ฉันหลุดพ้นจากความวิตกกังวลกับความเจ็บป่วย
ในเดือนมิถุนายน ปี 2022 คริสตจักรหลายแห่งในพื้นที่ใกล้เคียงถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนบุกเข้าไปตรวจค้น ผู้นำ คนทำงาน และคนทำงานข้อเขียนถูกจับกุมไปเกือบหมด และเนื่องจากไม่มีบุคลากรที่เหมาะสมสำหรับงานข้อเขียน ฉันจึงถูกย้ายมาทำงานนี้ ไม่ถึงเดือนต่อมา ฉันติดเชื่อไวรัสโควิด 19 ฉันมีไข้เป็นพักๆ แน่นหน้าอกบ่อยครั้ง และหายใจไม่สะดวก การใช้ยาและการฉีดยาช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้มาก แต่ก็มีก้อนเนื้อที่เจ็บปวดปรากฎขึ้นบริเวณรักแร้และด้านในแขน เกิดภาวะบวมน้ำบริเวณต้นขา ขาและสะโพกฉันเจ็บปวดอย่างรุนแรง เท้าของฉันยังมีแผลเปื่อยเล็กน้อยและมีน้ำเหลืองไหลซึมออกมาด้วย ฉันเคยเป็นมะเร็งปากมดลูกมาก่อน พอมีอาการเหล่านี้ปรากฏขึ้น ฉันก็เกิดความวิตกกังวลอย่างมาก ยิ่งแม่ของฉันก็เสียชีวิตไปเพราะโรคมะเร็งด้วย และในหกเดือนก่อนที่แม่จะเสีย เท้าของท่านก็เกิดแผลเปื่อยและมีน้ำเหลืองซึมออกมา ยิ่งไปกว่านั้น บริเวณที่เป็นมะเร็งก็เจ็บเป็นพักๆ ทำให้ฉันยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก โดยคิดว่า “มะเร็งที่ฉันเป็น อยู่ในระยะกลางถึงระยะสุดท้ายแล้ว อาการพวกนี้เป็นสัญญาณว่ามะเร็งลุกลามไปแล้วหรือเปล่านะ? ถ้าเป็นอย่างนั้น เวลาของฉันก็คงเหลือไม่มากแล้วสิ… ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันก็ยังไม่เปลี่ยนไปมากนัก ถ้าเกิดฉันตายไป ฉันจะไม่เสียโอกาสที่จะได้รับความรอดหรอกเหรอ?” ฉันยังคิดถึงความทุกข์ทรมานที่ผู้ป่วยมะเร็งบางรายต้องเผชิญก่อนตาย แล้วฉันก็เริ่มกังวลมากขึ้น กลัวว่าตัวเองจะต้องทนทุกข์เหมือนกับพวกเขา และยิ่งหวาดกลัวความตายมากขึ้นอีก ต่อมา ฉันไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าอาการของฉันเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อโควิด-19 และไตของฉันอ่อนแอ หมอแนะนำให้ฉันพักผ่อนให้มากขึ้นและหลีกเลี่ยงการนอนดึก ฉันคิดว่า “ฉันนั่งทำหน้าที่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ถ้าเกิดอาการฉันแย่ลงจนทรุด แล้วฉันจะทำหน้าที่ได้เหรอ? จะไม่ทำให้การเข้าสู่ชีวิตของฉันล่าช้าหรอกเหรอ? แล้วฉันจะยังบรรลุความรอดได้อยู่ไหม?” หลังจากนั้น พอรู้สึกไม่สบาย ฉันก็จะนอนพักทันที เพราะฉันมุ่งเน้นไปที่การดูแลร่างกายมากกว่าการทำหน้าที่ งานของฉันจึงล่าช้า ต่อมา พอได้รับการรักษา อาการของฉันก็เริ่มดีขึ้น แต่ฉันก็ยังคงเป็นกังวล โดยคิดว่า “งานข้อเขียนต้องใช้ความคิดอย่างมาก และการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทุกวันก็ทำให้หมดพลังงาน นี่จะไม่ส่งผลเสียต่อการฟื้นตัวของฉันในระยะยาวหรอกเหรอ? ทำไมฉันไม่ขอให้ผู้นำมอบหมายหน้าที่ที่เบากว่านี้ให้ล่ะ เพื่อที่ฉันจะได้ดูแลร่างกายขณะที่ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดไปพร้อมกัน?” ในตอนนั้น ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในหัวไม่หยุด แต่แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่า “ฉันถูกย้ายมาที่นี่เพราะไม่มีใครที่เหมาะสมจะทำงานข้อเขียน แล้วถ้าฉันลาออก งานข้อเขียนจะไม่ได้รับผลกระทบหรอกเหรอ? หากฉันคิดถึงแต่ตัวเองและไม่คิดถึงงานของคริสตจักร ฉันจะไม่เป็นคนขาดมโนธรรมหรอกเหรอ?” ดังนั้น ฉันจึงละทิ้งความคิดที่จะลาออก หลังจากนั้น ถึงแม้จะดูเหมือนฉันทำหน้าที่ต่อไป แต่ฉันก็ยังคงเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าหากอาการของฉันแย่ลงแล้วเกิดตายไปกะทันหัน ฉันจะไม่ได้รับประสบการณ์ในพระราชกิจของพระเจ้าอีกต่อไป และสูญเสียโอกาสที่จะบรรลุความรอด ด้วยความคิดในหัวเหล่านี้ ทำให้ฉันไม่สามารถจดจ่อกับหน้าที่ได้ บางครั้งฉันถึงกับหวังว่า “ถ้าพระเจ้าทรงนำความเจ็บป่วยนี้ไปเสียก็คงจะดี!”
วันหนึ่ง ระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า “ถ้าเจ้าเป็นโรค และไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจคำสอนมากเท่าใด เจ้าก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามมันได้ หัวใจของเจ้าย่อมจะเป็นทุกข์ กระวนกระวาย และวิตกกังวลอยู่ดี และไม่เพียงเจ้าจะไม่สามารถเผชิญเรื่องนี้ได้ด้วยความสงบนิ่งเท่านั้น แต่หัวใจของเจ้าจะเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นอีกด้วย เจ้าจะสงสัยตลอดเวลาว่า ‘ทำไมคนอื่นถึงไม่ป่วยเป็นโรคนี้? ทำไมถึงให้ฉันเป็นโรคนี้? นี่เกิดขึ้นกับฉันได้อย่างไร? เป็นเพราะฉันโชคไม่ดีและมีชะตากรรมที่ไม่ดี ฉันไม่เคยล่วงเกินใครและไม่เคยทำบาปอะไร แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องนี้ขึ้นกับฉัน? พระเจ้าไม่ยุติธรรมกับฉันเอามากๆ!’ เจ้าดูเถิด นอกจากความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลแล้ว เจ้ายังตกอยู่ในความหดหู่อีกด้วย เกิดภาวะอารมณ์เชิงลบตามกันมาติดๆ และไม่มีหนทางที่จะหนีพ้นไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีไปให้พ้นมากเพียงใดก็ตาม เนื่องจากนี่เป็นโรคที่เกิดขึ้นจริง จึงไม่ง่ายที่จะเอาไปจากเจ้าหรือรักษาให้หายขาด แล้วเจ้าควรทำอย่างไร? เจ้าอยากนบนอบ แต่เจ้าก็ทำไม่ได้ และถ้าวันหนึ่งเจ้านบนอบ วันถัดมาอาการของเจ้าเกิดแย่ลงและทำให้เจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นเจ้าก็ไม่อยากนบนอบอีกต่อไป และเจ้าเริ่มบ่นอีก เจ้ากลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ดังนั้นเจ้าควรทำเช่นไร? ให้เราบอกเคล็ดลับแห่งความสำเร็จแก่เจ้าเถิด ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญโรคภัยที่หนักหรือเบาก็ตาม ชั่วขณะที่ความเจ็บป่วยของเจ้าร้ายแรงขึ้นมาหรือเจ้ากำลังเผชิญหน้าความตาย จงจำไว้เพียงอย่างเดียวว่า อย่ากลัวความตาย ต่อให้เจ้าเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย ต่อให้โรคที่เจ้าเป็นมีอัตราการตายสูงมาก ก็จงอย่าได้เกรงกลัวความตาย ไม่ว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด หากเจ้าเกรงกลัวความตาย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่นบนอบ… ท่าทีที่ถูกต้องที่เจ้าควรใช้เพื่อที่จะไม่เกรงกลัวความตายนั้นเป็นเช่นไร? ถ้าโรคภัยของเจ้าร้ายแรงจนเจ้าอาจตาย และอัตราการตายของโรคนั้นก็สูงไม่ว่าคนที่เป็นโรคจะอยู่ในวัยใดก็ตาม และช่วงเวลาตั้งแต่ผู้คนติดโรคจนถึงตอนที่พวกเขาตายก็สั้นมาก เจ้าควรคิดอยู่ในใจว่าอย่างไร? ‘ฉันต้องไม่กลัวความตาย ทุกคนย่อมตายในท้ายที่สุด อย่างไรก็ดี การนบนอบพระเจ้าคือสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้ และฉันก็สามารถใช้โรคนี้มาฝึกฝนการนบนอบพระเจ้า ฉันควรมีการคิดอ่านและท่าทีที่นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ฉันต้องไม่กลัวความตาย’ การตายนั้นง่าย ง่ายกว่าการมีชีวิตอยู่มากนัก เจ้าอาจเจ็บปวดสุดขีดก็ได้ แล้วเจ้าก็จะไม่รู้สึกอะไรอีก ทันทีที่ดวงตาของเจ้าปิดสนิท ลมหายใจของเจ้าขาดหาย ดวงจิตของเจ้าย่อมออกจากร่าง และชีวิตของเจ้าก็สิ้นสุด ความตายดำเนินไปเช่นนี้ ง่ายเช่นนี้ การไม่กลัวความตายคือท่าทีอย่างหนึ่งที่ควรนำมาใช้ นอกจากนี้เจ้าต้องไม่กังวลว่าโรคภัยของเจ้าจะแย่ลงหรือไม่ หรือเจ้าจะตายหรือไม่ถ้าไม่อาจหายขาดได้ หรืออีกนานไหมกว่าเจ้าจะตาย หรือพอถึงเวลาตาย เจ้าจะเจ็บปวดอย่างไร เจ้าต้องไม่วิตกกังวลในเรื่องเหล่านี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรกังวลถึง นี่เป็นเพราะวันนั้นต้องมาถึง และต้องมาสักปี สักเดือน และสักวันหนึ่ง เจ้าไม่อาจซ่อนตัวจากมันได้และไม่สามารถหนีพ้น—นั่นคือชะตากรรมของเจ้า สิ่งที่เจ้าเรียกว่าชะตากรรมนั้นถูกพระเจ้าลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และพระองค์ก็ทรงจัดเตรียมไว้แล้ว อายุขัยของเจ้า วัยและเวลาที่เจ้าตาย พระเจ้าก็ทรงกำหนดไว้แล้ว ดังนั้นเจ้าจะกังวลอะไร? เจ้าจะกังวลก็ได้ แต่นั่นก็จะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งใด เจ้าวิตกได้ แต่เจ้าก็จะไม่สามารถป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น เจ้าจะวิตกกังวลเรื่องความตายก็ได้ แต่เจ้าก็หยุดยั้งไม่ให้วันนั้นมาถึงไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความกังวลของเจ้าจึงมากเกินควร และมีแต่จะทำให้โรคภัยของเจ้าเป็นภาระที่หนักอึ้งยิ่งขึ้น” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่า ไม่ว่าโรคภัยใดจะเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะรุนแรงขึ้นหรือคุกคามชีวิตเราเพียงใด เราก็ไม่ควรกลัวความตาย หรือความทุกข์ที่อาจเกิดขึ้นก่อนตาย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่เราควรกังวล เพราะตามการลิขิตของพระเจ้า ทุกคนจะต้องตาย อย่างไรก็ตาม เวลาหรือลักษณะการตายของแต่ละคน พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่มีใครหลีกเลี่ยงหรือหนีพ้นได้ ความจริงที่เราควรเข้าสู่ในการเผชิญหน้ากับความทุกข์และความตาย คือการนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า แต่ฉันกลับไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริงในอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และอยากหลบหนีจากสถานการณ์นี้อยู่เสมอ เนื่องจากมะเร็งที่ฉันเป็น อยู่ในระยะกลางถึงระยะสุดท้ายแล้ว และร่างกายฉันก็แสดงอาการที่ไม่ดีบางอย่าง ฉันกังวลว่าอาการจะแย่ลงแล้วด่วนตายไปกะทันหัน ฉันเลยเอาแต่อยากจะเปลี่ยนไปทำหน้าที่ที่ง่ายขึ้น ในความเป็นจริง ไม่ว่าหน้าที่จะน่าเหน็ดเหนื่อยหรือง่ายดาย และไม่ว่าจะทำให้หมดแรงหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นตัวกำหนดชีวิตหรือความตายของคนเรา ทุกอย่างล้วนถูกกำหนดโดยการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ยกตัวอย่างเช่น ฉันรู้จักคนบางคน ที่ดูแข็งแรงและมีสุขภาพดี ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยอะไร เป็นคนที่ทำงานง่ายๆ และไม่กินแรง แต่ก็เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ขณะที่บางคน แม้จะอ่อนแอและขี้โรค ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย แต่กลับมีอายุยืนถึงแปดสิบหรือเก้าสิบปี สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ชีวิตและความตายของคนเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขที่เห็นได้เหล่านี้ เมื่อคนเราถึงอายุขัยที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ ก็ต้องถึงแก่ความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีการดูแลใดๆ ของมนุษย์ที่จะยืดอายุขัยของคนเราได้แม้เพียงชั่วอึดใจเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อฉันได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “การตายนั้นง่าย ง่ายกว่าการมีชีวิตอยู่มากนัก เจ้าอาจเจ็บปวดสุดขีดก็ได้ แล้วเจ้าก็จะไม่รู้สึกอะไรอีก ทันทีที่ดวงตาของเจ้าปิดสนิท ลมหายใจของเจ้าขาดหาย ดวงจิตของเจ้าย่อมออกจากร่าง และชีวิตของเจ้าก็สิ้นสุด ความตายดำเนินไปเช่นนี้ ง่ายเช่นนี้ การไม่กลัวความตายคือท่าทีอย่างหนึ่งที่ควรนำมาใช้” จู่ๆ จิตใจฉันก็แจ่มใสขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าร่างกายฉันจะทนความเจ็บป่วยใกล้ตายได้หรือไม่ ความตายไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ฉันคิด ในเมื่อพระเจ้าทรงลิขิตให้ฉันต้องผ่านสถานการณ์แบบนี้ ฉันต้องนบนอบท่ามกลางความเจ็บป่วย และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด หากวันใดโรคของฉันรุนแรงขึ้นและความตายมาถึงอย่างแท้จริง ฉันก็จะเผชิญหน้ากับมันอย่างสงบ นบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า
ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกสองบทตอน และเข้าใจถึงเจตนารมณ์อันดีของพระองค์ได้บ้าง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อพระเจ้าทรงจัดแจงให้ใครบางคนเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ว่าจะหนักหรือเบา จุดประสงค์ของพระองค์ในการทำเช่นนี้ย่อมไม่ใช่การทำให้เจ้ารู้ซึ้งถึงตื้นลึกหนาบางของการไม่สบาย ว่าโรคภัยทำร้ายเจ้าอย่างไร ความเจ็บไข้ได้ป่วยสร้างความทุกข์ยากและความลำบากให้เจ้าอย่างไร และรู้ถึงความรู้สึกนานัปการที่โรคภัยไข้เจ็บจะก่อให้เจ้า—จุดประสงค์ของพระองค์ไม่ใช่เพื่อให้เจ้ารู้จักความเจ็บป่วยผ่านทางการไม่สบาย แต่จุดประสงค์ของพระองค์คือเพื่อให้เจ้าเรียนรู้บทเรียนจากอาการป่วย เรียนรู้วิธีที่จะรู้สึกถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ทำความรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าเผยออกมาและท่าทีผิดๆ ที่เจ้าใช้กับพระเจ้าเวลาเจ้าไม่สบาย และเรียนรู้ว่าจะนบนอบอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าอย่างไร เพื่อให้เจ้าสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า—แน่นอนว่านี่คือกุญแจสำคัญ พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยเจ้าให้รอดและชำระเจ้าให้สะอาดผ่านทางความเจ็บป่วย พระองค์ทรงปรารถนาที่จะชำระสิ่งใดในตัวเจ้าให้สะอาด? พระองค์ทรงปรารถนาที่จะชำระล้างความอยากและข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อทั้งปวงที่เจ้ามีต่อพระเจ้า และถึงขั้นชำระล้างแผนการ การตัดสิน และกลอุบายต่างๆ ที่เจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อการอยู่รอดและการดำรงชีวิตไม่ว่าจะแลกมาด้วยอะไรก็ตาม พระเจ้าไม่ได้ทรงขอให้เจ้าสร้างแผนการขึ้นมา พระองค์ไม่ได้ทรงขอให้เจ้าตัดสิน และไม่ได้ทรงเปิดโอกาสให้เจ้ามีความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อต่อพระองค์ พระองค์ทรงกำหนดเพียงว่าให้เจ้านบนอบพระองค์ และในการปฏิบัติและประสบการณ์แห่งการนบนอบของเจ้า ก็ให้รู้ท่าทีที่เจ้าเองมีต่อความเจ็บป่วย รู้ท่าทีที่เจ้ามีต่ออาการทางกายเหล่านี้ที่พระองค์ประทานแก่เจ้า ตลอดจนความปรารถนาส่วนตนของเจ้าเอง เมื่อเจ้ามารู้จักสิ่งเหล่านี้ เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะรู้ซึ้งได้ว่าการที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมรูปการณ์ที่เจ็บไข้ได้ป่วยให้เจ้าหรือประทานอาการทางกายเหล่านี้แก่เจ้า เป็นผลดีต่อเจ้าเพียงใด และเจ้าย่อมจะรู้ซึ้งได้ว่าทั้งหมดนี้ช่วยเปลี่ยนอุปนิสัยของเจ้า ช่วยให้เจ้าได้รับความรอด และช่วยเกื้อกูลการเข้าสู่ชีวิตของเจ้ามากเพียงใด นั่นคือสาเหตุที่เมื่อโรคภัยมาเยือน เจ้าต้องไม่นึกสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าเจ้าจะหลบลี้หรือหนีไปหรือปฏิเสธโรคภัยไข้เจ็บนั้นได้อย่างไร” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) “ไม่สำคัญว่าบททดสอบอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องปฏิบัติต่อบททดสอบนั้นว่าเป็นภาระที่พระเจ้าทรงมอบแก่เจ้า สมมติผู้คนบางคนถูกรุมเร้าด้วยความเจ็บไข้ใหญ่หลวงและความทุกข์ที่ไม่อาจรับได้ บางคนเผชิญหน้ากับความตายด้วยซ้ำ พวกเขาควรเข้าหาสถานการณ์ประเภทนี้อย่างไร? ในหลายกรณี บททดสอบของพระเจ้าคือภาระที่พระองค์ทรงมอบแก่ผู้คน ไม่ว่าภาระที่พระเจ้าประทานให้แก่เจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด นั่นคือน้ำหนักของภาระที่เจ้าควรดำเนินการ เพราะพระเจ้าทรงเข้าใจเจ้า และทรงรู้ว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะแบกรับมัน ภาระที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่เจ้าจะไม่มากเกินกว่าวุฒิภาวะของเจ้าหรือขีดจำกัดความอดทนของเจ้า ดังนั้น จึงไม่มีคำถามเลยว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะแบกรับมันหรือไม่ ไม่ว่าภาระที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้าจะมีลักษณะใด บททดสอบเป็นประเภทใด จงจำไว้สิ่งหนึ่งว่า ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่ ได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์หลังจากที่เจ้าอธิษฐานหรือไม่ ไม่ว่าบททดสอบนี้จะเป็นการบ่มวินัยหรือการตักเตือนเจ้าจากพระเจ้าก็ตาม หากเจ้าไม่เข้าใจ นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตราบเท่าที่เจ้าไม่รอช้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และสามารถยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้าอย่างจงรักภักดี พระเจ้าก็จะพึงพอพระทัย และเจ้าจะตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า และสามารถยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้าอย่างจงรักภักดี พระเจ้าก็จะพึงพอพระทัย และเจ้าจะตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หนทางข้างหน้ามีอยู่แต่ในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและใคร่ครวญความจริงเป็นนิจเท่านั้น) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่า จุดประสงค์ของความเจ็บป่วยตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าคือ การเปลี่ยนแปลงและชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของคนเรา พระเจ้าทรงหวังให้ผู้คนสามารถนบนอบได้ คิดทบทวนถึงความเสื่อมทรามและการกบฏของตนเอง แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น และยังคงทำหน้าที่ด้วยความจงรักภักดีท่ามกลางความเจ็บป่วย นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรทำ เมื่อคิดทบทวนตนเอง ฉันก็ตระหนักได้ว่า ฉันไม่นบนอบท่ามกลางความเจ็บป่วย และไม่ได้เรียนรู้บทเรียนใดๆ จากการนี้เลย แต่กลับอยากจะหลบเลี่ยงสถานการณ์นี้อยู่เสมอ คิดว่างานข้อเขียนใช้พลังงานมากเกินไป และกังวลว่าหากการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้นจนฉันตายไป ฉันจะสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอด ฉันก็เลยครุ่นคิดที่จะเปลี่ยนไปทำหน้าที่ที่ง่ายกว่าอยู่ตลอด คนที่มีมโนธรรมและเหตุผล จะยังคงจงรักภักดีในการทำหน้าที่แม้จะเจ็บป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่งานของคริสตจักรต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขามากที่สุด แต่ทว่า ฉันกลับแสดงการต่อต้านและการหลบเลี่ยงเมื่อเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วย ฉันไม่มีความจงรักภักดีและการนบนอบพระเจ้าเอาเสียเลย และคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง เมื่อคิดทบทวนในเรื่องนี้ ฉันก็ต้องการกลับใจ ไม่ว่าความเจ็บป่วยจะเป็นอย่างไร หรือรุนแรงเพียงใด ตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจ ฉันจะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า มีประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมนี้ให้เต็มที่ และปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุด ฉันขจัดความคิดที่จะย้ายไปทำหน้าที่อื่นออกไป และเริ่มทุ่มเทหัวใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง บางครั้ง พอฉันรู้สึกไม่สบายตัวและทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉันก็นอนพักสักครู่ และเมื่ออาการดีขึ้น ฉันก็กลับมาทำหน้าที่ต่อ ในช่วงเวลานี้ นอกจากการรักษาด้วยยาจีนแล้ว ฉันยังทำกายภาพบำบัดที่เหมาะสมเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดด้วย เวลาผ่านไปสี่เดือน บริเวณที่ป่วยยังคงมีอาการเจ็บอยู่ แต่อาการไม่สบายอื่นๆ ลดลงอย่างมาก และสภาพจิตใจฉันก็ค่อนข้างดี
ต่อมา ฉันยังคงแสวงหาต่อไป ถึงเหตุผลที่ฉันไม่สามารถนบนอบท่ามกลางความเจ็บป่วยได้ วันหนึ่ง ระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน ซึ่งทำให้ฉันเข้าใจปัญหาของตนเองมากขึ้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “จุดจบเป็นอย่างไรเมื่อคนพิจารณาเพียงแค่ความสำเร็จในอนาคต ชะตากรรม และผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น? ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะนบนอบพระเจ้า และแม้ในยามที่พวกเขาปรารถนาจะนบนอบ พวกเขาก็ไม่สามารถ คนที่เห็นคุณค่าของความสำเร็จในอนาคต ชะตากรรม และผลประโยชน์ของตนเองเป็นพิเศษ พินิจพิเคราะห์ตลอดเวลาว่าพระราชกิจของพระเจ้าเป็นประโยชน์ต่อความสำเร็จในอนาคตของตน ต่อชะตากรรมของตน และต่อการที่ตนได้มาซึ่งพรหรือไม่ ในท้ายที่สุดแล้ว จุดจบของการพินิจพิเคราะห์ของพวกเขาเป็นอย่างไร? ทั้งหมดที่พวกเขาทำคือต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้า แม้ในยามที่พวกเขายืนกรานในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาก็ทำเช่นนั้นอย่างสุกเอาเผากิน ด้วยอารมณ์ของความคิดลบ ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาคิดถึงวิธีฉวยประโยชน์รวมทั้งการไม่อยู่ข้างที่กำลังพ่ายแพ้เรื่อยไป เช่นนั้นเองที่เป็นแรงจูงใจของพวกเขาเมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน และในการนี้พวกเขาก็กำลังพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า… พวกเขาไม่เคยคิดถึงงานของคริสตจักรและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาวางแผนร้ายเพื่อประโยชน์ของตนเองเสมอ พวกเขาวางแผนเพื่อผลประโยชน์ ความภาคภูมิใจ และสถานะของตนเองตลอดเวลา และไม่เพียงแต่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนไม่ดีเท่านั้น แต่พวกเขายังถ่วงและส่งผลต่องานของคริสตจักรด้วย นี่ไม่ใช่การนอกลู่นอกทางและการละเลยหน้าที่ของตนหรอกหรือ? หากใครบางคนวางแผนเพื่อผลประโยชน์และความสำเร็จในอนาคตของตนเองตลอดเวลาเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน และไม่นึกถึงงานของคริสตจักรหรือผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นนี่ย่อมไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ นี่คือความคิดฉวยโอกาส เป็นการทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตนเองและเพื่อให้ได้มาซึ่งพรสำหรับตัวเอง ในหนทางนี้ ธรรมชาติเบื้องหลังการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขามีการเปลี่ยนแปลง นั่นเป็นแค่เรื่องเกี่ยวกับการทำข้อตกลงกับพระเจ้า รวมทั้งการต้องการใช้การปฏิบัติหน้าที่ของตนเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนเอง การทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้มีแววอย่างมากที่จะขัดขวางงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า หากนั่นเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียเล็กน้อยต่องานของคริสตจักรเท่านั้น เช่นนั้นก็ยังคงมีห้องว่างสำหรับการไถ่และพวกเขาก็อาจยังได้รับโอกาสปฏิบัติหน้าที่ของตน แทนที่จะถูกเอาตัวออกไป แต่หากนั่นเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียใหญ่หลวงต่องานของคริสตจักรและก่อให้เกิดพระพิโรธของพระเจ้าและความโกรธของผู้คนไม่ต่างกัน เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะถูกเผยออกมาและกำจัดออกไป โดยไม่มีโอกาสปฏิบัติหน้าที่ของตนเพิ่มเติม บางคนถูกปลดและกำจัดออกไปในหนทางนี้ เหตุใดพวกเขาจึงถูกกำจัดออกไป? พวกเจ้าพบสาเหตุรากเหง้าหรือยัง? สาเหตุรากเหง้าก็คือพวกเขาพิจารณาผลตอบแทนและความสูญเสียของตนเองอยู่เสมอ หลงลืมตัวไปกับผลประโยชน์ของตนเอง และไม่สามารถขัดขืนเนื้อหนัง และไม่มีท่าทีที่นบนอบพระเจ้าแม้แต่น้อย ดังนั้นพวกเขาจึงมีแนวโน้มประพฤติตนอย่างหุนหันพลันแล่น พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพื่อได้มาซึ่งกำไร พระคุณ และพรเท่านั้น และไม่ใช่เพื่อได้รับความจริงแม้แต่น้อย ดังนั้นการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาจึงล้มเหลว นี่คือรากเหง้าของปัญหา พวกเจ้าคิดว่าการที่พวกเขาถูกเผยออกมาและกำจัดออกไปนั้นไม่ยุติธรรมใช่หรือไม่? ไม่มีความยุติธรรมแม้แต่น้อย การนี้ถูกกำหนดโดยธรรมชาติของพวกเขาทั้งสิ้น ใครก็ตามที่ไม่รักความจริงหรือไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมจะถูกเผยออกมาและกำจัดออกไปในที่สุด” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการแสวงหาหลักธรรมความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี) “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ศัตรูของพระคริสต์สามารถทำหน้าที่ของตนได้—แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาทำหน้าที่ของตนด้วยเจตนาและจุดประสงค์ของตนเองรวมทั้งความอยากที่จะได้รับพร ไม่ว่าพวกเขาทำหน้าที่ใด จุดประสงค์และท่าทีของพวกเขาย่อมไม่อาจแยกออกจากการได้รับพร บั้นปลายที่ดี รวมทั้งความสำเร็จในอนาคตและโชคชะตาที่ดีซึ่งพวกเขาคิดและกังวลถึงทั้งวันทั้งคืนอย่างแน่นอน พวกเขาเป็นเหมือนนักธุรกิจที่ไม่พูดถึงสิ่งใดนอกจากงานของตน สิ่งใดก็ตามที่ศัตรูของพระคริสต์ทำล้วนเชื่อมโยงกับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ—ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงกับการได้รับพรรวมทั้งความสำเร็จในอนาคตและโชคชะตา ลึกลงไปแล้ว หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยสิ่งทั้งหลายดังกล่าว นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ แน่นอนว่าเป็นเพราะแก่นแท้ธรรมชาติประเภทนี้จึงทำให้ผู้อื่นสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าปลายทางสุดท้ายของพวกเขาก็คือการถูกกำจัดออกไป” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่เจ็ด)) พระเจ้าทรงเปิดโปงว่า ศัตรูของพระคริสต์ทำหน้าที่ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ในพระราชกิจของพระเจ้าและได้รับความจริง แต่เพื่อใช้โอกาสในการทำหน้าที่ไปไล่ตามไขว่คว้าผลประโยชน์ของตนเอง และเรียกร้องพรแห่งราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เนื่องจากเจตนาในการทำหน้าที่ของพวกศัตรูของพระคริสต์นั้นผิด เมื่อพวกเขาเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เชื่อว่าเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในอนาคตและบั้นปลายของตนเอง พวกเขาจึงยากที่จะนบนอบ ต่อให้ภายนอกจะเห็นว่าพวกเขาทำหน้าที่ แต่ก็แค่ทำพอเป็นพิธี ทำให้งานของคริสตจักรเกิดความสูญเสีย ทั้งยังสร้างอุปสรรคและการขัดขวาง นอกจากนี้ พวกเขายังขาดหัวใจแห่งการกลับใจอยู่เสมอ แล้วสุดท้ายก็ถูกพระเจ้าทรงเปิดโปงและกำจัดออกไป ในความเจ็บป่วย ฉันเองก็คิดถึงแต่ความสำเร็จในอนาคตและบั้นปลายของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรเลย ในคริสตจักรเหล่านี้ มีเพียงฉันเท่านั้นที่ทำงานข้อเขียน แต่ฉันกลับกังวลว่าความอุตสาหะจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของฉัน กลัวว่าหากอาการแย่ลงแล้วตายไป ฉันจะสูญเสียโอกาสในการได้รับความรอด ฉันก็เลยอยากหลีกเลี่ยงหน้าที่และเปลี่ยนไปทำงานที่ง่ายกว่า ความจริงแล้วความเจ็บป่วยของฉันไม่ได้รุนแรงมากนัก หลังจากติดเชื้อโควิด-19 ร่างกายฉันก็อ่อนแอลงบ้างและมีอาการไม่สู้ดี แต่เมื่อฉันรู้สึกไม่สบาย การพักผ่อนสักครู่ก็ช่วยได้ อย่างไรก็ตาม ฉันมัวแต่กังวลเรื่องสุขภาพของตัวเอง จึงทำให้งานล่าช้า ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจเสียจริง ขาดทั้งมโนธรรมและเหตุผล ฉันคิดถึงพวกที่ถูกเปิดโปงและกำจัดออกไป บางคนเคยกระตือรือร้นและสละตนในช่วงแรก แต่พวกเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง มุ่งหวังแต่พรเท่านั้น เมื่อเผชิญกับความเจ็บป่วยและความตาย และเห็นว่าความหวังที่จะได้รับพรนั้นพังทลายลง พวกเขาก็เต็มไปด้วยการพร่ำบ่น คิดลบและเพิกเฉย บางคนถึงกับละทิ้งหน้าที่ ทรยศและไปจากพระเจ้า ทัศนะในการไล่ตามเสาะหาของฉันก็คล้ายกับพวกเขา หากฉันไม่กลับใจ สุดท้ายฉันก็จะถูกกำจัดออกไปเหมือนกับพวกเขา
วันหนึ่ง ฉันรู้สึกปวดตรงที่เป็นมะเร็งมากขึ้น แล้วก็เริ่มฟุ้งซ่านอีกครั้ง โดยคิดว่า “มะเร็งลุกลามไปทั่วร่างกายฉันแล้วหรือเปล่านะ?” ฉันรู้สึกกลัวมากจริงๆ และบอกกับตัวเองว่า “ต่อให้มะเร็งลุกลาม ฉันก็จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า” ฉันไปตรวจที่โรงพยาบาล หมอบอกว่า บริเวณนั้นมีการอักเสบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และไม่มีเซลล์มะเร็ง และแนะนำให้ฉันรักษาด้วยยาจีนต่อไป เมื่อเห็นผลการตรวจ ฉันรู้ว่านี่คือความกรุณาของพระเจ้าที่ทรงมีต่อฉัน พระเจ้าทรงให้โอกาสฉันมีชีวิตอยู่ เพื่อที่ฉันจะได้กลับใจและเปลี่ยนแปลง ระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ซึ่งทำให้ฉันตื้นตันใจมาก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในชีวิตนี้ ผู้คนมีเพียงเวลาอันจำกัดที่จะเริ่มจากการเข้าใจสิ่งทั้งหลายไปสู่การมีโอกาสนี้ การครองขีดความสามารถนี้ และทำตามเงื่อนไขเพื่อที่จะมีส่วนร่วมในการสนทนากับพระผู้สร้าง เพื่อที่จะไปถึงจุดที่มีความเข้าใจ ความรู้ และความยำเกรงพระผู้สร้างอย่างแท้จริง ตลอดจนเดินบนหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว หากตอนนี้เจ้าต้องการให้พระเจ้าทรงนำเจ้าไปโดยเร็ว เจ้าก็ไร้ความรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเอง เพื่อที่จะมีความรับผิดชอบนั้นเจ้าควรทำงานหนักขึ้นในการเตรียมตัวเจ้าเองให้พร้อมด้วยความจริง คิดทบทวนตนเองให้มากขึ้นเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า และชดเชยข้อบกพร่องของตนเองโดยเร็ว เจ้าควรมาปฏิบัติความจริง ปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับหลักธรรม เข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง รู้เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าให้มากขึ้น สามารถรู้และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่ใช้ชีวิตของเจ้าโดยเปล่าประโยชน์ เจ้าต้องเริ่มรู้ว่าพระผู้สร้างสถิตอยู่ที่ใด เจตนารมณ์ของพระผู้สร้างคืออะไร และพระผู้สร้างทรงแสดงความชื่นบานยินดี พระโมหะ ความโศกเศร้า และความปีติสุขอย่างไร—ต่อให้เจ้าไม่สามารถบรรลุการตระหนักรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหรือความรู้ที่ครบบริบูรณ์ได้ อย่างน้อยเจ้าก็ต้องครองความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับพระเจ้า ไม่มีวันทรยศพระเจ้า เข้ากันได้กับพระเจ้าโดยพื้นฐาน แสดงการคำนึงถึงพระเจ้า ให้การปลอบพระทัยขั้นพื้นฐานแด่พระเจ้า และทำสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมและเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างสามารถสัมฤทธิ์ได้โดยพื้นฐาน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้โดยง่าย ในกระบวนการของการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงนั้น ผู้คน สามารถเริ่มรู้จักตนเองทีละน้อย แล้วจึงรู้จักพระเจ้า อันที่จริงกระบวนการนี้คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างพระผู้สร้างกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และนี่ควรเป็นกระบวนการที่ควรค่าแก่การระลึกถึงตลอดชีวิตของคนเรา กระบวนการนี้คือบางสิ่งที่ผู้คนควรได้ชื่นชม มากกว่ากระบวนการที่เจ็บปวดและลำบากยากเย็น ด้วยเหตุนั้น ผู้คนจึงควรชื่นชูวันคืนและเดือนปีที่ใช้ไปในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาควรชื่นชูช่วงชีวิตนี้และไม่ควรมองว่าช่วงชีวิตดังกล่าวเป็นตัวถ่วงหรือภาระ พวกเขาควรลิ้มรสและได้รับความรู้จากประสบการณ์ในช่วงระยะนี้ของชีวิตตน แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะเข้าใจความจริงและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และทำชั่วน้อยลงเรื่อยๆ” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติและเข้าสู่ความจริง หากต้องการได้รับความรอดและการทำให้เพียบพร้อม เราต้องไล่ตามเสาะหาความจริง เห็นคุณค่าของสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ เข้าใจถึงความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตนเองจากสภาพแวดล้อมเหล่านั้น ให้ทุกสิ่งอิงตามพระวจนะของพระเจ้า มุ่งเน้นการปฏิบัติความจริง และใช้ชีวิตตามความจริงในพระวจนะของพระเจ้า มีแต่แบบนี้เท่านั้น ที่เราจะเดินบนเส้นทางแห่งความรอดได้ เมื่อย้อนมองกลับไปยังความเจ็บป่วยของตนเอง ฉันล้มเหลว เพราะฉันเพียงแค่สัญญาลมๆ แล้งๆ ว่าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ฉันไม่เห็นคุณค่าของสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้อย่างพิถีพิถันนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใคร่ครวญว่าพระเจ้าทรงเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดผ่านความเจ็บป่วยนี้ หรือฉันควรเข้าสู่ความจริงด้านใดบ้าง ตรงกันข้าม ฉันกลับมองความเจ็บป่วยนี้ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้รำคาญและภาระ ด้วยหนทางในการมีประสบการณ์กับสิ่งทั้งลายของฉัน ต่อให้ร่างกายฉันจะแข็งแรงและไม่มีโรคภัยหรือปัญหาอะไร ฉันก็จะไม่ได้รับความรอด พระเจ้ายังไม่ทรงเอาชีวิตฉันไป และยังทรงให้โอกาสฉันได้มีชีวิตอยู่ ฉันต้องมีมโนธรรมและเหตุผล เตรียมตนเองด้วยความจริง และมุ่งเน้นการใช้ชีวิตตามความจริงในพระวจนะของพระเจ้า
ต่อมา ฉันติดเชื้อโควิด-19 อีกสองครั้งติดต่อกัน และความเจ็บปวดที่หน้าอกก็แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดฟุ้งซ่านอีกครั้ง อย่างเช่น “หรือว่ามะเร็งนั่นได้ลุกลามไปที่ปอดแล้ว?” พอคิดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก ในวันสรุปงานกับทีมงานข้อเขียน ฉันก็กลับมากังวลอีกครั้ง โดยคิดว่า “ฉันเพิ่งจะฟื้นไข้เอง ถ้าออกไปข้างนอกแล้วเกิดติดเชื้อขึ้นมาอีกรอบล่ะ? ร่างกายฉันคงสู้ทนความทุกข์เพิ่มอีกไม่ไหวแล้ว” ฉันอยากจะขอให้ผู้นำไปแทนฉัน แต่เมื่อความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมา ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “ผู้คนจึงควรชื่นชูวันคืนและเดือนปีที่ใช้ไปในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาควรชื่นชูช่วงชีวิตนี้และไม่ควรมองว่าช่วงชีวิตดังกล่าวเป็นตัวถ่วงหรือภาระ พวกเขาควรลิ้มรสและได้รับความรู้จากประสบการณ์ในช่วงระยะนี้ของชีวิตตน แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะเข้าใจความจริงและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และทำชั่วน้อยลงเรื่อยๆ” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ) เมื่อคิดทบทวนพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ค่อยๆ สงบลง และตระหนักได้ว่า ความเจ็บป่วยของฉันยังไม่ได้คุกคามชีวิตฉันอย่างแท้จริง เป็นเพียงแค่ความเจ็บปวดที่หน้าอกเท่านั้น ฉันพิจารณาดูความอยากที่จะปัดความรับผิดชอบในหน้าที่เพราะความไม่สบายทางกาย ฉันเคยแสดงความจงรักภักดีและการนบนอบต่อพระเจ้าในทางใดบ้าง? ฉันช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน! ฉันไม่ได้มุ่งเน้นที่การแสวงหาความจริงหรือการมีประสบการณ์พระราชกิจของพระเจ้าเลย และพลาดโอกาสไปมากมายในการได้รับความจริง ตอนนี้ฉันจะพลาดโอกาสเหล่านี้อีกไม่ได้แล้ว ฉันต้องยอมรับและนบนอบ และมีประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมนี้อย่างแท้จริง ต่อให้ติดเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง นั่นก็เป็นความทุกข์ที่ฉันต้องสู้ทน และฉันต้องทำหน้าที่ของตนให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกเป็นอิสระในหัวใจ ไม่ถูกพันธนาการหรือบีบคั้นด้วยอารมณ์ที่เป็นลบอีกต่อไป หลังจากฉันทุ่มเทหัวใจในการปฏิบัติหน้าที่ ฉันก็รู้สึกมั่นคงและสงบสุข
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ