ่างและเสริมสร้างคนอื่นๆ ได้ ฉันนับถือเธอมากๆ แต่ฉันก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดหน่อย ฉันเริ่มหาทางที่จะได้เข้าไปมีส่วนในงานที่อยู่ภายใต้การดูแลของเธอ อยากเรียนรู้ทักษะและหลักปฏิบัติเพิ่มเติม เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ด้อยไปกว่าเธอ วันหนึ่งฉันได้รับจดหมายจากผู้นำของเรา เขียนว่า พวกเขาต้องการใครสักคนไปรับผิดชอบงานที่คริสตจักรในอีกพื้นที่หนึ่ง และถามว่าพี่สาวลี่เหมาะสมไหม เธอได้ขอให้ฉันช่วยรวบรวมการประเมินพี่สาวลี่บางส่วนให้ด้วย ความริษยาของฉันก็วาบขึ้นมาทันที และคิดว่า “พวกเขาอยากฝึกฝนพี่สาวลี่สินะ ขีดความสามารถของเธอนั้นดี แถมเธอยังเรียนรู้อะไรได้เร็ว แต่เธอเป็นผู้ที่เชื่อมาแค่ไม่นาน แถมการเข้าสู่ชีวิตของเธอก็ตื้นเขิน แล้วมีเรื่องไหนที่ฉันเทียบเท่าเธอไม่ได้อีก? ทำไมพวกเขาไม่เลือกฉันไป? ถ้าพี่สาวลี่ไปรับตำแหน่งนั้น คนอื่นๆ จะคิดกับฉันยังไง? พวกเขาจะต้องบอกว่าเธอเก่งกว่าฉันแน่ๆ” ความคิดเหล่านี้ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นเวลาเจอกันฉันก็แทบจะไม่ยอมรับเธอเลย ซึ่งการเห็นฉันทำตัวแบบนั้นเป็นการบีบบังคับสำหรับเธอ และเธอก็เลิกหารือเรื่องต่างๆ กับฉันอย่างที่เคยทำไปเลย ถัดจากนั้นสองสามวัน ฉันได้แบบประเมินพี่สาวลี่ของพี่น้องชายหญิงมา ฉันรู้สึกอิจฉามากๆ ตอนที่เห็นว่าข้อความทั้งหมดเป็นไปในทางบวก มันดีกว่าที่พวกเขาประเมินฉันเสียอีก ฉันเป็นผู้นำแต่กลับเทียบเท่าเพื่อนร่วมงานของตัวเองไม่ได้ สำหรับฉันมันช่างน่าอายเหลือเกิน! ยิ่งคิดถึงมันฉันก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันเอาประเด็นนี้ไปพูดกับพี่สาวอีกคนว่า “เกิดอะไรขึ้นกับแบบประเมินของคุณน่ะ? คุณไม่มีปัญญาแยกแยะเลย พี่สาวลี่มีความก้าวหน้าก็จริง แต่การเข้าสู่ชีวิตของเธอนั้นตื้นเขิน คุณเขียนซะเธอดูดีเหลือเกิน แต่ถ้าเธอไปทำงานที่อีกคริสตจักรและทำให้งานของพวกเขาล่าช้าเพราะเธอไม่สามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ คุณก็จะมีส่วนในการทำชั่วนะ!” พอได้ยินแบบนี้จากฉันพี่สาวคนนั้นก็กลัวนิดหน่อย เธอบอกว่าเธอเขียนไปตามสถานการณ์จริง แต่ว่าเธอไม่ได้พิจารณาถึงภาพรวม เดี๋ยวเธอจะลองดูอีกที ถึงแม้ฉันจะได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจจะทำแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เห็นพี่สาวลี่ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็ผุดขึ้นมา และฉันก็รู้สึกผิดมากๆ ฉันได้ทำบางอย่างที่เลวร้ายและน่าละอายลงไป ฉันไม่กล้าสบตาเธอเลย พอเห็นว่าฉันดูแปลกไป เธอเลยเดินเข้ามาแล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า “มีอะไรหรือเปล่า?” พอได้ยินเธอถามแบบนั้น ฉันก็ยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปอีก ฉันเลยตอบไปแบบติดๆ ขัดๆ ว่า “ค…ค่ะ” แล้วรีบหนีเข้าไปในอีกห้องหนึ่งเลย ฉันคุกเข่าลงและอธิษฐานต่อพระเจ้า บอกว่า “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่มีเหตุผลเลย ตอนที่เห็นการประเมินของทุกคนข้าพระองค์ก็อิจฉาพี่สาวลี่ขึ้นมา ถึงขนาดลอบทำร้ายเธอลับหลัง พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงรังเกียจสิ่งเหล่านี้ แต่ข้าพระองค์ถูกผูกมัดโดยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเอง ข้าพระองค์ห้ามตัวเองไม่ได้ พระเจ้า ได้โปรดทรงให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ที เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง และหยุดใช้ชีวิตโดยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเองสักที” พอรู้สึกสงบขึ้นเล็กน้อยหลังจากอธิษฐาน ฉันก็เปิดคอมพิวเตอร์ และอ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบท

พระเจ้าตรัสว่า “หากผู้คนบางคนเห็นใครบางคนดีกว่าที่พวกเขาเป็น พวกเขาก็ปราบปรามคนเหล่านั้น เริ่มข่าวลือเกี่ยวกับพวกเขา หรือนำเอาวิถีทางที่ไม่มีหลักศีลธรรมมาใช้ เพื่อให้ผู้คนอื่นๆ ไม่มองพวกเขาสูงส่ง และเพื่อให้ไม่มีใครดีกว่าใครอื่นแต่อย่างใดเลย เช่นนั้นแล้ว นี่ก็คืออุปนิสัยเสื่อมทรามแห่งความโอหังและการมองตัวเองถูกต้องเสมอ ตลอดจนความคดในข้องอในกระดูก ความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และความเคลือบแฝง และผู้คนเหล่านี้จึงหยุดอยู่ตรงที่ไม่มีอะไรเลยที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขา พวกเขาดำรงชีวิตอยู่เยี่ยงนี้ และกระนั้นก็ยังคงคิดว่าพวกเขายิ่งใหญ่และคิดว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ดีงาม อย่างไรก็ตามที พวกเขานั้นมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่? ก่อนอื่นใด เพื่อที่จะพูดจากมุมมองของธรรมชาติทั้งหลายของสาระเหล่านี้ ผู้คนที่ปฏิบัติตนแบบนี้ไม่ใช่แค่กำลังทำไปตามที่พวกเขายินดีหรอกหรือ? พวกเขาพิจารณาผลประโยชน์ของครอบครัวของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาคิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวพวกเขาเองเท่านั้น และพวกเขาต้องการเพียงที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขาเองเท่านั้น โดยไม่พิจารณาถึงความสูญเสียที่พระราชกิจของครอบครัวพระเจ้าต้องทนทุกข์ ผู้คนเช่นนี้ไม่เพียงโอหังและมองตัวเองถูกต้องเสมอเท่านั้น พวกเขายังเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยามอีกด้วย พวกเขาไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างถึงที่สุด และไม่ต้องกังขาเลยแม้แต่น้อยว่า ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่ครองหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่พวกเขาจึงทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาต้องการและปฏิบัติตนอย่างอุตริ โดยปราศจากสำนึกรู้ต่อการติเตียนอันใด โดยปราศจากความหวั่นเกรงอันใด ปราศจากความประหวั่นใจหรือกังวลใจอันใด และปราศจากการพิจารณาถึงผลสืบเนื่องที่ตามมา นี่คือสิ่งที่พวกเขาทำบ่อยครั้ง และคือวิธีที่พวกเขาได้ประพฤติตนเสมอมา อะไรคือผลสืบเนื่องที่ผู้คนเช่นนั้นเผชิญ? พวกเขาจะเดือดร้อน ใช่หรือไม่? พูดอย่างเบาๆ ได้ว่า ผู้คนเช่นนั้นช่างอิจฉาริษยามากเกินไปและมีความพึงปรารถนาเพื่อชื่อเสียงและสถานะส่วนบุคคลรุนแรงเกินไป พวกเขามีเล่ห์ลวงและคิดคดทรยศมากเกินไป พูดอย่างรุนแรงกว่านั้นได้ว่า ปัญหาอันเป็นแก่นสารก็คือ หัวใจของผู้คนเช่นนั้นไม่แม้แต่จะยำเกรงพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าตัวพวกเขาเองสำคัญที่สุด และพวกเขาถือว่าทุกแง่มุมของตัวพวกเขาเองสูงส่งกว่าพระเจ้าและสูงส่งกว่าความจริง ในหัวใจของพวกเขา พระเจ้าทรงมีค่าน้อยที่สุดที่จะเอ่ยถึง และปราศจากนัยสำคัญที่สุด และพระเจ้าจึงไม่ทรงมีพระสถานภาพใดในหัวใจพวกเขาแต่อย่างใดเลย พวกที่ไม่มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจพวกเขาและพวกที่ไม่เคารพพระเจ้าได้บรรลุการเข้าสู่ความจริงหรือไม่? (ไม่) ดังนั้นแล้ว ตอนที่พวกเขามักจะเที่ยวทำตัวเองให้มีธุระยุ่งหัวหมุนไปทั่ว และทุ่มเทพลังงานไปค่อนข้างมากมายนั้น พวกเขากำลังทำอะไรหรือ? ผู้คนเช่นนั้นถึงกับกล่าวอ้างว่าได้ทอดทิ้งทุกสิ่งเพื่อที่จะสละเพื่อพระเจ้าและได้ทนทุกข์ไปอย่างมหาศาล แต่อันที่จริงแล้ว สิ่งจูงใจ หลักธรรมและวัตถุประสงค์ของการกระทำทั้งหมดของพวกเขานั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง พวกเขาเพียงพยายามที่จะปกป้องผลประโยชน์ทั้งปวงของตัวพวกเขาเองเท่านั้น พวกเจ้าจะพูดหรือจะไม่พูด ว่าบุคคลจำพวกนี้ร้ายแรง? พวกเจ้าจะพูดว่า คนที่ไม่เคารพพระเจ้านั้นเป็นบุคคลจำพวกไหนหรือ? เขาหรือเธอโอหังหรือไม่? บุคคลเช่นนั้นเป็นซาตานหรือไม่? สิ่งประเภทใดกันที่ไม่เคารพพระเจ้า? นอกจากพวกสัตว์แล้ว พวกนั้นทั้งหมดที่ไม่เคารพพระเจ้าก็มีพวกปีศาจ ซาตาน หัวหน้าทูตสวรรค์ และพวกที่ขับเคี่ยวกับพระเจ้ารวมอยู่ด้วย(“ห้าสภาวะที่จำเป็นต่อการอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในความเชื่อของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ก่อเกิดขึ้นมาจากการที่เขาถูกซาตานวางยาพิษและทำให้ด่างพร้อย จากอันตรายมหันต์ที่ซาตานได้ทำให้ก่อเกิดขึ้นกับการคิด ศีลธรรม ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และสำนึกรับรู้ของเขา นั่นเป็นเพราะสิ่งพื้นฐานทั้งหลายของมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้วอย่างแน่นอน และไม่เหมือนอย่างที่สุดกับวิธีการที่พระเจ้าได้ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมาแต่ดั้งเดิมนั่นเอง มนุษย์จึงต่อต้านพระเจ้าและไม่เข้าใจความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า)

พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเสียใจและกังวลใจมาก พระองค์ไม่ได้ทรงเปิดเผยสภาวะของฉันอย่างถูกต้องหรอกหรือ? ฉันกลายเป็นคนขี้อิจฉาและมีอคติเมื่อผู้นำต้องการฝึกฝนพี่สาวลี่ ฉันถึงขนาดที่ลอบทำร้ายและตัดสินเธอด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ ฉันคิดถึงทุกวิถีทางที่จะกีดกันเธอจากหน้าที่นั้น โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของคริสตจักรแม้แต่น้อย ฉันทำในสิ่งที่รู้สึกว่าจะได้มาซึ่งสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันช่างโอหัง ทำอะไรตามอำเภอใจ และไร้ซึ่งความยำเกรงต่อพระเจ้า พระเจ้าทรงหวังว่าจะมีคนใส่ใจน้ำพระทัยของพระองค์และทำหน้าที่ของตนเองมากขึ้น ฉันก็รู้ดีว่าพี่สาวลี่มีขีดความสามารถที่ดีและจดจ่อในการไล่ตามเสาะหาความจริง ดังนั้น ด้วยโอกาสในการฝึกฝนมากขึ้น การเข้าสู่ชีวิตและทักษะของเธอก็จะก้าวหน้า ซึ่งนั่นจะเป็นประโยชน์ต่อการงานของคริสตจักร แต่ฉันกลับรั้งเธอไว้ด้วยความพยายามที่จะปกป้องศักดิ์ศรีและสถานะของตัวเอง ถึงขนาดแอบใช้วิธีลับๆ เพื่อกีดกันไม่ให้เธอได้รับมอบหมายหน้าที่นั้น โดยไม่ทันรู้ตัว ฉันก็กลายเป็นสมุนของซาตานและก่อการหยุดชะงักให้งานของคริสตจักรเสียแล้ว ฉันโทษตัวเองจริงๆ ฉันรู้อยู่แล้วว่าความริษยาขัดแย้งกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ฉันไม่เคยนึกเลย ว่ามันจะทำให้ฉันทำในสิ่งที่ไร้มนุษยธรรมสิ้นดี ว่าฉันจะทำให้การงานของคริสตจักรหยุดชะงัก ทำสิ่งชั่วร้าย และต่อต้านพระเจ้า ฉันจำพระวจนะของพระเจ้าได้ว่า “อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ก่อเกิดขึ้นมาจากการที่เขาถูกซาตานวางยาพิษและทำให้ด่างพร้อย” ฉันคิดถึงการที่ตัวเองมักอิจฉาและไม่สามารถทนเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเองได้ เพราะความคิดและมุมมองของฉันถูกทำให้บิดเบี้ยวโดยยาพิษของซาตาน อย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “ทั่วทั้งจักรวาลนี้ เราเท่านั้นที่ครองราชย์สูงสุด” และ “จ่าฝูงมีได้เพียงหนึ่ง” การใชัชีวิตอยู่โดยยาพิษเหล่านี้ ทำให้ฉันต้องการสู้เพื่อหาทางขึ้นมาอยู่แถวหน้าไม่ว่าจะในกลุ่มไหน คิดว่าฉันควรอยู่เหนือคนอื่นๆ และฉันจะไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเป็นธรรมได้ ถ้าฉันคิดว่าพวกเขามีความสามารถมากกว่า ฉันขี้อิจฉาและเลือกปฏิบัติ มองว่าพวกเขาเป็นหอกข้างแคร่ ฉันขี้อิจฉา กีดกัน และตั้งตนเป็นศัตรูกับคนรอบตัวที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ถึงขนาดลอบทำร้ายพวกเขาลับหลัง ฉันขาดความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิงจริงๆ! ฉันมักจะยกย่องตัวเองและทำลายคนอื่นเสมอ เพื่อจะต่อสู้ เพื่อจะชนะ และฉันจะไม่ยอมจำนนให้ใครทั้งนั้น ฉันอยากที่จะอวดตัวเอง ฉันไม่ใช่ซาตานที่มีชีวิตหรือ? เพียงหลังจากนั้น ฉันจึงได้เห็นว่ายาพิษและกฏแบบซาตานสำหรับการเอาตัวรอดเหล่านั้นกลายมาเป็นธรรมชาติจริงๆ ของฉันแล้ว ฉันยึดชีวิตของตัวเองอยู่รอบพวกมัน กลายเป็นคนที่ยิ่งเห็นแก่ตัว โอหัง และร้ายกาจมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าฉันยังปฏิเสธที่จะกลับใจต่อพระเจ้า ฉันรู้ว่าฉันจะถูกพระองค์ทรงเกลียดและทรงกำจัด พอตระหนักถึงทั้งหมดขึ้นมาได้ฉันก็รู้สึกกลัวจริงๆ ฉันจึงเร่งไปอธิษฐานต่อพระเจ้า บอกพระองค์ว่าฉันอยากกลับใจ ว่าฉันจะพยายามปฏิบัติความจริงนับตั้งแต่นั้น และจะหยุดใช้ชีวิตโดยยาพิษแบบซาตานเหล่านั้น

สองสามวันต่อมา ฉันได้รับจดหมายจากผู้นำ บอกว่าโดยรวมแล้ว พี่สาวลี่ดูเหมาะสมดีกับงานที่คริสตจักรอีกที่หนึ่ง ตอนอ่านจดหมาย ฉันรู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนบางอย่างข้างใน แต่ฉันก็ตระหนักได้ทันทีว่ามันคือความริษยาที่กำลังบงการฉันอีกครั้ง ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าทันที และยินดีที่จะละทิ้งตัวเอง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มอีกสองบทตอนหลังจากอธิษฐาน พระเจ้าตรัสว่า “เมื่อเจ้าเปิดเผยตัวเจ้าเองว่าเห็นแก่ตัวและต่ำศักดิ์ และได้กลับกลายเป็นรู้สึกตัวเกี่ยวกับการนี้ เจ้าควรแสวงหาความจริงว่า ฉันควรทำสิ่งใดเพื่อให้อยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า? ฉันควรปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อให้มันเป็นประโยชน์ต่อทุกคน? นั่นคือ เจ้าต้องเริ่มต้นโดยการพักวางผลประโยชน์ของเจ้าเองลง ค่อยๆ ล้มเลิกสิ่งเหล่านั้นไปทีละน้อยโดยสอดคล้องกับวุฒิภาวะของเจ้า หลังจากที่เจ้าได้รับประสบการณ์กับการนี้ไปสักสองสามครั้ง เจ้าก็จะได้พักวางสิ่งเหล่านั้นแล้วอย่างครบบริบูรณ์ และเมื่อเจ้าทำเช่นนั้น เจ้าจะรู้สึกหนักแน่นมั่นคงมากขึ้นทุกที ยิ่งเจ้าพักวางผลประโยชน์ของเจ้าลงมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกว่าในฐานะมนุษย์แล้ว เจ้าควรมีมโนธรรมและมีเหตุผลมากขึ้นเท่านั้น เจ้าจะรู้สึกว่าหากไม่มีสิ่งจูงใจทั้งหลายที่เห็นแก่ตัว เจ้าก็กำลังเป็นบุคคลที่ตรงไปตรงมาและซื่อตรง และเจ้าก็กำลังทำสิ่งทั้งหลายทั้งหมดทั้งมวลเพื่อที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เจ้าจะรู้สึกว่าพฤติกรรมเช่นนั้นทำให้เจ้าควรค่าที่จะถูกเรียกว่า ‘มนุษย์’ และว่าในการดำรงชีวิตแบบนี้บนแผ่นดินโลก เจ้ากำลังเปิดกว้างและซื่อสัตย์ เจ้ากำลังเป็นบุคคลที่จริงแท้ เจ้ามีมโนธรรมที่ชัดเจน และควรค่ากับสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระเจ้าประทานให้เจ้า ยิ่งเจ้าดำรงชีวิตเยี่ยงนี้มากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกหนักแน่นมั่นคงและสดใสมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะไม่ได้ก้าวเท้าไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแล้วหรอกหรือ?(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)หากเจ้าสามารถอย่างแท้จริงที่จะคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างยุติธรรม หากเจ้าให้การแนะนำกับบางคน และบุคคลนั้นได้รับการปลูกฝังให้กลายเป็นบางคนที่มีความสามารถพิเศษ ด้วยผลจากการนั้นได้นำพาบุคคลที่มีความสามารถพิเศษอีกหนึ่งคนเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ได้ทำงานของเจ้าดีแล้วหรือ? เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ได้จงรักภักดีในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือ? นี่เป็นความประพฤติดีเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเป็นมโนธรรมและเหตุผลจำพวกที่พวกมนุษย์ควรครอง(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าได้สรุปเส้นทางแห่งการปฏิบัติไว้อย่างชัดเจน ฉันควรปล่อยวางผลประโยชน์ส่วนตัว และคิดถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ฉันควรแนะนำคนที่แข็งแกร่งกว่าฉันในบางเรื่อง เพื่อให้ทุกคนที่มีความสามารถพิเศษได้นำจุดแข็งของตัวเองมามีบทบาทในพระนิเวศของพระเจ้า และทำหน้าที่ส่วนของตน ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร มีเพียงคนประเภทนั้นเท่านั้นที่มีความเป็นมนุษย์ และเป็นคนที่คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า อีกทั้งสามารถยึดถือผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้ พวกเขาได้รับการทรงเห็นชอบจากพระเจ้า และนั่นคือความประพฤติที่ดี เย็นวันเดียวกันนั้นฉันได้ไปเจอพี่สาวลี่ และถามเธอว่า เธออยากไปทำหน้าที่นั้นไหม เธอบอกว่าเธอยินดีที่จะไปทำ แต่ก็กลัวว่าจะทำได้ไม่ดี เพราะเธอยังใหม่ในความเชื่อ และวุฒิภาวะของเธอก็ยังน้อยอยู่ หลังได้ฟังความกังวลของเธอ ฉันก็สามัคคีธรรมกับเธอเรื่องน้ำพระทัยของพระเจ้า ให้กำลังใจเธอในการพึ่งพาและมองไปยังพระเจ้า และจดจ่อกับการแสวงหาหลักปฏิบัติแห่งความจริงในหน้าที่ของเธอ เธอย้ายออกไปทำหน้าที่ใหม่ของตัวเองในอีกสองสามวันต่อมา ฉันมีความสุขมาก และรู้สึกว่าการมีความสามารถที่จะปฏิบัติความจริงและไม่ใช้ชีวิตอยู่เพื่อศักดิ์ศรีและสถานะของตัวเองได้ คือหนทางเดียวในการใช้ชีวิตด้วยความซื่อตรงและความภาคภูมิใจ ฉันได้มีสันติสุขในหัวใจอย่างสมบูรณ์

พอมองย้อนกลับไป ถึงช่วงเวลาที่ฉันใช้ชีวิตอยู่โดยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเอง มักจะอิจฉาและต่อสู้เพื่อชื่อและสถานะอยู่เสมอ อีกทั้งถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและหลอกลวง ฉันก็ได้เห็นว่านั่นคือหนทางการใช้ชีวิตที่แสนเจ็บปวด พระเจ้าทรงจัดแจงมนุษย์ สิ่งของ เหตุการณ์ และสภาพแวดล้อมทุกชนิดเอาไว้เพื่อเปิดโปงฉัน เพื่อช่วยฉันให้รอด พระองค์ยังทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อเปิดโปงและพิพากษาฉัน อีกทั้งยังรดน้ำและค้ำชูฉันด้วย จนในที่สุดฉันก็เข้าใจธรรมชาติแบบซาตานของตัวเองขึ้นมาบ้าง และได้เห็นถึงธรรมชาติและผลที่ตามมาของความริษยา รวมถึงการต่อสู้เพื่อชื่อและผลประโยชน์ มีเพียงตอนนั้นเองที่ฉันสามารถปฏิบัติความจริงได้บ้าง และมีจิตสำนึกและเหตุผลขึ้นมาเล็กน้อย ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

หลังจากถูกเปลี่ยนตัว

โดย Li Jie, สหรัฐอเมริกา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าทรงพระราชกิจในบุคคลทุกๆ คน และไม่สำคัญว่าวิธีการของพระองค์คือสิ่งใด ผู้คน...

มองหาอิสรภาพจากสถานะ

โดย ต่งเอิน ประเทศฝรั่งเศส ฉันมาเป็นผู้นำคริสตจักรในปี 2019 ฉันทำตามใจ และไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ และไม่ได้จัดวางคนให้เหมาะสมกันงาน...

การไม่ได้เป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” อีกต่อไปแล้วช่างเป็นอิสระเหลือเกิน

โดย จาง เว่ย, ประเทศจีน ฉันเคยเป็นรองหัวหน้าศัลยกรรมกระดูกของโรงบาล ฉันทุ่มเทกับงานเต็มที่อยู่สี่สิบปี สั่งสมประสบการณ์ทางคลินิกไม่น้อย...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger