ยึดมั่นกับหลักธรรมเพื่อทำหน้าที่ให้ดี
โดย สี่ น่อ, ประเทศจีน เดือนสิงหาคม 2019 พี่ลิน ผู้นำของคริสตจักรหนึ่ง เขียนจดหมายลาออก ผู้นำฉันจัดการให้ฉันไปตรวจสอบที่คริสตจักรนี้...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ฉันรับผิดชอบงานให้น้ำในคริสตจักรแห่งหนึ่ง ขณะที่ข่าวประเสริฐแพร่หลายออกไปและผู้คนยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้ากันมากขึ้น ฉันไม่เพียงให้น้ำผู้มาใหม่เท่านั้น แต่ยังติดตามงานของผู้ให้น้ำทั้งหลาย และช่วยพวกเขาแก้ไขปัญหาและความยากลำบากของพวกเขาด้วย ฉันไม่สามารถตามทุกอย่างได้ทัน ผู้เชื่อใหม่บางคนจึงไม่ได้รับการให้น้ำอย่างทันท่วงทีและสูญเสียความกระตือรือร้นที่จะร่วมชุมนุม ผู้นำของฉันตัดสินใจให้พี่น้องหญิงคาร์เมนทำงานกับฉันเพื่อไม่ให้งานล่าช้า ฉันดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นเพราะคาร์เมนสามารถมองเห็นปัญหาในงานและแบกรับภาระในหน้าที่ของเธอได้ การให้น้ำของเธอได้ผลดีเสมอ การจับคู่ทำงานกับเธอจะช่วยชดเชยข้อบกพร่องของฉันและแบ่งเบาแรงกดดันบางอย่างในการทำงานของฉันด้วย
ต่อมา ฉันพาคาร์เมนเข้าทีมให้น้ำ ในตอนนั้นบางคนในทีมให้น้ำค่อนข้างเฉื่อยชา คาร์เมนจึงเริ่มสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแก้ไขสภาวะของพวกเขา เธอตอบคำถามที่สมาชิกทีมซักถามทันที ฉันรู้สึกอึดอัดใจเมื่อเห็นทั้งหมดนั้น ฉันครุ่นคิดว่าเมื่อก่อนตอนที่ตัวเองรับผิดชอบสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานแต่เพียงผู้เดียว ฉันเป็นคนตอบคำถามของพวกเขาเสมอ แต่เมื่อเธอมาถึง เธอก็เอาบทบาทผู้นำไป ทิ้งให้ฉันอยู่ในเงามืด อีกอย่าง เธอมีความกระจ่างในการสามัคคีธรรมของเธอที่ฉันไม่มี ดังนั้นทุกคนย่อมจะคิดว่าเธอเก่งกว่าฉันเป็นแน่ ความคิดนี้ทำให้ฉันไม่สบายใจจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนเธอกำลังแย่งจุดสนใจไปจากฉัน ทำให้ฉันดูด้อยกว่าในทุกด้าน และฉันไม่ได้รู้สึกดีกับเธอเลย ฉันเลิกอ่านข้อความที่เธอส่งให้ทีมและไม่ได้สัมพันธ์สนิทกับเธออย่างแข็งขัน—ฉันจงใจกีดกันเธอออกไป ในเมื่อฉันไม่กระตือรือร้นที่จะแจ้งความคืบหน้าในงานของพวกเราให้คาร์เมนรู้ เมื่อผ่านไปสองสามวัน เธอจึงไม่สามารถเข้าใจสภาวะที่แท้จริงของพี่น้องชายหญิง และงานของพวกเราก็ไม่คืบหน้า ฉันรู้ว่าฉันควรไปคุยกับสมาชิกทีมให้น้ำเกี่ยวกับสภาวะและความลำบากของพวกเขาเพื่อสามัคคีธรรมและแก้ไขเรื่องเหล่านั้นทันที แต่แล้วฉันก็คิดถึงการที่คาร์เมนเอาบทบาทผู้นำไปและทุกคนเข้าใจกันในทีว่าเธอคือหลักในการจัดการงานให้น้ำ ฉันกลัวว่าถ้าฉันแก้ไขปัญหาของสมาชิกทีมแล้วงานออกมาดี พี่น้องชายหญิงบางคนที่ไม่รู้สถานการณ์จริงก็จะพูดว่าเป็นเพราะคาร์เมน และพวกเขาจะยิ่งยกย่องเธอมากขึ้น เช่นนั้นแล้วฉันก็จะไร้ตัวตน ดังนั้นฉันจึงไม่สามัคคีธรรมกับสมาชิกทีมให้น้ำ ผ่านไปอีกสองสามวัน ประสิทธิผลในงานให้น้ำของพวกเรายังคงลดลง ฉันเห็นคาร์เมนดูวิตกกังวลและเธอเฝ้าส่งพระวจนะของพระเจ้าเพื่อสามัคคีธรรมกับกลุ่ม แต่ฉันก็ไม่สนใจ ออกจะชอบใจนิดหน่อยด้วยซ้ำ ฉันรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีกว่าที่งานออกมาไม่ดี ผู้นำจะได้พูดว่าคาร์เมนไม่มีฝีมือและเทียบฉันไม่ได้ ฉันไม่สบายใจกับความคิดเหล่านี้นัก แต่ก็ไม่ได้คิดทบทวนอย่างจริงจังในเวลานั้น
วันหนึ่ง ผู้นำคนหนึ่งบอกฉันว่าช่วงที่ผ่านมางานให้น้ำของพวกเราทำได้ไม่ดี ว่าคาร์เมนอยากเรียนรู้เรื่องของผู้มาใหม่ ดังนั้นฉันจึงควรให้เธอเข้ากลุ่มการชุมนุมของพวกเขาด้วย หัวใจของฉันเต้นแรงเมื่อได้ยินผู้นำบอกให้จัดแจงเรื่องนี้ ฉันคิดถึงการที่คาร์เมนมีทักษะมากกว่าฉัน ถ้าเธอเข้ากลุ่มการชุมนุมเหล่านั้น คุ้นเคยกับปัญหาของผู้เชื่อใหม่และแก้ไขได้เร็วมาก เข้าใจงานของพวกเรา เธอก็จะเหนือกว่าฉันมาก ฉันไม่อยากให้เธอเข้าร่วมทุกกลุ่ม และคิดว่าตัวเองขบคิดสิ่งต่างๆ ออกได้เอง ฉันจึงหาข้ออ้างมาปฏิเสธ ฉันรู้สึกผิดในภายหลังและอธิษฐานถึงพระเจ้า ผ่านทางการอธิษฐาน ฉันจึงตระหนักว่าฉันทำเช่นนี้เพียงเพื่อปกป้องชื่อและสถานะของตัวเองเท่านั้น ว่านี่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ฉันไม่สบายใจที่จะให้คาร์เมนเข้าร่วมทุกกลุ่มชุมนุมในทันที และฉันกลัวว่าสุดท้ายเธอจะเอาตำแหน่งของฉันไปจากฉัน จากนั้นฉันก็นึกถึงการที่นักบวชในศาสนาเหล่านั้นทำทุกอย่างที่ตนทำได้เพื่อปิดกั้นคริสตจักร พวกเขาจะได้ปกป้องสถานะและรักษาหนทางในการดำรงชีพของตนไว้ กำผู้เชื่อไว้แน่นในเงื้อมมือของพวกเขา ไม่ปล่อยให้ผู้เชื่อสืบค้นพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าหรือต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาแข่งขันกับพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าเปิดเผยให้เห็น ฉันไม่ยอมให้คาร์เมนมีส่วนร่วมในงานของพวกเราเพื่อให้ตัวเองสามารถปกป้องความมีหน้ามีตาและสถานะของฉันได้ ฉันกำลังกุมพี่น้องชายหญิงไว้แน่นในเงื้อมมือของตัวเองเช่นกันมิใช่หรือ? ฉันกำลังต่อต้านพระเจ้าเหมือนนักบวชพวกนั้น ฉันรู้ว่าฉันต้องเปลี่ยนเส้นทางในทันทีและละทิ้งแรงจูงใจที่ไม่ถูกต้องของตัวเอง วันต่อมาฉันจึงให้คาร์เมนเข้าร่วมกลุ่มชุมนุม และฉันรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าฉันจะเพิ่มเธอเข้าไปในกลุ่มการชุมนุมต่างๆ แต่ฉันก็ไม่ได้ไปหารือเรื่องงานกับเธอ ดังนั้นเราต่างฝ่ายต่างก็ยังทำในส่วนของตัวเอง สองสัปดาห์ผ่านไป งานให้น้ำของพวกเรายังคงไม่ดีขึ้น เมื่อผู้นำถามฉันถึงสาเหตุ ฉันก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ฉันออกจะรู้สึกผิดในเวลาต่อมา แล้วจากนั้นฉันก็ได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าในการเฝ้าเดี่ยวและทบทวนตนเองของฉัน ความว่า “ผู้คนไม่มีความเข้าใจพื้นฐานหรือความเข้าใจที่เป็นแก่นสารเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับมุ่งสนใจและอุทิศเรี่ยวแรงของพวกเขาให้กับการทำความรู้จักการกระทำและการเปิดเผยทางภายนอกของตน ต่อให้ใครบางคนสามารถพูดเกี่ยวกับการรู้จักตัวเองได้บ้างเป็นครั้งคราว นั่นก็จะไม่ลึกซึ้งมากนัก ไม่มีผู้ใดเคยคิดว่าตนคือบุคคลบางจำพวกหรือมีธรรมชาติบางอย่างเพราะตนได้ทำบางสิ่งหรือเปิดเผยบางอย่างออกมา พระเจ้าได้ทรงเปิดโปงธรรมชาติและแก่นแท้ของมนุษย์ แต่สิ่งที่ผู้คนเข้าใจก็คือวิธีทำสิ่งทั้งหลายและวิธีการพูดของตนมีข้อตำหนิและมีข้อบกพร่อง ด้วยเหตุนี้ การนำความจริงไปปฏิบัติจึงเป็นกิจที่ค่อนข้างเหนื่อยยากสำหรับพวกเขา ผู้คนคิดว่าความผิดพลาดของพวกเขาเป็นเพียงการสำแดงชั่วขณะที่เปิดเผยออกมาโดยไม่ทันระวังแทนที่จะเป็นการเปิดเผยธรรมชาติของตนออกมา เมื่อผู้คนคิดในหนทางนี้ก็ยากมากที่พวกเขาจะรู้จักตนเองอย่างแท้จริง และยากมากที่พวกเขาจะเข้าใจและนำความจริงไปปฏิบัติ เนื่องจากพวกเขาไม่รู้จักความจริงและไม่กระหายความจริง เมื่อนำความจริงไปปฏิบัติ พวกเขาจึงเพียงปฏิบัติตามข้อบังคับอย่างสุกเอาเผากินเท่านั้น ผู้คนไม่ได้มองว่าธรรมชาติของตนนั้นแย่มาก และเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้แย่ถึงขนาดที่พวกเขาควรถูกทำลายหรือถูกลงโทษ กระนั้น ตามมาตรฐานของพระเจ้าแล้ว ผู้คนถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำเกินไป พวกเขายังคงห่างไกลจากมาตรฐานของความรอด เพราะพวกเขามีเพียงวิธีการบางอย่างที่ภายนอกดูเหมือนไม่ได้ละเมิดความจริง และที่จริงแล้ว พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติความจริงและไม่นบนอบต่อพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) เมื่อไตร่ตรองตามนี้ ฉันก็เข้าใจว่าเพื่อที่จะรู้จักตนเอง ฉันควรเปรียบเทียบความคิด แรงจูงใจ และมุมมองของฉันกับพระวจนะของพระเจ้า ว่าฉันควรทำความรู้จักและชำแหละแก่นแท้ธรรมชาติและเส้นทางที่ตัวเองเดินอยู่ จากนั้นจึงพยายามใช้ความจริงแก้ไข นั่นเป็นทางเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงและกลับใจอย่างแท้จริง หากพวกเราเพียงแค่รับรู้ว่าตัวเองมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือหากพวกเราทำบางอย่างผิดไปโดยไม่รู้จักแก่นแท้ธรรมชาติของตัวเอง มองไม่เห็นว่าพวกเราเสื่อมทรามอย่างลึกล้ำขนาดไหน หรืออยู่ในสภาวะที่เป็นอันตรายขนาดไหน เช่นนั้นแล้วพวกเราก็จะไม่ถวิลหาการแสวงหาความจริงและการไล่ตามเสาะหาความเปลี่ยนแปลง และยิ่งไม่ถวิลหาการกลับใจที่แท้จริง ฉันมองเห็นว่าฉันเพิ่งจะยอมรับรู้ว่าตัวเองกำลังปกป้องชื่อและสถานะของตน และการไม่ต้องการให้คาร์เมนเข้าร่วมกลุ่มต่างๆ ก็คือการต่อต้านพระเจ้า แต่เห็นได้ชัดว่าฉันไม่ได้เข้าใจเลยว่าฉันกำลังเปิดเผยอุปนิสัยประเภทไหน แก่นแท้ของนิสัยนี้คืออะไร และฉันเดินอยู่บนเส้นทางไหนในหน้าที่ของตน แม้ว่าสุดท้ายฉันจะเพิ่มเธอเข้าไปในกลุ่มต่างๆ แต่ก็เป็นเพียงการเปลี่ยนพฤติกรรมเท่านั้น ฉันไม่ได้แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง อีกทั้งไม่ได้วางความนับถือตนเองลงและร่วมมือกับเธอ แบบนั้นงานของพวกเราจะสามารถประสบผลสำเร็จได้อย่างไร? เมื่อตระหนักเช่นนั้น ฉันจึงกล่าวคำอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงนำฉันให้รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง
ฉันเห็นพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าในการเฝ้าเดี่ยววันหนึ่ง ความว่า “บางคนกลัวอยู่เสมอว่าผู้อื่นจะเก่งกว่าตนหรืออยู่เหนือตน ว่าผู้อื่นจะได้รับการยอมรับขณะที่ตนถูกมองข้าม และนี่ก็พาให้พวกเขาเล่นงานและกีดกันผู้อื่น นี่เป็นเรื่องของการอิจฉาผู้คนที่มีความสามารถพิเศษมิใช่หรือ? นั่นย่อมเห็นแก่ตัวและควรดูหมิ่นมิใช่หรือ? นี่คืออุปนิสัยจำพวกใด? นี่คือความมุ่งร้าย! ผู้ที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น เอาแต่ตอบสนองความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวของตนเองเท่านั้น ไม่นึกถึงผู้อื่นหรือคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ย่อมมีอุปนิสัยที่ไม่ดี และพระเจ้าก็ไม่ทรงรักพวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น) “ศัตรูของพระคริสต์ยึดทุกสิ่งไปจากพระนิเวศของพระเจ้าและยึดเอาทรัพย์สินของคริสตจักร ทำเหมือนสิ่งเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตนเอง จึงต้องให้ตนบริหารจัดการทั้งหมด และพวกเขาไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้ สิ่งเดียวที่พวกเขานึกถึงเวลาทำงานของคริสตจักรก็คือผลประโยชน์ของตนเอง สถานะของตนเอง และความภาคภูมิใจของตนเอง พวกเขาไม่ยอมให้ใครทำให้ผลประโยชน์ของตนเสียหาย และยิ่งไม่ยอมให้คนที่มีขีดความสามารถหรือคนที่กล่าวคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้ มาคุกคามความมีหน้ามีตาและสถานะของพวกเขา ดังนั้นในฐานะคู่แข่ง พวกเขาจึงพยายามป้องปรามและกีดกันคนที่สามารถกล่าวคำพยานจากประสบการณ์ รวมทั้งสามารถสามัคคีธรรมความจริงและจัดเตรียมให้แก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ และพวกเขาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะแยกผู้คนเหล่านี้ออกจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ทำให้ชื่อเสียงของคนเหล่านี้แปดเปื้อนด้วยประการทั้งปวง และโค่นล้มคนเหล่านี้ลง เมื่อนั้นเท่านั้นที่ศัตรูของพระคริสต์จะรู้สึกมีสันติสุข ถ้าผู้คนเหล่านี้ไม่เคยคิดลบ และสามารถทำหน้าที่ของตนต่อไป กล่าวคำพยานของตน และเกื้อหนุนผู้อื่น เช่นนั้นแล้วศัตรูของพระคริสต์ก็จะหันไปใช้ทางเลือกสุดท้าย ซึ่งก็คือการหาเรื่องและกล่าวโทษพวกเขา หรือใส่ความพวกเขา สร้างเหตุขึ้นมาทรมานและลงโทษพวกเขา จนทำให้พวกเขาถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร เมื่อนั้นเท่านั้นที่ศัตรูของพระคริสต์จะรู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่ นี่คือสิ่งที่ร้ายกาจและโหดร้ายที่สุดเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์… เมื่อใครบางคนทำให้ตนเองโดดเด่นขึ้นมาด้วยงานเล็กๆ น้อยๆ หรือเมื่อใครบางคนสามารถกล่าวคำพยานจากประสบการณ์จริง และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้รับประโยชน์ ได้รับความเจริญใจ และการเกื้อหนุน รวมทั้งได้รับการสรรเสริญจากทุกคนอย่างใหญ่หลวง ความอิจฉาและความเกลียดชังก็จะพอกพูนขึ้นในหัวใจของศัตรูพระคริสต์ พวกเขาพยายามกีดกันและกำราบคนคนนั้นเอาไว้ ไม่ว่าภายใต้รูปการณ์แบบใดพวกเขาก็ไม่ยอมให้ผู้คนดังกล่าวได้ทำงาน เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้คุกคามสถานะของตน ยามอยู่ต่อหน้าศัตรูของพระคริสต์ ผู้คนที่มีความเป็นจริงความจริงย่อมเน้นย้ำและส่งให้ความอ่อนด้อย ความน่าเวทนา ความอัปลักษณ์ และความเลวร้ายของศัตรูพระคริสต์เด่นชัดขึ้นมา ดังนั้นเมื่อศัตรูของพระคริสต์เลือกคู่ทำงานหรือเพื่อนร่วมงาน พวกเขาจึงไม่เคยเลือกผู้คนที่มีความเป็นจริงความจริง พวกเขาไม่เคยเลือกผู้คนที่สามารถกล่าวคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้ และไม่เคยเลือกผู้คนที่ซื่อสัตย์หรือสามารถปฏิบัติความจริงได้ เหล่านี้คือผู้คนที่ศัตรูของพระคริสต์อิจฉาและเกลียดเป็นที่สุด และเป็นหนามยอกอกศัตรูของพระคริสต์ ไม่ว่าผู้คนที่ปฏิบัติความจริงนี้จะทำสิ่งดีงามหรือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้ามากเท่าใดก็ตาม ศัตรูของพระคริสต์ก็จะพยายามอย่างที่สุดที่จะปิดบังการกระทำเหล่านี้ พวกเขาจะถึงกับบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อกล่าวอ้างความดีความชอบในเรื่องที่ดีงาม พลางโยนความผิดในเรื่องที่ไม่ดีไปให้ผู้อื่น อันเป็นการยกชูตนเองและดูเบาคนอื่น ศัตรูของพระคริสต์อิจฉาและเกลียดชังผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถกล่าวคำพยานจากประสบการณ์ของตนเป็นอย่างมาก พวกเขากลัวว่าผู้คนเหล่านี้จะคุกคามสถานะของตน ดังนั้นพวกเขาจึงทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อเล่นงานและกีดกันคนเหล่านี้ พวกเขาห้ามพี่น้องชายหญิงติดต่อหรือเข้าใกล้คนเหล่านี้ ห้ามเกื้อหนุนหรือสรรเสริญผู้คนที่สามารถกล่าวคำพยานจากประสบการณ์ของตน นี่จึงเป็นการเผยธรรมชาติเยี่ยงซาตานซึ่งรังเกียจความจริงและเกลียดชังพระเจ้าของศัตรูพระคริสต์ได้มากที่สุด และพิสูจน์ให้เห็นด้วยว่าศัตรูของพระคริสต์คือความชั่วที่วิ่งทวนกระแสอยู่ในคริสตจักร พวกเขาคือคนผิดที่คอยก่อกวนงานของคริสตจักรและขัดขวางน้ำพระทัยของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)) พระเจ้าตรัสว่าศัตรูของพระคริสต์มองสถานะว่าล้ำค่า และเมื่อมีใครบางคนมาคุกคามสถานะของพวกเขาภายในขอบข่ายงานที่พวกเขาทำอยู่ พวกเขาก็จะกดขี่และกีดกันบุคคลนั้น พวกเขาไม่ปล่อยให้คนเหล่านั้นมีบทบาทสำคัญหรือเป็นผู้นำ และศัตรูของพระคริสต์ก็จะถึงกับยอมสละผลประโยชน์ของคริสตจักรเพื่อปกป้องสถานะของตน พวกเขาเห็นแก่ตัวและมุ่งร้ายเป็นพิเศษ พฤติกรรมของฉันเหมือนกับของศัตรูของพระคริสต์เลยไม่ใช่หรือ? ตั้งแต่คาร์เมนมาทำงานกับฉัน ฉันก็เห็นว่าเธอทำงานนั้นและสามัคคีธรรมถึงความจริงได้ดีกว่าฉัน นั่นทำให้ฉันไม่พอใจและเห็นเธอเป็นศัตรู เป็นคู่อาฆาต ฉันคิดว่าพอมาถึง เธอก็ชิงบทบาทผู้นำและแย่งจุดสนใจไปจากฉัน และถ้าเธอเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพวกเราให้ดีขึ้นอีก ก็จะทำให้ฉันดูไร้ความสามารถ ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงจงใจกีดกันเธอแทนที่จะร่วมมือกับเธออย่างแข็งขันและทำให้เธอคุ้นเคยกับงานของพวกเรา เมื่อฉันเห็นว่างานให้น้ำของพวกเรากำลังย่ำแย่ ฉันก็ไม่ติดตามผลหรือแก้ไขปัญหา แต่กลับกลัวว่าถ้าฉันแก้ไขปัญหาแล้วส่งผลให้พวกเราทำได้ดีขึ้น แบบนั้นคาร์เมนก็จะได้ความดีความชอบไป ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือเมื่อฉันเห็นว่าประสิทธิผลในงานของพวกเราลดลงเรื่อยๆ ฉันก็ไม่ได้กังวลและถึงกับนึกชอบใจ ฉันพอใจที่งานแย่ลง และนึกว่าผู้นำจะคิดว่าฉันเก่งกว่าเธอเพราะเหตุนี้ และตำแหน่งของฉันก็จะมั่นคงปลอดภัย ฉันสนใจแต่ชื่อและสถานะของตนเอง และไม่คำนึงเลยสักนิดถึงความลำบากของเธอหรือคำนึงว่าผลสืบเนื่องจะเป็นอย่างไรถ้าให้น้ำผู้มาใหม่ได้ไม่ดี ฉันเห็นแก่ตัวและมุ่งร้ายขนาดนั้น! เมื่อผู้นำให้ฉันพาคาร์เมนเข้ากลุ่มต่างๆ ฉันก็ยิ่งดึงดันมากขึ้นอีก ฉันรู้สึกว่าเธอกำลังจะแซงหน้าฉันหรือถึงขั้นแทนที่ฉัน ฉันจึงหาเหตุผลมาปฏิเสธ ฉันไม่ยอมรับเธอเข้ากลุ่มเพื่อที่จะรักษาตำแหน่งของตัวเองและทำเหมือนคริสตจักรเป็นอาณาเขตส่วนตัวของฉัน ฉันไม่ให้เธอมีโอกาสโดดเด่นหรือปล่อยให้จุดแข็งของเธอได้ส่องประกายภายในขอบเขตความรับผิดชอบของฉันเอง ฉันทำตัวเป็นเผด็จการ นี่คือการเปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? ฉันค่อนข้างตกใจ ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถโอหังและมุ่งร้ายได้ขนาดนี้ ว่าตัวเองจะสามารถกีดกันคนออกจากกลุ่ม ได้ถึงขนาดนี้เพียงเพื่อที่จะรักษาสถานะของตนเองเอาไว้ ฉันไม่ได้คำนึงถึงการให้น้ำผู้มาใหม่หรือคำนึงว่างานของคริสตจักรจะแย่ลงหรือไม่เลยสักนิด และฉันเพียงแต่อยากสนองความทะเยอทะยานที่คึกคะนองของตัวเองเท่านั้น ฉันมึนเมาในชื่อและสถานะอย่างแท้จริง
จากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ความว่า “หากใครบางคนพูดว่าพวกเขารักความจริงและว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง แต่โดยแก่นแท้แล้ว เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาคือการทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นแตกต่าง การอวดโอ้ การทำให้ผู้คนคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่ง การสัมฤทธิ์ผลประโยชน์ส่วนบุคคลของตัวเอง และการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขานั้นไม่ใช่เป็นการนบนอบหรือทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเป็นการสัมฤทธิ์ชื่อเสียง ผลประโยชน์และสถานะ เช่นนั้นแล้ว การไล่ตามเสาะหาของพวกเขาย่อมไม่ถูกทำนองคลองธรรม ในกรณีที่เป็นเช่นนั้น เมื่อเป็นเรื่องงานของคริสตจักร การกระทำของพวกเขาเป็นอุปสรรคกีดขวางหรือว่าพวกเขาช่วยขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ไปข้างหน้าเล่า? พวกเขาเป็นอุปสรรคกีดขวางอย่างชัดเจน ทั้งนี้พวกเขาไม่ขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ไปข้างหน้า ผู้คนบางคนสนับสนุนการทำงานของคริสตจักร แต่กระนั้นกลับไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะส่วนบุคคลของตัวเอง ดำเนินงานของตัวเอง สร้างกลุ่มเล็กๆ ของตัวเอง ราชอาณาจักรเล็กๆ ของตัวเอง—บุคคลประเภทนี้กำลังทำหน้าที่ของพวกเขาอยู่หรือไม่? งานทั้งหมดที่พวกเขาทำนั้นในแก่นแท้แล้วขัดขวาง ก่อกวน และบั่นทอนงานของคริสตจักร สิ่งใดคือผลสืบเนื่องของการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของพวกเขา? ก่อนอื่นการนี้ส่งผลต่อวิธีที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปรกติและเข้าใจความจริง การนี้ขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา หยุดยั้งพวกเขาจากการเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้า และนำพวกเขาไปบนเส้นทางที่ผิด—ซึ่งทำร้ายผู้ที่ได้รับการเลือกสรร และพาพวกเขาไปสู่ความย่อยยับ และในท้ายที่สุด การนี้ทำสิ่งใดกับงานของคริสตจักร? ย่อมเป็นการก่อกวน บั่นทอน และรื้อทำลาย นี่คือผลสืบเนื่องที่เกิดจากการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงผลประโยชน์ และสถานะของผู้คน เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางนี้ นี่จะนิยามได้หรือไม่ว่าเป็นการเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์? เมื่อพระเจ้าตรัสขอให้ผู้คนละชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ นั่นไม่ใช่ว่าพระองค์กำลังทรงลิดรอนสิทธิ์ในการเลือกของพวกเขา ตรงกันข้าม นั่นเป็นเพราะขณะที่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะอยู่นั้น ผู้คนได้ก่อกวนและทำให้งานของคริสตจักรกับการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหยุดชะงัก และถึงขั้นสามารถมีอิทธิพลต่อการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าของผู้คนเป็นจำนวนมากขึ้น การเข้าใจความจริง รวมถึงการสัมฤทธิ์ความรอดของพระเจ้า นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจโต้แย้งได้ เมื่อผู้คนไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตน แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ลุล่วงหน้าที่ของตนด้วยความสัตย์ซื่อ พวกเขาจะพูดและทำเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเท่านั้น และงานทุกอย่างที่พวกเขาทำก็ล้วนเป็นไปเพื่อสิ่งเหล่านั้นโดยไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่น้อย การประพฤติและปฏิบัติในหนทางเช่นนี้คือการเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์อย่างไม่ต้องสงสัย ก่อให้เกิดความไม่สงบและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก ผลสืบเนื่องต่างๆ ของการนี้ล้วนขัดขวางการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรและการดำเนินงานตามน้ำพระทัยของพระเจ้าภายในคริสตจักร ดังนั้น คนเราอาจพูดได้อย่างมั่นใจว่าเส้นทางที่ผู้ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเดินอยู่นั้นเป็นเส้นทางของการต้านทานพระเจ้า นี่คือการตั้งใจต้านทานพระองค์ ปฏิเสธพระองค์—นี่คือการร่วมมือกับซาตานเพื่อต้านทานพระเจ้าและยืนหยัดต่อต้านพระองค์ นี่คือธรรมชาติของการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของผู้คน ปัญหาของการที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาผลประโยชน์ของตนเองนั้นก็คือว่า เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหานั้นคือเป้าหมายของซาตาน—เป้าหมายเหล่านั้นเป็นเป้าหมายที่เลวและไม่ยุติธรรม เมื่อผู้คนไล่ไขว่คว้าผลประโยชน์ส่วนตน เช่น ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ พวกเขากลายเป็นเครื่องมือของซาตานโดยไม่รู้ตัว พวกเขากลายเป็นทางออกสำหรับซาตาน และที่มากกว่านั้นก็คือ พวกเขากลายเป็นร่างจำแลงของซาตาน พวกเขาแสดงบทบาทเชิงลบอยู่ในคริสตจักร ผลกระทบที่พวกเขามีต่องานของคริสตจักร และต่อชีวิตคริสตจักรที่ปกติและการไล่ตามเสาะหาตามปกติของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็คือ การก่อความไม่สงบและลดคุณค่า พวกเขาส่งผลเลวร้ายในเชิงลบ” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่หนึ่ง)) ฉันสั่นเทาด้วยความกลัวหลังจากอ่านพระวจนะนั้น พระเจ้าทรงเปิดเผยว่าการไล่ตามไขว่คว้าชื่อและสถานะของพวกเราคือการดำเนินกิจการของตนเอง และเป็นการเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ โดยแก่นแท้แล้ว นี่คือการทำตัวเป็นลูกสมุนของซาตาน ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก และล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า ยิ่งคิดเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งประหม่า งานข่าวประเสริฐกำลังเติบโตถึงขีดสุด และมีผู้คนยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้รับผิดชอบการให้น้ำ ฉันก็ควรจะคิดถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าให้มาก เกื้อหนุนและให้น้ำผู้มาใหม่ทันที และช่วยแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความสับสนของพวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถวางรากฐานบนหนทางที่แท้จริงได้อย่างรวดเร็ว แต่ฉันกลับไล่ตามชื่อเสียงและสถานะแทนที่จะสนใจงานของตัวเอง ฉันไม่อุตสาหะในหน้าที่ ไม่ยอมลำบากหรือคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะให้น้ำผู้มาใหม่ได้ดีที่สุด และฉันถึงกับไม่อยากให้ใครอื่นเข้ามาทำ ฉันกำลังทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักไม่ใช่หรือ? ฉันคืออุปสรรคขัดขวางคนอื่นไม่ให้ได้รับความรอดจากพระเจ้าไม่ใช่หรือ? ฉันคือเครื่องมือของซาตาน เล่นบทบาทในเชิงลบ และกำลังเดินอยู่บนเส้นทางต่อต้านพระเจ้าเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ ฉันรับผิดชอบงานให้น้ำ แต่จัดการงานนี้ด้วยตัวเองไม่ได้ ผู้นำจึงจัดแจงให้คาร์เมนมาช่วยฉัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี และคนที่มีมโนธรรมหรือมีเหตุผลไม่ว่าคนไหนก็ย่อมจะร่วมมือกับคนอื่นอย่างแข็งขันเพื่อสนับสนุนและให้น้ำผู้เชื่อใหม่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ฉันไม่ได้คิดถึงงานของคริสตจักรแต่อย่างใด เพื่อที่จะรักษาชื่อและสถานะของตัวเอง ฉันจึงผลักไสคาร์เมน กีดกันเธอจากพี่น้องชายหญิง และขัดขวางไม่ให้เธอช่วยพวกเขาแก้ไขปัญหา ซึ่งกีดขวางงานให้น้ำของพวกเราอย่างร้ายแรงและทำให้การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงล่าช้า นั่นไม่ใช่การทำหน้าที่ของตน เห็นได้ชัดว่าเป็นการทำชั่ว หากตัวเองยังไม่กลับใจ ฉันก็รู้ว่าพระเจ้าจะทรงเปิดโปงและกำจัดฉันออกไปในฐานะศัตรูของพระคริสต์ นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากเมื่อได้ตระหนัก และฉันนึกเสียใจในการกระทำและการประพฤติปฏิบัติทั้งหมดของตนเองจริงๆ ฉันกล่าวอธิษฐานว่า “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะมาตลอด ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก ข้าพระองค์ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เลย ทุกสิ่งที่ทำลงไปล้วนต่อต้านพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการสำนึกกลับใจต่อพระองค์…”
ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งหลังจากนั้น ความว่า “จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าคำนึงถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ และอย่าได้คำนึงถึงความภาคภูมิใจ ความมีหน้ามีตา และสถานะของตัวเจ้าเอง ก่อนอื่นเจ้าต้องคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นอันดับแรก เจ้าควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่ามีสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์อยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไม่ เจ้าจงรักภักดี ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และทุ่มเททั้งหมดที่เจ้ามีหรือยัง รวมทั้งเจ้าได้คำนึงถึงหน้าที่ของเจ้าและงานของคริสตจักรด้วยหัวใจทั้งดวงหรือไม่ เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ หากเจ้าคิดคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้อยู่เนืองๆ และคิดออก ก็ย่อมจะง่ายขึ้นที่เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี หากเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ หากประสบการณ์ของเจ้าตื้นเขิน หรือหากเจ้าไม่ชำนาญในงานสายอาชีพของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ก็อาจมีข้อผิดพลาดหรือความขาดตกบกพร่องบางอย่างในงานของเจ้า และเจ้าอาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี—แต่เจ้าย่อมจะทำอย่างดีที่สุดแล้ว เจ้าไม่ตอบสนองความอยากได้อยากมีหรือความชอบอันเห็นแก่ตัวของเจ้าเอง แทนที่จะทำเช่นนั้น เจ้าคำนึงถึงงานของคริสตจักรและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ แม้เจ้าอาจไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ของเจ้า แต่หัวใจของเจ้าก็ย่อมจะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว หากว่านอกจากนี้เจ้ายังสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาในหน้าที่ของเจ้า การทำหน้าที่ของเจ้าก็ย่อมจะได้มาตรฐาน และพร้อมกันนั้นเจ้าก็จะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ นี่คือความหมายของการมีคำพยาน” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น) การอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ความรู้แจ้งแก่ฉัน ในหน้าที่นั้นผลประโยชน์ของคริสตจักรต้องมาก่อน และพวกเราควรทุ่มเททั้งหมดที่ตนมีให้แก่หน้าที่ พวกเราไม่ควรคำนวณสิ่งต่างๆ เพื่อชื่อและสถานะ พวกเราต้องร่วมมือและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับพี่น้องชายหญิง ทุ่มเทเต็มที่เพื่อทำงานตามหลักธรรม เพื่อให้พวกเราสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และสร้างผลงานได้ง่าย ดังนั้นฉันจึงไปคุยกับคาร์เมนและเปิดใจถึงความเสื่อมทรามที่ฉันได้เผยออกมาและบอกว่าฉันได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตนเองบ้าง ฉันรู้สึกเป็นอิสระขึ้นมากหลังการสามัคคีธรรมของพวกเรา และพร้อมที่จะร่วมมือกับเธอในงานให้น้ำของพวกเรา
ไม่นานนัก ฉันก็พบว่าผู้เชื่อใหม่สองคนที่ลังเลกับการเข้าชุมนุมมาตลอดได้รับการช่วยเหลือจากคาร์เมน ได้แก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตน เข้าร่วมชุมนุมเป็นประจำแล้วตอนนี้ และต้องการรับหน้าที่มาทำ ฉันรู้สึกไม่พอใจนิดๆ อีกครั้ง ก่อนหน้านี้ฉันไม่เข้าใจปัญหาของพวกเขาจริงๆ แต่คาร์เมนก็จัดการแก้ไขเรื่องนี้ นั่นทำให้ฉันดูด้อยกว่าเธอไม่ใช่หรือ? พอคิดแบบนั้น ฉันก็ตระหนักว่าฉันไม่ได้คิดเรื่องนี้อย่างถูกต้องเหมาะสม และนึกถึงบางสิ่งที่พระเจ้าตรัสเอาไว้ว่า “การร่วมมือกันในหมู่พี่น้องชายหญิงคือกระบวนการชดเชยจุดอ่อนของคนเราด้วยจุดแข็งของอีกคน เจ้าใช้จุดแข็งของเจ้าชดเชยข้อบกพร่องของผู้อื่น และผู้อื่นก็ใช้จุดแข็งของพวกเขาเติมเต็มให้กับสิ่งที่เจ้าขาด นี่เองคือสิ่งที่เป็นความหมายของการชดเชยจุดอ่อนของคนเราด้วยจุดแข็งของผู้อื่น และการร่วมมือกันอย่างปรองดอง มีเพียงเมื่อร่วมมือกันด้วยความปรองดองเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถได้รับการอวยพรเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และยิ่งคนเราได้รับประสบการณ์กับการนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น ยามที่พวกเขาเดินไป เส้นทางของพวกเขาย่อมสว่างขึ้น และพวกเขาก็สบายใจยิ่งขึ้นทุกที” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ว่าด้วยการร่วมมือกันอย่างปรองดอง) คาร์เมนสามัคคีธรรมถึงความจริงและแก้ปัญหาได้ดีกว่าฉัน ดังนั้นฉันก็จำเป็นต้องเรียนรู้จากเธอ ฉันจึงถามว่าเธอมีวิธีสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหาให้ผู้มาใหม่อย่างไร และด้วยการสามัคคีธรรมของเธอ เธอได้ให้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกบางอย่างแก่ฉันว่าจะรับมือปัญหาของพวกเขาอย่างไร ฉันรู้สึกเหมือนการได้ทำงานกับเธอเป็นเรื่องเยี่ยมมาก ว่าเธอสามารถชดเชยจุดอ่อนของฉันได้และนี่คือพระคุณของพระเจ้า หลังจากนั้น เมื่อฉันสังเกตเห็นว่าพี่น้องชายหญิงบางคนเฉื่อยชาในหน้าที่ ฉันก็จะไปหาคาร์เมนเพื่อหารือดูว่ารากเหง้าแห่งการคิดลบของพวกเขาคืออะไร และความจริงแบบไหนที่พวกเราควรสามัคคีธรรมกับพวกเขาเพื่อแก้ไขเรื่องนี้ พวกเราพบพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องและที่จะใช้สามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว พวกเขาแข็งขันในหน้าที่มากขึ้นหลังการสามัคคีธรรมนี้ บางคนกำลังให้น้ำผู้เชื่อใหม่ บางคนกำลังประกาศข่าวประเสริฐ มีผู้คนทำหน้าที่ในคริสตจักรมากขึ้นทุกที ผ่านทางการสนับสนุนและให้น้ำ จึงมีผู้มาใหม่มากขึ้นที่มีรากฐานบนหนทางที่แท้จริง และพวกเขาส่วนใหญ่ก็เข้าชุมนุมเป็นประจำและทำหน้าที่ หลังจากนั้น เมื่อฉันมีปัญหาในหน้าที่ของตน ฉันจะหารือถึงปัญหาเหล่านั้นกับคาร์เมนทันที และเมื่อเธอเห็นว่าพี่น้องชายหญิงมีปัญหาในหน้าที่ เธอก็จะบอกฉันทันทีเพื่อให้ฉันสามารถติดตามเรื่องเหล่านั้นและแก้ไขได้ พวกเราทำงานร่วมกันด้วยหัวใจและความรู้สึกนึกคิดที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และฉันรู้สึกมีสันติสุขขึ้นมาก
ประสบการณ์นี้แสดงให้ฉันเห็นว่าการไล่ตามไขว่คว้าชื่อและสถานะคือการเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ ทำงานเป็นลูกสมุนของซาตาน และทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก หากไม่ใช่เพราะการพิพากษาและการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็คงไม่มีวันตระหนักรู้ความเสื่อมทรามที่ฉันเผยออกมาหรืออุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ของตัวเอง และฉันคงจะไม่มีวันปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีสถานะและร่วมมือกับคาร์เมน ฉันรู้สึกขอบคุณความรอดของพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย สี่ น่อ, ประเทศจีน เดือนสิงหาคม 2019 พี่ลิน ผู้นำของคริสตจักรหนึ่ง เขียนจดหมายลาออก ผู้นำฉันจัดการให้ฉันไปตรวจสอบที่คริสตจักรนี้...
โดย กาน เสี่ยว, ประเทศจีน เดือนสิงหาคมปีก่อน ฉันถูกย้ายไปที่คริสตจักรอื่น หลังจากที่ถูกปลดจากตำแหน่ง ในการชุมนุมครั้งแรกของฉัน...
โดย ห้าว ลี่, ประเทศจีน ฉันเข้ารับตำแหน่งผู้นำคริสตจักร เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2019 ค่ะ ครั้งหนึ่งฉันจำได้ หลังจบการสามัคคีธรรม...
ช่วงต้นปี 2021 ผมได้รับใช้เป็นคนประกาศและได้ทำงานคู่กับพี่มัทธิวเพื่อเฝ้าดูงานคริสตจักร ผมเพิ่งจะเริ่มทำหน้าที่นั้น...