มองหาอิสรภาพจากสถานะ
โดย ต่งเอิน ประเทศฝรั่งเศส ฉันมาเป็นผู้นำคริสตจักรในปี 2019 ฉันทำตามใจ และไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ และไม่ได้จัดวางคนให้เหมาะสมกันงาน...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ในเดือนตุลาคม ปี 2016 ฉันกับสามียอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าตอนที่เราอยู่ต่างประเทศ สองสามเดือนต่อมา น้องสาวหวังผู้ซึ่งยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าพร้อมกับฉัน ได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ฉันจำได้ว่าในตอนนั้น ทุกคนยกย่องสติปัญญาที่ดีของเธอ ฉันยังจำได้ด้วยว่า หลังการชุมนุมครั้งหนึ่งฉันได้ยินพี่หลินพูดว่า “ทุกสิ่งที่น้องสาวหวังได้สามัคคีธรรมในวันนี้ เรื่องของการยอมรับและความเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้านั้น ถูกพูดออกมาจากหัวใจ สิ่งที่เธอพูดยังทำให้พระวจนะกระจ่างขึ้นด้วย และสำหรับฉันมันช่วยได้มาก” ที่จริงแล้วตอนแรก เมื่อได้ยินทุกคนพูดอย่างนี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกค่อนข้างอิจฉาเธอ แต่ผ่านไปสักระยะ ฉันเริ่มรู้สึกไม่พอใจ ทำไมทุกคนถึงยกย่องเธอ ไม่ใช่ฉัน? ฉันไม่เติบโตเลยงั้นหรือ มีอะไรผิดปกติในการสามัคคีธรรมของฉันหรือเปล่า? ฉันค่อยๆ ไม่เต็มใจยอมรับความจริงที่ว่าเธอเก่งกว่าฉันและเริ่มตั้งตนต่อต้านเธออย่างลับๆ ฉันคิดกับตัวเองว่า เธอสามัคคีธรรมด้วยพระวจนะของพระเจ้าได้ แต่ฉันก็ทำได้เหมือนกัน จะต้องมีสักวันที่ฉันเหนือกว่าเธอ ฉันจะเก็บความเข้าใจและความรู้ซึ่งฉันได้จากพระวจนะของพระเจ้าเอาไว้และจะแบ่งปันในเวลาชุมนุมเท่านั้น ด้วยวิธีนั้น ทุกคนจะได้เห็นว่าการสามัคคีธรรมของฉันค่อนข้างดีและสัมพันธ์กับชีวิตจริงด้วย
ช่วงหนึ่งหลังจากนั้น ฉันจดทุกอย่างที่ฉันได้รับและเข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้าลงในสมุดบันทึก เมื่อถึงเวลาการชุมนุม ฉันต้องตริตรองสิ่งเหล่านั้นในใจอย่างระมัดระวัง เพื่อดูว่าฉันจะสามารถแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นในการสามัคคีธรรมได้อย่างไร ได้ในแบบที่ชัดเจน เป็นระบบและมีแบบแผนเช่นเดียวกับน้องสาวหวัง แต่ไม่รู้ทำไม ยิ่งฉันพยายามอวดรู้ต่อหน้าเหล่าพี่น้องชายหญิงเท่าไร ฉันยิ่งทำให้ตัวเองดูโง่เท่านั้น ทันทีที่ถึงคราวสามัคคีธรรมของฉัน ถ้าจิตใจของฉันไม่ว่างเปล่า คำพูดของฉันก็จะปนเปไปหมด ฉันไม่สามารถกล่าวถึงทัศนะต่างๆ ที่ฉันต้องการแสดงได้อย่างชัดเจน สำหรับฉัน การชุมนุมจบลงแบบน่าอายมาก วันหนึ่งหลังจากกลับถึงบ้าน ฉันพูดกับสามีว่า “เมื่อไรก็ตามที่ฉันได้ยินว่ามีความสว่างในการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าของน้องสาวหวังในระหว่างการชุมนุม ฉันรู้สึกอึดอัดใจจริงๆ” แต่ก่อนที่ฉันจะพูดจบ สามีก็จ้องมาที่ฉัน และพูดอย่างจริงจังว่า “การสามัคคีธรรมของน้องสาวหวังมีความสว่าง และเป็นประโยชน์ต่อพวกเรา เราควรขอบคุณพระเจ้าในเรื่องนี้ ความอึดอัดใจที่คุณรู้สึกนี้ ไม่ใช่แค่ความอิจฉาหรอกหรือ?” คำพูดของเขาเหมือนการตบหน้าฉัน ฉันรีบส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่ ไม่ใช่อิจฉา ฉันไม่ใช่คนอย่างนั้น” สามีของฉันพูดต่อไปว่า “เหล่าพี่น้องชายหญิงทุกคนของเราทุกคนได้รับความเพลิดเพลินจากการสามัคคีธรรมของน้องสาวหวัง แต่การได้ยินมันกลับทำให้คุณไม่สบายใจ นั่นก็แปลว่าคุณอิจฉาเพราะเธอมีความสามารถมากกว่าคุณ” ได้ยินอย่างนี้ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกหัวเสีย เป็นไปได้ไหมว่าฉันจะเป็นคนขี้อิจฉาอย่างนั้นจริงๆ? ฉันพูดกับเขาไปว่า “เลิกพูดก่อนเถอะ ขอให้ฉันใจเย็นลงก่อน แล้วฉันจะไตร่ตรองเรื่องนี้เอง” หลังจากนั้น สามีของฉันบอกพี่สาวหลิวในคริสตจักรถึงสิ่งที่กำลังเกิดกับฉัน หวังว่าเธอจะช่วยเหลือแบ่งเบาฉันได้ พอได้ยินเรื่องนั้น ฉันจึงตำหนิเขาไป “คุณไปคุยกับเธอโดยไม่บอกฉันก่อนได้อย่างไร? ถ้าเธอบอกทุกคนเรื่องนี้ พวกเขาจะมองฉันอย่างไร?” ยิ่งฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งหัวเสียมากเท่านั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “โอ้ พระเจ้า! โปรดทรงมอบคำชี้แนะแกข้าพระองค์ด้วย ได้โปรดทรงช่วยข้าพระองค์ที”
วันต่อมา ฉันมองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่ฉันได้แสดงออกตลอดช่วงระยะเวลานั้น ปรากฏว่าโดยปกติเมื่อฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันจะเก็บความสว่างใดๆ ที่ได้รับไว้กับตัว แล้วจึงค่อยแบ่งปันในระหว่างการชุมนุมของเรา ที่จริงแล้วนี่เป็นเพียงแค่ความปรารถนาที่จะพูดเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้อื่นไม่รู้ เพื่อที่เหล่าพี่น้องชายหญิงจะมีความคิดเห็นต่อฉันในทางที่ดีขึ้น เมื่อฉันเห็นว่าน้องสาวหวังให้ความสว่างในการสามัคคีของธรรม ฉันมักรู้สึกไม่สบายใจเสมอ และอยากจะเหนือกว่าเธอ ฉันเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้แบบสบายๆ และไม่เคยมีแนวโน้มที่จะตื่นวิตกกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คิดว่าฉันเป็นคนง่ายๆ โดยเนื้อแท้ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าฉันสามารถอิจฉาใครบางคนได้ และฉันสามารถตั้งตนต่อต้านและแข่งขันกับพวกเขาอย่างลับๆ ได้ด้วยซ้ำ ฉันเป็นคนอย่างนั้นได้อย่างไร? ฉันโทรศัพท์หาน้องสาวคนนึง และถามเธอว่า “น้องสาว คุณเคยมีความรู้สึกอิจฉาในระหว่างการชุมนุม หลังจากได้ยินความสว่างในการสามัคคีธรรมของเหล่าพี่น้องชายหญิงเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าไหม?” เธอตอบว่า “ไม่ค่ะ ไม่เคย ถ้าเหล่าพี่น้องชายหญิงของเรามีความสว่างในการสามัคคีธรรมของพวกเขา นั่นเป็นประโยชน์ต่อฉัน มันทำให้ฉันมีความสุขจริงๆ และเพลิดเพลินกับมันอย่างมาก” ได้ยินเธอพูดอย่างนั้นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกแย่ ฉันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความอิจฉาที่ฉันมีอยู่มันรุนแรงเพียงใด ไม่มีใครอิจฉาน้องสาวคนนี้เลย มีฉันแค่คนเดียว เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนั้น ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ฉันพูดกับพระองค์ว่า “โอ้ พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่อยากเป็นคนขึ้อิจฉา แต่ทุกครั้งที่ข้าพระองค์ได้ยินการสามัคคีธรรมที่ยอดเยี่ยมของน้องสาวผู้นี้ ก็กลับอิจฉาเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ โอ้ พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ได้โปรด ขอพระองค์ทรงนำทางข้าพระองค์เพื่อปลดเปลื้องพันธนาการแห่งความริษยาด้วย…”
ต่อมา พี่สาวหลิวจากคริสตจักรของเรามาหาฉัน เธอสามัคคีธรรมกับฉันโดยยึดตามสภาวะของฉัน และยังอ่านพระวจนะของพระเจ้าตอนหนึ่งด้วย “ผู้คนบางคนกลัวเสมอว่าผู้อื่นจะลักขโมยความเป็นจุดสนใจของพวกเขาไป และล้ำเลิศกว่าพวกเขา โดยได้มาซึ่งการระลึกถึง ในขณะที่พวกเขาเองนั้นถูกละเลย นี่นำทางพวกเขาไปสู่การโจมตีและการกันแยกผู้อื่นออกไป นี่ไม่ใช่กรณีของการอิจฉาผู้คนที่มีความสามารถมากกว่าตัวพวกเขาเองหรอกหรือ? พฤติกรรมเช่นนั้นไม่เป็นการเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยามหรอกหรือ? นี่คืออุปนิสัยประเภทใดหรือ? มันช่างมุ่งร้ายนัก! การคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น การสนองความอยากได้อยากมีของตัวเองเท่านั้น การไม่แสดงให้เห็นการคำนึงถึงหน้าที่ของผู้อื่นเลย และการคิดเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตัวคนเราเองเท่านั้น และไม่คิดถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า—ผู้คนเยี่ยงนี้มีอุปนิสัยที่ไม่ดี และพระเจ้าไม่ทรงมีความรักให้แก่พวกเขาเลย” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) เมื่อฉันได้ยินพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ ฉันรู้สึกว่านั่นใช่สภาวะที่ฉันเป็นมาตลอดเลย การสามัคคีธรรมของน้องสาวหวังที่ว่าด้วยพระวจนะของพระเจ้านั้นให้ความรู้แจ้ง แต่ฉันไม่ได้พยายามทำความเข้าใจความจริง หรือแสวงหาหนทางปฏิบัติจากสิ่งที่เธอพูดเลย ตรงกันข้าม ฉันกลับรู้สึกอิจฉาเธอ เมื่อการสามัคคีธรรมของฉันไม่ดี และเมื่อฉันไม่สามารถอวดรู้ได้ ฉันกลับลงเอยด้วยการทำให้ตัวเองขายหน้า จิตใจของฉันจะปั่นป่วน อีกทั้งฉันจะรู้สึกคิดลบและหัวเสียอย่างมาก ฉันจะรู้สึกกลัวอยู่ลึกๆ ว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงจะดูถูกฉัน ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ และเรื่องเดียวที่ฉันคิดถึงคือการเป็นคนที่โดดเด่นให้ได้ ฉันไม่สามารถทนเห็นคนทำดีกว่าตัวเองได้เลย นั่นไม่ใช่การอิจฉาหรือริษยาผู้อื่นหรอกหรือ? มันไม่มีความเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่ในนั้นเลยแม้แต่น้อย! พอคิดย้อนไป ก่อนจะเชื่อในพระเจ้าฉันก็เป็นคนแบบนั้น เมื่อฉันมีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าญาติมิตร เพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมงานของฉัน ฉันต้องการให้ผู้อื่นพูดถึงฉันในทางที่ดีเสมอ บางครั้ง เวลามีเพื่อนร่วมงานชมเชยงานของคนอื่นต่อหน้าฉัน ฉันจะเริ่มรู้สึกอึดอัด และเพื่อให้ผู้อื่นพูดชมฉัน ฉันจะทุ่มเททำงานของตัวเองให้ดี และฉันมีความสุขที่ได้ทำไม่ว่ามันจะยากหรือเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ฉันเคยไม่มีความตระหนักรู้ในเรื่องนั้นแต่นึกว่ามันเป็นแค่ความปรารถนาเพื่อความก้าวหน้าสักอย่างหนึ่ง ทว่าตอนนี้ฉันตระหนักได้แล้วว่าสิ่งเหล่านั้นคือการสำแดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน หลังจากนั้นฉันมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยครั้งและอธิษฐานต่อพระองค์ถึงความยากลำบากทั้งหลายของฉัน ในระหว่างการชุมนุม ฉันมุ่งเน้นการสงบใจตัวเองและการฟังการสามัคคีธรรมของผู้อื่น เมื่อถึงคราวฉันสามัคคีธรรม ฉันก็ไม่คิดอีกต่อไปว่าจะสามัคคีธรรมอย่างไรให้ดีกว่าน้องสาวหวัง ฉันตริตรองพระวจนะของพระเจ้าอย่างสงบและแบ่งปันสิ่งที่ฉันเข้าใจในการสามัคคีธรรมแทน พอฉันปฏิบัติแนวทางนี้ ฉันรู้สึกผ่อนคลายและเป็นอิสระอย่างมากจริงๆ
หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ฉันก็รู้สึกอย่างแท้จริงว่าความอิจฉาของฉันลดลงเมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้น แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานหยั่งรากลึกจริงๆ และมันจะเผยตัวออกมา เมื่อไหร่ก็ตามที่มีสถานการณ์เหมาะสมเกิดขึ้น ต่อมา ในระหว่างการชุมนุมสองสามครั้ง เมื่อไหร่ที่ฉันเห็นว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ชมเชยการสามัคคีธรรมของน้องสาวหวัง ฉันก็เริ่มรู้สึกอิจฉาขึ้นมาอีก หลังจากนั้น ฉันรู้สึกได้ถึงความห่างเหินระหว่างเรา อย่างไรก็ตาม การอยู่ในสภาวะแบบนั้น ฉันเลยไม่กล้าเปิดใจให้คนอื่น ฉันกลัวว่าถ้าเปิดใจ พวกเขาจะดูถูกฉัน ดังนั้น ระหว่างการชุมนุมหลายครั้งฉันเลยรู้สึกเกร็งมาก
เย็นวันหนึ่ง พี่สาวหลิวโทรมาหาฉัน เธอถามฉันด้วยความกังวลว่าพักหลังมานี้ ฉันได้ประสบกับความยากลำบากบ้างไหม ฉันตอบไปอย่างคลุมเครือ “ฉันเสื่อมทรามเกินไปหรือ? พระเจ้าจะทรงปฏิเสธการช่วยคนอย่างฉันให้รอดไหม?” ด้วยกลัวว่าเธอจะดูถูกฉัน ฉันไม่ได้พูดอะไรต่อ จากนั้น พี่สาวหลิวได้อ่านตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าให้ฟัง เนื่องจากสภาวะของฉัน “เมื่อผู้คนบางคนได้ยินว่า เพื่อที่จะเป็นคนซื่อสัตย์คนหนึ่ง คนเราต้องเปิดกว้างและตีแผ่ตัวเราเอง พวกเขาก็พูดว่า ‘มันยากที่จะซื่อสัตย์ ฉันจำเป็นต้องบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันคิดกับผู้อื่นหรือ? มันไม่เพียงพอหรือไร ที่เข้าสนิทกันในเรื่องที่เป็นบวก? ฉันไม่จำเป็นที่จะต้องบอกผู้อื่นในด้านมืดหรือเสื่อมทรามของฉัน ใช่หรือไม่?’ หากเจ้าไม่บอกสิ่งเหล่านี้กับผู้อื่น และไม่ชำแหละตัวเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันรู้จักตัวเจ้า เจ้าจะไม่มีวันระลึกได้ว่าเจ้าเป็นสิ่งประเภทใด และผู้คนอื่นย่อมจะไม่มีวันไว้วางใจเจ้า นี่คือข้อเท็จจริง หากเจ้าปรารถนาให้ผู้อื่นไว้วางใจเจ้า ก่อนอื่นเจ้าต้องซื่อสัตย์ ในฐานะบุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง อันดับแรก เจ้าต้องตีแผ่หัวใจของเจ้าเพื่อให้ทุกคนสามารถมองเข้าไปในหัวใจของเจ้า เห็นทั้งหมดที่เจ้ากำลังคิด และเหลือบมองใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า เจ้าต้องไม่พยายามที่จะอำพรางตนเองหรือหุ้มห่อตัวเจ้าให้ดูดี ถึงตอนนั้นเท่านั้น ผู้คนจึงจะไว้วางใจเจ้า และพิจารณาว่าเจ้าซื่อสัตย์ นี่เป็นการฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด และเป็นสิ่งพื้นฐานที่ต้องมีก่อนการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง” (“การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าเหล่านั้น เธอก็สามัคคีธรรมกับฉัน “เราต้องเปิดใจและสามัคคีธรรมเพื่อแสวงหาความจริง นี่คือทางเดียวที่จะได้มาซึ่งการปลดปล่อยทางจิตวิญญาณ มันยังเป็นหนทางเพื่อปฏิบัติความจริงและเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ การทำเช่นนั้นเราสามารถได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าพี่น้องชายหญิงของเรา สิ่งนี้จะทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเราได้รับการแก้ไขเร็วขึ้น และให้ความรู้สึกของการปลดปล่อยกับเรา หากเราไม่เต็มใจเปิดอกถึงความยากลำบากทั้งหลาย เราจะหลงกลซาตานได้อย่างง่ายดายและชีวิตของเราจะมีแนวโน้มว่าต้องทนทุกข์กับการสูญเสีย” หลังจากได้ฟังการสามัคคีธรรมของพี่สาวหลิว ฉันก็รวบรวมความกล้าและบอกเธอในสิ่งที่ฉันประสบมา จากนั้น พี่สาวหลิวก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกตอนหนึ่ง “ผู้คนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดคือบรรดาผู้ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและด้วยเหตุนี้จึงได้มามีอุปนิสัยเสื่อมทราม พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่เพียบพร้อมซึ่งปราศจากมลทินแม้เพียงเล็กน้อย ทั้งพวกเขายังไม่ใช่ผู้คนที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างสันโดษ สำหรับบางคนนั้น ทันทีที่ความเสื่อมทรามของพวกเขาถูกเปิดเผย พวกเขาคิดว่า ‘อีกแล้วหรือ ฉันได้ต้านทานพระเจ้าไปอีกแล้ว ฉันได้เชื่อในพระองค์มาหลายปี แต่ฉันยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเลย แน่นอนเลยว่า พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ฉันอีกต่อไปแล้ว!’ นี่เป็นท่าทีชนิดใดหรือ? พวกเขาได้ถอดใจตัวพวกเขาเองและคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์พวกเขาอีกต่อไป นี่ไม่ใช่กรณีของการเข้าใจผิดพระเจ้าหรอกหรือ? เมื่อเจ้าคิดลบมากนัก ก็ย่อมง่ายที่สุดสำหรับซาตานที่จะพบรอยร้าวบนเสื้อเกราะของเจ้า และทันทีที่มันได้ประสบความสำเร็จ ผลสืบเนื่องที่ตามมานั้นมิอาจจินตนาการได้เลย เพราะฉะนั้น ไม่สำคัญว่าเจ้าอยู่ในความลำบากยากเย็นเพียงใด หรือเจ้ากำลังรู้สึกคิดลบอย่างไร เจ้าต้องไม่มีวันถอดใจ! ในขณะที่ชีวิตของผู้คนกำลังพัฒนาและในขณะที่พวกเขากำลังได้รับการช่วยให้รอด บางคราว พวกเขาใช้เส้นทางผิดและหลงเจิ่น พวกเขาจัดแสดงวุฒิภาวะและพฤติกรรมอันไม่เต็มวัยบางอย่างในชีวิตของพวกเขาออกมาชั่วครู่ หรือบางคราวก็เกิดอ่อนแอและคิดลบขึ้นมา พูดในสิ่งที่ผิด ลื่นล้ม หรือไม่ก็ทนทุกข์กับความล้มเหลว จากมุมมองของพระเจ้านั้น สิ่งทั้งหลายดังกล่าวล้วนเป็นปกติ และพระองค์ก็คงจะไม่ทรงแสดงการประคบประหงมพวกเขา” (“การเข้าสู่ชีวิตสำคัญที่สุดต่อความเชื่อในพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)
พี่สาวผู้นี้แบ่งปันการสามัคคีธรรมนี้กับฉัน “เราทั้งหมดถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหยั่งลึก เราโอหัง เจ้าเล่ห์ ชั่ว และเลวทราม อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานเหล่านี้ฝังแน่นอย่างลึกซึ้งอยู่ภายในตัวเราทุกคน และกลายเป็นธรรมชาติแท้จริงของเราไปแล้วด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ พฤติกรรมและทัศนคติของเราเปิดเผยความเสื่อมทรามในทุกๆ การผ่านพ้น มันเคยกวนใจฉันมาก ฉันมีความเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองบ้างแล้ว และรู้สึกสำนึกผิดหลังจากได้เปิดเผยมัน แล้วทำไมคราวหน้าฉันจะต้องทำอีก? หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ในที่สุดฉันตระหนักได้ว่าอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของฉันนั้นร้ายแรงมาก และฉันก็เริ่มตระหนักว่า ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน คนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้จากการได้รับความรู้ตัวเพียงเล็กน้อย ถ้าไม่มีการพิพากษาและการตีสอนในระยะยาวจากพระวจนะของพระเจ้า ถ้าไม่ได้รับการตัดแต่งและการจัดการ และถ้าไม่มีการทดสอบและกระบวนการถลุง การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงย่อมเป็นไปไม่ได้ พระประสงค์ของการเสด็จมาเพื่อทรงงานการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้านั้น ก็เพื่อชำระเราให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลงเรา พระองค์ทรงรู้ว่า ซาตานทำให้เราเสื่อมทรามอย่างล้ำลึกเพียงใด พระองค์ทรงตระหนักถึงภูมิรู้ของเราและความยากลำบากที่เราเผชิญ พร้อมด้วยความพยายามจะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตัวเอง พระองค์จึงทรงอภัยและอดทนกับเขาเหล่านั้นที่ไล่ตามความจริง พระเจ้าทรงหวังให้เรามีความตั้งใจแน่วแน่ในการไล่ตามความจริง และหวังให้พวกเราแสวงหาเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตัวเองอย่างสุดใจ ดังนั้นเราต้องปฏิบัติต่อตนเองอย่างถูกต้อง เราต้องกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น ยอมรับการพิพากษาและตีสอนของพระวจนะ ละทิ้งเนื้อหนังและนำความจริงสู่การปฏิบัติ แล้ววันหนึ่ง อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเราจะเปลี่ยนแปลงแน่นอน”
จากนั้นเราอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกตอนหนึ่ง “ทันทีที่พูดไพล่ไปถึงตำแหน่ง หน้าตา หรือความมีหน้ามีตา หัวใจของทุกคนโลดเต้นในความคาดหวัง และเจ้าแต่ละคนต้องการที่จะโดดเด่น มีชื่อเสียง และได้รับการระลึกถึงเสมอ ทุกคนไม่เต็มใจที่จะอ่อนข้อ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับปรารถนาอยู่ตลอดเวลาที่จะขับเคี่ยวกัน—แม้ว่า การขับเคี่ยวกันนั้นน่าอึดอัด และไม่ได้รับอนุญาตในพระนิเวศของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม โดยปราศจากการขับเคี่ยวกัน เจ้าก็ยังคงไม่พอใจ เมื่อเจ้าเห็นใครบางคนโดดเด่น เจ้ารู้สึกหวงแหน เกลียดชัง และรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม ‘ทำไมฉันถึงไม่สามารถโดดเด่นได้? ทำไมต้องเป็นบุคคลนั้นเสมอที่ได้โดดเด่น และไม่เคยถึงคราวของฉันเลย?’ จากนั้นเจ้าก็รู้สึกถึงความคับแค้นใจบางอย่าง เจ้าพยายามจะข่มปรามมันไว้ แต่เจ้าก็ทำไม่ได้ เจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าและรู้สึกดีขึ้นชั่วครู่หนึ่ง แต่จากนั้น ทันทีที่เจ้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์จำพวกนี้อีกครั้ง เจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้ นี่ไม่ได้เป็นการแสดงตัวของวุฒิภาวะที่ยังเติบโตไม่เต็มวัยหรอกหรือ? การที่บุคคลหนึ่งตกเข้าไปอยู่ในสภาวะเช่นนั้นไม่ใช่กับดักหรอกหรือ? เหล่านี้คือโซ่ตรวนแห่งธรรมชาติอันเสื่อมทรามของซาตานที่ผูกมัดพวกมนุษย์…เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยมือและพักวางสิ่งเหล่านี้ เรียนรู้ที่จะเสนอแนะผู้อื่น และเปิดโอกาสให้พวกเขาโดดเด่น จงอย่าดิ้นรนหรือเร่งร้อนที่จะเอาเปรียบจากชั่วขณะที่เจ้าเผชิญหน้ากับโอกาสเหมาะที่จะโดดเด่นหรือได้มาซึ่งสง่าราศ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะถอยห่างออกมา แต่ต้องไม่ล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า จงเป็นบุคคลซึ่งทำงานแบบปิดทองหลังพระ และเป็นผู้ที่ไม่โอ้อวดแก่ผู้อื่นในขณะที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างจงรักภักดี ยิ่งเจ้าปล่อยมือเกียรติยศและสถานะของเจ้าและยิ่งเจ้าปล่อยมือผลประโยชน์ของเจ้าเองมากขึ้น เจ้าก็จะกลายเป็นเปี่ยมสันติสุขมากขึ้น และจะมีที่ว่างเปิดกว้างมากขึ้นภายในหัวใจเจ้าและสภาวะของเจ้าก็จะปรับปรุงมากขึ้น ยิ่งเจ้าดิ้นรนและแข่งขันมากขึ้น สภาวะของเจ้าก็จะมืดมนมากขึ้น หากเจ้าไม่เชื่อในเรื่องนี้ ก็ลองทีแล้วจะได้เห็น! หากเจ้าต้องการพลิกสภาวะนี้กลับด้าน และไม่ถูกควบคุมโดยสิ่งเหล่านี้แล้วไซร้ ก่อนอื่นเจ้าต้องพักวางพวกมันและล้มเลิกพวกมันไปเสีย มิเช่นนั้นแล้ว ยิ่งเจ้าดิ้นรนมากขึ้น ความมืดมิดก็จะรายล้อมรอบตัวเจ้ามากขึ้น และเจ้าก็จะรู้สึกหวงแหนและเกลียดชังมากขึ้น และความอยากของเจ้าในการที่จะได้มาก็จะรุนแรงมากขึ้นเท่านั้นเอง ยิ่งความอยากของเจ้าในการที่จะได้มารุนแรงมากขึ้น ความสามารถของเจ้าที่จะทำเช่นนั้นได้ก็จะน้อยลง และครั้นเจ้าได้มาน้อยลง ความเกลียดชังของเจ้าก็จะเพิ่มขึ้น ครั้นความเกลียดชังของเจ้าเพิ่มขึ้น เจ้าก็จะมืดมนมากขึ้นภายใน ยิ่งเจ้ามืดมนภายในมากขึ้น เจ้าก็ยิ่งจะปฏิบัติหน้าที่ได้แย่ลง ยิ่งเจ้าปฏิบัติหน้าที่ได้แย่ลง เจ้าก็ยิ่งจะมีประโยชน์น้อยลง นี่คือวงจรอุบาทว์ที่เชื่อมต่อกัน หากเจ้าไม่มีวันสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดี เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะค่อยๆ ถูกกำจัดทิ้งไป” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)
การสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าของพี่สาวผู้นี้ทำให้ฉันตระหนัก ว่าความอิจฉาของฉันเป็นผลมาจากความปรารถนาชื่อและสถานภาพที่แรงกล้าเกินไป และอุปนิสัยของฉันก็ยโสเกินไปมาตลอด ฉันถูกปลูกฝังโดยการศึกษาของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมทั้งหลักปรัชญาชีวิตแบบซาตานทุกรูปแบบ และยาพิษในวัยเด็ก เช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” และ “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ และจงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า” ยาพิษแบบซาตานเหล่านี้ถูกปลูกฝังไว้ลึกในจิตใจของฉัน เป็นสาเหตุให้ฉันมีอุปนิสัยที่โอหัง ทะนงตน เห็นแก่ตัว และน่าเหยียดหยาม ฉันจึงเติบโตมาเป็นคนทะเยอทะยานและดุดันเป็นพิเศษ ไม่ว่าทำอะไร ฉันรู้สึกถูกบังคับให้ต้องเหนือกว่าผู้อื่น ฉันเคยเป็นอย่างนั้นในสังคมและฉันก็เคยเป็นอย่างนั้นในคริสตจักรด้วยเช่นกัน แม้แต่ในขณะที่กำลังสามัคคีธรรมและอธิษฐานในระหว่างการชุมนุม ฉันก็ยังอยากจะดีกว่าคนอื่นๆ และเวลาเดียวที่ฉันได้มีความสุขคือตอนที่คนอื่นๆ ชมเชยฉัน ทันทีมีคนอื่นพิสูจน์ได้ว่าดีกว่าฉัน ฉันก็รับไม่ได้และจะกลายเป็นอิจฉา ลึกๆ ข้างในฉันจะต่อต้านและทำงานสู้กับคนคนนั้น เมื่อฉันไม่สามารถเหนือกว่าพวกเขาได้จริงๆ ฉันก็จะจมอยู่ในความคิดลบและความเข้าใจผิด ไม่สามารถที่จะปฏิบัติต่อตนเองได้อย่างเหมาะสม ฉันจะเข้าใจพระเจ้าผิดด้วยซ้ำ และคิดว่าตัวเองไม่สามารถเป็นเป้าหมายในความรอดของพระเจ้าได้ ฉันได้เห็นว่าความเสื่อมทรามของซาตานทำให้ฉันหยิ่งยโส เปราะบาง เห็นแก่ตัว และน่ารังเกียจ และชีวิตฉันกลายเป็นทุกข์ระทมสุดพรรณนา ต่อมา ฉันได้พบหนทางแห่งการปฏิบัติจากภายในพระวจนะของพระเจ้า ฉันต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยไป วางสิ่งต่างๆ ลงก่อนและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ฉันต้องเรียนรู้ที่จะละทิ้งเนื้อหนัง รวมทั้งระงับอัตตาและสถานะของตัวเอง และต้องเรียนรู้จากจุดแข็งของน้องสาวหวังให้มากขึ้น และนำมาชดเชยจุดอ่อนของตัวเอง นี่เป็นทางเดียวที่จะเข้าใจและได้รับความจริงมากขึ้น
ต่อมาฉันได้อ่านตอนนี้จากพระวจนะของพระเจ้า “การทำหน้าที่ไม่เป็นแบบเดียวกัน มีร่างกายหนึ่งร่าง แต่ละร่างทำหน้าที่ของเขา แต่ละร่างอยู่ในสถานที่ของเขาและกำลังทำสุดความสามารถของเขา—สำหรับแต่ละประกายไฟมีความสว่างวาบหนึ่ง—และกำลังแสวงหาวุฒิภาวะในชีวิต เช่นนั้นแล้วเราจึงจะพึงพอใจ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 21) “ทันทีที่ฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่า” เพราะความสามารถและพรสวรรค์ที่พระเจ้าทรงประทานให้แต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ข้อพึงประสงค์ของพระองค์สำหรับแต่ละบุคคลนั้นแตกต่างกัน ที่จริงแล้ว ตราบใดที่เราทำทุกอย่างในอำนาจของเราเพื่อทำหน้าที่ของเราให้ลุล่วง พระหทัยของพระเจ้าก็จะได้รับการปลอบโยน น้องสาวหวังมีความสามารถดีและเข้าใจความจริงได้อย่างรวดเร็ว วันนี้พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้เราได้มาชุมนุมร่วมกัน และพระประสงค์ของพระองค์คือเพื่อให้เราได้เรียนรู้จากจุดแข็งของกันและกันและนำมาชดเชยจุดอ่อนของเราเองเพื่อว่าเราจะสามารถเข้าใจความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้าร่วมกัน ฉันควรรับมือจุดแข็งและจุดด้อยต่างๆ ของตัวเองอย่างเหมาะสม ไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งความสามารถประเภทใดมาให้ฉัน ฉันก็ต้องนบนอบต่อกฎและการจัดการเตรียมการของพระองค์ แก้ไขแรงจูงใจของฉันให้ถูกต้องและไล่ตามความจริงอย่างหมดหัวใจ ฉันควรสามัคคีธรรมไปมากเท่าที่ฉันเข้าใจและควรปฏิบัติไปมากเท่าที่ฉันรู้ ฉันควรทำอย่างเต็มที่ที่สุดและด้วยวิธีนี้พระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำทางให้ฉัน เพื่อการนี้ฉันจึงได้ตั้งปณิธานต่อไปนี้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ต่อไปนี้ ฉันเต็มใจที่จะพยายามในการไล่ตามความจริง หยุดใจแคบและอิจฉาผู้คนที่มีความสามารถมากกว่าฉัน และใช้ชีวิตด้วยความคล้ายมนุษย์ที่แท้จริง เพื่อให้น้ำพระทัยของพระเจ้านั้นลุล่วง
การชุมนุมคริสตจักรครั้งถัดมาเวียนมาอย่างรวดเร็ว ฉันต้องการเปิดใจกับเหล่าพี่น้องชายหญิง ว่าฉันเคยอิจฉาน้องสาวหวังอย่างไร และฉันได้เปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองในแง่มุมไหนออกไปบ้าง แต่ทันทีที่ฉันคิดถึงมัน ฉันกลายเป็นกลัวว่าพวกเขาจะมองฉันอย่างไร และน้องสาวหวังจะคิดอย่างไรกับฉัน ถ้ารู้ว่าฉันเคยอิจฉาเธออย่างไรบ้าง ลึกๆ ฉันรู้สึกฝืนใจเล็กน้อยที่จะเผชิญสถานการณ์นั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าในใจเงียบๆ ฉันพูดว่า “โอ พระเจ้า! ขอพระองค์โปรดประทานศรัทธาและความกล้าแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะวางความหยิ่งยโสและสถานะของตัวเองลง แบ่งปันในการสามัคคีธรรมกับเหล่าพี่น้องชายหญิงอย่างเปิดเผย และละลายสิ่งกีดขวางระหว่างเรา ขอพระองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงนำทางให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันรู้สึกสงบลงอย่างมาก ฉันจึงพูดถึงสภาวะทั้งหมดที่ฉันเป็น และทุกสิ่งที่ฉันได้ประสบมา หลังจากได้ฟังฉันแล้ว เหล่าพี่น้องชายหญิงไม่เพียงไม่ดูถูกฉัน แต่พวกเขาทุกคนชื่นชมในความกล้าหาญที่ฉันสามารถปฏิบัติความซื่อสัตย์ได้อย่างแท้จริง พวกเขาบอกว่าประสบการณ์ของฉันทำให้พวกเขาตระหนัก ว่าเพียงการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ก็สามารถปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาได้ และได้รับการปลดปล่อยและอิสรภาพ พวกเขาพูดด้วยว่าตอนนี้รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรเมื่อพบกับสถานการณ์อย่างนั้นในครั้งต่อไป ระหว่างการชุมนุมครั้งถัดๆ มา ฉันก็ได้ค้นพบจุดแข็งหลายข้อของน้องสาวหวัง เมื่อกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เธอสามารถรวมสภาวะของตัวเองเข้ากับการสามัคคีธรรมของเธอได้ เมื่อใดที่เธอประสบปัญหา เธอสามารถมุ่งเน้นไปที่การมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาพระประสงค์ของพระองค์ และการค้นหาหนทางเพื่อการปฏิบัติจากภายในพระวจนะของพระองค์ หลังจากได้เห็นจุดแข็งเหล่านี้ของเธอเท่านั้น ฉันก็ได้เข้าใจ ว่าเธอไม่ใช่คู่แข่ง แต่เป็นคนที่สามารถช่วยฉันได้ จากนั้นฉันก็ได้รู้สึก จากก้นบึ้งของหัวใจ ว่าพระประสงค์ของการจัดการเตรียมการของพระเจ้าที่ทรงให้เราทำงานร่วมกันก็เพื่อให้เราเรียนรู้จากจุดแข็งของกันและกันเพื่อที่จะนำมาชดเชยจุดอ่อนของกันและกัน เมื่อฉันคิดในทางนั้นแล้ว ฉันก็รู้สึกเป็นอิสระโดยสมบูรณ์ ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าการชุมนุมทุกครั้งเป็นความเพลิดเพลินแบบหนึ่ง ความอิจฉาไม่มีอิทธิพลกับฉันอีกต่อไป แต่ฉันสามารถอาศัยจุดแข็งของผู้อื่นมาชดเชยจุดอ่อนของฉัน อยู่กับพวกมันได้อย่างกลมเกลียวและรู้สึกว่าได้รับการปลดปล่อยทางจิตวิญญาณ
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ต่งเอิน ประเทศฝรั่งเศส ฉันมาเป็นผู้นำคริสตจักรในปี 2019 ฉันทำตามใจ และไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ และไม่ได้จัดวางคนให้เหมาะสมกันงาน...
โดย สวุนฉิว ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เนื้อหนังของมนุษย์เป็นของซาตาน มันเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเป็นกบฏ...
โดย เซี่ยง ซั่ง, สหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงต้นปีก่อน ฉันได้รับเลือกเป็นผู้นำคริสตจักร ตอนแรก ฉันรู้สึกว่าตัวเองยังบกพร่องอยู่จริงๆ...
โดย เซซิเลีย, ประเทศสเปน ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2020 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ และได้ดูแลงานเกี่ยวกับวิดีโอของคริสตจักร ...