การปล่อยมือจากสถานะนั้นไม่ง่ายเลย
ผมเกิดมาในครอบครัวเกษตรกรรม ผมสูญเสียพ่อแม่ไปตอนผมยังเล็ก ดังนั้นผมกับพี่ชายจึงต้องพึ่งพากันเอง พวกเราจนมากและผู้คนก็ดูแคลนเรา ผมเคยคิดว่า “ฉันจะไปโรงเรียน แล้ววันหนึ่งฉันจะเชิดหน้าชูตาเหนือคนอื่น” โชคไม่ดีที่ผมต้องออกจากโรงเรียนในระหว่างที่ผมเรียนชั้นม. 5 เพราะพวกเราไม่มีเงิน ความฝันของผมที่จะเชิดหน้าชูตาเหนือคนอื่นถูกทำลายยับ และผมก็รู้สึกแหลกสลายไม่มีชิ้นดี
ผมมาเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าใน ค.ศ. 1990 ผู้ประกาศพูดว่า ด้วยการที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราไม่เพียงจะพบกับสันติสุขในชีวิตนี้เท่านั้น แต่พวกเราจะมีชีวิตนิรันดร์ในชีวิตหน้าด้วย เขายังพูดด้วยว่า ยิ่งพวกเราเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ผู้คนรับเชื่อได้มากเท่าไหร่ พวกเราก็จะยิ่งได้รับการทรงอวยพรมากขึ้นเท่านั้น และว่าพวกเราจะได้รับบำเหน็จและมงกุฎของเรา และครองราชย์ในฐานะกษัตริย์เคียงข้างพระเจ้า ในช่วงนั้นเอง ผมได้อ่านสิ่งนี้ในพระคัมภีร์ที่ว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8) ดังนั้นผมจึงตัดสินใจสละทิ้งครอบครัวและไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อพระเจ้า ย้อนไปตอนนั้น ผมเต็มไปด้วยพลังงาน และในไม่ถึงหนึ่งปี ผมทำให้ผู้คนรับเชื่อได้หลายร้อยคน ขณะที่จำนวนผู้รับเชื่อเพิ่มขึ้น พอถึง ค.ศ.1997 พวกเราก็ได้สถาปนาคริสตจักรขึ้นหลายร้อยแห่งพร้อมผู้คนมากกว่า 30,000 คน ผมเป็นผู้ตัดสินคำขาดทุกอย่างเกี่ยวกับคริสตจักรเหล่านั้น และไม่ว่าคริสตจักรไหนที่ผมไปทำงาน พี่น้องชายหญิงที่นั่นก็จะทักทายผมด้วยความนับถือและขับรถพาผมไปทุกที่ที่ผมอยากไป พวกเขาจะจัดเตรียมอาหารรสเลิศให้กินและสถานที่อย่างดีให้พัก และพวกเขาจะจ่ายค่าเดินทางให้ผมด้วย ผมได้เกิดความชื่นชมยินดีกับสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา
อยู่มาวันหนึ่ง ผู้นำระดับสูงกว่าคนหนึ่งให้พวกเราเข้าร่วมการชุมนุมงานหนึ่ง และพูดว่า ตอนนี้มีนิกายหนึ่งชื่อฟ้าแลบจากทิศตะวันออกกำลังทำการประกาศว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และบอกพวกเราว่า การเทศนาของพวกเขาสูงส่งมาก เธอพูดว่า สมาชิกที่ดีหลายคนของคริสตจักรทั้งหลายได้ถูกพวกนั้นขโมยไปแล้ว และว่า แม้แต่เพื่อนร่วมงานสองคนจากคริสตจักรของพวกเรา คุณหวังและคุณอู่ก็ได้ยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกแล้ว ผู้นำคนนั้นขอให้พวกเราไม่ยอมรับพี่น้องชายสองคนนี้อย่างเด็ดขาด และพูดว่า ถ้าพวกเราพบใครอื่นที่ฟังการเทศนาของฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ก็ให้พวกเราขับไล่พวกเขาไปทันที เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้ผมประหลาดใจ ผมรู้จักพี่น้องชายสองคนนี้ดี พวกเขารู้ข้อพระคัมภีร์เป็นอย่างดี และเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจ ผมไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขาไปยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกได้อย่างไร เมื่อปลายปีใกล้เข้ามา พี่น้องชายสองคนนี้มาเยี่ยมบ้านผมอย่างไม่คาดคิด ผมลังเลอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูให้พวกเขา กลัวว่าพวกเขาจะมาหลอกลวงผม แต่แล้วผมก็คิดว่า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ฉันก็เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และฉันก็ทำไม่ได้ที่จะขับไสไล่ส่งพี่น้องชายสองคนนี้ให้พ้นไปจากหน้าประตู” ดังนั้นผมจึงเชิญให้พวกเขาเข้าบ้าน พวกเขาพูดว่าเพื่อถวายการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ผมต้องจดจ่ออยู่กับการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และว่าผมไม่ควรปฏิเสธการแสวงหาหรือสืบค้นหนทางที่แท้จริง เนื่องจากเกรงว่าจะถูกนำไปผิดทาง แล้วพวกเขาก็ให้การสามัคคีธรรมอย่างละเอียดเกี่ยวกับวิธีที่จะเป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญาซึ่งฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และวิธีที่จะบอกความแตกต่างระหว่างหนทางที่แท้จริงและหนทางเทียมเท็จ ผมคิดว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นทั้งทำให้รู้สึกสดชื่นและให้ความรู้แจ้ง ผมคล้อยตามไปอย่างเชื่อมั่นที่สุด ตอนพวกเขากลับ พวกเขายื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้ผม บอกผมว่าในนั้นมีถ้อยดำรัสของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อยู่ และรบเร้าให้ผมอ่านหนังสือเล่มนั้น และจะได้ไม่พลาดโอกาสของผมที่จะถวายการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า หลังจากพวกเขาไปแล้ว ผมเริ่มกังวลว่าผมกำลังถูกนำให้ออกนอกลู่นอกทาง และหากผู้นำระดับสูงกว่าเกิดรู้เข้าว่าผมต้อนรับพี่น้องชายสองคนนี้เข้าบ้าน ผมก็จะถูกขับไล่ออกจากคริสตจักร แต่แล้วผมก็คิดว่า “ถ้าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูคริสต์ที่ทรงกลับมาจริง และผมไม่พิจารณาดูเพราะกลัวถูกขับไล่ แล้วนั่นจะไม่ทำให้ผมเป็นคนที่ไม่ยอมรับและต้านทานพระเจ้าหรอกหรือ?” พอคิดแบบนี้ ผมจึงตัดสินใจในตอนนั้นเลย ที่จะพิจารณาดูพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
หลังจากนั้น ผมก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทุกวัน ระหว่างนั้น พี่น้องชายทั้งสองคนก็สามัคคีธรรมกับผมเกี่ยวกับเรื่องพระราชกิจสามระยะของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ความล้ำลึกของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า วิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระองค์เพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด วิธีที่พระเจ้าทรงนำแต่ละยุคไปสู่ปลายทาง วิธีที่ราชอาณาจักรของพระคริสต์เป็นจริงขึ้นบนแผ่นดินโลก และอื่นๆ ผมไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้เลยตลอดหลายปีที่ผมเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และยิ่งผมได้ฟังมากเท่าไหร่ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็ดูยิ่งมีสิทธิอำนาจและทรงฤทธานุภาพสำหรับผมมากขึ้นเท่านั้น ผมรู้สึกมากขึ้นทุกทีว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อาจเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาจริงๆ ก็ได้ และว่าผมควรสืบค้นในเรื่องนี้ แต่ผมรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจตลอด บรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสกล่าวโทษฟ้าแลบจากทิศตะวันออกมาตลอดหลายปี และผมเองก็ได้ไหลตามไปกับพวกเขาในการปิดตายคริสตจักรให้แน่นที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยไม่อนุญาตให้ใครได้ติดต่อกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก และขับไล่ใครก็ตามที่ได้ยอมรับหนทางของพวกเขา หากผมยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก แล้วบรรดาผู้เชื่อมากกว่า 30,000 คนที่อยู่ภายใต้ผมในคริสตจักรจะคิดอย่างไร? หากพวกเขาทั้งหมดยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกตามผมด้วย นั่นก็คงจะเยี่ยมไปเลย แต่ถ้าไม่ พวกเขาก็จะไม่ยอมรับผมแน่นอน ผมนึกถึงเรื่องที่ผมออกไปข้างนอกในทุกสภาพอากาศ เพื่อประกาศและทำงานหามรุ่งหามค่ำ และเสี่ยงที่จะถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนไล่ล่า สถาปนาคริสตจักรทั้งหมดนี้ด้วยเลือด หยาดเหงื่อ และน้ำตาของผม ผมต้องทุ่มเทไปเยอะมากเพื่อมาถึงจุดที่ยืนอยู่ตอนนั้นและได้รับการเคารพนับถืออย่างสูงโดยผู้คนมากมาย—ผมจะโยนทั้งหมดนั่นทิ้งไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร? อีกอย่าง ต่อให้ทุกคนที่อยู่ภายใต้ผมในคริสตจักรยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมจะยังสามารถเป็นผู้นำของพวกเขาได้ไหม? แต่แล้วผมก็คิดว่า “หากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาจริง และฉันไม่ยอมรับพระองค์ ฉันจะไม่พลาดโอกาสถวายการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าหรอกหรือ?” ผมคิดกลับไปกลับมาอยู่ในใจ ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไรดี ตอนนั้นเอง ภรรยาของผมก็ทำให้ผมแปลกใจด้วยการปรี่เข้ามาอย่างตื่นเต้นหลังจากฟังพระวจนะของพระเจ้าและพูดว่า “ฉันฟังพระวจนะของพระเจ้าแล้วและเชื่อว่าเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า หากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาจริง พวกเราก็ควรจะพิจารณาเรื่องนี้ดูและยอมรับให้เร็วที่สุดนะ!” ผมตอบไปอย่างหงุดหงิดว่า “ผมรู้น่า แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก บรรดาผู้นำและเพื่อนร่วมงานในคริสตจักรของพวกเราได้ปิดตายคริสตจักรแล้ว เพื่อที่จะได้ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้สืบค้นเรื่องฟ้าแลบจากทิศตะวันออก หากผมยอมรับหนทางของพวกนั้น พวกเขาก็จะไม่ยอมรับผมแน่” แต่นี่ยิ่งทำให้ภรรยาของผมอยู่ไม่เป็นสุข และเธอพูดว่า “พวกเราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาตลอดหลายปีนี้เพื่ออะไรหรือ? พวกเราไม่ได้กำลังเฝ้ารอการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่พวกเราจะถูกรับขึ้นไปสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้หรอกหรือ? ตอนนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว ต่อให้คุณไม่ใช่ผู้นำ คุณก็จำเป็นต้องยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าและถวายการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้านะ!” ผมพูดว่าผมเห็นด้วยกับเธอ แต่ในใจผมคิดว่า “คุณก็แค่คิดอะไรง่ายๆ แบบผู้หญิงนั่นแหละ ผมมีคนมากกว่า 30,000 คนต้องคำนึงถึงนะ ผมต้องก้าวอย่างระมัดระวัง ผมต้องใคร่ครวญเรื่องนี้อีกสักหน่อย” หลายเดือนผ่านไปโดยที่ผมไม่ได้ยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ระหว่างช่วงเวลานี้ พี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาพบผมบ่อยๆ พวกเขาสามัคคีธรรมกับผมอย่างอดทน และอันที่จริงแล้ว ผมก็รู้สึกอย่างชัดเจนในหัวใจว่า นี่คือพระราชกิจของพระเจ้าจริงๆ แต่เพราะผมสละทิ้งตำแหน่งของตัวเองไม่ได้ ผมจึงยังฝืนต้านไม่ยอมรับเรื่องนี้ หลังจากนั้นไม่นาน พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นก็ตระหนักถึงสภาวะที่ผมเป็นอยู่ ครั้งหนึ่ง เมื่อผมกำลังชุมนุมกับพี่ไป๋และพี่ซ่ง พี่ซ่งสามัคคีธรรมประสบการณ์ของเขากับผม เขาพูดว่าเขาเคยเป็นผู้นำคริสตจักรมาก่อนเหมือนกัน ดูแลรับผิดชอบคริสตจักรมาหลายสิบแห่ง หลังจากมีคนประกาศข่าวประเสริฐกับเขา ด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เขาก็เกิดความแน่ใจว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา แต่พอถึงเวลาต้องยอมรับขึ้นมาจริงๆ เขาก็เริ่มลังเลใจว่า “ถ้าฉันยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันจะยังเป็นผู้นำได้ไหม? ฉันจะยังนำทางผู้คนมากมายได้ไหม?” แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ถึงคำอุปมาเรื่องชาวสวนเลวขององค์พระเยซูเจ้า ในมัทธิวบทที่ 21 ข้อ 33 ถึง 41 ที่ว่า “มีเจ้าของที่ดินคนหนึ่งทำสวนองุ่นไว้ เขาทำรั้วล้อมรอบ ขุดบ่อย่ำองุ่นในสวนนั้น และสร้างหอเฝ้า ให้พวกชาวสวนเช่า แล้วก็ไปต่างประเทศ เมื่อถึงฤดูเก็บพืชผล จึงใช้บรรดาทาสไปหาพวกคนเช่าสวน เพื่อจะรับพืชผลของเขา แต่คนเช่าสวนเหล่านั้นจับคนของเขาไปเฆี่ยนตีคนหนึ่ง ฆ่าเสียคนหนึ่ง เอาหินขว้างจนตายคนหนึ่ง เขาก็ใช้พวกทาสอื่นๆ ซึ่งมากกว่าครั้งก่อนไปอีก แต่พวกคนเช่าสวนก็ทำกับพวกเขาเช่นเดิม ภายหลังเขาก็ใช้บุตรของเขาไปหา กล่าวว่า ‘พวกเขาจะเคารพลูกของเรา’ แต่เมื่อพวกคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมาก็พูดกันว่า ‘คนนี้แหละเป็นทายาท ฆ่าเขาเสีย แล้วเราก็จะได้มรดกของเขา’ พวกเขาจึงพากันจับบุตรนั้นผลักออกไปนอกสวนแล้วฆ่า เพราะฉะนั้นเมื่อเจ้าของสวนมา ท่านจะทำอย่างไรกับพวกคนเช่าสวนนั้น? พวกเขาทูลตอบว่า ‘ท่านจะฆ่าคนร้ายเหล่านั้นให้ตายอย่างทุกข์ทรมาน และจะให้สวนนั้นแก่คนเช่าอื่นที่จะแบ่งพืชผลให้ตามฤดูกาล’” พี่ซ่งพูดว่า เขารู้สึกถึงสำนึกที่บาดลึกของการตำหนิตัวเองอย่างไร องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงไว้วางใจฝากฝังฝูงแกะของพระองค์ไว้กับเขา และตอนนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงกลับมาแล้ว แทนที่จะนำทางพี่น้องชายหญิงให้ไปถวายการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า เขากลับพยายามช่วงชิงฝูงแกะขององค์พระผู้เป็นเจ้าและไม่ยอมรับพระองค์ เขาพูดว่าเขาทำตัวเหมือนชาวสวนเลวพวกนั้นไม่มีผิด และว่าเขาเป็นผู้รับใช้เลวที่กำลังต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาได้ถามตัวเองว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ตัวเองได้มาเป็นผู้นำได้อย่างนั้นหรือ? ฉันทำแบบนี้เพื่อสถานะและความเป็นอยู่ของตัวเองอย่างนั้นหรือ? ฉันเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าจริงๆ หรือ?” เขารู้สึกสำนึกผิดอย่างมากเมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงสารภาพและกลับใจต่อพระเจ้า แล้วก็ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จากนั้นเขาก็เผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่พี่น้องชายหญิงทุกคนที่อยู่ภายใต้เขา พอผมได้ยินเขาสามัคคีธรรมแบบนี้ ผมก็รู้สึกละอายและเสียใจมาก เพื่อคุ้มภัยให้กับสถานะของตัวผมเอง ผมเอาแต่ผลัดวันประกันพรุ่งในการยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทั้งที่ผมรู้แล้วว่านั่นเป็นพระราชกิจของพระเจ้าจริงๆ แล้วผมก็ยังจะไม่ยอมให้พี่น้องชายหญิงพิจารณาดูเรื่องนี้อีกด้วย ผมกำลังบอกปัดที่จะถวายแกะของพระเจ้าให้กับพระองค์ ผมเป็นผู้รับใช้เลว และผมสมควรถูกสาปแช่งและลงโทษ! แต่พอผมคิดว่า ผมได้ปิดตายคริสตจักรไปอย่างแน่นหนาแค่ไหน และการที่ไม่มีแม้แต่คนเดียวในคริสตจักรของผมที่ได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็เลยคิดว่า “ถ้าผมยอมรับเรื่องนี้ จะไม่เป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนหรอกหรือ? ผมจะไปเสนอหน้าที่ไหนได้อีก? ถ้าผู้คนในคริสตจักรของผมเกิดรู้เข้า ว่าผมได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว พวกเขาจะเกลียดและไม่ยอมรับผมแน่นอน แล้วผมก็จะไม่เหลืออะไรเลย” ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่า ไม่ยอมรับเรื่องนี้เป็นดีที่สุด
สองสามวันต่อมา ในอีกการชุมนุมหนึ่งกับพี่น้องชายสองคนนั้น ผมบอกเรื่องที่ผมเป็นห่วงกับพวกเขา ตอนนั้นผมเป็นเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมาก และผมก็ถามพวกเขาอ้อมๆ ว่า “ถ้าคนที่ผมนำทางก็เริ่มเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เหมือนกัน ใครจะนำทางพวกเขาครับ จะเป็นบรรดาผู้นำและเพื่อนร่วมงานที่มีอยู่ตอนนี้หรือเปล่า?” ความหมายจริงๆ ของผมก็คือ “ผมยังต้องนำทางและบริหารจัดการพวกเขา” แต่พี่ไป๋ทำให้ผมแปลกใจด้วยการพูดว่า “หลังจากยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว พระเจ้าพระองค์เองนั่นแหละจะทรงนำทางพวกเรา ทรงให้น้ำพวกเรา และทรงเลี้ยงพวกเรา ในคริสตจักรของพวกเรานั้น พระคริสต์และความจริงคุมอำนาจอยู่ ผู้นำคริสจักรได้มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นใครก็ตามที่เข้าใจความจริงและครองความเป็นจริง และใครก็ตามที่สามารถให้น้ำพี่น้องชายหญิงและแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพวกเขาได้ ก็คือคนที่ได้รับเลือกตั้ง” เขาพูดต่อไปว่า “หากคุณไล่ตามเสาะหาความจริง คุณก็สามารถได้รับเลือกเป็นผู้นำได้เช่นกัน ในคริสตจักรมีหน้าที่มากมายสารพัด อย่างเช่น ผู้นำ ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ—ทุกคนมีงานตามหน้าที่ของตัวเอง ไม่มีการจำแนกความต่างว่าเป็นสถานะ ‘สำคัญ’ หรือ ‘ไม่สำคัญ’ หรือ ‘สูง’ หรือ ‘ต่ำ’ เมื่อเป็นเรื่องของหน้าที่ นั่นเป็นเพราะทุกคนเสมอภาคกันเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการทำงานในศาสนนิกายทั้งหลาย” ยิ่งผมฟังพี่ไป๋มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกสลดใจมากขึ้นเท่านั้น จนสีหน้าของผมห่อเหี่ยว ผมคิดว่า “ฉันไม่คิดว่าฉันจะสามารถเป็นผู้นำให้คนมากมายได้อีกหลังจากนี้”
พี่ซ่งสังเกตเห็นว่าผมรู้สึกอย่างไร และให้สามัคคีธรรมกับผมถึงประสบการณ์ของกษัตริย์แห่งนีนะเวห์ เขาพูดว่า “กษัตริย์แห่งนีนะเวห์ทรงเป็นผู้ปกครองของชนชาติหนึ่ง เมื่อพระองค์ได้ยินโยนาห์ประกาศพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งกล่าวว่านีนะเวห์จะถูกทำลาย พระองค์ก็ทรงก้าวลงจากบัลลังก์ และนำทางคนทั้งเมืองให้ห่อคลุมตัวเองด้วยผ้ากระสอบและขี้เถ้า และคุกเข่าลงสารภาพและกลับใจต่อพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงกรุณาต่อพวกเขา และเมืองนั้นก็ได้รับการละเว้น” เขาพูดต่อไปว่า “ในฐานะผู้นำคริสตจักร เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ยิ่งใหญ่อย่างการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแบบนี้ คุณไม่ควรเอาอย่างกษัตริย์แห่งนีนะเวห์ และนำทางพี่น้องชายหญิงให้สารภาพและกลับใจต่อพระเจ้าหรอกหรือ?” สิ่งที่เขาพูดดลใจผมจริงๆ เขาพูดถูกตรงที่ว่า กษัตริย์แห่งนีนะเวห์ทรงเป็นผู้ปกครองชนชาติ เมื่อใครบางคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงขนาดนั้นสามารถถ่อมใจตัวเองลง อีกทั้งสารภาพและกลับใจต่อพระเจ้าได้ ทำไมหรือ ผมจึงจะไม่สามารถปล่อยวางสถานะของตัวเองและยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าได้? พี่ซ่งพูดต่อไปว่า “เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ พวกฟาริสีต้องการคุ้มภัยให้กับตำแหน่งและความเป็นอยู่ของตัวเอง และดังนั้นพวกเขาจึงทำทุกอย่างที่พวกเขาทำได้เพื่อต้านทานและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า เพื่อเก็บผู้ที่มีความสัตย์ซื่อไว้ภายใต้การควบคุมของพวกเขา องค์พระเยซูเจ้าทรงว่ากล่าวพวกเขา โดยตรัสว่า ‘วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม’ (มัทธิว 23:13)” แล้วเขาก็พูดกับผมว่า “เรื่องที่พระเจ้าทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายนั้น เป็นข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ที่กำลังมา ตอนแรก คุณเชื่อคำโกหกที่ถูกบอกเล่ามาและไหลตามไปกับพวกผู้นำศาสนาในการปิดตายคริสตจักร กีดกันไม่ให้พี่น้องชายหญิงยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ในการทำแบบนี้ คุณได้ท้าทายพระเจ้าไปแล้ว ตอนนี้ คุณก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และได้ข้อสรุปแล้วว่า พระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา ถ้าคุณยังคงดื้อดึงบอกปัดพระราชกิจของพระเจ้าต่อไป หรือบอกปัดที่จะบอกพี่น้องชายหญิงถึงข่าวการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ปิดกั้นพวกเขาออกไปจากราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ถ้าอย่างนั้น คุณก็จะกำลังทำผิดทั้งๆ ที่รู้ และยังเป็นการสร้างความผิดพลาดอีกอย่างหนึ่งเลยนะครับ” เขาพูดว่า “นี่จะเป็นความชั่วอันใหญ่หลวงต่อพระเจ้า! หากพี่น้องชายหญิงเสียโอกาสต่อความรอดเพราะพวกเรากีดกันพวกเขา อย่างนั้นแล้ว นี่ก็จะเป็นหนี้ที่ต้องล้างด้วยเลือดเลยทีเดียว! พวกเราคงจะไม่สามารถชดใช้คืนให้กับหนี้นี้ได้เลย ต่อให้พวกเราตายแล้วตายอีกก็ตาม อย่างไรก็ตาม หากคุณนำพี่น้องชายหญิงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาก็จะไม่เพียงไม่เกลียดคุณเท่านั้น แต่พวกเขาจะขอบคุณคุณอีกด้วย สำหรับการแบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรสวรรค์และหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ให้กับพวกเขา”
แล้วพี่ไป๋ก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้พวกเราฟังสองบทตอน “ครั้นพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมาทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ ทุกคนมองเห็นพระองค์และได้สดับตรับฟังพระวจนะของพระองค์ และทั้งหมดมองเห็นกิจการที่พระเจ้าทรงพระราชกิจจากภายในกายมนุษย์ของพระองค์ ณ ขณะนั้นเอง มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ทุกคนจึงปลาสนาการไป สำหรับผู้ที่เคยเห็นพระเจ้าซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์แล้วนั้น พวกเขาจะไม่ถูกกล่าวโทษหากพวกเขาเต็มใจเชื่อฟังพระองค์ ในขณะที่พวกซึ่งยืนต้านพระองค์อย่างมีจุดประสงค์จะถูกถือว่าเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้า ผู้คนดังกล่าวคือศัตรูของพระคริสต์ เป็นศัตรูที่ตั้งใจยืนต้านพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า) “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์ พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘องค์ประกอบอันเพียบพร้อม’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า? ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า) หลังจากที่เขาได้อ่านบทตอนเหล่านี้ ผมก็รู้สึกปวดร้าวรุนแรงเลยทีเดียว ผมรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรงจนหน้าผมแดงก่ำ ผมอยากจะให้แผ่นดินแยกและสูบกลืนผมไปเลย ผมรู้ดีอย่างที่สุดว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว และว่าพระองค์กำลังทรงแสดงความจริงมากมายและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและชำระมนุษย์ให้สะอาด แต่เพื่อที่จะคุ้มภัยให้กับตำแหน่งและความเป็นอยู่ของผม ผมได้บอกปัดที่จะยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และได้ปิดตายคริสตจักรเพื่อให้แกะของพระเจ้าไม่สามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์และหันไปหาพระองค์ ผมแตกต่างจากพวกฟาริสีที่ต้านทานองค์พระเยซูเจ้าตลอดเมื่อหลายปีก่อนตรงไหนกัน? องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงเลี้ยงของพวกเรา และตอนนี้พระองค์ได้ทรงกลับมาเพื่อทรงเรียกแกะของพระองค์กลับไป นั่นคือ ผมต้องถวายแกะของพระเจ้าคืนให้พระองค์ แล้วนี่ผมยังสามารถพยายามปกป้องตำแหน่งของตัวเองได้อย่างไรกัน? ผมจะรอจนการลงโทษของพระเจ้ามาถึงผมงั้นหรือ? ผมตัดสินใจว่าผมไม่สามารถท้าทายพระเจ้าต่อไปได้อีกแล้ว ต่อให้ผมจะไม่ใช่ผู้นำอีกต่อไป และทุกคนไม่ยอมรับผม แต่ผมก็ยังจำเป็นต้องยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า นำทางพี่น้องชายหญิงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และคืนฝูงแกะของพระเจ้าให้กับพระองค์ พอผมคิดแบบนี้ ผมก็ตัดสินใจยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และเริ่มประกาศข่าวประเสริฐแก่บรรดาผู้คนที่ผมนำทาง
ในเวลาต่อมา ด้วยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้คนมากกว่า 10,000 คนในคริสตจักรของผมยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ขอขอบคุณพระเจ้า ในที่สุดผมก็ได้นำทางฝูงแกะของพระเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ และผมรู้สึกถึงสันติสุขและมีความสบายใจเหลือเกิน
หกเดือนต่อมา ผู้คนทั่วพื้นที่เป็นวงกว้างได้เข้าร่วมคริสตจักรนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นคริสตจักรทั้งหลายจึงต้องแบ่งออกไปตามภูมิภาคและมีการเลือกตั้งบรรดาผู้นำและคนทำงานขึ้นมา แต่กระนั้นผมก็ช่างโอหังนักด้วยการคิดว่า “ไม่ว่าจะแบ่งคริสตจักรออกมาอย่างไร ฉันก็จะยังเป็นผู้นำ เนื่องจากความสามารถและประสบการณ์ทำงานของฉัน ฉันบริหารจัดการคริสตจักรหลายแห่งได้สบาย” แต่ทว่าอีกสองสามวันต่อมา ตอนที่ผมกำลังอยู่ในการชุมนุมกับพี่น้องชายสองคน ผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งก็เข้ามาและพูดว่า “ตอนนี้เป็นเวลาเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร พวกเราต้องการพี่น้องชายหญิงที่มีขีดความสามารถดี ซึ่งรู้จักพระคัมภีร์เป็นอย่างดี เพื่อไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐในพื้นที่อื่นๆ นี่เป็นงานที่สำคัญมากเป็นพิเศษ พวกคุณสามคนเต็มใจไปไหม?” พี่น้องชายสองคนนั้นตอบรับอย่างดีอกดีใจ แต่ผมไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก พลางคิดกับตัวเองว่า “ฉันนำทางคริสตจักรหลายแห่งในนิกายเดิมของฉันมาเป็นปีๆ บริหารจัดการผู้คนมาหลายพันคน ตอนนี้กลับต้องมาประกาศข่าวประเสริฐอีก ในขณะที่เพื่อนร่วมงานใต้บังคับบัญชาฉันบางคนได้กลายเป็นผู้นำ แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ช่างน่าอัปยศอดสูนัก!” ผมนึกถึงช่วงปีทั้งหมดที่ผมได้รับใช้ในฐานะผู้นำ ได้รับการเคารพนับถือและนิยมชมชอบในทุกที่ที่ผมไป ได้รับการปฏิบัติตามที่ผมต้องการทุกอย่าง ตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรเลย และผมต้องไปทนทุกข์กับการประกาศข่าวประเสริฐอีกแล้ว ผมรับไม่ได้จริงๆ แต่มันก็คงน่าอายเกินไปที่จะบอกปัดต่อหน้าคนอื่น ผมก็เลยตอบตกลงไปอย่างเสียไม่ได้ ผมคิดกับตัวเองว่า “ฉันจำเป็นต้องประกาศข่าวประเสริฐให้ดี ตราบใดที่ฉันสามารถทำให้คนรับเชื่อได้เป็นจำนวนมาก พี่น้องชายหญิงก็จะยังนิยมยกย่องฉัน” แล้วพอผมได้เผชิญหน้ากับงานนั้น ผมก็บริหารจัดการการประกาศข่าวประเสริฐได้ดีจริงๆ เพียงไม่นานนัก ผู้คนมากกว่า 400 คนก็ได้ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า ณ เวลานั้น ผมรู้สึกว่า ไม่ว่าผมจะไปทางไหน พี่น้องชายหญิงก็ทักทายผมอย่างมีใจกระตือรือร้นและนิยมยกย่องผม ผมใช้ชีวิตอยู่ในความชื่นชมยินดีที่ตำแหน่งของผมได้นำมาให้อีกครั้ง และความร่าเริงใจของผมในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐก็มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2000 ผมเดินทางออกนอกเมืองไปกับพี่หลิวเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พี่หลิวเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มานานกว่าผม และสามัคคีธรรมถึงความจริงอย่างชัดเจน ผมก็ยินดีด้วย เมื่อคิดว่ามันดีแค่ไหนที่ผมสามารถใช้จุดแข็งของเขามาชดเชยข้อบกพร่องของผมได้ ครั้งหนึ่ง ผมกับเขาไปประกาศข่าวประเสริฐให้กลุ่มคนซึ่งเป็นของศาสนนิกายหนึ่ง พวกเขาร่ายยาวมโนคติที่หลงผิดทางศาสนา และผมจึงต้องการให้การสามัคคีธรรมแก่พวกเขา แต่เพราะผมยังขาดความเข้าใจความจริง ผมจึงร้อนใจอยากจะช่วยแต่ทำไม่ได้ สุดท้าย พี่หลิวสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างใจเย็นเพื่อหักล้างมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา โดยพูดไปตามข้อเท็จจริงและมีเหตุผล ในตอนแรก บรรดาผู้คนที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมด้วยนั้นไม่ได้ยอมรับ แต่พอพวกเขาฟังต่อไป พวกเขาก็เริ่มแน่ใจว่าสิ่งที่พี่หลิวกำลังพูดเป็นความจริง จนในที่สุดพวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย พอเห็นฉากเหตุการณ์เล่นออกมาเป็นแบบนั้น ผมรู้สึกทั้งอิจฉาและเลื่อมใสพี่หลิว ผมคิดว่า “พี่หลิวสามัคคีธรรมอย่างชัดเจนมาก ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป บทบาทเดียวของฉันก็จะเป็นการทำให้เขาดูดี และคนอื่นๆ ก็จะพูดว่าเขาดีกว่าฉัน ไม่ได้การแล้ว! ฉันต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมสรรพด้วยความจริง และพยายามทำให้ดีกว่าพี่หลิว” หลังจากผมกลับมาบ้าน ผมก็เริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าทั้งแต่ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ติดอาวุธให้ตัวเองด้วยความจริงทั้งหลายสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แม้แต่ระหว่างเวลาอาหาร ผมก็จะคิดว่าพี่หลิวให้การสามัคคีธรรมอย่างไร ผมก็จะได้รู้ว่าจะสามัคคีธรรมอย่างไรกับเป้าหมายของข่าวประเสริฐในครั้งต่อไป เพื่อที่อย่างน้อยผมจะได้ดูดีพอๆ กับพี่หลิว
แต่ทว่าผมก็ต้องแปลกใจจนได้ เมื่อในครั้งต่อมาที่พวกเราไปประกาศข่าวประเสริฐแก่คนเหล่านั้น พวกเขาก็มีคำถามใหม่ๆ ขึ้นมา และเป็นอีกครั้งที่ผมไม่สามารถให้การสามัคคีธรรมที่ชัดเจนได้ การที่เห็นว่าพวกเขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าผมกำลังพูดอะไรอยู่ ทำให้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนมาก นาทีนั้นเอง พี่หลิวก็รีบเข้ามารับช่วงต่อ คนเหล่านั้นฟังเขาอย่างตั้งใจ พยักหน้าเป็นครั้งคราว และสุดท้ายพวกเขาก็เข้าใจทุกอย่างดีมาก แต่ทว่าตัวผมทำสำเร็จแค่การทำให้ตัวเองกระอักกระอ่วน และอยากให้ธรณีแยกออกและสูบกลืนผมลงไปทั้งตัวเลย ผมคิดว่า “ฉันมากับพี่หลิว แต่ฉันไม่สามารถสามัคคีธรรมได้ชัดเจน และไม่มีประโยชน์อะไรเลยทั้งสิ้น พวกเขายังจำเป็นต้องให้เขาก้าวเข้ามาช่วยจัดการแก้ไขประเด็นปัญหาของพวกเขา ช่างน่าอัปยศอดสูอะไรอย่างนี้!” เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมาบ้าง ผมนึกขึ้นได้ถึงการฉวยประโยชน์พูดอะไรเล็กน้อยตอนที่พี่หลิวเว้นช่วงการสามัคคีธรรม หนึ่งวันต่อมา พวกเขาทุกคนยอมรับข่าวประเสริฐ นี่ทำให้ผมมีความสุขมาก แต่ในใจผมรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ผมรู้สึกเหมือนการที่พวกเขายอมรับข่าวประเสริฐนั้นไม่ได้เป็นเพราะผม และผมไม่ได้แสดงตัวเองดีพอ หลังจากพวกเรารับประทานอาหารด้วยกัน ผู้เชื่อใหม่เหล่านั้นขอให้พวกเราพูดถึงประสบการณ์ของพวกเรา ผมคิดว่า “ปกติพี่หลิวคือคนที่โดดเด่น แต่คราวนี้ฉันต้องใช้โอกาสนี้เล่าถึงประสบการณ์ของตัวเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่คิดว่าฉันเป็นคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรเลย” ผมจึงเริ่มพูดไปเรื่อยๆ เกี่ยวกับงานที่ผมเคยทำ ความทุกข์ที่ผมได้ทนมา และการที่ผมได้นำทางผู้คนมากกว่า 10,000 คนกลับมาสู่พระเจ้า ผมกล่าวเกินจริงไปมาก บรรดาพี่น้องชายหญิงบางคนพากันทึ่ง บางคนมองผมด้วยความเลื่อมใส ในขณะที่คนอื่นๆ แค่ฟังอย่างตั้งใจ ผมปีติยินดีมากครับ ผมจึงยืดอกขึ้นและพูดด้วยความมั่นใจ
พอกลับถึงบ้านวันนั้น ผมก็คิดว่า “ฉันขาดความจริงเยอะเลยเมื่อเป็นเรื่องการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ฉันควรแสวงหากับพี่หลิวเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีไหมนะ?” แต่แล้วผมก็คิดว่า “ถ้าฉันแสวงหาเรื่องนี้กับพี่หลิว นั่นไม่แสดงว่าเขาดีกว่าฉันหรอกหรือ? ลืมไปได้เลย ฉันจะแค่ติดอาวุธให้ตัวเองอย่างลับๆ ด้วยความจริงทั้งหลาย ฉันจะไม่ไปถามเขาหรอก” ต่อมา เมื่อพวกเราทั้งคู่ไปประกาศข่าวประเสริฐอีกครั้ง พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นทักทายพี่หลิวอย่างอบอุ่นมาก พวกเขามะรุมมะตุ้มรอบตัวพี่หลิว ถามเขาเรื่องนั้นเรื่องนี้ นี่ทำให้ผมเสียความรู้สึกจริงๆ ผมได้แต่ก้มหน้ายืนอยู่ข้างๆ พลางคิดว่า “ฉันจะมาอยู่ตรงนี้ทำไม ในเมื่อพี่หลิวก็ให้การสามัคคีธรรมที่ดีมากขนาดนั้น ฉันไม่ได้เป็นแค่ส่วนเกินในสายตาคนอื่นหรอกหรือ? เขาต่างหากที่เป็นคนที่โดดเด่นเสมอ และถ้าเป็นอย่างนั้นต่อไป ก็คงจะไม่มีคิดกับฉันอย่างสูงส่งเลย” ทันใดนั้นความคิดที่เป็นกบฏก็ผุดขึ้นในใจผมว่า ผมไม่อยากทำหน้าที่ของตัวเองกับพี่หลิวอีกต่อไปแล้วจริงๆ หลังจากที่ผมมีความคิดนี้ เมื่อใดก็ตามที่พี่หลิวกับผมกำลังจะไปประกาศข่าวประเสริฐ ผมก็เริ่มหาข้ออ้าง พูดว่าผมไม่ค่อยสบายและอยากจะขออยู่เบื้องหลัง บางครั้ง แม้ผมได้ไปกับเขาก็จริง แต่ผมก็ไม่ได้ให้การสามัคคีธรรม และ เฉพาะเวลาที่มีใครถามคำถามผมเท่านั้น ผมจึงสามัคคีธรรมไปไม่กี่คำอย่างเสียไม่ได้ โดยสรุปก็คือว่าผมไม่อยากทำงานกับเขาจริงๆ พวกเราลงเอยด้วยการทำงานร่วมกันประมาณสองเดือน ด้วยการที่ผมชิงดีชิงเด่นเพื่อชื่อเสียงและดิ้นรนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผมเองตลอดเวลา สภาวะของผมมืดมนลงทุกที แย่ลงทุกที แต่ผมกลับไม่เคยมีเรื่องการกลับใจใหม่เข้ามาในหัวเลย เป็นตอนนี้นี่เอง ที่พระเจ้าทรงสั่งสอนและบ่มวินัยผม
วันหนึ่ง ผมถูกบอกให้ไปที่จีนอีสานเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐที่นั่น เมื่อผมได้ยินเรื่องนี้ ผมคิดด้วยความชื่นบานยินดีเป็นที่สุดว่า “ในที่สุด ฉันก็ไม่ต้องทำงานกับพี่หลิวอีกต่อไปแล้ว นี่เป็นเวลาให้ฉันได้ฉายแสง และเมื่อฉันทำให้ผู้คนรับเชื่อด้วยการประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา ฉันก็จะได้รับความดีความชอบไปเต็มๆ คนเดียวเลย พี่น้องชายหญิงจะต้องนิยมยกย่องฉันอย่างแน่นอน” สิ่งที่ผมไม่สามารถรู้ได้เลยก็คือ ระหว่างทางที่ผมเดินทางไปที่นั่น ตำรวจเห็นว่าผมไม่ได้พกบัตรประชาชนไปด้วย และจับกุมผม คิดว่าผมเป็นพวกฆาตกรหลบหนี ไม่ว่าผมจะพยายามอธิบายสักแค่ไหน พวกเขาก็ไม่ยอมฟัง และพวกเขาทรมานผมนานสามวันสามคืน ผมไม่ได้รับอนุญาตให้กิน หรือนอน หรือแม้แต่ดื่มน้ำสักอึก พวกเขาซ้อมผมจนเลือดกลบปากกลบจมูก และตาของผมก็บวมเป่งจนลืมตาไม่ขึ้น ผมถูกทุบตีจนเละน่วมไปหมด ผมจำได้ว่าหมดสติไปหลายครั้ง ตายไปเสียก็คงจะได้พ้นทุกข์ ผมรู้สึกเศร้าสลดในหัวใจ และผมเกลียดชังมารพวกนี้ที่ชั่วเหลือเกิน พวกเขาไม่ได้สืบค้นให้ละเอียดและไม่มีหลักฐานสักนิด แต่ก็ยังสอบสวนผมอย่างโหดเหี้ยม ย้อนไปตอนนั้น ผมได้แต่เฝ้าอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงอารักขาและทรงนำผม ผมตระหนักว่าพระเจ้ากำลังทรงอนุญาตให้สิ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกับผม และว่าผมจำเป็นต้องแสวงหาความจริงและเรียนรู้จากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ผมจึงได้เริ่มทบทวนตัวเองว่า “ทำไมเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นกับฉันนะ?” ตอนนั้นเอง พระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจว่า “ยิ่งเจ้าแสวงหาในหนทางนี้มากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งจะเก็บเกี่ยวได้น้อยลงเท่านั้น ยิ่งความอยากได้สถานะของบุคคลหนึ่งมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งจะต้องได้รับการจัดการอย่างจริงจังมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งจะต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุงที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น ผู้คนเช่นนั้นไร้ค่า! พวกเขาต้องได้รับการจัดการและได้รับการพิพากษาอย่างพอเพียงเพื่อที่พวกเขาจะได้ปล่อยวางสิ่งเหล่านี้อย่างถ้วนทั่ว หากพวกเจ้าไล่ตามเสาะหาหนทางนี้จนกระทั่งถึงที่สุด พวกเจ้าจะไม่ได้เก็บเกี่ยวสิ่งใดเลย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?) ขณะที่ผมใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ผมได้ตระหนักว่า ความอยากของผมที่มีต่อสถานะนั้นมากมายแค่ไหน ผมคิดไปถึงช่วงเวลาที่ผมใช้ไปในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐกับพี่หลิว เมื่อผมเห็นเขาให้การสามัคคีธรรมที่ดี และทุกคนก็มองเขาอย่างเลื่อมใส ผมก็เกิดความอิจฉาและต้องการชิงดีชิงเด่นกับเขา เพื่อดูว่าใครดีกว่า ผมพูดเรื่องประสบการณ์ของผมเองต่อหน้าบรรดาผู้เชื่อใหม่เพื่อยกย่องตัวเองและอวดโอ้ เพื่อให้พวกเขานิยมยกย่องผมและชื่นชูผม เมื่อผมไม่ได้รับความเลื่อมใสจากพี่น้องชายหญิง ผมก็คิดลบและต่อต้าน และไม่อยากทำงานกับพี่หลิวอีกต่อไป และผมก็เพียงทำหน้าที่ของตัวเองแบบขอไปทีเท่านั้น ผมเห็นว่าผมไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองเพื่อให้คำพยานต่อพระเจ้า แต่กำลังใช้หน้าที่นั้นเพื่อให้ได้ชื่อเสียงและสถานะเป็นการตอบแทน ผมช่างน่าดูหมิ่นนัก! ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ส่วนตัวของผมเอง และไม่เคยมีเรื่องการกลับใจใหม่เข้ามาในหัวของผมเลย ทั้งที่ได้ร่วงหล่นลงสู่ความมืดมิดลึกมากเหลือเกินแล้วก็ตาม ผมช่างเป็นกบฏจริงๆ! ยิ่งผมคิดเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ผมพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เคยไล่ตามเสาะหาสถานะในหน้าที่ของตัวเองและชิงดีชิงเด่นเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทนเสมอ อย่างที่พระองค์ต้องทรงเกลียดชังแน่! ตอนนี้พระองค์กำลังทรงสั่งสอนและบ่มวินัยข้าพระองค์ และข้าพระองค์ต้องการทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง และเชื่อฟังการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ หากข้าพระองค์รอดไปได้ ข้าพระองค์ขอปล่อยมือจากสถานะของตัวเองและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงจังตั้งใจ” แล้วผมก็ต้องแปลกใจ เมื่อผมนบนอบและเรียนรู้บทเรียนบางอย่าง พระเจ้าก็ทรงกรุณาผม ตำรวจบริหารจัดการจนไปเจอบัตรประชาชนของผมในระบบของพวกเขาจนได้ เมื่อตระหนักว่าผมไม่ใช่ฆาตกร พวกเขาปล่อยตัวผม
เมื่อผมกลับถึงบ้าน ผมก็ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ขาขวาของผมหัก รวมถึงซี่โครงซี่หนึ่งของผมด้วย ตลอดสองสามเดือนต่อมา ผมกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและทบทวนตัวเองในขณะที่กำลังฟื้นตัวที่บ้าน ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “ในการแสวงหาของพวกเจ้านั้น พวกเจ้ามีมโนคติที่หลงผิด ความหวัง และอนาคตของแต่ละคนมากเกินไป พระราชกิจปัจจุบันเป็นไปเพื่อที่จะจัดการกับความอยากของพวกเจ้าที่มีต่อสถานะและความอยากอันฟุ้งเฟ้อของพวกเจ้า ความหวัง สถานะ และมโนคติที่หลงผิดทั้งหมดเป็นตัวแทนชั้นเยี่ยมของอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เหตุผลที่สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในหัวใจของผู้คนนั้นเป็นเพราะพิษของซาตานที่คอยกัดกร่อนความคิดของผู้คนอยู่ตลอดเวลาโดยทั้งสิ้น และผู้คนมักจะไร้ความสามารถที่จะสลัดการทดลองเหล่านี้ของซาตานอยู่ตลอดเวลา พวกเขากำลังใช้ชีวิตในท่ามกลางบาปแต่กระนั้นก็ยังไม่เชื่อว่ามันเป็นบาป และพวกเขายังคงคิดว่า ‘พวกเราเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพระองค์ต้องประทานพระพรแก่พวกเราและทรงจัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับพวกเราอย่างเหมาะสม พวกเราเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพวกเราต้องเหนือกว่าคนอื่น และพวกเราต้องมีสถานะที่มากกว่าและอนาคตที่มากกว่าใครอื่น เนื่องจากพวกเราเชื่อในพระเจ้า พระองค์ต้องทรงมอบพระพรอันไร้ขีดจำกัดแก่พวกเรา มิฉะนั้นแล้ว มันก็คงจะไม่ได้เรียกว่าการเชื่อในพระเจ้า’ เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ความคิดที่ผู้คนได้พึ่งพาเพื่อการอยู่รอดของพวกเขาได้กัดกร่อนหัวใจของพวกเขาเรื่อยมาจนถึงจุดที่ว่า พวกเขาได้กลายเป็นทรยศ ขี้ขลาด และน่ารังเกียจ ไม่เพียงแค่พวกเขาขาดพร่องพลังจิตและความแน่วแน่เท่านั้น แต่พวกเขายังได้กลายเป็นโลภมาก โอหัง และเอาแต่ใจตัวเองด้วยเช่นกัน พวกเขาขาดพร่องความแน่วแน่ใดๆ ซึ่งอยู่เหนือตนเองโดยสิ้นเชิง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่มีความกล้าหาญแม้แต่น้อยที่จะสลัดการควบคุมของอิทธิพลมืดเหล่านี้ ความคิดและชีวิตของผู้คนนั้นเน่าเปื่อยมากจนกระทั่งมุมมองของพวกเขาต่อการเชื่อในพระเจ้ายังคงน่าขยะแขยงอย่างไม่สามารถทนได้ และแม้กระทั่งเมื่อผู้คนพูดถึงมุมมองของพวกเขาต่อการเชื่อในพระเจ้า ก็ไม่สามารถทนฟังได้อย่างแน่นอน ผู้คนทั้งหมดล้วนขี้ขลาด ไร้ความสามารถ น่ารังเกียจ และบอบบาง พวกเขาไม่รู้สึกถึงความขยะแขยงที่มีต่อกองกำลังของความมืด และพวกเขาไม่รู้สึกถึงความรักที่มีต่อความสว่างและความจริง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับทำอย่างสุดความสามารถที่จะขับไล่สิ่งเหล่านั้น ความคิดและมุมมองปัจจุบันของพวกเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ? ‘ในเมื่อข้าพระองค์เชื่อในพระเจ้า ข้าพระองค์ก็แค่ควรได้รับการหลั่งพระพรและควรจะได้รับการทำให้มั่นใจว่าสถานะของข้าพระองค์จะไม่มีวันหลุดไป และว่ามันจะยังคงสูงกว่าสถานะของบรรดาผู้ปราศจากความเชื่อ’ เจ้าไม่ได้เก็บงำมุมมองประเภทนั้นภายในตัวพวกเจ้ามาเป็นเวลาแค่หนึ่งหรือสองปีเท่านั้น แต่เป็นเวลาหลายปี วิธีการคิดแบบแลกเปลี่ยนกันของพวกเจ้านั้นได้พัฒนามากเกินไป ถึงแม้ว่าพวกเจ้าได้มาถึงขั้นตอนนี้ในวันนี้ พวกเจ้ายังคงไม่ได้ปล่อยวางสถานะแต่ดิ้นรนต่อสู้อยู่ตลอดเวลาเพื่อสอบถามถึงมัน และสังเกตการณ์มันในแต่ละวัน ด้วยความเกรงกลัวลึกๆ ว่าวันหนึ่งสถานะของพวกเจ้าจะสูญหายไปและชื่อของพวกเจ้าจะย่อยยับ ผู้คนไม่เคยได้วางความอยากมีความสะดวกสบายของพวกเขาลงไว้ก่อน…มันยากที่พวกเจ้าจะวางความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้และลิขิตชีวิตของพวกเจ้าลงไว้ก่อน บัดนี้พวกเจ้าเป็นผู้ติดตาม และพวกเจ้าได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ อย่างไรก็ตาม พวกเจ้ายังคงไม่ได้วางความอยากได้สถานะของพวกเจ้าลงไว้ก่อน เมื่อสถานะของเจ้าสูงเจ้าแสวงหาอย่างดี แต่เมื่อสถานะของเจ้าต่ำต้อยเจ้าไม่แสวงหาอีกต่อไป พระพรแห่งสถานะอยู่ในจิตใจของเจ้าเสมอ เหตุใดจึงเป็นว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเอาตัวพวกเขาเองออกจากการคิดลบได้? คำตอบนั้นไม่เป็นเพราะความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้อันสิ้นหวังเสมอไปหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?)
ผมยังได้ฟังเพลงสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้าด้วย “มนุษย์มีชีวิตอยู่ท่ามกลางเนื้อหนัง ซึ่งก็หมายความว่า เขามีชีวิตอยู่ในนรกมนุษย์ และหากปราศจากการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า มนุษย์ย่อมมีความโสมมพอกันกับซาตาน การตีสอนและการพิพากษาโดยพระเจ้าเป็นการทรงอารักขาที่ดีที่สุดและพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ มนุษย์จะสามารถตื่นขึ้นและเกลียดชังเนื้อหนัง เกลียดชังซาตานได้ โดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าเท่านั้น โดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าเท่านั้น การบ่มวินัยอันเคร่งครัดของพระเจ้าปลดปล่อยมนุษย์จากอิทธิพลของซาตาน ปลดปล่อยเขาจากโลกใบเล็กของเขาเอง และเปิดโอกาสให้เขามีชีวิตอยู่ในความสว่างแห่งพระพักตร์พระเจ้า ไม่มีความรอดใดที่ดีไปกว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าอีกแล้ว!” (“การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่างแห่งความรอดของมนุษย์” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ผมร้องไห้อย่างหนักเมื่อได้ฟังบทเพลงสรรเสริญนี้ ผมได้ตระหนักในที่สุดว่า ที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนนั้นไม่ใช่เพราะพระองค์ทรงเกลียดชังมนุษย์ แต่เป็นเพราะพระองค์ทรงต้องการช่วยมนุษย์ให้รอด พระองค์ทรงต้องการแก้ไขทรรศนะที่ผิดในการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและสถานะของผมให้ถูกต้อง ตั้งแต่ผมยังเล็ก ผมได้ใช้ชีวิตตามพิษของซาตานอย่าง “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ และจงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า” และ “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” ผมอยากโดดเด่นเหนือคนที่เหลือในทุกโอกาสที่ผมมี และผมถึงขั้นเก็บเอามันไปฝันด้วยซ้ำ หลังจากผมเริ่มเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผมพลีอุทิศและสละตัวเองเพียงเพื่อให้ได้สถานะสูงส่ง เพื่อที่พี่น้องชายหญิงจะนิยมยกย่องผมและชื่นชูผม ผมถึงขนาดต้องการครองราชย์ในฐานะกษัตริย์เคียงข้างพระคริสต์ด้วยซ้ำ ความทะเยอทะยานของผมไม่มีขีดจำกัดเลย! เมื่อผมได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาแล้ว แต่เพราะผมไม่สามารถสละทิ้งตำแหน่งในฐานะผู้นำได้ ผมจึงไม่ต้องการยอมรับมัน และเกือบจะกลายเป็นผู้รับใช้ชั่วที่ห้ามผู้มีความสัตย์ซื่อไม่ให้ได้เข้าไปสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ตลอดสองปีก่อนหน้านั้น ตั้งแต่ผมยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ภายนอกผมดูเหมือนได้สละทิ้งตำแหน่งผู้นำของผมไปแล้ว แต่ภายในหัวใจนั้นยังอยู่ภายใต้การควบคุมของชื่อเสียงและสถานะ เมื่อพี่น้องชายหญิงเลื่อมใสและชื่นชูผม ผมมีความสุขและกระปรี้กระเปร่าในหน้าที่ของผม แต่เวลาพวกเขาไม่แยแสผม ผมก็หดหู่และเสียความรู้สึก และไม่อยากทำหน้าที่ของผมอีกต่อไป ผมได้เห็นว่าผมไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของผมและได้รับการชมเชยโดยพระเจ้า แต่เพื่อที่จะโดดเด่นเหนือคนที่เหลือเพื่อให้ผู้อื่นนิยมยกย่องผม เพื่อลุล่วงความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตัวผมเอง ไม่ใช่ว่าผมกำลังใช้พระเจ้าอย่างไร้ยางอายและพยายามโกงพระองค์อยู่หรือนี่? ผมกำลังท้าทายพระเจ้า! ผมได้ใช้ชีวิตตามพิษแบบซาตานเหล่านี้ โอหังมากขึ้นทุกที โดยไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือเหตุผลแม้แต่เสี้ยวเดียว หากไม่ใช่เพราะการพิพากษากับการเปิดเผยของพระวจนะของพระเจ้า และเพราะการสั่งสอนกับการบ่มวินัยของพระองค์ ผมก็คงไม่ได้รู้ตัวว่าผมถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามหนักแค่ไหน หรือความอยากของผมที่มีต่อสถานะนั้นมากมายแค่ไหน ผมก็คงได้แต่ละโมบต่อพระพรในเรื่องสถานะมากขึ้นเรื่อยๆ และเลวทรามลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและลงโทษ ในที่สุดผมก็ได้มาซาบซึ้งว่า ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นการพิพากษา การตีสอน การสั่งสอน หรือการบ่มวินัย ทั้งหมดก็คือความรอดและความรักสำหรับมวลมนุษย์นั่นเอง
แล้วผมก็อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ทัศนคติของพระเจ้าก็คือเพื่อทรงเรียกร้องให้มนุษย์ฟื้นคืนหน้าที่และสถานะดั้งเดิมของเขา มนุษย์คือสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า และดังนั้นแล้วมนุษย์จึงไม่ควรล้ำเส้นด้วยตัวเขาเองโดยการเรียกร้องอันใดจากพระเจ้า และไม่ควรทำสิ่งใดมากไปกว่าปฏิบัติหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) “มนุษย์ ในฐานะสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าย่อมต้องปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าเขาจะเป็นเจ้านายหรือผู้ดูแลของทุกสรรพสิ่งหรือไม่ก็ตาม ไม่สำคัญว่าสถานะของมนุษย์ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งจะสูงส่งเพียงใด เขายังคงเป็นเพียงแค่มนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า และไม่ได้เป็นมากไปกว่ามนุษย์ที่ไม่สำคัญคนหนึ่ง สิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า และเขาจะไม่มีวันอยู่เหนือพระเจ้า ในฐานะสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า มนุษย์ควรพยายามปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า และพยายามรักพระเจ้าโดยไม่สร้างตัวเลือกอื่น เพราะพระเจ้าทรงคู่ควรกับความรักของมนุษย์ บรรดาผู้ที่พยายามรักพระเจ้าไม่ควรแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวใดๆ หรือแสวงหาสิ่งซึ่งพวกเขาถวิลหาเป็นการส่วนตัว นี่คือวิถีทางที่ถูกต้องที่สุดของการไล่ตามเสาะหา หากสิ่งที่เจ้าแสวงหาคือความจริง หากสิ่งที่เจ้านำไปปฏิบัติคือความจริง และหากสิ่งที่เจ้าบรรลุคือการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า เช่นนั้นแล้วเส้นทางที่เจ้าย่ำเท้าก็เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง หากสิ่งที่เจ้าแสวงหาคือพระพรของเนื้อหนัง และสิ่งที่เจ้านำไปปฏิบัติคือความจริงแห่งมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง และหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า และเจ้าไม่เชื่อฟังพระเจ้าในเนื้อหนังเลย และเจ้ายังคงใช้ชีวิตในความคลุมเครือ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าแสวงหาก็จะนำเจ้าไปสู่นรกอย่างแน่นอน เพราะเส้นทางที่เจ้าเดินนั้นคือเส้นทางแห่งความล้มเหลว การที่เจ้าจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหรือถูกกำจัดทิ้งนั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของเจ้าเอง ซึ่งก็เป็นการกล่าวอีกด้วยว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็เข้าใจว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ผู้ซึ่งควรวางตัวให้เหมาะสม เสาะแสวงที่จะรักพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า สลัดอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผมออกไป และทำหน้าที่ของผมในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ดี นี่เองที่เป็นการไล่ตามเสาะหาที่ถูกต้องหนึ่งเดียว ผมได้ตระหนักด้วยว่า การที่ใครสักคนสามารถบรรลุความรอดและถูกทำให้เพียบพร้อมได้หรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการที่พวกเขามีสถานะหรือไม่มี ไม่ว่าใครคนหนึ่งทำหน้าที่อะไร สิ่งที่พระเจ้าทรงทอดพระเนตรก็คือความจริงใจและความเชื่อฟังของพวกเขา ทอดพระเนตรว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เมื่อผมตระหนักเรื่องนี้ ผมก็กล่าวอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ไม่ว่าข้าพระองค์จะทำหน้าที่อะไรในอนาคต ไม่ว่าข้าพระองค์มีสถานะอันใดหรือไม่ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงจังตั้งใจ และทำหน้าที่ของข้าพระองค์ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ดี” กว่าสองเดือนต่อมา อาการบาดเจ็บของผมจึงได้เริ่มดีขึ้น และผมสามารถออกไปประกาศข่าวประเสริฐอีกครั้ง สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ ผมไม่รู้สึกราวกับว่าตัวผมปราศจากสถานะอีกต่อไป และเมื่อทำงานกับคนอื่น ผมก็ไม่ชิงดีชิงเด่นเพื่อเป็นที่หนึ่งอีกต่อไป ผมรู้สึกเหมือนกับว่า แค่ทำหน้าที่ของตัวเอง ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า พระเจ้าได้ทรงอุ้มชูผมแล้ว
หลายปีผ่านไป และผมก็คิดว่าผมเป็นอิสระจากพันธนาการและโซ่ล่ามของสถานะแล้ว แต่เมื่อพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์ใหม่ให้กับผม ความอยากของผมที่มีต่อสถานะก็โงหัวอันอัปลักษณ์ขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนั้นเป็นฤดูหนาวของ ค.ศ. 2012 ตำรวจกำลังจับกุมคริสเตียนกันอย่างจ้าละหวั่น และเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่มาก อยู่วันหนึ่ง บรรดาผู้นำและมัคนายกได้จัดการชุมนุมในหมู่บ้านของพวกเรา หนึ่งในผู้นำเห็นว่าผมมีเวลาว่างอยู่ จึงขอให้ผมไปยืนดูต้นทางที่มุมถนน ผมรู้สึกไม่ชอบใจกับเรื่องนี้เลย แต่เมื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงแล้ว ผมก็ตอบตกลง หลังจากผู้นำคนนั้นผละไป ผมก็คิดกับตัวเองว่า “ฉันเป็นผู้นำมาตั้งหลายปี และออกไปประกาศข่าวประเสริฐเสมอ หาผู้เชื่อธรรมดาสักสองคนมาทำงานดูต้นทางที่ไม่สมศักดิ์ศรีนี่จะดีกว่านะ ทำไมฉันต้องทำด้วย? พวกคุณทุกคนในนั้นกำลังจัดชุมนุมกัน ในขณะที่ฉันออกมายืนหนาวเสี่ยงอันตราย นี่ไม่ใช่เพราะฉันไม่มีสถานะหรอกหรือ? หากฉันเป็นผู้นำ ฉันก็คงไม่ต้องทำหน้าที่เฝ้ายามแบบนี้” ผมตระหนักในทันทีว่าความอยากของผมที่มีต่อสถานะกำลังใช้เล่ห์กลเก่าๆ ของมันอีกแล้ว ผมจึงรีบอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์จำเป็นต้องทำหน้าที่ไม่สมศักดิ์ศรีนี้ และความอยากของข้าพระองค์ที่มีต่อสถานะก็ได้ผงาดขึ้นมาอีกครั้ง โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ต้องการถูกสถานะพันธนาการไว้อีกแล้ว โปรดทรงนำข้าพระองค์เพื่อให้ข้าพระองค์สามารถสลัดโซ่ล่ามของสถานะออกไปได้ทีเถิด” แล้วผมก็อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ผู้คนบางคนชื่นชูเปาโลมากเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาชอบที่จะออกไปข้างนอกและกล่าวสุนทรพจน์และทำงาน พวกเขาชอบที่จะเข้าร่วมการชุมนุมและเทศนา พวกเขาชอบให้ผู้คนฟังพวกเขา เคารพบูชาพวกเขา และกังวลสนใจพวกเขาเป็นหลัก พวกเขาชอบที่จะมีสถานะในจิตใจของผู้อื่น และพวกเขาซาบซึ้งเมื่อผู้อื่นให้คุณค่าภาพลักษณ์ที่พวกเขานำเสนอ พวกเราลองมาวิเคราะห์ธรรมชาติของพวกเขาจากพฤติกรรมเหล่านี้กันว่า สิ่งใดหรือที่เป็นธรรมชาติของพวกเขา? หากพวกเขาประพฤติเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วมันก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาโอหังและทะนงตน พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกเขาแสวงหาสถานะที่สูงส่งกว่าและปรารถนาที่จะมีสิทธิอำนาจเหนือผู้อื่น ที่จะครองพวกเขา และที่จะมีสถานะในจิตใจของพวกเขา นี่คือภาพลักษณ์อมตะของซาตาน แง่มุมที่โดดเด่นของธรรมชาติของพวกเขาก็คือความโอหังและความทะนงตน ความไม่เต็มใจที่จะนมัสการพระเจ้า และความปรารถนาที่จะได้รับการเคารพบูชาจากผู้อื่น พฤติกรรมเช่นนั้นสามารถให้ทรรศนะที่ชัดเจนมากแก่เจ้าในเรื่องธรรมชาติของพวกเขา” (“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ตระหนักว่าผมไล่ตามเสาะหาตำแหน่งสูงส่งเสมอ ต้องการให้คนอื่นนิยมยกย่องผมและชื่นชูผมเสมอ ผมต้องการที่ในหัวใจของผู้อื่น และโดยแก่นแท้แล้ว นี่แปลว่าผมต้องการยึดครองหัวใจของคนอื่น ผมกำลังชิงดีชิงเด่นแย่งผู้คนกับพระเจ้า! ธรรมชาติของผมโอหังมากเหลือเกิน! ผมคิดถึงการที่เปาโลยกย่องและให้คำพยานแก่ตัวเองเสมอ ทำให้ผู้อื่นเลื่อมใสและชื่นชูเขา ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาพูดเสมอว่า “เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร” (ฟีลิปปี 1:21) นี่ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เลื่อมใสและเคารพบูชาเขา มากเสียจนที่ของเขาในหัวใจของผู้คนนั้นเกินกว่าขององค์พระเยซูเจ้าด้วยซ้ำ สิ่งที่ผมกำลังคิดและไล่ตามเสาะหาเมื่อตอนนั้นไม่ได้ทำให้ผมเป็นเหมือนเปาโลหรอกหรือ? ผมอยู่บนเส้นทางต้านทานพระเจ้าของพวกศัตรูของพระคริสต์จริงๆ ผมได้ทำให้พระเจ้าและผู้คนขยะแขยงจริงๆ และผมสมควรถูกลงโทษ ในยุคสุดท้ายนั้น พระเจ้าทรงแสดงความจริงเพื่อชำระผู้คนให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด แต่ทว่าหลังจากหลายปีเหล่านั้นแห่งความเชื่อ ผมก็ไม่ได้มานะพยายามที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงเลย ทั้งยังไม่ได้คิดเสาะแสวงที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเป็นคนที่เชื่อฟังและนมัสการพระเจ้าแม้แต่น้อย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ผมกลับใช้ความคิดและพลังงานทั้งหมดของผมเพื่อไล่ตามเสาะหาสถานะ หากผมทำแบบนั้นต่อไป ผมก็คงจะถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและลงโทษ ผมช่างโง่เขลาอะไรแบบนั้น!
จากนั้นผมก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ผู้คนคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างผู้ซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยที่ควรค่าแก่การอวดตัว ในเมื่อพวกเจ้าเป็นสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้า พวกเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งทรงสร้าง ไม่มีข้อพึงประสงค์อื่นจากพวกเจ้า นี่คือวิธีที่พวกเจ้าควรอธิษฐาน: ‘โอ พระเจ้า! ไม่ว่าข้าพระองค์จะมีสถานะหรือไม่ ตอนนี้ข้าพระองค์เข้าใจตัวเองแล้ว หากสถานะของข้าพระองค์สูง นั่นก็เป็นเพราะการยกให้สูงขึ้นของพระองค์ และหากมันต่ำต้อย นั่นก็เป็นเพราะการลิขิตของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพระองค์ไม่มีทั้งตัวเลือกใดๆ และการพร่ำบ่นใดๆ พระองค์ได้ทรงลิขิตว่าข้าพระองค์จะถือกำเนิดในประเทศนี้และท่ามกลางผู้คนนี้ และว่าทั้งหมดที่ข้าพระองค์ควรทำก็คือการเชื่อฟังอย่างครบบริบูรณ์ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงลิขิต ข้าพระองค์ไม่ได้นึกถึงสถานะ จะว่าไปแล้ว ข้าพระองค์เป็นเพียงแค่สิ่งที่ทรงสร้างสิ่งหนึ่ง หากพระองค์ทรงวางข้าพระองค์ในบาดาลลึก ในบึงไฟและกำมะถัน ข้าพระองค์ก็ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากสิ่งที่ทรงสร้างสิ่งหนึ่ง หากพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็เป็นสิ่งที่ทรงสร้างสิ่งหนึ่ง หากพระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์มีความเพียบพร้อม กระนั้นข้าพระองค์ก็ยังเป็นสิ่งที่ทรงสร้างสิ่งหนึ่ง หากพระองค์ไม่ได้ทรงทำให้ข้าพระองค์มีความเพียบพร้อม ข้าพระองค์จะยังคงรักพระองค์เพราะข้าพระองค์ไม่ได้เป็นมากไปกว่าสิ่งที่ทรงสร้างสิ่งหนึ่ง ข้าพระองค์ไม่ได้เป็นมากไปกว่าสิ่งที่ทรงสร้างขนาดจิ๋วสิ่งหนึ่งซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างได้ทรงสร้างขึ้น ก็แค่สิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งท่ามกลางพวกมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นทั้งมวล เป็นพระองค์นั่นเองที่ได้ทรงสร้างข้าพระองค์ขึ้น และตอนนี้พระองค์ได้ทรงวางข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์อีกครั้งหนึ่งเพื่อทำกับข้าพระองค์ตามที่พระองค์จะทรงทำ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะเป็นเครื่องมือของพระองค์และตัวประกอบเสริมความเด่นของพระองค์เพราะทุกสิ่งทุกอย่างคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้ ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ทุกสรรพสิ่งและเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์’ เมื่อเวลานั้นมาถึงที่เจ้าจะไม่นึกถึงสถานะอีกต่อไป เมื่อนั้นเจ้าจะเป็นอิสระจากมัน เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถแสวงหาได้อย่างมั่นใจและอย่างกล้าหาญ และเมื่อนั้นเท่านั้นหัวใจของเจ้าจึงจะกลายเป็นอิสระจากข้อจำกัดใดๆ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ได้เข้าใจว่า หากใครบางคนมีสถานะสูงส่ง เช่นนั้นพระเจ้าก็ได้ทรงอุ้มชูพวกเขา และถ้าใครบางคนมีสถานะต่ำต้อย ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้แล้ว ไม่ว่าพระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร และไม่ว่าพระองค์ทรงวางพวกเราไว้ตรงไหน พวกเราก็ควรนบนอบเสมอ ทำหน้าที่ของพวกเราเองให้ดี และไม่พร่ำบ่น นี่เองคือสิ่งซึ่งมีเหตุผลที่จะทำ และเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่จริงแท้ทำ เมื่อผมเข้าใจเรื่องนี้ ผมก็เต็มใจนบนอบและปฏิบัติความจริง และตั้งแต่นั้นมา ผมก็อุทิศตัวเองเป็นคนดูต้นทาง ผมจะต้องทำให้มั่นใจที่จะมายืนเฝ้ายามเพื่อให้บรรดาผู้นำและมัคนายกสามารถจัดการชุมนุมของพวกเขาอย่างสงบได้ ผู้นำขอให้ผมยืนเฝ้ายามสำหรับงานชุมนุมอีกสองสามครั้งหลังจากนั้น แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นสถานะที่สูงส่งหรือต่ำต้อยอีกต่อไปแล้ว ผมแค่รู้สึกเป็นอิสระและมีสันติสุขอย่างมาก
ตลอดหลายปีนั้น พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเปิดโปงผม และพระองค์ได้ทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อพิพากษาและตีสอนผม เพื่อที่ผมจะมาเห็นจริงๆ ว่า ซาตานทำให้ผมเสื่อมทรามหนักแค่ไหน และความอยากของผมที่มีต่อสถานะนั้นมากมายแค่ไหน ผมระลึกรู้อย่างชัดเจนด้วยว่า สถานะเป็นสิ่งที่ซาตานใช้เพื่อล่ามผู้คนไว้ ยิ่งพวกเราไล่ตามเสาะหาสถานะมากเท่าไหร่ ซาตานก็ยิ่งทำอันตรายพวกเราและใช้พวกเราเป็นของเล่นมากขึ้นเท่านั้น และพวกเราก็ยิ่งไม่เชื่อฟังและต้านทานพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ผมยังได้มาเข้าใจด้วยว่า ผู้คนควรไล่ตามเสาะหาอะไรในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเพื่อจะถูกช่วยให้รอด การที่ผมสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ สามารถเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียบและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และสามารถทำหน้าที่ของผมอย่างเชื่อฟังได้หลังจากที่เคยมีความอยากอันแรงกล้าต่อสถานะและความทะเยอทะยานใหญ่โตแบบนั้น ล้วนเป็นเพราะการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า พระเจ้าทรงมานะพยายามอย่างอุตสาหะเพื่อประโยชน์ของผม และผมขอขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จากก้นบึ้งของหัวใจผมสำหรับการที่ทรงช่วยผมให้รอด!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ