หลังจากถูกเปลี่ยนตัว

วันที่ 12 เดือน 12 ปี 2020

โดย Li Jie, สหรัฐอเมริกา

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าทรงพระราชกิจในบุคคลทุกๆ คน และไม่สำคัญว่าวิธีการของพระองค์คือสิ่งใด ผู้คน สิ่งของ และเรื่องประเภทใดที่พระองค์ทรงใช้การทำงานปรนนิบัตินั้นให้เป็นประโยชน์ หรือว่าพระวจนะของพระองค์มีกระแสพระสุรเสียงประเภทใด พระองค์ก็เพียงทรงมีเป้าหมายปลายทางเดียวเท่านั้น นั่นคือ การช่วยเจ้าให้รอด ก่อนที่จะช่วยเจ้าให้รอด พระองค์ทรงจำเป็นต้องแปลงสภาพเจ้า ดังนั้นเจ้าจะไม่สามารถทนทุกข์เล็กน้อยได้อย่างไร? เจ้ากำลังจะต้องทนทุกข์ ความทุกข์นี้สามารถเกี่ยวข้องกับหลายสิ่งหลายอย่าง บางครั้งพระเจ้าทรงโปรดให้ผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นรอบๆ เจ้าเพื่อที่เจ้าจะสามารถมารู้จักตัวเจ้าเองได้ มิฉะนั้นแล้วเจ้าอาจจะถูกจัดการ ตัดแต่ง และเปิดโปงโดยตรง เหมือนกันไม่มีผิดกับใครบางคนบนเตียงผ่าตัด—เจ้าต้องก้าวผ่านความเจ็บปวดบ้างเพื่อบทอวสานที่ดี” (บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์)การที่ได้ล้มเหลวและล้มลงหลายครั้งไม่ใช่สิ่งที่แย่ อีกทั้งไม่ใช่การถูกเปิดโปง ไม่ว่าเจ้าจะถูกจัดการ ถูกตัดแต่ง หรือถูกเปิดโปง เจ้าต้องจดจำการนี้ไว้ตลอดเวลา กล่าวคือ การถูกเปิดโปงไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังถูกกล่าวโทษ การถูกเปิดโปงเป็นเรื่องที่ดี มันเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะได้รู้จักตัวเจ้าเอง มันสามารถนำพาการเปลี่ยนเกียร์มาสู่ประสบการณ์ชีวิตของเจ้า หากปราศจากมันแล้ว เจ้าจะไม่มีทั้งโอกาสเหมาะ สภาพเงื่อนไข อีกทั้งบริบท ที่จะสามารถเข้าถึงความเข้าใจความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของเจ้า หากเจ้าสามารถมารู้จักสิ่งทั้งหลายภายในตัวเจ้า แง่มุมเหล่านั้นทั้งหมดที่ซ่อนเร้นอยู่ลึกภายในตัวเจ้าซึ่งยากลำบากที่จะระลึกได้และลำบากยากเย็นที่จะพลิกแผ่นดินค้นหา เช่นนั้นแล้วนี่ก็เป็นเรื่องที่ดี การที่สามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้อย่างแท้จริงนั้น เป็นโอกาสเหมาะที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะกลับตัวเสียใหม่และกลายเป็นคนใหม่ มันเป็นโอกาสเหมาะที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะได้มาซึ่งชีวิตใหม่ ทันทีที่เจ้ารู้จักตัวเจ้าเองอย่างแท้จริง เจ้าจะสามารถเห็นได้ว่าเมื่อความจริงกลายเป็นชีวิตของคนเรา มันเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างแท้จริง และเจ้าจะกระหายความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง นี่ช่างเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้! หากเจ้าสามารถจับความเข้าใจโอกาสเหมาะนี้ และทบทวนตัวเจ้าเองอย่างจริงจังตั้งใจ และได้รับความรู้อันถ่องแท้เกี่ยวกับตัวเจ้าเองเมื่อใดก็ตามที่เจ้าล้มเหลวหรือล้มลง เช่นนั้นแล้วในท่ามกลางความเป็นลบและความอ่อนแอ เจ้าจะสามารถกลับขึ้นมายืนได้ ทันทีที่เจ้าได้ข้ามธรณีประตูนี้ไปแล้ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถก้าวครั้งใหญ่ไปข้างหน้า และเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้” (บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์) ฉันสามารถเห็นผ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ว่าไม่ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจในใครบางคนยังไง ไม่ว่าจะเป็นการพิพากษาและกระบวนการถลุง ถูกตัดแต่งและจัดการ หรือถูกเปลี่ยนตัวในหน้าที่ของพวกเขา ทั้งหมดทรงทำไปเพื่อให้พวกเขาทบทวนและรู้จักตัวเอง เพื่อที่อุปนิสัยของพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้

ตอนที่ฉันเพิ่งเป็นผู้เชื่อได้ไม่กี่เดือน ฉันจำได้ว่าการสามัคคีธรรมที่ให้โดยผู้นำคนหนึ่ง พี่น้องเจ้า นั้นให้ความรู้แจ้งอย่างมากและแก้ปัญหาต่างๆ ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้เป็นอย่างดี ฉันชื่นชมเธอจริงๆ และคิดว่า “จะยอดเยี่ยมเลยเมื่อฉันไปถึงจุด ที่ฉันสามารถเป็นเหมือนพี่น้องเจ้า ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของพี่น้องชายหญิง ผ่านการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงได้!” ณ ช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อไรก็ตามที่ฉันได้ยินว่ามีใครได้รับเลือกเป็นผู้นำหรือผู้ดูแล ฉันจะตื่นเต้นมาก เฝ้ารอคอยวันที่ฉันจะได้เป็นเหมือนพวกเขา หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มทุ่มเทในการกิน ดื่ม และใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า และเขียนไดอารี่การอุทิศตัว ฉันเข้าร่วมในงานทั้งหมดของคริสตจักรอย่างกระตือรือร้น

สองสามปีต่อมา ฉันก็ได้รับเลือกเป็นผู้นำคริสตจักร ฉันกับพี่น้องหลิวแบ่งความรับผิดชอบกันทำงานของคริสตจักร เมื่อไรก็ตามที่ฉันเห็นปัญหาในงานของคริสตจักร หรือเห็นพี่น้องชายหญิงเจอความยากลำบากในหน้าที่ของพวกเขา ฉันก็จะไปหารือกับพี่น้องหลิวและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมัน หลังจากผ่านไปสองสามเดือน เราก็เริ่มเห็นผลลัพธ์เป็นชิ้นเป็นอันในงานของคริสตจักร และผู้นำของฉันก็ขอให้ฉันแบ่งปันสิ่งที่ฉันกำลังเรียนรู้กับทุกคนที่การชุมนุมเพื่อนร่วมงาน ฉันพอใจมากที่เห็นว่าผู้นำเห็นคุณค่าของฉันแค่ไหน และพี่น้องชายหญิงยกย่องฉันยังไง ฉันเริ่มอวดโตในการชุมนุมอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ฉันเอาแต่สามัคคีธรรมว่าฉันได้รดน้ำและสนับสนุนพี่น้องชายหญิงยังไง ฉันได้แก้ไขปัญหาต่างๆ ยังไง ฉันได้ทนทุกข์ในหน้าที่ของฉันยังไง ฉันยอมลำบากอะไรบ้าง และงานของคริสตจักรประสบความสำเร็จยังไงเป็นขั้นเป็นตอนอยู่เสมอ นี่นำไปสู่การที่พี่น้องชายหญิงบางคนยกย่องและชื่นชมฉัน ดังนั้นเมื่อพวกเขาเจอปัญหา พวกเขาก็ไม่มุ่งเน้นที่การอธิษฐานและแสวงหาความจริง แต่กลับมาหาฉันโดยตรงแทน ฉันรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าฉันมีความเป็นผู้นำอยู่ในตัว ฉันคิดว่าความสำเร็จในงานของคริสตจักรส่วนใหญ่มาจากการทำงานหนักของฉันเอง ฉันจึงเริ่มดูหมิ่นพี่น้องหลิวเล็กน้อย และฉันก็ไม่ฟังข้อเสนอแนะของเธอ ฉันคนเดียวที่มีอำนาจตัดสินใจในงานของคริสตจักร เมื่อฉันเห็นว่าพี่น้องหลิวรู้สึกว่าถูกฉันบีบบังคับเล็กน้อย ฉันไม่ได้ทบทวนตัวเอง อีกทั้งถึงขนาดคุยโตในการชุมนุมว่า “แม้ว่าพี่น้องหลิวกับฉันจะรับผิดชอบงานของคริสตจักรทั้งคู่ แต่เธอมีแนวโน้มที่จะคิดลบและเฉื่อยชาในหน้าที่ของเธอ ดังนั้นฉันจึงต้องเป็นคนกังวลเกี่ยวกับมันและยอมลำบากจริงๆ ฉันวิตกเรื่องพี่น้องหลิวจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ฉันเกรงว่างานของคริสตจักรเสียหายนะคะ” พี่น้องชายหญิงพูดว่าฉันมีความรับผิดชอบและแบกภาระในหน้าที่ของฉัน ฉันได้ยินแบบนั้นแล้วมีความสุขมาก และฉันยินดีที่พวกเขาสนับสนุนและชื่นชมฉัน

สองสามวันหลังจากนั้น พี่สาวคนหนึ่งเข้าใจว่าปัญหาของฉันคืออะไรและตักเตือนฉัน “น้องคะ ฉันสังเกตว่าช่วงหลังมานี้คุณไม่ได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของคุณมากนัก อย่างความเสื่อมทรามหรือความกบฏแบบไหนที่คุณเปิดเผยเมื่อเผชิญกับปัญหา คุณทบทวนและรู้จักตัวเองยังไง หรือคุณแสวงหาความจริงหรือแก้ไขสิ่งต่างๆ ยังไง และคุณเปลี่ยนไปยังไงในท้ายที่สุด ฉันแทบไม่เคยได้ยินคุณพูดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย ส่วนใหญ่แล้วคุณสามัคคีธรรมเกี่ยวกับว่าคุณแก้ไขปัญหาของคนอื่นยังไง และคุณทนทุกข์ยังไง ซึ่งเพียงแค่ทำให้คนอื่นยกย่องและยกยอคุณเท่านั้น คุณไม่ได้อยู่บนวิถีที่ถูกต้อง อย่าเสียเวลาเลยค่ะ—ทบทวนตัวเองนะคะ!” แต่ฉันไม่ฟังสิ่งที่เธอพูดเลยค่ะ ฉันคิดว่า “ทั้งหมดที่ฉันสามัคคีธรรมมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของฉันจริงๆ พี่น้องชายหญิงยอมรับฉันเพราะฉันสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยความจริงได้ คุณพูดได้ยังไงว่าคนอื่นยกยอฉัน และฉันไม่ได้อยู่บนวิถีที่ถูกต้อง คุณแค่พูดแบบนั้นก็เพราะอิจฉาฉันเท่านั้นเอง ใช่ไหมล่ะ” ตอนนั้นฉันมัวเมาอยู่กับชื่อและสถานะ ส่วนหัวใจฉันก็มึนชาและแข็งกระด้าง ภายในตัวฉันรู้สึกมืดมนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป จนฉันไม่สามารถเข้าใจหรือแก้ไขสถานการณ์ของคนอื่น หรือความยากลำบากในหน้าที่ของพวกเขาได้อีกต่อไป สุดท้ายฉันก็ถูกปลดจากหน้าที่ผู้นำเพราะฉันไม่สามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้

หลังจากนั้น ฉันรู้สึกเรี่ยวแรงขาดหายไปจนหมด แล้วก็ไม่อยากเผชิญความเป็นจริง ฉันรู้สึกไม่ดีอย่างมากจนไม่อยากแม้แต่จะไปร่วมงานชุมนุม ฉันรู้สึกละอายใจเกินกว่าจะพบหน้าพี่น้องชายหญิง ก่อนหน้านั้นฉันเป็นคนนำการชุมนุมและให้การสามัคคีธรรมแก่คนอื่น แต่ตอนนี้ฉันเป็นฝ่ายรับแทน ฉันกังวลว่าคนอื่นจะมองฉันยังไง ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งกลัดกลุ้มและเจ็บปวดมากขึ้น ฉันไม่สามารถจดจ่อในการชุมนุมได้ และถึงขนาดผล็อยหลับในบางครั้ง ฉันอ่อนแอและคิดลบมาก อีกทั้งรู้สึกว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งฉันแล้ว ฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ และคุกเข่าลงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “โอ้พระเจ้า! ข้าพระองค์กำลังเป็นทุกข์จริงๆ ข้าพระองค์ไม่อยากอยู่ในสภาพแบบนี้เลย พระเจ้า ข้าพระองค์ขอการทรงนำและความรอดจากพระองค์ ข้าพระองค์พร้อมจะทบทวนและรู้จักตัวเองอย่างจริงใจ”

ฉันชมวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้าหลังจากอธิษฐาน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในการแสวงหาของพวกเจ้านั้น พวกเจ้ามีมโนคติที่หลงผิด ความหวัง และอนาคตของแต่ละคนมากเกินไป พระราชกิจปัจจุบันเป็นไปเพื่อที่จะจัดการกับความอยากของพวกเจ้าที่มีต่อสถานะและความอยากอันฟุ้งเฟ้อของพวกเจ้า ความหวัง สถานะ และมโนคติที่หลงผิดทั้งหมดเป็นตัวแทนชั้นเยี่ยมของอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน […] บัดนี้พวกเจ้าเป็นผู้ติดตาม และพวกเจ้าได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ อย่างไรก็ตาม พวกเจ้ายังคงไม่ได้วางความอยากได้สถานะของพวกเจ้าลงไว้ก่อน เมื่อสถานะของเจ้าสูงเจ้าแสวงหาอย่างดี แต่เมื่อสถานะของเจ้าต่ำต้อยเจ้าไม่แสวงหาอีกต่อไป พระพรแห่งสถานะอยู่ในจิตใจของเจ้าเสมอ เหตุใดจึงเป็นว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเอาตัวพวกเขาเองออกจากการคิดลบได้? คำตอบนั้นไม่ใช่เป็นเพราะความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้อันสิ้นหวังเสมอไปหรอกหรือ? […] ยิ่งเจ้าแสวงหาในหนทางนี้มากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งจะเก็บเกี่ยวได้น้อยลงเท่านั้น ยิ่งความอยากได้สถานะของบุคคลหนึ่งมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งจะต้องได้รับการจัดการอย่างจริงจังมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งจะต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุงที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น ผู้คนเช่นนั้นไร้ค่า! พวกเขาต้องได้รับการจัดการและได้รับการพิพากษาอย่างพอเพียงเพื่อที่พวกเขาจะได้ปล่อยวางสิ่งเหล่านี้อย่างถ้วนทั่ว หากพวกเจ้าไล่ตามเสาะหาหนทางนี้จนกระทั่งถึงที่สุด พวกเจ้าจะไม่ได้เก็บเกี่ยวสิ่งใดเลย พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาชีวิตไม่สามารถได้รับการแปลงสภาพ และพวกที่ไม่ได้กระหายความจริงไม่สามารถได้รับความจริง เจ้าไม่ได้มุ่งเน้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาการแปลงสภาพและการเข้าสู่ส่วนบุคคล แต่กลับมุ่งเน้นอยู่กับความอยากอันฟุ้งเฟ้อและสิ่งต่างๆ ที่จำกัดความรักของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าและป้องกันเจ้าจากการเข้าใกล้พระองค์ สิ่งเหล่านั้นสามารถแปลงสภาพเจ้าได้หรือไม่? สิ่งเหล่านั้นสามารถนำพาเจ้าเข้าไปสู่ราชอาณาจักรได้หรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?)

พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยแรงจูงใจและความคิดเกี่ยวกับการไล่ตามสถานะในความเชื่อของฉันอย่างสิ้นเชิง ฉันคิดย้อนไปตอนที่ฉันเพิ่งมาเป็นผู้เชื่อ ฉันชื่นชมบรรดาผู้นำจริงๆ และเฝ้ารอคอยวันที่ฉันจะสามารถเป็นผู้นำได้และได้รับการยกย่อง พอฉันได้เป็นผู้นำจริงๆ ฉันก็ทำหน้าที่หามรุ่งหามค่ำ ยินดีทำไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน เมื่อฉันรู้สึกว่าผู้นำเห็นคุณค่าและพี่น้องชายหญิงยกย่องฉัน ฉันก็ยิ่งมีแรงจูงใจมากขึ้น ในการชุมนุม ฉันอวดโตเสมอ โอ้อวดว่าฉันรีบเร่งทำงานมากแค่ไหน ฉันทนทุกข์มามากแค่ไหน และฉันถึงขนาดใส่ร้ายพี่น้องหลิวและยกระดับตัวเองเพื่อให้ผู้คนยกยอฉัน หลังจากที่ฉันถูกเปลี่ยนตัวจากตำแหน่งผู้นำ และไม่มีสถานะใดๆ ทันใดนั้นฉันก็ตกลงสู่หลุมลึกแห่งการคิดลบที่ฉันไม่สามารถปีนกลับออกมาได้ เมื่อเผชิญกับข้อเท็จจริงเหล่านั้น ฉันก็เห็นว่าฉันไม่ได้ไล่ตามความจริงหรือทำหน้าที่ในความเชื่อของฉัน แต่ฉันกำลังไล่ตามสถานะต่างหาก ตอนที่ฉันมีสถานะ ฉันก็มีแรงขับดัน แต่พอไม่มี ฉันก็ทรุดลงสู่ความคิดลบ ฉันถึงกับมองว่าตัวเองสิ้นหวัง ฉันเห็นว่าความต้องการสถานะของฉันร้ายแรงแค่ไหน การไล่ตามแบบนั้นจะสามารถเป็นผลให้ได้รับความจริงและความรอดของพระเจ้าได้ยังไง ฉันเคยคิดว่าฉันดีทีเดียว คิดว่าฉันเข้าใจความจริงอยู่บ้างและมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำ ฉันไม่เคยนึกว่าฉันจะคิดลบมากหลังจากถูกเปลี่ยนตัว นั่นเป็นตอนที่ฉันเห็นว่าฉันไม่มีความเป็นจริงของความจริงหรือวุฒิภาวะใดๆ ฉันก็แค่พูดกับผู้คนถึงคำพูดและหลักคำสอนที่ว่างเปล่า ฉันไม่รู้จักตัวเองสักนิด ฉันไม่มีความเข้าใจถ่องแท้ในตัวเองเลย ถ้าฉันไม่ได้ถูกปลดจากหน้าที่ ฉันก็คงยังไม่ได้ทบทวนและรู้จักตัวเอง แต่คงจะไล่ตามสถานะ ยังอยู่บนเส้นทางของการต่อต้านพระเจ้า นั่นคงจะขัดขวางงานของพระนิเวศของพระเจ้าและทำความเสียหายให้การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงของฉัน ในที่สุดฉันก็ตระหนักได้ ว่าการถูกเปลี่ยนตัวในฐานะผู้นำนั้นเป็นการพิพากษาอันชอบธรรมของพระเจ้าและการที่พระเจ้าทรงปกป้องฉัน พระเจ้าทรงจัดการกับความต้องการสถานะของฉัน ทรงทำให้ฉันเห็นว่าฉันอยู่บนวิถีที่ผิดเพื่อที่ฉันจะสามารถกลับใจต่อพระองค์ได้ การตระหนักถึงเรื่องนี้ทำให้ฉันรู้สึกได้ปลดเปลื้อง

หลังจากนั้น ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ตีแผ่การไล่ตามชื่อและสถานะของผู้คนมากขึ้น และมีสองสามบทตอนที่ตราตรึงอยู่ในใจฉันจริงๆ “ผู้คนบางคนชื่นชูเปาโลมากเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาชอบที่จะออกไปข้างนอกและกล่าวสุนทรพจน์และทำงาน พวกเขาชอบที่จะพบปะและพูดคุย พวกเขาชอบให้ผู้คนฟังพวกเขา เคารพบูชาพวกเขา และรายล้อมพวกเขา พวกเขาชอบที่จะมีสถานะในจิตใจของผู้อื่น และพวกเขาซาบซึ้งเมื่อผู้อื่นให้คุณค่าภาพลักษณ์ของพวกเขา พวกเราลองมาวิเคราะห์ธรรมชาติของพวกเขาจากพฤติกรรมเหล่านี้กันว่า สิ่งใดหรือที่เป็นธรรมชาติของพวกเขา? หากพวกเขาประพฤติเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วมันก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาโอหังและทะนงตน พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกเขาแสวงหาสถานะที่สูงส่งกว่าและปรารถนาที่จะมีสิทธิอำนาจเหนือผู้อื่น ที่จะครองพวกเขา และที่จะมีสถานะในจิตใจของพวกเขา นี่คือภาพลักษณ์อมตะของซาตาน แง่มุมที่โดดเด่นของธรรมชาติของพวกเขาก็คือความโอหังและความทะนงตน ความไม่เต็มใจที่จะนมัสการพระเจ้า และความปรารถนาที่จะได้รับการเคารพบูชาจากผู้อื่น พฤติกรรมเช่นนั้นสามารถให้ทรรศนะที่ชัดเจนมากแก่เจ้าในเรื่องธรรมชาติของพวกเขา(บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์)ในขณะที่คนอื่นอาจใช้ตำแหน่งของพวกเขาเพื่อเป็นพยานซ้ำๆ เกี่ยวกับตัวเอง โอ้อวดตัวเอง และแข่งขันกับพระเจ้าเพื่อผู้คนและสถานภาพ พวกเขาใช้วิธีการและมาตรการต่างๆ นานาเพื่อทำให้ผู้คนบูชาพวกเขา พยายามชนะใจผู้คนและควบคุมพวกเขาอยู่เสมอ บางคนถึงกับจงใจหลอกให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาเป็นพระเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นพระเจ้า พวกเขาจะไม่มีวันบอกใครสักคนว่าพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามแล้ว— ว่าพวกเขาก็เสื่อมทรามและโอหังเช่นกัน อย่าบูชาพวกเขา และว่าไม่สำคัญว่าพวกเขาทำดีเพียงใดก็ล้วนเป็นเพราะการยกย่องของพระเจ้า และว่าพวกเขากำลังทำสิ่งที่พวกเขาควรจะทำอยู่แล้ว เหตุใดพวกเขาจึงไม่พูดสิ่งเหล่านี้เล่า? เพราะพวกเขากลัวอย่างลึกล้ำที่จะสูญเสียที่ของพวกเขาในหัวใจของผู้คน นี่คือสาเหตุที่ผู้คนเช่นนี้ไม่มีวันยกย่องพระเจ้า และไม่มีวันเป็นคำพยานต่อพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1)

พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยแก่ฉัน ว่าผู้คนไล่ตามชื่อและสถานะเสมอ และไม่ยกย่องหรือเป็นพยานต่อพระเจ้า แต่พวกเขากลับอวดโตตลอด อีกทั้งทำให้คนอื่นยกยอและห้อมล้อมพวกเขา เนื่องจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขา และนี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสาปแช่งและลงโทษ เปาโลเป็นตัวอย่างที่เหมาะเจาะในเรื่องนั้นไม่ใช่เหรอคะ เขารักการมีสถานะและสิทธิอำนาจ อีกทั้งจดจ่ออยู่กับตำแหน่งและเกียรติศักดิ์ของเขาจริงๆ ในจดหมายของเขา เขามักจะเป็นพยานว่าเขาทำงานมามากแค่ไหน เขาทนทุกข์เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้ามากแค่ไหน และพูดว่าเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าอัครสาวกคนอื่นๆ งานหนักและการยอมลำบากที่เขาทำไป ไม่ได้เพื่อไล่ตามความจริงหรือทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้าง แต่เป็นไปเพื่อตอบสนองความทะยานอยากของเขาเอง เพื่อให้คนอื่นชื่นชม และได้รับรางวัลและมงกุฎในท้ายที่สุด นั่นเป็นสาเหตุที่อุปนิสัยแห่งชีวิตของเขาไม่เปลี่ยนไปสักนิดหลังจากทำงานหนักหลายปี และท้ายที่สุดความโอหังก็ทำให้เขาสูญเสียเหตุผลไป เขาให้คำพยานว่าสำหรับเขา การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ เขาเพ้อฝันที่จะแทนที่องค์พระเยซูเจ้า เพื่อที่ผู้คนจะติดตามและเอาอย่างเขา เขาทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคืองอย่างร้ายแรง เปาโลมีธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่โอหังและทะนงตนอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อสนองความทะยานอยากของเขาเอง และทั้งหมดนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า เขาอยู่บนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ที่เป็นปรปักษ์กับพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษและสาปแช่ง สำหรับฉัน เมื่อฉันทำหน้าที่ของฉันสำเร็จนิดหน่อย ฉันจะพูดว่าฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงนำของพระองค์ แต่ในหัวใจของฉัน ฉันรับความดีความชอบเอาไว้คนเดียว ฉันขโมยพระสิริของพระเจ้าอย่างโจ่งแจ้ง อวดโตในทุกย่างก้าว คุยโวว่าฉันรีบเร่งและทนทุกข์มากแค่ไหน อีกทั้งฉันแก้ไขปัญหาไปมากแค่ไหน เพื่อที่คนอื่นจะยกยอฉัน เมื่อฉันเห็นพี่น้องหลิวกลายเป็นคนคิดลบและอ่อนแอ ฉันทำเป็นช่วยเหลือและสนับสนุนเธอ แต่ฉันตัดสินและดูถูกเธออยู่ในใจ ฉันถึงกับใส่ร้ายเธอในการชุมนุมในขณะที่ยกระดับตัวเอง เพราะต้องการให้พี่น้องชายหญิงยกย่องและฟังฉัน พี่สาวคนหนึ่งเห็นปัญหาของฉันและช่วยตักเตือนฉันด้วยความรัก แต่ฉันปฏิเสธไม่ยอมรับมันอย่างดื้อรั้น ฉันถึงกับคิดว่าเธอดูแคลนฉัน คิดว่าเธออิจฉาฉัน ฉันเห็นว่าฉันกลายเป็นคนไร้เหตุผลอย่างมากแค่ไหน ฉันไม่ได้จดจ่ออยู่กับหน้าที่สามัคคีธรรมในเรื่องความจริงเพื่อยกย่องและเป็นพยานต่อพระเจ้า แต่ฉันกลับอวดโตและปกป้องสถานะของฉันเองในทุกย่างก้าวเพื่อที่คนอื่นจะยกย่องฉัน ฉันเห็นว่าโดยธรรมชาติแล้วฉันโอหังและทะนงตนแค่ไหน ฉันกำลังใช้ชีวิตด้วยธรรมชาติเยี่ยงซาตานอย่างสิ้นเชิง และฉันกำลังเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ในการต่อต้านพระเจ้าที่เปาโลเคยเดิน ฉันรู้ว่าถ้าฉันไม่กลับใจ ฉันจะถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษและกำจัด ความคิดนี้ทำให้ฉันกลัว ฉันรีบเร่งมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ตั้งใจไล่ตามความจริงและกลับใจต่อพระเจ้า หลังจากนั้น ฉันกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น อีกทั้งใคร่ครวญและเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง ฉันสำรวจแรงจูงใจและเจตนาเบื้องหลังการกระทำของฉัน เมื่อเผชิญกับปัญหาต่างๆ ฉันจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า แล้วสถานการณ์ของฉันก็ค่อยๆ ดีขึ้น

หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ผู้นำคนหนึ่งก็จัดการเตรียมการให้ฉันทำหน้าที่เจ้าบ้าน และในตอนแรกฉันก็ไม่ค่อยพอใจในเรื่องนี้ ตอนที่ฉันเป็นผู้นำ คนอื่นจะเป็นผู้ต้อนรับขับสู้ฉัน แต่ตอนนี้ฉันต้องเป็นเจ้าบ้านให้คนอื่น มันช่างแตกต่างอะไรแบบนี้! แต่แล้วฉันก็คิดว่า “นี่ฉันไม่ได้ยังไล่ตามชื่อเสียงและสถานะอยู่เหรอ การเป็นเจ้าบ้านให้พี่น้องชายหญิงอาจจะดูไม่มีอะไรพิเศษ แต่มันเป็นหน้าที่ของฉัน เป็นความรับผิดชอบและภาระของฉัน ฉันไม่ควรมีความชอบและความต้องการส่วนตัว แต่ควรยอมทำตามกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้า” และดังนั้นฉันจึงตอบตกลง สองวันหลังจากนั้น ผู้นำคนนั้นนำพี่สาวสองคนมาที่บ้านของฉัน ฉันเห็นทันทีว่าฉันเคยทำหน้าที่กับพี่สาวสองคนนี้มาก่อน ฉันหน้าแดงทันที และรู้สึกประดักประเดิดอย่างมาก ราวกับฉันอยู่ระดับต่ำกว่าพวกเธอ เราพูดคุยกันตามมารยาท แล้วฉันก็เข้าไปทำอาหารในครัว ระหว่างทำอาหาร ฉันหวนนึงถึงตอนที่ฉันกำลังทำหน้าที่ใกล้ชิดกับพี่สาวสองคนนั้น ฉันได้นำการชุมนุมและให้การสามัคคีธรรมแก่พวกเธอ ฉันไม่เคยนึกฝันว่าตอนนี้พวกเธอจะเป็นผู้นำแล้ว ระหว่างที่ฉันทำหน้าที่เจ้าบ้านอยู่ที่บ้าน ฉันรู้สึกจิตใจไม่สงบจริงๆ แล้วฉันก็ตระหนักว่าฉันกำลังจดจ่ออยู่กับชื่อเสียงและสถานะอีกแล้ว ฉันจึงรีบอธิษฐานและร้องหาพระเจ้า แล้วฉันก็คิดถึงบทตอนนี้จากพระวจนะของพระองค์ “ในฐานะหนึ่งในสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง มนุษย์ต้องรักษาตำแหน่งของเขาเอง และประพฤติตนอย่างมีจิตสำนึก จงพิทักษ์รักษาสิ่งที่พระผู้สร้างทรงมอบความไว้วางพระทัยแก่เจ้าอย่างสำนึกในหน้าที่ จงอย่ากระทำการล้ำเส้น หรือทำสิ่งทั้งหลายที่นอกเหนือขอบเขตความสามารถของเจ้า หรือที่เป็นที่เกลียดชังของพระเจ้า จงอย่าพยายามที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หรือกลายเป็นยอดมนุษย์ หรือเหนือสิ่งอื่นใด จงอย่าพยายามที่จะกลายเป็นพระเจ้า นี่คือวิธีที่ผู้คนไม่ควรอยากที่จะเป็น การพยายามที่จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือยอดมนุษย์นั้นช่างไร้สาระ การพยายามที่จะกลายเป็นพระเจ้ายิ่งเป็นที่น่าอดสูมากยิ่งกว่าเสียอีก มันน่ารังเกียจและน่าเหยียดหยาม สิ่งที่น่ายกย่องและสิ่งที่สรรพสิ่งที่ทรงสร้างควรจะยึดมั่นไว้มากกว่าสิ่งอื่นใด ก็คือการกลายเป็นสิ่งที่ทรงสร้างที่แท้จริง นี่คือเป้าหมายเดียวเท่านั้นที่ผู้คนทั้งหมดควรไล่ตามเสาะหา(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1) ขณะที่ฉันใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจ ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงต้องการคนที่ยิ่งใหญ่สูงส่ง แต่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีสถานะ การสามารถยอมทำตามกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เป็นคนที่ซื่อสัตย์ และค้ำจุนหน้าที่ของเราได้เท่านั้น ที่จะตอบสนองต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าทรงกำหนดชะตากรรมให้ฉันเป็นหญ้าต้นเล็กๆ และฉันต้องนบนอบโดยไม่พยายามที่จะเป็นต้นไม้ใหญ่ ทำงานของฉันในฐานะหญ้าต้นเล็กๆ ให้ดี และทำหน้าที่ของฉันให้ดี ฉันคิดย้อนไปถึงช่วงที่ฉันเป็นผู้นำ ดูเหมือนว่าจะมีความรุ่งโรจน์อยู่ในนั้น แต่ฉันไม่ได้มุ่งเน้นการไล่ตามความจริง และไล่ตามชื่อเสียงและสถานะอยู่เสมอแทน ฉันอิ่มอกอิ่มใจ วางโต กลายเป็นคนหยิ่งยโสมากขึ้นเรื่อยๆ ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจ ตอนนี้ฉันทำหน้าที่เจ้าบ้าน ซึ่งดูไม่ได้ยิ่งใหญ่นัก แต่การสามารถดำเนินหน้าที่และความรับผิดชอบของฉันเองได้ ทำให้ฉันรู้สึกมีสันติสุขและสบายใจขึ้นมาก เมื่อได้ไตร่ตรองอย่างปรุโปร่ง ฉันก็ไม่รู้สึกอีกต่อไปว่าการเป็นเจ้าบ้านทำให้ฉันต่ำชั้น ฉันสามารถนบนอบจากก้นบึ้งของหัวใจได้

หลังจากมื้อเที่ยง เราสามคนจัดชุมนุมกัน ฉันเปิดใจในการสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ในหน้าที่ของฉันในเวลานั้น แล้วพวกเธอก็สามัคคีธรรมเรื่องประสบการณ์ของพวกเธอเองเช่นกัน มันทำให้ฉันเป็นอิสระจริงๆ อีกทั้งฉันไม่รู้สึกว่าถูกชื่อและสถานะผูกมัดอีกต่อไป นั่นเป็นประสบการณ์ของฉันในการเป็นผู้นำแล้วก็ถูกเปลี่ยนตัวค่ะ ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ความเจ็บปวดจากการโกหก

โดย หนีเฉียง เมียนมา ในเดือนตุลาคม 2019 ผมยอมรับงานของพระองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย ในการนัดพบ...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger