วันเวลาแห่งการแสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์
“ในชีวิตของเขา หากมนุษย์ปรารถนาจะได้รับการชำระให้สะอาดและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขา หากเขาปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตที่มีความหมายและทำหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งทรงสร้างให้ลุล่วงแล้วไซร้ เขาต้องยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า และต้องไม่ยอมให้การบ่มวินัยของพระเจ้าและการเฆี่ยนตีของพระเจ้าผละจากเขาไป ทั้งนี้ก็เพื่อที่เขาอาจปลดปล่อยตนเองจากการหลอกใช้และอิทธิพลของซาตาน และมีชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้าได้ จงรู้ไว้ว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่าง และแสงสว่างแห่งความรอดของมนุษย์ และรู้ว่าไม่มีการได้รับพรใด พระคุณใด หรือการคุ้มครองปกป้องใดที่ดีกว่านี้อีกแล้วสำหรับมนุษย์” (“การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่างแห่งความรอดของมนุษย์” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) การได้ร้องเพลงสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้านี้ น่าตื้นตันใจอย่างลึกซึ้งสำหรับผม ผมเคยมีชีวิตอยู่โดยพิษของซาตาน อย่าง “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ และจงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า” และ “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” ผมแสวงหาชื่อเสียงและสถานะมาตลอด ถูกซาตานทั้งหลอกลวงทั้งทำให้เสียหาย คอยกังวลเรื่องกำไรและขาดทุนเพื่อสร้างชื่อให้กับตัวเอง มันคือหนทางในการมีชีวิตที่เจ็บปวด จนกระทั่งผมได้รับประสบการณ์ในการพิพากษา การตีสอน และการบ่มวินัยแห่งพระวจนะของพระเจ้า ผมจึงได้เข้าใจธรรมชาติที่เสื่อมทรามของตัวเองขึ้นอีกนิด และได้รับความกระจ่างบางอย่างในแก่นแท้และผลที่ตามมาของการแสวงหาชื่อเสียงและสถานะ ในที่สุดผมก็เริ่มรู้ตัวและรู้สึกสำนึกผิด ผมไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ผมแค่อยากไล่ตามความจริงและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเพื่อสนองพระเจ้าเท่านั้น
ผมจำได้ว่า มันคือเมื่อเดือนกันยายนปี 2016 ที่ผมเริ่มทำหน้าที่ทำเพลงสรรเสริญ ไม่นานหลังจากนั้น ผู้นำของเราก็เข้ามาเพื่อหารือเรื่องการเลือกผู้นำทีม ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ผมก็ตื่นเต้นมาก และเริ่มชั่งน้ำหนักผู้สมัครที่ผมคาดหมายเอาไว้ในใจ เหล่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ที่ทำหน้าที่เดียวกับผมมีทั้งเด็กเกินไปและไม่มีทักษะมากพอ มีเพียงพี่ชายลี่เท่านั้นที่การสามัคคีธรรมของเขาค่อนข้างสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเข้าใจในการงานบางอย่าง นอกจากนี้ เขายังมีท่าทีที่สงบ ผมรู้สึกว่ามีโอกาสมากที่เขาจะได้รับเลือก แต่การสามัคคีธรรมของผมก็ไม่ได้แย่เช่นกัน แถมผมยังเป็นผู้ที่เรียนรู้ได้ดีเป็นพิเศษ และรับสิ่งใหม่ได้ค่อนข้างเร็ว อีกทั้งผมยังถนัดในการมองภาพรวมอีกด้วย ดังนั้น ผมจึงคิดว่าโอกาสที่ผมจะได้รับเลือกควรมากกว่าพี่เขา แต่ทุกคนในทีมยังใหม่สำหรับหน้าที่นั้น และพวกเรายังทำงานร่วมกันมาได้ไม่นาน จึงยังไม่รู้จักกันดีมากพอ ผมจึงไม่รู้ว่าพวกเขาจะเลือกผมหรือเปล่า ดังนั้น ผมจึงเสนอแนะกับผู้นำ ว่าเขาควรรวบรวมหน้าที่ที่พวกเราแต่ละคนได้ทำไป แล้วกำหนดให้ใครสักคนขึ้นมาเป็นผู้นำทีมชั่วคราวก่อน ทุกคนก็เห็นด้วย ผมแอบรู้สึกพอใจอยู่ลับๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองก็มีประวัติในหน้าที่ที่ค่อนข้างดี ดังนั้น ผมอาจจะนอนมาในการเลือกตั้งนี้ก็ได้ วันถัดมา ผมไปที่การชุมนุมด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่ก็ต้องประหลาดใจ ในที่สุดพี่ชายลี่ก็ได้รับเลือก ในตอนนั้นผมรู้สึกผิดหวังอย่างมาก แต่เพื่อรักษาหน้าเอาไว้ ผมก็แสร้งทำเป็นใจเย็นแล้วพูดออกไปว่า “ขอบคุณพระเจ้า นับจากนี้เรามาทำงานร่วมกันเพื่อทำหน้าที่ของเราให้ลุล่วงกันเถอะครับ” ถึงแม้ลึกๆ แล้ว ผมยอมรับมันไม่ได้เลยก็ตาม ผมรู้สึกหมดแรงเมื่อเดินกลับบ้าน ผมไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย พี่ชายลี่มีอะไรเหนือกว่าผมอย่างนั้นหรือ? ผมยอมรับมันไม่ได้ง่ายๆ หรอก ผมรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษตั้งมาก แล้วการไม่เลือกผมไม่ใช่การทิ้งมันไปอย่างเสียเปล่าหรอกหรือ? ผมจึงรู้สึกว่าต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างแท้จริง และแสดงให้คนอื่นเห็นว่าผมมีดีอย่างไร แม้ว่าภายนอกของผมจะดูสงบหลังจากนั้น ผมก็ตั้งตัวเองเป็นศัตรูกับพี่ชายลี่อย่างเงียบๆ ผมทุ่มตัวเองไปกับการศึกษาเพื่อที่จะพัฒนาทักษะของตัวเอง เพื่อให้ผมเอาชนะเขาได้ ผมแอบฉลองอย่างเงียบๆ เมื่อได้เห็นว่าเขาเรียนรู้ช้า คิดช้า “แล้วความจริงก็ปรากฏ! แกไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย! เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าพี่น้องชายหญิงของเราก็จะเห็นเองเหมือนกันว่าใครดีกว่า” ผมรู้สึกบันเทิงกับทุกข้อผิดพลาดเล็กน้อยที่เขาทำ พลางคิดกับตัวเองว่า “แกมีดีพอรึเปล่าล่ะ? คราวนี้พวกเขาจะได้เห็นตัวตนของแกแล้ว!” การมองพี่ชายลี่แก้ปัญหาให้กับคนอื่นทำให้ผมอิจฉา ผมรู้สึกว่า ผมก็มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหมือนกัน และถ้าผมได้เป็นผู้นำทีม ผมก็จะเก่งในการสามัคคีธรรมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเราพูดคุยกันเรื่องงาน ไม่ว่าพี่ชายลี่เสนอแนะอะไรมา ผมก็จะแย่งพูดอะไรบางอย่างที่ครอบคลุมและลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น
ผมจำได้ว่าในการประชุมครั้งหนึ่ง ขณะที่พวกเรากำลังพูดคุยเรื่องแนวคิดสำหรับเพลงสรรเสริญ พี่ชายลี่ให้ข้อเสนอแนะที่ดีมากๆ แต่ผมคิดว่าถ้าผมยอมรับ มันจะไม่เป็นการทำให้เขาดูเก่งกว่าผมหรือ? แล้วผมจะภูมิใจในตัวเองได้อย่างไร? ผมโพล่งข้อโต้แย้งและให้ข้อเสนอแนะที่แตกต่าง แต่สุดท้ายในกลุ่มก็เห็นด้วยกับแนวคิดของเขา ผมรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า พอเห็นเหล่าพี่น้องชายหญิงสนทนากันอย่างมีชีวิตชีวา ผมก็ยิ่งรู้สึกต่อต้านพี่ชายลี่มากขึ้น และไม่มีความสนใจจะฟังอีกต่อไป ผมจำหน้าที่ที่เคยทำมาก่อนหน้าได้ อย่างไรก็ตาม ผมก็เคยเป็นหัวหน้าทีม และเหล่าพี่น้องชายหญิงต่างก็เคารพผมกันหมด แต่ตอนนี้ ผมไม่ได้เป็นหัวหน้าทีมอีกต่อไปแล้ว และเขาก็ดูดีกว่าผมในทุกด้าน ถ้ารู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ ผมคงจะไม่มาที่นี่เพื่อทำหน้าที่ให้ลุล่วง หลังจากการชุมนุม ความคิดของผมก็ปั่นป่วน และผมรู้สึกว่าข้างในมันช่างมืดมิดเหลือเกิน พอรู้สึกตัวรางๆ แล้วว่าผมไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง ผมก็อธิษฐานต่อพระเจ้า และบทตอนนี้ในพระวจนะของพระองค์ก็ผุดขึ้นในใจ: “เรามีความรู้อันลึกซึ้งเกี่ยวกับความไม่บริสุทธิ์ทั้งหลายในหัวใจของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแต่ละสิ่ง และก่อนที่เราจะได้สร้างพวกเจ้านั้น เรารู้อยู่แล้วถึงความไม่ชอบธรรมที่มีอยู่ลึกลงไปในหัวใจของมนุษย์ และเราได้รู้ถึงการหลอกลวงและความคดโกงทั้งหมดในหัวใจของมนุษย์ ดังนั้น ต่อให้ไม่มีร่องรอยเลยเมื่อมนุษย์ทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม เราก็ยังคงรู้ว่าความไม่ชอบธรรมที่ถูกเก็บงำภายในหัวใจของพวกเจ้านั้นเหนือกว่าความอุดมของทุกสรรพสิ่งที่เราได้สร้างขึ้น พวกเจ้าทุกๆ คนได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของมวลชน เจ้าได้ขึ้นไปเป็นบรรพบุรุษของผองชน พวกเจ้าทำตามอำเภอใจยิ่งนัก และพวกเจ้าคลุ้มคลั่งท่ามกลางบรรดาหนอนแมลงทั้งหมด โดยแสวงหาสถานที่ที่สะดวกสบายและพยายามที่จะกลืนกินบรรดาหนอนแมลงที่เล็กกว่าเจ้า พวกเจ้าเจตนาร้ายและมุ่งร้ายในหัวใจของพวกเจ้า แซงหน้าแม้กระทั่งบรรดาผีที่ได้จมดิ่งสู่ก้นทะเล เจ้าอาศัยอยู่ในก้นมูลสัตว์ รบกวนบรรดาหนอนแมลงตั้งแต่ด้านบนสุดไปจนถึงด้านล่างสุดจนกระทั่งพวกมันไม่มีสันติสุข โดยต่อสู้กันเองชั่วขณะหนึ่งครั้นแล้วจึงสงบลง พวกเจ้าไม่รู้จักสถานที่ของพวกเจ้า แต่พวกเจ้าก็ยังคงสู้รบกันเองในมูลสัตว์ พวกเจ้าจะสามารถได้รับสิ่งใดจากการต่อสู้ดิ้นรนเช่นนั้น? หากพวกเจ้ามีความเคารพให้กับเราในหัวใจของพวกเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าจะสามารถสู้กันเองลับหลังเราได้อย่างไร? ไม่สำคัญว่าสถานะของเจ้าจะสูงส่งเพียงใด เจ้าไม่ได้ยังคงเป็นหนอนตัวเล็กๆ ที่ส่งกลิ่นเหม็นตัวหนึ่งในมูลสัตว์หรอกหรือ? เจ้าจะสามารถงอกปีกและกลายเป็นนกพิราบในท้องฟ้าได้หรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เมื่อใบไม้ที่ร่วงหล่นกลับคืนสู่รากของพวกมัน เจ้าจะเสียใจกับความชั่วทั้งหมดที่เจ้าทำลงไป) พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดโปงความน่ารังเกียจทั้งหมดของการแข่งขันเพื่อชื่อและผลประโยชน์ของผม นับตั้งแต่ที่ผมรับหน้าที่นี้ ผมก็ถูกกลืนกินด้วยความทะเยอทะยาน อยากทำบางอย่างให้สำเร็จแทบตาย เพื่อที่ทุกคนทั้งเหล่าพี่น้องชายหญิงและผู้นำจะได้ชื่นชมผม และผมจะได้มีที่ยืนในทีม ระหว่างกระบวนการเลือกตั้ง ผมได้พยายามใช้สติปัญญาเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ทำให้ผู้นำต้องจัดการเลือกตั้งชั่วคราวตามหน้าที่ที่พวกเราได้ทำจนลุล่วงในอดีต ผมกลายเป็นขี้อิจฉาเมื่อพี่ชายลี่ได้รับเลือก ได้แต่เก็บท่าทีที่แข่งขันกับเขาเอาไว้ เมื่อผมเห็นปัญหาบางอย่างในงานของเขา ผมก็ไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของคริสตจักร หรือพยายามที่จะช่วยเขา แต่กลับอยากให้เขาถูกเปลี่ยนตัวเพราะไร้ความสามารถจนแทบตาย ซึ่งจะทำให้ผมได้ลองทำงานนี้ดูสักตั้ง ผมติดอยู่ในสภาวะแห่งการวางอุบาย รวมทั้งแสวงหาชื่อและผลประโยชน์ การกระทำของผมนั้นไร้ซึ่งจิตสำนึกหรือเหตุผลโดยสิ้นเชิง มันช่างน่ารังเกียจและเป็นพิษโดยแท้ เมื่อตระหนักได้แบบนั้น ผมก็รู้สึกหัวเสียและตำหนิตัวเองอย่างมาก ผมอธิษฐานต่อพระเจ้า และขอพระองค์ทรงชี้แนะเพื่อผมจะได้ปฏิบัติความจริง ผมจะได้ไม่ถูกผูกมัดและถูกกักขังโดยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามแบบซาตานของตัวเองอีกต่อไป
วันหนึ่ง ผมได้อ่านบทตอนนี้ของพระวจนะของพระเจ้า: “สำหรับเจ้าแต่ละคนที่กำลังลุล่วงหน้าที่ ไม่สำคัญว่า เจ้าเข้าใจความจริงอย่างลุ่มลึกเพียงใด หากเจ้าปรารถนาที่จะเข้าสู่ความจริงความเป็นจริง เช่นนั้นแล้ว หนทางที่เรียบง่ายที่สุดที่จะฝึกฝนปฏิบัติก็คือ การคิดถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ และปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของพวกเจ้า ความตั้งใจแบบปัจเจกบุคคลของเจ้า สิ่งจูงใจทั้งหลาย เกียรติยศชื่อเสียง และสถานะ วางผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าไว้อันดับแรก—นี่คือน้อยที่สุดแล้วที่เจ้าควรทำ หากบุคคลหนึ่งซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ของเขาไม่สามารถทำได้มากแม้เพียงเท่านี้ เช่นนั้นแล้ว เขาสามารถถูกพูดถึงได้เช่นไรว่า กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเขาอยู่? นี่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าชี้ให้ผมเห็นถึงหลักปฏิบัติและทิศทางในการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งคือการปล่อยวางความปรารถนาในชื่อและสถานะ และให้การงานของคริสตจักรมาอันดับหนึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ตาม รวมถึงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ มีเพียงตอนนั้นที่ผมจะลุล่วงในหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้าง และมีความคล้ายมนุษย์เพิ่มขึ้นอีกนิด หากผมแสวงหาชื่อและสถานะและละเลยต่องานหลักของตัวเอง ก็คงไม่ใช่การทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วง ผมคงจะต่อต้านพระเจ้าและทำสิ่งชั่วร้าย หลังจากนั้น ผมได้เปิดใจกับเหล่าพี่น้องชายหญิงของผมเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ในการชุมนุม และได้เปิดเผยความเสื่อมทรามของตัวเองด้วย พวกเขาไม่ได้ดูถูกผม และนั่นทำให้กำแพงระหว่างผมกับพี่ชายลี่หายไป หลังจากนั้น ผมก็ได้แบ่งปันการสามัคคีธรรมอย่างกระตือรือร้นระหว่างการชุมนุม ซึ่งเขาก็ช่วยเหลือ และผมก็ไม่ได้แอบหัวเราะในใจเมื่อเห็นข้อผิดพลาดในงานของเขา ผมกลับให้ข้อเสนอแนะและการสนับสนุนแทน และเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมเห็นเขาช่วยเหล่าพี่น้องชายหญิงแก้ไขปัญหา ผมก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉาเหมือนก่อนหน้านี้ แต่กลับรู้สึกว่าในพระนิเวศของพระเจ้า มีเพียงบทบาทของพวกเราเท่านั้นที่แตกต่างกัน ไม่ใช่จุดยืน ผมแค่อยากทำงานร่วมกัน เพื่อทำหน้าที่ของพวกเราให้ดี ผมรู้สึกโล่งขึ้นมากเมื่อผมนำสิ่งนั้นไปใช้ในการปฏิบัติ และต่อมา ผมก็ได้เห็นพระพรของพระเจ้า แม้ว่าก่อนหน้านี้ ทีมของเราเคยมีพื้นฐานด้านดนตรีที่เลวร้ายที่สุด แต่มันก็ใช้เวลาไม่นานก่อนที่เราจะแต่งเพลงภาษาสเปนเพลงแรกขึ้นมาได้ และมันก็ได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดีจากเหล่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ
เวลาผ่านไปปีครึ่ง และผมก็เริ่มคุ้นเคยกับงานมากขึ้น เหล่าพี่น้องชายหญิงมีแนวโน้มที่จะยอมรับแนวคิดของผม ตอนที่เราพูดคุยถึงเรื่องงาน และผมมักเป็นผู้นำในการพูดคุยแลกเปลี่ยนรายเดือนของทีม ผมรู้สึกว่าความต้องการในชื่อและสถานะของตัวเองได้รับการตอบสนองอย่างมาก นอกจากนี้ ในช่วงนั้นเองที่ผู้นำของเราได้ให้ผมทำงานมากขึ้นเพื่อผลักดันงาน พอหัวหน้ามองอย่างชื่นชมแบบนั้น ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองคือคนมีพรสวรรค์ที่มีค่า พอถึงจุดหนึ่ง เราก็ต้องการใครสักคนมารับผิดชอบหน้าที่ที่เพิ่มมา และแม้ว่ามันจะเหมาะสมกับผมมาก ผมก็คิดคำนวณบางอย่างอยู่ในใจ มันไม่ได้ทำให้ผมเป็นจุดสนใจ แถมยังกินเวลาผมไปอีก ดังนั้นถ้าผมทำงานนี้ ผมก็คงสูญเสียความสนใจที่เคยได้รับไป แต่ถ้าพี่ชายลี่เป็นคนทำ ผมก็สามารถสร้างตำแหน่งพิเศษของตัวเองที่นี่ได้…ผมหาข้ออ้างทุกข้อที่เป็นไปได้มาปฏิเสธงานนี้ และแนะนำให้พี่ชายลี่ทำแทน ความจริงก็คือ ในตอนนั้นผมรู้สึกผิดและไม่มั่นคง แต่ผมก็ยังดื้อรั้น ต้องการจะปกป้องตำแหน่งของตัวเองอยู่ พี่ชายลี่รับงานที่ไม่คุ้นเคยนั้นไปทำ เขากลายเป็นคนคิดลบหลังจากเผชิญความยากลำบากมากมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่องานของเขาตามมา หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ผมก็ยังคงไม่ไตร่ตรองตัวเอง พี่ชายลี่ไม่สามารถเข้าร่วมงานที่ทำโดยทีมของเราได้อยู่หลายครั้ง ดังนั้น เรื่องส่วนใหญ่ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กจึงตกมาที่ผม ผลก็คือ ความปรารถนาต่อชื่อและสถานะของผมจึงได้แต่เพิ่มขึ้นๆ ผมเห็นว่ามีการออกนอกลู่นอกทางและมีข้อบกพร่องบางอย่างในงานของเหล่าพี่น้องชายหญิง ที่ขัดขวางความก้าวหน้าของเรา ซึ่งเรื่องนี้ทิ้งให้ผมรู้สึกร้อนใจอย่างมาก ผมมีหน้าที่รับผิดชอบในงานนี้ เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรผิดพลาด ผมก็ไม่รู้ว่าผู้นำจะคิดกับผมอย่างไร ผมจะถูกมองว่าเป็นคนไม่มีความสามารถหรือเปล่า? ผมอดไม่ได้ที่จะอารมณ์เสีย และดุว่าเหล่าพี่น้องชายหญิง “แบบนี้พวกคุณเรียกว่าทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไร? ตั้งใจกันเป็นรึเปล่า เลิกทำพลาดซะทีได้ไหม” สุดท้ายพวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกว่าถูกผมบีบบังคับ อีกครั้งหนึ่ง ผมต้องไปปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองจึงไม่อยู่ 2-3 วัน พอกลับมา ผมเห็นพี่สาวคนหนึ่งเขียนแผนการทำงานขึ้นมาโดยไม่ได้พูดคุยกับผมก่อน เรื่องนี้ทำให้ผมโกรธมาก ผมคิดว่า “นี่มันมากไปแล้ว! คุณไม่มีความเคารพผมเลยสักนิด” ผมโจมตีเธอไปแบบเต็มเปา ขณะเดียวกัน ในทีมก็เริ่มเกิดปัญหาขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เหล่าพี่น้องชายหญิงไม่ยอมเอาแนวคิดของผมมาใช้ แถมพวกเขายังวิจารณ์งานของผมอีก ผมแค่รู้สึกว่ามันคือการดูหมิ่น และความอดทนของผมก็ขาดสะบั้น “ในเมื่อทุกคนดูท่าทางจะคิดแบบอื่น งั้นเห็นว่าอะไรเหมาะสมก็ทำไปแล้วกัน! แล้วพอมีอะไรผิดพลาด ก็รับผิดชอบไปนะ!” หลังจากที่ต่อว่าไป ผมก็รู้สึกถึงความตระหนกและการตำหนิตนเองอย่างอธิบายไม่ได้ ผมคิดเรื่องที่ว่า ผมใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยที่โอหัง และมักหมดความอดทนกับเหล่าพี่น้องชายหญิงของตัวเองอย่างไรบ้าง พระเจ้าจะทรงเห็นชอบต่อสิ่งนั้นหรือ? แต่แล้วผมก็คิดว่า ผมไม่ได้ทำแบบนั้นเพื่อประโยชน์แห่งหน้าที่ของตัวเองหรือ? แล้วใครในหมู่เราบ้างที่ไม่เคยเปิดเผยความเสื่อมทรามของตัวเองแม้แต่น้อย? ผมไม่ได้ไตร่ตรองมองตัวเองอย่างแท้จริง วันถัดมา ผมเกิดข้อเท้าแพลงตอนเล่นบาสเกตบอล มันบวมออกมาอย่างกับลูกโป่ง และเจ็บมาก ผมไม่สามารถเดินหรือทำหน้าที่ของตัวเองได้ ผมรู้ตัวดีว่านี่คือการบ่มวินัยของพระเจ้า และตอนนั้นเองที่ผมได้เริ่มไตร่ตรองตัวเอง ตลอดเวลาผมเอาแต่แสวงหาชื่อและสถานะ ทำตัวโอหัง และดุว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงของตัวเอง มันค่อยๆ ปรากฏขึ้นในใจของผมทีละฉาก ราวกับในหนัง ผมเกลียดตัวเองและสงสัยว่า ทำไมฉันไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย? ทำไมฉันถึงไม่สามารถกันตัวเองจากการทรยศและต่อต้านพระเจ้าได้?
ไม่กี่วันต่อมา พี่น้องชายหญิงส่วนหนึ่งมาหาผมและได้สามัคคีธรรมกับผมเรื่องน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขายังได้อ่านบทตอนในพระวจนะของพระเจ้าที่ระบุถึงสภาวะของผมไว้โดยเฉพาะว่า: “หากผู้คนบางคนเห็นใครบางคนดีกว่าที่พวกเขาเป็น พวกเขาก็ปราบปรามคนเหล่านั้น เริ่มข่าวลือเกี่ยวกับพวกเขา หรือนำเอาวิถีทางที่ไม่มีหลักศีลธรรมมาใช้ เพื่อให้ผู้คนอื่นๆ ไม่มองพวกเขาสูงส่ง และเพื่อให้ไม่มีใครดีกว่าใครอื่นแต่อย่างใดเลย เช่นนั้นแล้ว นี่ก็คืออุปนิสัยเสื่อมทรามแห่งความโอหังและการมองตัวเองถูกต้องเสมอ ตลอดจนความคดในข้องอในกระดูก ความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และความเคลือบแฝง และผู้คนเหล่านี้จึงหยุดอยู่ตรงที่ไม่มีอะไรเลยที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขา พวกเขาดำรงชีวิตอยู่เยี่ยงนี้ และกระนั้นก็ยังคงคิดว่าพวกเขายิ่งใหญ่และคิดว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ดีงาม อย่างไรก็ตามที พวกเขานั้นมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่? ก่อนอื่นใด เพื่อที่จะพูดจากมุมมองของธรรมชาติทั้งหลายของสาระเหล่านี้ ผู้คนที่ปฏิบัติตนแบบนี้ไม่ใช่แค่กำลังทำไปตามที่พวกเขายินดีหรอกหรือ? พวกเขาพิจารณาผลประโยชน์ของครอบครัวของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาคิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวพวกเขาเองเท่านั้น และพวกเขาต้องการเพียงที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขาเองเท่านั้น โดยไม่พิจารณาถึงความสูญเสียที่พระราชกิจของครอบครัวพระเจ้าต้องทนทุกข์ ผู้คนเช่นนี้ไม่เพียงโอหังและมองตัวเองถูกต้องเสมอเท่านั้น พวกเขายังเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยามอีกด้วย พวกเขาไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างถึงที่สุด และไม่ต้องกังขาเลยแม้แต่น้อยว่า ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่ครองหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่พวกเขาจึงทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาต้องการและปฏิบัติตนอย่างอุตริ โดยปราศจากสำนึกรู้ต่อการติเตียนอันใด โดยปราศจากความหวั่นเกรงอันใด ปราศจากความประหวั่นใจหรือกังวลใจอันใด และปราศจากการพิจารณาถึงผลสืบเนื่องที่ตามมา นี่คือสิ่งที่พวกเขาทำบ่อยครั้ง และคือวิธีที่พวกเขาได้ประพฤติตนเสมอมา อะไรคือผลสืบเนื่องที่ผู้คนเช่นนั้นเผชิญ? พวกเขาจะเดือดร้อน ใช่หรือไม่? พูดอย่างเบาๆ ได้ว่า ผู้คนเช่นนั้นช่างอิจฉาริษยามากเกินไปและมีความพึงปรารถนาเพื่อชื่อเสียงและสถานะส่วนบุคคลรุนแรงเกินไป พวกเขามีเล่ห์ลวงและคิดคดทรยศมากเกินไป พูดอย่างรุนแรงกว่านั้นได้ว่า ปัญหาอันเป็นแก่นสารก็คือ หัวใจของผู้คนเช่นนั้นไม่แม้แต่จะยำเกรงพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าตัวพวกเขาเองสำคัญที่สุด และพวกเขาถือว่าทุกแง่มุมของตัวพวกเขาเองสูงส่งกว่าพระเจ้าและสูงส่งกว่าความจริง ในหัวใจของพวกเขา พระเจ้าทรงมีค่าน้อยที่สุดที่จะเอ่ยถึง และปราศจากนัยสำคัญที่สุด และพระเจ้าจึงไม่ทรงมีพระสถานภาพใดในหัวใจพวกเขาแต่อย่างใดเลย พวกที่ไม่มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจพวกเขาและพวกที่ไม่เคารพพระเจ้าได้บรรลุการเข้าสู่ความจริงหรือไม่? (ไม่) ดังนั้นแล้ว ตอนที่พวกเขามักจะเที่ยวทำตัวเองให้มีธุระยุ่งหัวหมุนไปทั่ว และทุ่มเทพลังงานไปค่อนข้างมากมายนั้น พวกเขากำลังทำอะไรหรือ? ผู้คนเช่นนั้นถึงกับกล่าวอ้างว่าได้ทอดทิ้งทุกสิ่งเพื่อที่จะสละเพื่อพระเจ้าและได้ทนทุกข์ไปอย่างมหาศาล แต่อันที่จริงแล้ว สิ่งจูงใจ หลักธรรมและวัตถุประสงค์ของการกระทำทั้งหมดของพวกเขานั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง พวกเขาเพียงพยายามที่จะปกป้องผลประโยชน์ทั้งปวงของตัวพวกเขาเองเท่านั้น พวกเจ้าจะพูดหรือจะไม่พูด ว่าบุคคลจำพวกนี้ร้ายแรง? พวกเจ้าจะพูดว่า คนที่ไม่เคารพพระเจ้านั้นเป็นบุคคลจำพวกไหนหรือ? เขาหรือเธอโอหังหรือไม่? บุคคลเช่นนั้นเป็นซาตานหรือไม่? สิ่งประเภทใดกันที่ไม่เคารพพระเจ้า? นอกจากพวกสัตว์แล้ว พวกนั้นทั้งหมดที่ไม่เคารพพระเจ้าก็มีพวกปีศาจ ซาตาน หัวหน้าทูตสวรรค์ และพวกที่ขับเคี่ยวกับพระเจ้ารวมอยู่ด้วย” (“ห้าสภาวะที่จำเป็นต่อการอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในความเชื่อของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะที่แข็งกร้าวของพระเจ้าทำร้ายความรู้สึกผมอย่างมาก ผมได้เห็นว่าตัวเองช่างเป็นคนที่โอหัง เห็นแก่ตัว และเจ้าเล่ห์ ขาดความเคารพนับถือต่อพระเจ้าโดยสิ้นเชิง เมื่องานของคริสตจักรต้องการความร่วมมือ ผมเองก็รู้ดีว่าตัวเองค่อนข้างเหมาะสมกับงานนั้น แต่เพื่อรักษาชื่อและสถานะของตัวเองเอาไว้ ผมไม่ได้คิดเรื่องเล่นตุกติก ซึ่งทำให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหาย เมื่อผมเห็นปัญหาต่างๆ ที่ขัดขวางความก้าวหน้าของเราในงานของเหล่าพี่น้องชายหญิง ผมก็ไม่ได้ทำงานกับพวกเขาเพื่อแก้ปัญหานั้น ผมกลับคิดว่าพวกเขากำลังฉุดผมลงไป และส่งผลต่อโอกาสที่จะได้โดดเด่นของผม ผมจึงใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของตัวเองในการดุว่าพวกเขา และทุกคนรู้สึกว่าถูกบีบบังคับ และมีชีวิตอยู่ในสภาวะที่ทุกข์ทน ผมไม่ยอมรับข้อเสนอแนะของพวกเขาด้วยเช่นกัน ผมรู้สึกขุ่นเคืองใจ หมดความอดทน และใช้หน้าที่ของตัวเองเพื่อระบาย โดยไม่พิจารณาเลยสักนิดว่ามันอาจกระทบต่องานของคริสตจักรอย่างไรบ้าง ที่จริงแล้วผมไม่ได้มีความสามารถพิเศษจริงจังอะไรเลย ผมมีแค่ความสนใจด้านดนตรีเล็กน้อย และความกระตือรือร้นนิดหน่อยเท่านั้น—แต่พระเจ้ายังมีพระกรุณามากพอที่จะทรงมอบโอกาสนี้ให้กับผม เพื่อที่ผมจะสามารถก้าวหน้าได้ในทางอาชีพ และในการแสวงหาความจริง แต่แทนที่จะหวงแหนไว้ ผมกลับเอาแต่แก่งแย่งชิงดีเพื่อศักดิ์ศรีและสถานะอย่างดื้อด้าน ผมไล่ตามผลประโยชน์ของตัวเอง ขณะที่ยืนยันว่ากำลังทำหน้าที่อยู่ เอาเปรียบเหล่าพี่น้องชายหญิงของตัวเองโดยใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือช่วยให้ผมก้าวหน้า ผมขาดมนุษยธรรมโดยสิ้นเชิง ในทุกการกระทำของผม ผมได้ทำสิ่งชั่วร้ายและทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคือง มันคือสิ่งที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงสำหรับพระเจ้า! การตระหนักได้แบบนั้นทำให้ผมกลัว และผมรู้สึกตำหนิตัวเองอย่างมาก ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าน้ำตานองหน้า “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว! ข้าพระองค์ไม่ต้องการเป็นกบฏและแข่งขันกับพระองค์อีกต่อไป และข้าพระองค์ก็ไม่อยากต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ข้าพระองค์พร้อมจะกลับใจแล้ว”
จากนั้น ผมก็ได้อ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า: “ซาตานใช้อะไรเพื่อทำให้มนุษย์อยู่ภายในการควบคุมของมันอย่างมั่นคง? (ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ) ดังนั้น ซาตานใช้ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติเพื่อควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้คือชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ทนทุกข์จากความยากลำบากต่างๆ เพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ และพวกเขาจะทำการพิพากษาหรือการตัดสินใจใดๆ เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ด้วยวิธีนี้ ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น และพวกเขาก็ไม่มีทั้งกำลังและความกล้าที่จะขว้างโซ่ตรวนออกไป พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัวและเดินไปข้างหน้าต่อไปด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัตินี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นชั่วร้ายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในหนทางนี้ คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติของซาตาน” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) การเปิดเผยจากพระวจนะของพระเจ้านี้ ได้มอบความเข้าใจบางประการให้ผม เกี่ยวกับกลยุทธ์ที่น่ารังเกียจของซาตาน และแรงจูงใจที่ชั่วร้ายของการใช้ชื่อเสียงและผลประโยชน์ เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม มันผูกมัดและสร้างความเสียหายต่อมนุษย์ในหนทางนี้ ทำให้พวกเขาทรยศและออกห่างจากพระเจ้า ชื่อและสถานะ คือเครื่องมือที่ซาตานใช้เพื่อผูกมัดมนุษย์เอาไว้ ผมได้รับอิทธิพลและการศึกษาจากซาตานตั้งแต่ยังเด็ก และถูกหลอกลวงโดยหลักปรัชญาของมัน อย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ และจงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า” และ “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” ผมได้รับหลักปรัชญาเหล่านี้มาเป็นคติพจน์ส่วนตัว ผมเติบโตมาเป็นคนที่หยิ่งยโสมากขึ้น และไม่ว่าในกลุ่มไหนผมก็มักจะแข่งขันเพื่อสถานะ คนอื่นจะได้เคารพผม แม้หลังจากกลายเป็นผู้เชื่อแล้วก็ตาม ผมมักไล่ตามชื่อและสถานะ เพราะผมไม่ได้ไล่ตามความจริง ผมทนทุกข์และยอมลำบากในหน้าที่ของตัวเองเพื่อสิ่งเหล่านี้ ทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาทักษะของตัวเอง ผมต่อสู้และแข่งขันกับคนอื่นๆ ผมคิดว่าตัวเองคือคนพิเศษทุกครั้งที่ทำสิ่งใดก็ตามสำเร็จ ผมดุว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงอย่างจองหอง ผมเป็นคนที่ยโสและโอหังอย่างสุดทน ในวิธีดำเนินชีวิตของผมไม่มีความคล้ายมนุษย์อยู่เลย ผมใช้ชีวิตด้วยหลักปรัชญาแบบซาตาน ทุ่มตัวเองไปกับการได้มาซึ่งชื่อและสถานะ ผมไม่เพียงแต่ทำให้คนอื่นเจ็บปวด แต่ยังทำหลายสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับพระเจ้า ผมยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อการงานของคริสตจักรด้วยการละเมิด และการกระทำที่ชั่วร้ายของตัวเอง ชื่อและสถานะได้สร้างความเสียหายอย่างมากต่อผม หลังจากนั้นผมก็ได้เห็นว่า หลักปรัชญาอย่าง “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ” และ “จงเป็นผู้ที่อยู่เหนือ” ทั้งหมดนั้นคือความคิดที่ผิด และการใช้ชีวิตอยู่ด้วยคำโกหกเหล่านี้ มีแต่นำเราไปสู่ความเสื่อมทรามและความชั่วร้ายมากขึ้น เป็นเหตุให้คนคนหนึ่งกบฏและต่อต้านพระเจ้า ท้ายที่สุดก็จะถูกพระองค์ทรงทำโทษ เมื่อผมตระหนักถึงเรื่องทั้งหมดนี้ ผมก็รู้สึกว่า ผมปฏิบัติต่อชื่อและสถานะราวกับมันเป็นเครื่องช่วยชีวิตที่ผมต้องยึดถือเอาไว้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมตามืดบอดและโง่เขลาอย่างแท้จริง ผมยังเห็นด้วยว่ามันคือเส้นทางที่วิ่งสวนทางกับพระเจ้า ผมได้อธิษฐานและกลับใจเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า หลังจากนั้น ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ผมคิดถึงการไล่ตามสิ่งเหล่านั้นในหน้าที่ของตัวเอง ผมจะรู้สึกหวาดกลัวมากๆ ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า และละทิ้งเนื้อหนัง นอกจากนี้ผมยังเปิดใจกับเหล่าพี่น้องชายหญิง เปิดโปงความเสื่อมทรามของตัวเอง ผ่านไปสักระยะ ผมก็รู้สึกว่าตัวเองมีแรงขับเคลื่อนในการไล่ตามชื่อเสียงและสถานะน้อยลงมาก และผมเริ่มที่จะรู้สึกถึงสันติสุขภายใน
ต่อมา เมื่อทางคริสตจักรกำลังเลือกผู้นำ ความปรารถนาต่อชื่อและสถานะของผมก็เกิดขึ้นมาอีกครั้งในช่วงการลงคะแนน และการต่อสู้ภายในใจก็เกิดขึ้น “ฉันควรลงคะแนนให้พี่ชายลี่หรือควรลงให้ตัวเองดี? สำหรับผมแล้ว ผมไม่ถนัดในการแก้ปัญหาต่างๆ ผ่านการสามัคคีธรรมเรื่องของความจริง ส่วนสำหรับเขา ถ้ามีโอกาสเป็นไปได้ว่าเขาจะชนะ คนอื่นๆ จะมองฉันอย่างไร?” แล้วผมตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังแสวงหาชื่อเสียงและสถานะอีกครั้ง และรู้สึกว่าการคิดแบบนั้นช่างน่าเกลียดเหลือเกิน ผมได้อธิษฐานต่อพระเจ้า ละทิ้งและสาปแช่งความคิดเหล่านั้น ต่อมา พระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาในใจ: “หากจิตใจของเจ้าเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับวิธีที่จะบรรลุตำแหน่งซึ่งสูงกว่า หรือสิ่งที่จะทำต่อหน้าผู้อื่นเพื่อให้พวกเขาเลื่อมใสเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็กำลังอยู่บนเส้นทางที่ผิด มันหมายความว่า เจ้ากำลังทำสิ่งทั้งหลายเพื่อซาตาน เจ้ากำลังทำการปรนนิบัติ หากจิตใจของเจ้าเต็มไปด้วยความคิดทั้งหลายซึ่งเกี่ยวกับวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อที่เจ้าจะเป็นเหมือนกับมนุษย์คนหนึ่งมากยิ่งขึ้นทุกที อยู่ในแนวเดียวกันกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า มีความสามารถในการนบนอบต่อพระองค์และการเคารพพระองค์ และแสดงให้เห็นความยับยั้งชั่งใจและยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ในทุกสิ่งที่เจ้าทำ เช่นนั้นแล้ว สภาวะเงื่อนไขของเจ้าก็ย่อมจะดีขึ้นทุกที นี่เองคือความหมายของการเป็นคนที่ดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เช่นนั้นจึงมีอยู่สองเส้นทาง เส้นทางหนึ่งนั้นก็แค่เน้นที่พฤติกรรม โดยการทำให้ความทะเยอทะยาน ความอยากได้อยากมี ความตั้งใจ และแผนการทั้งหลายลุล่วง นี่เป็นการดำรงชีวิตต่อหน้าซาตานและเป็นการดำรงชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของมัน อีกเส้นทางเน้นวิธีที่จะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง นบนอบต่อพระเจ้า และไม่มีมโนคติที่ไม่ถูกต้องหรือความไม่เชื่อฟังต่อพระองค์ เพื่อที่คนเราจะเคารพพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของคนเราเป็นอย่างดี นี่เองคือความหมายของการดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” (“คนเราสามารถครองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติได้โดยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) เมื่อพิจารณาถึงพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ได้เข้าใจ ว่าสิ่งที่พระองค์ทอดพระเนตรคือแรงจูงใจของมนุษย์ และทัศนคติในการกระทำของพวกเขา สิ่งเหล่านี้สำคัญมาก หากแรงผลักดันของผมคือชื่อเสียงและสถานะ รวมทั้งความปรารถนาที่จะให้คนอื่นคิดกับผมอย่างชื่นชม ถ้าอย่างนั้น มันจะเป็นเส้นทางที่สวนกับพระเจ้า และไม่มีวันที่จะนำผมไปสู่ความจริง หรือสู่การทรงทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า ผมหันมายินดีที่จะแก้ไขแรงจูงใจของตัวเองให้ถูกต้อง และไม่ว่าผมจะได้รับเลือกเป็นผู้นำคริสตจักรหรือไม่ ผมก็พร้อมที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้าและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี หลังจากนั้น เมื่อถึงเวลาลงคะแนน ผมชั่งน้ำหนักหลักปฏิบัติและลงคะแนนให้กับพี่ชายลี่ สุดท้าย เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ผมรู้สึกดี แม้ตัวผมจะไม่ชนะแต่ผมก็ไม่เสียใจ เพราะสุดท้ายแล้ว ผมได้เอาความจริงมาใช้ปฏิบัติ ดังนั้นจึงจะเป็นการสละบ่วงแห่งชื่อและสถานะออกไปได้ นอกจากนี้ผมยังได้รู้สึกถึงสันติสุขและความมั่นคงภายในจากการปฏิบัติความจริงและการสนองพระเจ้า และการได้รับประสบการณ์การพิพากษาและตีสอนของพระเจ้าก็คือความรอดสำหรับผมโดยแท้จริง
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ