การไล่ตามเสาะหาความจริงเปลี่ยนฉัน
พฤษภาคมปี 2018 ฉันจากบ้านไปร่วมกองทัพ ในกองทัพ เมื่อผู้นำออกคำสั่ง ยศต่ำกว่าก็ทำตามอย่างเชื่อฟัง เวลากำกับดูแลงานของเรา...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การรับใช้พระเจ้าไม่ใช่ภารกิจง่ายๆ พวกที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีวันสามารถรับใช้พระเจ้าได้ หากอุปนิสัยของเจ้ายังไม่ได้รับการพิพากษาและตีสอนโดยพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยของเจ้าก็ยังคงเป็นตัวแทนซาตาน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเจ้ารับใช้พระเจ้าโดยเจตนาที่ดีของเจ้าเอง เป็นการพิสูจน์ว่าการปรนนิบัติของเจ้านั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเจ้า เจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยบุคลิกลักษณะตามธรรมชาติของเจ้า และตามความพึงใจส่วนบุคคลของเจ้า ที่มากไปกว่านั้นคือ เจ้าคิดอยู่เสมอว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเต็มใจทำนั้นคือสิ่งที่น่าปีติยินดีต่อพระเจ้า และคิดว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่อยากทำนั้นคือสิ่งที่น่ารังเกียจต่อพระเจ้า เจ้าทำงานตามความพึงใจของเจ้าเองโดยสิ้นเชิง การนี้สามารถเรียกว่าเป็นการรับใช้พระเจ้าได้หรือ? ท้ายที่สุดแล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยในอุปนิสัยชีวิตของเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การปรนนิบัติของเจ้าจะทำให้เจ้าดื้อดึงยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าฝังแน่นอย่างล้ำลึก และเมื่อเป็นเช่นนั้น จะมีกฎเกณฑ์ทั้งหลายเกี่ยวกับการปรนนิบัติพระเจ้าที่ขึ้นอยู่กับบุคลิกลักษณะของเจ้าเองเป็นสำคัญ และประสบการณ์ทั้งหลายที่ได้จากการปรนนิบัติของเจ้าตามอุปนิสัยของเจ้าเองก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นภายในตัวเจ้า เหล่านี้คือประสบการณ์และบทเรียนของมนุษย์ มันคือปรัชญาแห่งการดำรงชีวิตบนโลกของมนุษย์ ผู้คนเยี่ยงนี้สามารถจัดระดับให้เป็นพวกฟาริสีและพวกเจ้าหน้าที่ทางศาสนาได้ หากพวกเขาไม่ตื่นขึ้นและไม่กลับใจเลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นเหล่าพระคริสต์เทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ผู้หลอกลวงผู้คนในยุคสุดท้ายอย่างแน่นอน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานปรนนิบัติทางศาสนาต้องได้รับการชำระล้าง) เมื่อผมได้อ่านบทตอนนี้ “การรับใช้พระเจ้าไม่ใช่ภารกิจง่ายๆ พวกที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีวันสามารถรับใช้พระเจ้าได้ หากอุปนิสัยของเจ้ายังไม่ได้รับการพิพากษาและตีสอนโดยพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยของเจ้าก็ยังคงเป็นตัวแทนซาตาน” ผมรู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก ผมเคยได้รับประสบการณ์จากความล้มเหลวในอดีต ผมได้ทำหน้าที่ของผมให้ลุล่วงด้วยอุปนิสัยอันเย่อหยิ่ง ทั้งยังอวดเก่งมาก ผมอวดฝีมือด้วยการประกาศพระวจนะและหลักคำสอนที่ผิวเผิน เพื่อให้คนอื่นยกย่องและเทิดทูน และโดยไม่ทันรู้ตัว ผมก็ก้าวลงไปในเส้นทางแห่งการต่อต้านพระเจ้า มีเพียงภายหลังเท่านั้น ด้วยการพิพากษาและการเปิดเผยของพระวจนะของพระเจ้า ที่ผมได้ตระหนักถึงต้นตอของการต่อต้านพระเจ้าและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของผม และเริ่มกลับใจต่อพระเจ้า
มันคือปี 2013 ที่ผมได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าคริสตจักร ย้อนไปตอนนั้น ผมค่อนข้างกระตือรือร้นทีเดียว เมื่อไรก็ตามที่ผมเห็นพี่น้องชายหญิงของผมอยู่ในสภาวการณ์ที่ลำบาก ผมจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาด้วยพระวจนะของพระเจ้าเพื่อช่วยพวกเขาแก้ปัญหา เมื่อความยากลำบากของทุกคนได้รับการแก้ไขแล้ว พวกเขาก็สามารถทำหน้าที่ให้ลุล่วงได้ตามปกติ หลังจากนั้น 2-3 เดือน หัวหน้าของผมบอกกับผมว่า “มีคริสตจักรแห่งหนึ่งที่มีพี่น้องชายหญิงเพิ่งมาเข้าร่วมจำนวนค่อนข้างมาก และเพื่อนร่วมงานของคุณทุกคนต่างก็แนะนำให้คุณไปที่นั่น และทำหน้าที่เป็นหัวหน้า” ผมตอบรับด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ผมคิดแค่ว่า ผมต้องทำงานในการรดน้ำพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นให้ดี เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถเข้าใจความจริงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และวางรากฐานบนเส้นทางความจริง หลังจากที่ผมไปถึงคริสตจักร ผมก็ได้เข้าใจสถานการณ์โดยรวมของที่นั่น และผมยังจดบันทึกปัญหาและความยากลำบากของเหล่าพี่น้องชายหญิง วางแผนว่าจะหาพระวจนะของพระเจ้าในบทตอนที่เกี่ยวข้องภายหลัง เพื่อสามัคคีธรรมและแก้ปัญหาของพวกเขา ผมก็แค่รู้สึกว่า มันเป็นเพราะผมเป็นคนหน้าใหม่ในพื้นที่ตรงนั้น พี่น้องชายหญิงจำนวนมากไม่รู้จักผม ผมก็เลยต้องพยายาม และร่วมชุมนุมกับพวกเขาเพื่อสามัคคีธรรมให้มากขึ้น ถ้าผมสามารถทำงานคริสตจักรได้ดีภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนั้นแล้ว พี่น้องชายหญิงเหล่านี้ก็จะต้องรู้สึกว่าผมครอบครองความเป็นจริงของความจริง และสามารถทำงานของผมได้ดีแน่นอน และเมื่อทำได้ หัวหน้าของผมเองก็จะพากันชื่นชมผมเช่นกัน แล้วคริสตจักรก็ออกประกาศแห่งความจริงเพื่อการเข้าสู่ในช่วงนั้น และเราต้องหาพระวจนะของพระเจ้าในบทตอนที่เกี่ยวข้องเพื่อสามัคคีธรรม ผมรู้สึกดีใจมากทีเดียว เพราะนี่คือโอกาสอันสมบูรณ์แบบให้ผมได้พิสูจน์ตัวเอง ดังนั้น ผมจึงหาพระดำรัสของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับมุมมองของความจริงเหล่านี้ทั้งหมด แล้วจากนั้นก็เรียบเรียงเป็นหมวดหมู่ด้วยความใส่ใจเป็นพิเศษ ทำทั้งหมดโดยคิดไปด้วยว่า “บังเอิญจริงๆ ที่การชุมนุมเพื่อนร่วมงานจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เพื่อนร่วมงานของฉันจะได้เห็นว่า ฉันใช้เวลาทั้งคืนเพื่อค้นหาพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ และแน่นอน พวกเขาจะพูดว่าฉันช่างเตรียมพร้อม และมีความรับผิดชอบในหน้าที่” กว่าผมจะเตรียมการเสร็จก็ใกล้เช้าแล้ว แน่นอนว่า ระหว่างการชุมนุม หลังจากที่ได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าที่ผมหามา เพื่อนร่วมงานทุกคนต่างมองผมด้วยความชื่นชม บางคนพูดว่า “ดูพี่ชายเฉินสิ! เขาช่างเตรียมพร้อมจริงๆ เขาใช้เวลาทั้งคืนเพื่อค้นหาพระวจนะของพระเจ้าที่เชื่อมโยงหมดนี่” บางคนพูดว่า “จริงด้วย! ท่าทางพี่ชายเฉินจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าเยอะเลยนะ” น้องชายที่เป็นเจ้าภาพจัดการชุมนุมพูดด้วยความเป็นห่วงว่า พี่ชายเฉิน กว่าจะหาพระวจนะของพระเจ้าบทตอนต่างๆ นี้ทั้งหมดได้ คุณต้องอยู่ดึกแค่ไหนกันครับ? พอได้ยินทั้งหมดนี้ผมก็รู้สึกปลาบปลื้มมาก การอยู่ถึงเช้าของผมไม่ได้สูญเปล่า และพี่น้องชายหญิงของผมก็ได้เห็นว่าผมพยายามมากแค่ไหน ผมพยายามกลบเกลื่อนความตื่นเต้นเอาไว้ข้างใน และพูดว่า “กว่าจะหาได้ครบก็เกือบเช้าแล้วละครับ ผมใช้เวลาทั้งคืนเพื่อทำหน้าที่ของผมให้ลุล่วงอยู่บ่อยๆ อย่างที่ควรจะเป็น ไม่ได้มีอะไรน่าอวดเลยครับ ผมต้องทำให้แน่ใจว่าพี่น้องชายหญิงของผมไม่เสียเวลาเปล่าที่สามารถมาสามัคคีธรรมในการชุมนุมได้” จากนั้นน้องชายที่เป็นเจ้าภาพจัดงานก็พูดว่าผมเตรียมพร้อมในหน้าที่ของผม และว่าผมสามารถไม่นอนได้ทั้งคืน และอดทนกับความลำบาก หัวใจของผมพองโตด้วยกระแสแห่งความสุข ผมต้องทำงานหนักต่อไป เพื่อที่พี่น้องชายหญิงทุกคนจะได้พูดว่าผมเป็นผู้นำที่มีความสามารถ
ต่อมา เมื่องานเผยแผ่ข่าวประเสริฐก้าวหน้าขึ้น เราได้ตั้งคริสตจักรเพิ่มขึ้นสองสาม แห่ง ทุกๆ วัน ผมทำงานตั้งแต่เช้าจดค่ำ ไปยังทุกคริสตจักรเพื่อรดน้ำพี่น้องชายหญิงของผม ผมจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ใครก็ตามที่อยู่ในความยากลำบากได้ฟัง สามัคคีธรรมอย่างอดทนเพื่อแก้ไขปัญหาของพวกเขา และความคิดเห็นที่ผู้คนมีต่อผมก็ยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก ครั้งหนึ่ง พี่น้องชายหญิง 2-3 คนเจอปัญหาระหว่างการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และไม่สามารถแก้ไขได้ พวกเขาเริ่มคิดลบและอ่อนแอ ดังนั้น พวกเขาจึงมาหาผมเพื่อสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องนั้น ผมแบ่งปันประสบการณ์การเผยแผ่ข่าวประเสริฐของผมในสมัยก่อน บอกว่า “ผู้คนที่ผมไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐนั้นมีมโนคติที่หลงผิดและไม่ยอมรับ บางคนก็ไล่ผมออกจากบ้าน ในตอนนั้น ผมคิดว่ามันก็ยากมากเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่ตลอด ผมตื่นอยู่ทั้งคืนเพื่อหาพระวจนะของพระองค์ในบทตอนที่เกี่ยวข้อง และไปสามัคคีธรรมกับผู้คนเหล่านั้นเพื่อแก้ปัญหาของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมทำอย่างนั้นเพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และได้รับความรอดของพระองค์ในยุคสุดท้าย ไม่ว่าผมจะต้องเจอกับความอับอายและความยากลำบากแค่ไหน ผมก็ไม่ยอมแพ้ ในท้ายที่สุด ผมก็สามารถพาพวกเขาทุกคนมาเข้าร่วมกลุ่มได้…” พอผมพูดจบ น้องชายคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาอย่างชื่นชมว่า “ดูพี่ชายเฉินของเรานี่สิ เขารู้จริงๆ ว่าควรอดทนต่อความลำบากอย่างไร เขาแบกรับภาระเอาไว้จริงๆ” บางคนก็พูดว่า “เราควรเผยแผ่ข่าวประเสริฐแบบที่พี่ชายเฉินทำ” พอผมเห็นว่าพี่น้องชายหญิงเหล่านี้สรรเสริญผมแค่ไหน ผมก็รู้สึกมีความสุขมากๆ หลังจากนั้น คนอื่นๆ ที่ประสบกับความยากลำบากในหน้าที่ของพวกเขาก็จะมาหาผมเพื่อขอความช่วยเหลือ และน้อยคนมากที่จะไปหาพี่ชายที่ทำงานร่วมกับผม ขณะกำลังทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง พี่น้องชายหญิงก็จะทำอะไรก็ตามที่ผมขอให้พวกเขาทำด้วยความตื่นตัว เมื่อเห็นว่าพวกเขาชื่นชมผมแค่ไหน ผมก็เริ่มพอใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเสาหลักของคริสตจักร
ระหว่างการชุมนุมครั้งหนึ่ง ผมพูดไปเรื่อยๆ ว่าผมทรมานแค่ไหน และต้องยอมลำบากอย่างไรบ้างในหน้าที่ของผม และผลตอบแทนที่ผมได้รับคืออะไร จู่ๆ น้องสาวคนหนึ่งก็พูดกับผมว่า “พี่ชายเฉิน สิ่งที่ฉันได้ยินคุณพูดส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับว่าคุณทรมานมากและทุ่มเทระหว่างการทำหน้าที่ของคุณให้ลุล่วงอย่างไร แต่คุณไม่ได้พูดถึงความอ่อนแอที่คุณมีเมื่อคุณต้องเผชิญกับความลำบากหรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่คุณได้เปิดเผย หรือความรู้ที่คุณได้รับเกี่ยวกับตัวคุณเอง หรือคุณแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความยากลำบากของคุณอย่างไร มันทำให้ดูเหมือนคุณไม่มีความเสื่อมทรามใดๆ เลย…” หลังจากที่เธอพูดแบบนี้จบ คนอื่นๆ ทุกคนก็หันมามองผมกันหมด ผมก็อึ้งไป ผมรู้สึกเหมือนถูกคาดคั้น และใบหน้าของผมก็เห่อร้อน ผมคิดในใจว่า “การพูดแบบนั้นกับฉัน ทำให้ฉันดูเป็นตัวตลกต่อหน้าพี่น้องชายหญิงทั้งหมดนี้ พวกเขาจะมองฉันว่าอย่างไร?” ด้วยความพยายามจะกู้ความภาคภูมิใจกลับมา ผมพูดอย่างรวดเร็วว่า “น้องสาว สิ่งที่คุณได้สามัคคีธรรมนั้นถูกต้อง และผมก็สามารถยอมรับมันได้ แต่ว่า พี่น้องชายหญิงของเรากำลังเผชิญกับความยากลำบากในหน้าที่ของพวกเขา และพวกเขาก็เริ่มคิดลบ และอ่อนแอ เราไม่ควรจะพูดถึงแต่ความเสื่อมทรามของเรา เราต้องสามัคคีธรรมการปฏิบัติเชิงบวกมากขึ้นด้วย นี่คือหนทางเดียวที่พี่น้องชายหญิงของเรา จะสามารถมีหนทางในการก้าวไปข้างหน้า และค้นพบความศรัทธาของพวกเขา…” หลังจากนั้น พี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ บางส่วนได้บอกกับผม ว่าระหว่างที่กำลังพูดเกี่ยวกับประสบการณ์และความรู้ของผม ผมข้ามความเสื่อมทรามส่วนใหญ่ที่ถูกเปิดเผยในตัวผมไป และเพราะผมเอาแต่พูดว่าผมทรมานแค่ไหน ต้องยอมลำบากอะไรบ้าง และผมละทิ้งเนื้อหนังในหน้าที่ของผมอย่างไร มันทำให้ผมดูเหมือนกับเชี่ยวชาญในการปฏิบัติความจริงจริงๆ เมื่อเผชิญหน้ากับการตักเตือนของพี่น้องชายหญิงของผม ผมก็รู้สึกไม่ค่อยดี สิ่งเหล่านี้ที่ผมได้สามัคคีธรรมไป มันไม่เหมาะสมจริงๆหรือ? บางครั้ง ผมก็สามัคคีธรรมว่าผมเย่อหยิ่งและเห็นแก่ตัวอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังบรรลุผลลัพธ์ที่ดีมากในหน้าที่ของตัวเองเสมอ และไม่ได้กีดขวางงาน ของคริสตจักรด้วย นั่นก็หมายความว่า วิธีที่ผมสามัคคีธรรมไม่ควรจะมีอะไรผิด จริงไหม? ดังนั้น ผมจึงไม่ได้พิจารณาตัวเองอย่างจริงจัง
ต่อมา เพราะความจำเป็นในหน้าที่ของผม ผมถูกย้ายไปยังคริสตจักรอีกแห่งหนึ่งเพื่อสานต่องานของผม ระหว่างการชุมนุมครั้งหนึ่งกับพวกเพื่อนร่วมงาน พี่ชายจางพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “น้องชายเฉิน ตั้งแต่คุณออกจากคริสตจักรอีกแห่งนั้นมา พี่น้องชายหญิงบางคนที่นั่นก็ไม่สนใจทำหน้าที่ของพวกเขา เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาพบกับความยากลำบาก พวกเขาทั้งไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าและไม่แสวงหาความจริง พวกเขาแค่ต้องการให้คุณไปแก้ปัญหาให้พวกเขา บางคนไม่แม้แต่จะอยากมาร่วมการชุมนุม นี่แสดงว่า คุณไม่ได้ยกย่องพระเจ้ารือยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระองค์ในหน้าที่ของคุณ คุณแค่ทำตัวโดดเด่นเพื่อที่คนอื่นๆ จะได้ยกย่องและเทิดทูนคุณ นี่เป็นการกระทำที่ชั่วร้าย และคุณจำเป็นต้องใช้เวลาในการพิจารณาตัวเองบ้าง!” หลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูด ผมก็ตกใจเป็นอย่างมาก มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? พี่น้องชายหญิงทุกคนเทิดทูนผมงั้นหรือ? นี่คือปัญหาร้ายแรง! ผมรู้สึกหวาดหวั่นมาก หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ยินสิ่งที่สามัคคีธรรมระหว่างการชุมนุมอีก ในหัวของผมเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร หลังจากที่ผมกลับถึงบ้าน ผมใคร่ครวญคำพูดของพี่ชายจางไปมา ในตอนแรก ผมคิดว่าหน้าที่ของผมได้ออกผลมาบ้าง และผมสามารถสามัคคีธรรมในความจริงเพื่อแก้ปัญหาบางอย่างได้ ผมไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าผลที่ตามมาจะเป็นแบบนี้ ความจริงแล้ว เรื่องนี้ทำให้ผมสะเทือนใจเป็นอย่างมาก ด้วยความหมดหนทางของผม ผมอธิษฐานต่อพระเจ้า ผมพูดว่า “พระเจ้า ได้โปรดทรงมอบความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์จะสามารถค้นพบต้นตอแห่งปัญหาของข้าพระองค์ และมีความเข้าใจที่แท้จริงในตัวข้าพระองค์เองได้”
หลังจากนั้น ผมก็เห็นพระวจนะบางส่วนของพระเจ้า: “ทั้งหมดของพวกที่เดินลงเหวนั้น ล้วนยกย่องตัวพวกเขาเองและให้คำพยานต่อตัวพวกเขาเอง พวกเขาเที่ยวอวดตัวไปทั่วเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองและคุยโวโอ้อวดตัวเองเกินจริง และพวกเขาไม่ได้นำพระเจ้าเข้าไปในหัวใจแต่อย่างใดเลย พวกเจ้ามีประสบการณ์ในเรื่องที่เรากำลังพูดคุยอยู่บ้างหรือไม่? ผู้คนมากมายกำลังให้คำพยานต่อตัวพวกเขาเองอยู่เป็นนิตย์ว่า ‘ข้าพเจ้าได้ทนทุกข์ในหนทางนี้หนทางนั้น ข้าพเจ้าได้ทำงานนี้งานนั้น พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติต่อข้าพเจ้าในหนทางนี้หนทางนั้น พระองค์ทรงขอให้ข้าพเจ้าทำดังนี้ดังนั้น พระองค์ทรงพระดำริเกี่ยวกับข้าพเจ้าอย่างสูงส่งเป็นพิเศษ และตอนนี้ข้าพเจ้าจึงเป็นดังนี้ดังนั้น’ พวกเขาจงใจพูดจาในกระแสเสียงเฉพาะอย่างหนึ่งและนำท่าทางเฉพาะอย่างหนึ่งมาใช้ ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนบางคนจบลงตรงความคิดที่ว่าผู้คนเหล่านี้คือพระเจ้า ทันทีที่พวกเขาได้มาถึงจุดนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะได้ทรงทอดทิ้งพวกเขาไปนานแล้ว แม้ว่าในระหว่างนั้น พวกเขาถูกเพิกเฉยและไม่ถูกขับไล่ แต่ชะตากรรมของพวกเขาถูกกำหนดแล้ว และทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ก็คือ รอคอยการลงโทษพวกเขา” (“ผู้คนสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้ามากเกินไป” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “ผู้คนบางคนใช้ตำแหน่งของพวกเขาให้คำพยานซ้ำๆ เกี่ยวกับตัวเอง คุยโวโอ้อวดตัวเองเกินจริง และแข่งขันกับพระเจ้าเพื่อผู้คนและสถานภาพ พวกเขาใช้วิธีการและมาตรการสารพัดเพื่อทำให้ผู้คนเคารพบูชาพวกเขา พยายามชนะใจผู้คนและควบคุมพวกเขาอยู่เป็นนิตย์ บางคนถึงกับเจตนาทำให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาเป็นพระเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นพระเจ้า พวกเขาคงจะไม่มีวันบอกใครสักคนว่าพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามแล้ว—บอกว่าพวกเขาก็เสื่อมทรามและโอหังเช่นกัน อย่าเคารพบูชาพวกเขาเลย และบอกว่าไม่สำคัญว่าพวกเขาทำดีเพียงใดก็ล้วนเป็นเพราะการยกย่องของพระเจ้าทั้งนั้น และบอกว่า ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็กำลังทำสิ่งที่พวกเขาควรจะทำอยู่แล้ว เหตุใดพวกเขาจึงไม่พูดสิ่งเหล่านี้เล่า? เพราะพวกเขากลัวอย่างลึกล้ำที่จะสูญเสียที่ทางของพวกเขาในหัวใจของผู้คน นี่คือสาเหตุที่ผู้คนเช่นนี้ไม่มีวันยกย่องพระเจ้า และไม่มีวันเป็นพยานต่อพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1) หลังจากที่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมรู้สึกเจ็บปวดมาก หลังจากที่ผมไตร่ตรองตัวเองเท่านั้นจึงได้เห็นว่า ในขณะที่ภายนอกผมสร้างภาพลักษณ์ของการได้รับความทรมานและยอมลำบาก และสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของผมเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า เพื่อที่พวกเขาจะได้แก้ปัญหาของพวกเขาได้ อันที่จริงแล้ว ผมก็แค่ทำไปเพื่อให้ตัวผมเองแตกต่างและโดดเด่น เพื่อที่คนอื่นจะได้ยกย่องและเทิดทูนผม เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่พวกเพื่อนร่วมงานของผมแนะนำให้ผมเป็นหัวหน้าที่คริสตจักรที่มีสมาชิกใหม่ ผมตระหนักว่า ทั้งหมดที่ผมคิดถึงก็คือผมจะสร้างผลงานได้อย่างไร ให้พี่น้องชายหญิงชื่นชมผม และหัวหน้าก็ชื่นชอบ เพื่อให้ได้มา ผมทำงานเกินเวลาตลอดทั้งคืนเพื่อค้นหาพระวจนะของพระเจ้าในบทตอนที่เกี่ยวข้อง และเรียบเรียงสิ่งที่เราจะสามัคคีธรรมกันในการชุมนุม เมื่อพี่น้องชายหญิงของผมพบกับความยากลำบากระหว่างการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ผมก็ไม่ได้สามัคคีธรรมพวกเขาเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อชี้นำพวกเขาไปสู่หลักปฏิบัติแห่งความจริง แต่ผมกลับคุยโม้และโอ้อวดว่าผมทนทุกข์แค่ไหนและต้องยอมลำบากอะไรบ้างระหว่างการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เมื่องานของผมพัฒนาขึ้น พี่น้องชายหญิงยกย่องผม ผมก็ชอบใจ และเอาผลที่สำเร็จโดยพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นความดีความชอบส่วนตัว นำมาโอ้อวดอย่างหน้าไม่อายในฐานะความสำเร็จของผมเอง ระหว่างการสามัคคีธรรมในการชุมนุม ผมได้วางตัวเองให้โดดเด่นบ่อยครั้ง สามัคคีธรรมแต่การปฏิบัติเชิงบวก พร้อมกับหลีกเลี่ยงการพูดถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ผมได้เปิดเผย ถ้ามีใครยกหัวข้อนี้ขึ้นมา ผมก็จะพูดกลบเกลื่อนไปเลย สำหรับแรงจูงใจอันร้ายกาจในการทำหน้าที่ของผมให้ลุล่วง ผมถึงกับลังเลที่จะชำแหละหรือนำออกมาพูดอย่างเปิดเผย พระเจ้าได้ทรงใช้พี่น้องชายหญิงให้พูดถึงปัญหาของผมครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เพื่อที่จะปกป้องตำแหน่งและภาพลักษณ์ของผม ผมแค่พูดปากเปล่าว่ายอมรับประเด็นของพวกเขา ในขณะที่จริงๆ แล้วไม่ได้พิจารณาตัวเองเลยแม้แต่น้อย ระหว่างการสามัคคีธรรม ผมแค่พูดในสิ่งที่ฟังดูสูงส่งเพื่อหลอกลวงพี่น้องชายหญิงของผม ด้วยวิธีนี้ ผมก็เริ่มเชื่อว่าตัวเองมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และสามารถอดทนต่อความทุกข์ทนและยอมลำบาก ไม่ว่าคริสตจักรจะมีปัญหาหรือความยากลำบากอะไรก็ตาม หรือไม่ว่าพี่น้องชายหญิงของผมจะตกอยู่ในสภาพไหน ผมก็ไม่ย่อท้อ แต่จะช่วยพวกเขาหาวิธีแก้เสมอ การถูกเปิดเผยโดยข้อเท็จจริง ทำให้ผมเห็นว่า เมื่อผมทำหน้าที่ของตัวเอง ผมไม่ได้ปฏิบัติความจริงและไม่ได้พิจารณาน้ำพระทัยของพระเจ้าเลย ผมใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ผมได้รับจากการทำหน้าที่ของผมให้ลุล่วงเพื่อทำตัวโดดเด่น เพื่อที่คนอื่นๆ จะได้ชื่นชมผม เพื่อให้สนองความปรารถนาในชื่อเสียงและตำแหน่งของผมได้ ในการทำเช่นนี้ ผมไม่ได้พาพี่น้องชายหญิงของผมไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า กลับกัน ผมทำให้พวกเขาบูชาผม นี่หมายความว่า ผมได้ต่อสู้กับพระเจ้าเพื่อผู้คนและตำแหน่ง ตอนนั้นเองที่ผมรับรู้ได้ถึงข้อเท็จจริง ว่าผมได้ก้าวไปในเส้นทางของการต่อต้านพระเจ้าและได้กระทำการล่วงละเมิดอย่างร้ายแรง ผมกลัวและรู้สึกผิดจริงๆ จากนั้น ผมก็ถามตัวเอง ทำไมผมถึงได้ก้าวไปบนเส้นทางแห่งการต่อต้านพระเจ้าได้โดยที่ไม่รู้ตัวเลย?
ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ความว่า “ตั้งแต่ที่มวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ธรรมชาติของพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยน และพวกเขาก็ค่อยๆ สูญเสียสำนึกรับรู้ของเหตุผลที่ผู้คนปกติครอง ตอนนี้พวกเขาไม่ปฏิบัติตนในฐานะมนุษย์ในตำแหน่งของมนุษย์อีกต่อไป ทว่าพวกเขากลับปรารถนาที่จะข้ามผ่านสถานะของมนุษย์ และพวกเขาโหยหาบางสิ่งซึ่งสูงกว่าและยิ่งใหญ่กว่า และอะไรเล่าที่เป็นบางสิ่งซึ่งสูงกว่านี้? พวกเขาปรารถนาที่จะข้ามผ่านพระเจ้า ที่จะข้ามผ่านฟ้าสวรรค์ และที่จะข้ามผ่านอื่นใดทั้งหมด สิ่งใดหรือที่อยู่ตรงรากเหง้าของเหตุผลที่ผู้คนได้กลายเป็นเช่นนี้? เมื่อพิจารณาโดยรวมทั้งหมดแล้ว ธรรมชาติของมนุษย์นั้นโอหังเกินไป…ครั้นผู้คนได้โอหังในธรรมชาติและแก่นสารมากขึ้นทุกที พวกเขากลายเป็นมีความสามารถในการทำสิ่งทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟังและต้านทานพระเจ้า สิ่งทั้งหลายซึ่งไม่ใส่ใจต่อพระวจนะของพระองค์ สิ่งทั้งหลายซึ่งให้กำเนิดมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระองค์ สิ่งทั้งหลายซึ่งกบฏต่อพระองค์ และสิ่งทั้งหลายซึ่งยกย่องและให้คำพยานต่อตัวพวกเขาเอง เจ้าพูดว่าเจ้าไม่โอหัง แต่ทึกทักเอาว่าเจ้าได้รับคริสตจักรมามากมายแล้วและได้รับอนุญาตให้นำทางพวกเขา ทึกทักเอาว่าเราไม่ได้จัดการกับเจ้า และว่าไม่มีใครเลยในครอบครัวพระเจ้าที่ตัดแต่งเจ้า กล่าวคือ ภายหลังการนำทางพวกเขาไปสักพัก เจ้าก็คงจะนำพาพวกเขามาอยู่แทบเท้าของเจ้า และทำให้พวกเขานบนอบต่อหน้าเจ้า และเหตุใดเล่าเจ้าจึงจะทำเช่นนั้น? การนี้คงจะถูกกำหนดพิจารณาโดยธรรมชาติของเจ้า นั่นคงจะไม่ใช่อื่นใดเลยนอกจากเป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติ เจ้าไม่จำเป็นต้องออกนอกหนทางของเจ้าเพื่อเรียนรู้การนี้ อีกทั้งเจ้ายังไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาสอนการนั้นให้เจ้าเป็นพิเศษ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดเลยของการนี้อย่างจงใจ สภาพการณ์ประเภทนี้มาเกิดกับเจ้าตามธรรมชาติ นั่นคือ เจ้าทำให้ผู้คนนบนอบต่อหน้าเจ้า นมัสการเจ้า ยกย่องเจ้า ให้คำพยานเกี่ยวกับเจ้า และฟังเจ้าในทุกสรรพสิ่ง และเจ้าไม่อนุญาตให้พวกเขาไปเกินกว่าขอบเขตอำนาจของเจ้า ภายใต้สภาวะผู้นำของเจ้า สถานการณ์เช่นนั้นบังเกิดขึ้นตามธรรมชาติ และสถานการณ์เหล่านี้มาเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน? สถานการณ์เหล่านี้ถูกกำหนดพิจารณาโดยธรรมชาติอันโอหังของมนุษย์” (“ธรรมชาติอันโอหังคือรากเหง้าของการต้านทานพระเจ้าของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) การได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมเข้าใจ ว่าทำไมผมถึงต้องการสนองพระเจ้าในหน้าที่ของตัวเอง แต่กลับก้าวไปในเส้นทางของการต่อต้านพระองค์โดยไม่ได้ตั้งใจ ต้นตอของสิ่งนี้ก็คือธรรมชาติเยี่ยงซาตานอันเย่อหยิ่งภายในตัวผม ภายใต้การควบคุมของธรรมชาติอันเย่อหยิ่งของผม ผมมองว่าตัวเองสูงส่งมาก และมักจะพยายามโอ้อวดทั้งในคำพูดและการกระทำ เพื่อที่คนอื่นจะได้ยกย่องและเทิดทูนผม เมื่อพี่น้องชายหญิงของผมเผชิญกับปัญหาขณะทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ผมไม่ได้สามัคคีธรรมในหลักปฏิบัติของความจริง เพื่อทำให้พวกเขาเข้าใจความจริง และมีหนทางในการปฏิบัติ แต่ผมแค่เอ่ยพระวจนะและหลักคำสอนอย่างผิวเผิน เพื่อให้ตัวผมดูดี และถึงขนาดใช้ประสบการณ์แห่งการทนทุกข์และการทำงานของตัวเอง มาเป็นต้นทุนการโอ้อวดตัวเอง สิ่งนี้ทำให้พี่น้องชายหญิงของผมยกย่องผม และเชื่อว่าผมเข้าใจความจริงและสามารถแก้ปัญหาของพวกเขาได้ เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาพบกับความยากลำบาก พวกเขาก็จะมาหาผมเสมอ โดยไม่ตระหนักเลยว่าพวกเขาควรพึ่งพาพระเจ้า และค้นหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของพวกเขา พวกเขาไม่มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา มันถึงขั้นที่หลังจากผมถูกย้ายไป พี่น้องชายหญิงบางคนก็ไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมการชุมนุมอีกแล้ว นี่จะเรียกว่าเป็นการทำหน้าที่ของผมให้ลุล่วงได้อย่างไร? นี่ผมทำสิ่งที่ชั่วร้ายและต่อต้านพระเจ้า! การที่ผมสามารถทำสิ่งที่ชั่วร้ายเช่นนี้ได้ ทั้งหมดมาจากความเย่อหยิ่งและจองหองของผม ทั้งหมดที่ผมต้องการก็คือ การมีอำนาจเหนือผู้คน ในขณะที่ปกป้องตำแหน่งและสถานะของผมไปด้วย ทำให้พี่น้องชายหญิงของผมรักใคร่ผมและวางผมเป็นจุดศูนย์กลาง ผมช่างโลภในพระพรแห่งสถานะของผม ผมมองเห็นได้ว่าลึกๆ แล้ว ผมไม่ได้มีความยำเกรงต่อพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยธรรมชาติอันเย่อหยิ่ง การต่อต้านพระเจ้าก็เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ มันอันตรายมากจริงๆ ผมคิดถึงเหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสในโลกศาสนา พวกเขาไม่ได้ยกย่องพระเจ้า หรือยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระองค์ และพวกเขาก็ไม่ได้นำผู้เชื่อให้นำพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปปฏิบัติ พวกเขากลับอธิบายความรู้ด้านพระคัมภีร์และทฤษฎีทางศาสนาอย่างมืดบอดเพื่อหลอกลวงผู้ที่เชื่อ และโอ้อวดว่าพวกเขาทรมานมากแค่ไหน ว่ามีผู้คนกี่คนที่พวกเขาได้ทำให้เปลี่ยนความเชื่อไปแล้ว ว่าพวกเขาสร้างคริสตจักรไปแล้วกี่แห่ง นี่ทำให้ผู้เชื่อนับถือพวกเขา เคารพพวกเขา และทำตามที่พวกเขาบอก บางคนได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไปถามพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส เพื่อตรวจสอบ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเหล่าศิษยาภิบาล พวกเขาก็ไม่กล้ายอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามันคือหนทางที่แท้จริง พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสของโลกศาสนาควบคุมผู้คนอย่างแน่นหนา พวกเขาเดินอยู่บนเส้นทางของการต่อต้านพระเจ้าของศัตรูของพระคริสต์ และพยายามที่จะสร้างอาณาจักรอิสระขึ้นมา! ผมพยายามโอ้อวดในหน้าที่ของตัวเองอยู่บ่อยๆ เพื่อที่ผู้คนจะได้ยกย่องและเคารพผม ผมต่างจากพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสพวกนั้นตรงไหน? ผมคิดถึงพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรที่มีสมาชิกใหม่เหล่านั้น พวกเขาแค่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และยังมีความจริงมากมายที่พวกเขายังไม่เข้าใจ พระเจ้าทรงยกผมขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในการนำคริสตจักรของผมให้ลุล่วง ดังนั้น ผมควรสามัคคีธรรมพวกเขาในพระวจนะของพระเจ้ามากกว่านี้ และยืนหยัดคำพยานเพื่อพระราชกิจของพระองค์มากกว่านี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้เข้าใจความจริง และได้รับความรู้ของพระเจ้า และวางรากฐานบนเส้นทางแห่งความจริง แต่ผมทำอะไร? สิ่งที่ได้มาจากความพยายามในการทำหน้าที่ของผมให้ลุล่วงคืออะไร? ผมทำให้ทุกคนเทิดทูนผม และกีดกันพวกเขาจากความรู้ของพระเจ้า ในการทำแบบนี้ ผมได้ทำร้ายพี่น้องชายหญิงของผม อีกทั้งขัดขวางและรบกวนงานของคริสตจักร เส้นทางที่ผมเดิน ไม่ต่างอะไรจากเส้นทางของการต่อต้านพระเจ้าของพวกศัตรูของพระคริสต์! ยิ่งผมคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกกังวลและไม่สบายใจมากเท่านั้น ผมมองเห็นได้ว่าตัวผมเคยเย่อหยิ่งแค่ไหน ขาดความยำเกรงในพระเจ้าโดยสิ้นเชิงมากแค่ไหน และการกระทำของผมก็ได้ทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์ขุ่นเคืองมานานมากแล้ว หากพระองค์ไม่ได้ทรงใช้พี่น้องชายหญิงของผมให้มาตัดแต่งและจัดการกับผมแบบนั้น ผมคงไม่รู้จักพิจารณาการกระทำของผม ถ้าผมยังเดินบนเส้นทางนี้ต่อไป ก็บอกไม่ได้ว่าผมจะทำในสิ่งที่ชั่วร้ายมากแค่ไหน จนต้องประสบกับการสาปแช่งและการลงโทษของพระเจ้า ผมรู้สึกถึงความกลัวที่ยังหลงเหลืออยู่ จึงหมอบลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน ผมพูดว่า “พระเจ้า! ข้าพระองค์ช่างเย่อหยิ่งนัก ข้าพระองค์โอ้อวดในการทำหน้าที่ของตนเองเสมอ และนี่ทำให้พี่น้องชายหญิงรักใคร่ข้าพระองค์ และไม่มีที่สำหรับพระองค์ในหัวใจของพวกเขา ข้าพระองค์ได้กระทำการชั่วร้ายและต่อต้านพระองค์ ข้าพระองค์สมควรได้รับการลงโทษจากพระองค์ พระเจ้า! ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะกลับใจต่อหน้าพระองค์ เพื่อไล่ตามความจริงอย่างจริงจัง และเพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”
หลังจากนั้น ผมก็ได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า: “ในฐานะหนึ่งในสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง มนุษย์ต้องรักษาตำแหน่งของเขาเอง และประพฤติตนอย่างมีจิตสำนึก จงคุ้มกันสิ่งที่พระผู้สร้างทรงมอบความไว้วางพระทัยแก่เจ้าอย่างเป็นหน้าที่ จงอย่ากระทำการล้ำเส้น หรือทำสิ่งทั้งหลายที่นอกเหนือช่วงความสามารถของเจ้า หรือที่เป็นที่เกลียดชังของพระเจ้า จงอย่าพยายามที่จะยิ่งใหญ่ หรือกลายเป็นยอดมนุษย์ หรือเหนือสิ่งอื่นใด จงอย่าพยายามที่จะกลายเป็นพระเจ้า นี่คือวิธีที่ผู้คนไม่ควรอยากที่จะเป็น การพยายามที่จะกลายเป็นยิ่งใหญ่หรือยอดมนุษย์นั้นช่างไร้สาระ การเสาะแสวงที่จะกลายเป็นพระเจ้ายิ่งเป็นที่เสื่อมเสียยิ่งกว่า มันน่าขยะแขยงและน่าดูหมิ่นนัก สิ่งที่น่าชมเชยและสิ่งที่สิ่งทรงสร้างทั้งหลายควรจะยึดมั่นไว้มากกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ การกลายเป็นสิ่งทรงสร้างที่แท้จริง นี่คือเป้าหมายเดียวเท่านั้นที่ผู้คนทุกคนควรไล่ตามเสาะหา” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1) “ไม่สำคัญว่าอะไรคือสิ่งที่พวกมนุษย์แสวงหา หรืออะไรคือสิ่งที่พวกเขาอยากได้อยากมี เฉพาะบรรดาผู้ที่หวนคืนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้างและลุล่วงและเสร็จสิ้นสิ่งที่พวกเขาควรจะต้องทำตามหน้าที่ และสิ่งที่พวกเขาได้รับความไว้วางใจมอบหมายเท่านั้น จึงจะดำรงชีวิตอยู่อย่างปราศจากความรู้สึกผิดหน่วงอยู่ในใจ และอยู่ในหนทางที่ถูกและถูกต้องเหมาะสม โดยปราศจากความทุกข์อันใด นี่ก็คือความหมายและคุณค่าแห่งการดำรงชีวิต” (“โดยการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ดีเท่านั้น ชีวิตของคนเราจึงจะมีคุณค่า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังจากที่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็เข้าใจ ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการสร้าง และมันก็ถูกต้องและเหมาะสมอยู่แล้ว เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ที่มนุษย์ควรจะเทิดทูนพระองค์ และนบนอบต่อพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น ผมรู้ว่าผมเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้น มนุษย์ที่เสื่อมทราม ผมเต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ผมเย่อหยิ่ง หลอกลวง และชั่ว แต่กระนั้น ผมก็พยายามที่จะทำตัวโดดเด่นและแย่งชิงพื้นที่ของผมในหัวใจของผู้คนอยู่เสมอ ผมช่างไม่รู้จักอายจริงๆ และยังเย่อหยิ่งเหนือเหตุผลทั้งปวง! ยิ่งผมคิดมากเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากเท่านั้น ผมเกลียดตัวเองที่ตามืดบอดและไม่รู้จักพระเจ้า ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร การที่ผมสามารถมาอยู่ที่นี่ในวันนี้เพื่อทำหน้าที่ของผมให้ลุล่วงได้ ต้องขอบคุณพระคุณและการยกระดับจากพระเจ้า ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้าง ผมควรอยู่ในที่ที่เหมาะแก่ตัวเอง และเป็นคนซื่อสัตย์เที่ยงธรรม ที่จดจ่อในการไล่ตามความจริง ยกย่องพระเจ้า ยืนหยัดคำพยานเพื่อพระองค์ และทำหน้าที่ให้ลุล่วง…มีเพียงตอนนั้นที่ผมจะมีสติและความรู้สึกที่สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างควรมีได้
ต่อมา ผมได้แสวงหาเส้นทางในการปฏิบัติและการเข้าสู่ผ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ตรัสเอาไว้ว่า “ตอนที่กำลังเป็นคำพยานต่อพระเจ้า โดยหลักนั้น เจ้าควรพูดคุยให้มากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตัดสินผู้คน การทดสอบอะไรที่พระองค์ทรงใช้ถลุงผู้คนและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา เจ้าควรพูดคุยเกี่ยวกับการที่ความเสื่อมทรามได้ถูกเปิดเผยในประสบการณ์ของพวกเจ้าไปมากเท่าไร เจ้าได้สู้ทนไปมากเท่าใด และพระเจ้าได้ทรงพิชิตเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุดนั้น นั่นคือ เจ้ามีความรู้ที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ามากเท่าไร และเจ้าควรเป็นพยานสำหรับพระเจ้าและชดใช้คืนพระองค์สำหรับความรักของพระองค์อย่างไร พวกเจ้าควรใส่สาระสำคัญเข้าไปในภาษาประเภทนี้ ในขณะเดียวกันก็ทำไปในลักษณะอันเรียบง่าย จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่างเปล่าทั้งหลาย จงพูดจาแบบติดดินไม่ถือตัวให้มากกว่านี้ พูดจาจากหัวใจ นี่คือวิธีที่เจ้าควรได้รับประสบการณ์ จงอย่าทำให้มีทฤษฎีว่างเปล่าทั้งหลายที่ดูลุ่มลึกอยู่ในตัวพวกเจ้าเองด้วยความพยายามที่จะโอ้อวด การทำเช่นนั้นทำให้เจ้าปรากฎเป็นค่อนข้างโอหังและไร้เหตุผล เจ้าควรพูดให้มากขึ้นถึงสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นจริงจากประสบการณ์จริงของเจ้าซึ่งเป็นจริงแท้และมาจากหัวใจ การนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่สุด และเป็นการเหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะมองเห็น” (“โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังจากได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็เข้าใจขึ้นมาบ้างว่าผมควรปฏิบัติอย่างไรในการยกย่องพระเจ้าและยืนหยัดคำพยานเพื่อพระองค์ในหน้าที่ของผม ในการยืนหยัดคำพยานเพื่อพระเจ้า ผมควรพูดให้มากขึ้นว่าผมได้รับประสบการณ์ในงานของพระองค์อย่างไร อุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดที่ถูกเปิดเผยในตัวผม ผมได้เป็นกบฏและต่อต้านพระองค์อย่างไร ผมได้ไตร่ตรองกับตัวเอง และรู้จักตัวเองด้วยการเปรียบเทียบตัวผมกับพระวจนะของพระองค์อย่างไร และผมได้กลับใจและเปลี่ยนแปลงอย่างไร ผ่านการสามัคคีธรรมในความจริง ผมควรจะช่วยให้ผู้คนเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และการเรียกร้องของพระองค์ ช่วยให้พวกเขาเข้าใจพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำเพื่อช่วยผู้คนให้รอด และเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์ และเพื่อให้สามารถเคารพนับถือและนบนอบต่อพระเจ้า และทำหน้าที่ของสิ่งที่ถูกสร้างให้ลุล่วง มีเพียงการทำเช่นนี้ที่ผมจะสามารถยกย่องพระเจ้า และยืนหยัดคำพยานเพื่อพระองค์ได้อย่างแท้จริง ผมคิดถึงที่ผมเคยสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของผม เวลาส่วนใหญ่ ผมก็แค่พูดว่าผมทนทุกข์อย่างไร และต้องยอมลำบากอะไรไปบ้าง และผมได้เป็นพยานในกิจการของพระเจ้า และได้รับพระพรจากพระเจ้าอย่างไร สำหรับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ถูกเปิดเผยในตัวผม หรือแรงจูงใจอันชั่วร้ายอะไรก็ตามที่ผมมี ผมจะกลบเกลื่อนมันเสมอ และแทบจะไม่พูดถึงพวกมันเลย ผมหวาดกลัวว่า ถ้าพี่น้องชายหญิงของผมเห็นความเสื่อมทรามของผม ความคิดที่พวกเขามีต่อผมจะดิ่งต่ำลง ผมช่างมีธรรมชาติที่หลอกลวงจริงๆ หลังจากที่ได้ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ ผมไปหาพี่ชายจาง และเปิดอกคุยกับเขาเกี่ยวกับการกระทำชั่วร้ายของผมที่โอ้อวดตัวเองเพื่อหลอกลวงผู้คน ผมยังขอให้พี่ชายจางไปที่คริสตจักรเดิมที่ผมเคยทำงานให้ และชำแหละพฤติกรรมของผมกับเหล่าพี่น้องชายหญิงที่นั่น เพื่อให้ทุกคนสามารถแยกแยะได้มากขึ้น ระหว่างการชุมนุม ผมยังได้เปิดใจกับพี่น้องชายหญิงเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ชั่วร้ายของผม ยืนหยัดคำพยานต่อพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และบอกให้ทุกคนใช้ผมเป็นตัวอย่างเพื่อเรียนรู้ว่า สิ่งที่ไม่ควรทำเพื่อไม่ให้เดินไปบนเส้นทางของการต่อต้านพระเจ้าแบบที่ผมได้ทำไปคืออะไร
ในการทำหน้าที่หลังจากนั้น ผมก็สรรเสริญและเป็นพยานให้พระเจ้าอย่างมีสติ รวมถึงสามัคคีธรรมตามน้ำพระทัย ข้อพึงประสงค์ และความรักที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ ผมได้เปิดโปงความเสื่อมทราม ความน่าเกลียด และแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของตัวเอง ผมเปิดใจและสามัคคีธรรมว่าพระวจนะของพระเจ้า ชี้นำให้ผมรู้จักตัวเองและปฏิบัติความจริงได้อย่างไร ทั้งหมดนี้เพื่อให้พี่น้องชายหญิงได้รู้ว่า ผมก็ถูกทำให้เสื่อมทรามเช่นกัน เวลาแก้ปัญหาของคนอื่น บางครั้งผมก็ยังอยากคุยโวถึงความสำเร็จที่ผ่านมา แต่ผมก็จะอธิษฐานต่อพระเจ้าและละทิ้งตัวเองทันที ผมจะแสวงหาความจริงกับพวกเขา และสามัคคีธรรมตามหลักแห่งการปฏิบัติ การปฏิบัติแบบนี้ทำให้ผมมีสันติสุขในหัวใจ การปฏิบัติตัวตามพระวจนะของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมครับ การได้เปลี่ยนแปลงและกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ล้วนเป็นเพราะการได้รับการพิพากษา ตีสอน ตัดแต่ง และจัดการโดยพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
พฤษภาคมปี 2018 ฉันจากบ้านไปร่วมกองทัพ ในกองทัพ เมื่อผู้นำออกคำสั่ง ยศต่ำกว่าก็ทำตามอย่างเชื่อฟัง เวลากำกับดูแลงานของเรา...
โดย ดานี พม่า ฉันสนใจ ศาสนาคริสต์ตั้งแต่เด็ก แต่เพราะครอบครัวเป็นชาวพุทธ ฉันเลยไม่ได้มาเป็นคริสเตียน ในตอนนั้น ฉันเคยได้ยินเรื่องนรก แต่ฉัน...
โดย ห้าว ลี่, ประเทศจีน ฉันเข้ารับตำแหน่งผู้นำคริสตจักร เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2019 ค่ะ ครั้งหนึ่งฉันจำได้ หลังจบการสามัคคีธรรม...
โดย หย่งสุย ประเทศเกาหลีใต้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การเข้าสู่ความจริงนั้น คนเราต้องหันทุกสิ่งไปหาชีวิตจริง...