ฉันไม่มีความเชื่อที่แท้จริง
ครอบครัวฉัน ค่อนข้างยากจนอยู่เสมอ และฉันฝันอยากเป็นผู้บริหารธนาคาร มีสถานะที่แน่นอนในสังคม เราจะได้ไม่ต้องวิตกกังวลเคร่งเครียดในเรื่องเงินมากนัก เมื่อฉันจบการศึกษา และเริ่มต้นมองหางาน ฉันส่งเรซูเม่ออกไปเยอะมาก แต่มันช่วงเวลาที่ยากลำบาก ฉันไม่เจองานแบบที่ต้องการเลย ฉันเจอแต่งานทั่วไป ที่ให้ค่าแรงต่ำ
ปี 2019 ฉันยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิ์ฤทธิ์ และไม่นานจากนั้น ก็เริ่มทำหน้าที่ให้น้ำในคริสตจักร ฉันคิดว่า ถ้าฉันทำเต็มที่เพื่อพระเจ้า พระองค์ก็คงอวยพรฉัน และช่วยฉันหางานดีๆ แน่ ดังนั้น ฉันจึงส่งเรซูเม่ไปเรื่อยๆ ระหว่างทำหน้าที่ แล้วมิถุนายน ปี 2021 ฉันก็ได้รับโทรศัพท์ จากตัวแทนของบริษัทแห่งหนึ่ง เรียกฉันไปสัมภาษณ์ ฉันเข้าอินเตอร์เน็ต ไปค้นดูองค์กรแห่งนั้น และเห็นว่าเป็นบริษัทข้ามชาติ ซึ่งซีอีโอของบริษัทแห่งนี้ได้ทำการลงทุนไปทั่วโลก เขาเป็นเจ้าของธนาคารยักษ์ใหญ่ แบบที่ฉันหวังจะทำงานให้มาตลอด แต่ฉันสัมภาษณ์กับพวกเขาไม่เคยผ่านเลย ฉันไม่เคยคิดว่าบริษัทนั้นจะติดต่อให้ฉันไปสัมภาษณ์ ฉันประหลาดใจ รู้สึกว่าพระเจ้าทรงมอบโอกาสให้ฉัน และถ้าฉันได้ทำงานที่บริษัทข้ามชาตินั้น ก็จะเป็นพระพรจากพระเจ้า ฉันบอกตัวเองว่า ครั้งนี้ฉันต้องทำสำเร็จแน่ แล้วก็จะได้เงินเดือนเท่าผู้จัดการ เพราะว่าพระเจ้าจะทรงช่วยฉัน ฉันตื่นเต้นมาก ที่ในที่สุดก็ได้รับโอกาสให้ทำงานที่ฉันเฝ้าฝันถึง และปริญญาโทที่ฉันทุ่มเทเรียนมาก็คงคุ้มค่า ฉันเริ่มนึกฝันว่าอนาคตชีวิตของฉันจะเปลี่ยนไปยังไงบ้าง ฝันว่าจะมีเงินมากมาย มีบ้านของตัวเอง และซื้อทุกอย่างที่ฉันต้องการได้ ฉันคิดว่าสามารถเที่ยวรอบโลก และดูแลครอบครัวได้ โดยเฉพาะพ่อแม่ของฉัน ฉันคิดว่าพอฉันเริ่มทำงานที่นั่น อะไรๆ ก็คงจะดีขึ้น ตอนที่สัมภาษณ์ ฉันเห็นว่ามีผู้สมัครสามคน และฉันเริ่มกลัวว่าจะไม่ได้รับเลือก แต่ฉันก็บอกตัวเองว่า “ไม่ ฉันจะต้องได้งานนี้ ฉันเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์จะทรงอวยพรฉันแน่ ไม่ว่าจะยังไง พระเจ้าจะทรงเก็บตำแหน่งนี้ไว้ให้ฉัน” ฉันยังมั่นใจในความสามารถของตัวเองอยู่บ้างด้วย ในการสัมภาษณ์นั้น ฉันตอบคำถามทั้งหมดทุกข้อ และผู้สัมภาษณ์บอกฉันว่า ถ้าหากฉันสัมภาษณ์ผ่าน พวกเขาจะโทรหาฉันภายในห้าวัน ฉันรู้สึกมั่นใจว่าจะเป็นคนที่ถูกเลือก ผ่านไปห้าวัน ฉันรอสายเรียกเข้าด้วยความกระวนกระวาย แต่ตลอดทั้งวันนั้น ก็ไม่มีสายโทรมาเลย แล้วก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้โทรมาหาฉัน ฉันรู้ตัวแล้วว่าฉันไม่ผ่านการสัมภาษณ์ ฉันใจสลาย และเริ่มถามตัวเอง ว่าฉันแย่ตรงไหนเหรอ? ทำไมฉันสัมภาษณ์ไม่ผ่าน? ฉันพึ่งพิงพระเจ้า เฝ้าอธิษฐาน แล้วทำไมถึงสัมภาษณ์ไม่ผ่านล่ะ? ฉันรู้สึก คิดลบ และอ่อนแอจริงๆ และเริ่มตำหนิพระเจ้า ฉันเป็นผู้เชื่อมาสองปีกว่า และทำหน้าที่ของฉันมาตลอด ฉันไม่เคยหลงจากพระเจ้า หรือล้มเลิกการทำหน้าที่ของตัวเอง ทำไมไม่ทรงมอบพระคุณและพระพรให้ฉัน? ฉันรู้สึกหดหู่ และทุกข์ใจมากขึ้น จนถึงจุดที่ฉันไม่ไปร่วมการชุมนุมหรืออ่านพระวจนะอยู่หนึ่งสัปดาห์เต็ม เวลาพี่น้องชายหญิงติดต่อมา ฉันรำคาญมาก และไม่อยากตอบ หรือคุยกับพวกเขา ฉันไม่อยากทำอะไรเลย แม้แต่การออกจากบ้าน ฉันเลิกทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนา และเลิกแบ่งปันพระวจนะกับพี่น้องชายหญิง เอาแต่อยู่ในห้องของตัวเอง ไม่มีแรงจูงใจหรือเป้าหมาย ถึงขั้นเบื่ออาหาร น้ำหนักฉันลด ในแค่ไม่กี่วัน
วันหนึ่ง ฉันได้ยินเพลงสรรเสริญพระวจนะชื่อ “สิ่งที่พระเจ้าต้องการทดสอบคือหัวใจที่แท้จริงของมนุษย์” “เมื่อพระเจ้ากำลังทรงทดสอบผู้คนนั้น พระองค์ทรงปรารถนาที่จะสร้างความเป็นจริงแบบใดเล่า? พระองค์มักจะทรงขอให้ผู้คนมอบหัวใจของพวกเขาให้พระองค์เสมอ เมื่อพระเจ้าทรงทดสอบเจ้า พระองค์ทรงเห็นว่าหัวใจของเจ้าอยู่กับพระองค์ อยู่กับเนื้อหนัง หรืออยู่กับซาตาน เมื่อพระเจ้าทรงทดสอบเจ้า พระองค์ทรงเห็นว่าเจ้ายืนอยู่ตรงข้ามกับพระองค์หรืออยู่ในตำแหน่งที่เข้ากันได้กับพระองค์ และพระองค์ก็ทรงเห็นอีกด้วยว่าหัวใจของเจ้าอยู่ฝ่ายพระองค์หรือไม่ เมื่อเจ้ายังไม่เป็นผู้ใหญ่และกำลังเผชิญหน้ากับการทดสอบ เจ้ามีความมั่นใจน้อย และเจ้าไม่สามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าอะไรคือสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องทำเพื่อทำให้เจตนารมณ์ของพระเจ้าลุล่วง เพราะความเข้าใจของเจ้าในความจริงนั้นมีจำกัด อย่างไรก็ตาม หากเจ้ายังคงสามารถอธิษฐานต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริงและจริงใจ และหากเจ้าสามารถเต็มใจที่จะมอบหัวใจของเจ้าให้กับพระองค์ ทำให้พระองค์เป็นผู้ครองราชย์ของเจ้า และเต็มใจที่จะถวายสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดที่เจ้าเชื่อว่ามีค่ามากที่สุดให้กับพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้มอบหัวใจของเจ้าให้กับพระเจ้าแล้ว ขณะที่เจ้าฟังการเทศนามากขึ้นและเข้าใจความจริงมากขึ้น วุฒิภาวะของเจ้าก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ณ เวลานี้มาตรฐานของข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าจะไม่เป็นเหมือนที่เคยเป็นเมื่อเจ้ายังไม่เป็นผู้ใหญ่ พระองค์จะทรงพึงประสงค์มาตรฐานที่สูงขึ้นจากเจ้า เมื่อผู้คนค่อยๆ มอบหัวใจของพวกเขาให้กับพระเจ้า หัวใจของพวกเขาก็จะกลายเป็นใกล้พระองค์ยิ่งขึ้นอย่างช้าๆ ในขณะที่ผู้คนสามารถกลายเป็นใกล้กับพระเจ้ายิ่งขึ้นอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วหัวใจของพวกเขาจะเคารพพระองค์ยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ก็คือหัวใจเช่นนี้นั่นเอง” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) จากนั้นฉันก็ได้เข้าใจว่า เมื่อพระเจ้าทรงทดสอบผู้คน พระองค์ทรงสังเกตหัวใจของพวกเขา พวกเขาใส่ใจกับอะไร นบนอบต่อพระเจ้าในสิ่งแวดล้อมที่ทรงสร้างขึ้นหรือไม่ แทนที่ฉันจะถวายหัวใจแก่พระองค์ ฉันกลับคิดจะใช้พระองค์สนองความอยากของตัวเอง พอฉันไม่ได้งาน ความมั่งคั่ง และความสะดวกสบายทางกาย ที่ฉัน เฝ้าใฝ่ฝันมาตลอด ฉันก็อ่อนแอลง ไม่อยากร่วมชุมนุม หรือทำหน้าที่ของตัวเอง นี่เป็นการทรยศพระเจ้า และฉันสูญเสียคำพยานแด่พระเจ้าในสถานการณ์นั้น ฉันจึงอธิษฐานว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงเปิดเผยว่า ข้าพระองค์ไม่อุทิศตนหรือซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ข้าฯ ไม่ได้ยืนหยัดเป็นพยาน หรือนบนอบต่อพระองค์ พระเจ้า โปรดทรงกรุณา ข้าฯ ต้องการกลับใจ”
หลังอธิษฐาน ฉันรู้สึกสงบขึ้นมากค่ะ และฉันก็ตอบข้อความของคนอื่นๆ พี่สาวคนหนึ่งถามถึงสภาวะของฉัน และฉันก็บอกเธอถึงสิ่งที่ตัวเองประสบมาทั้งหมด เธอส่งพระวจนะบทตอนหนึ่งให้ฉัน “ไม่มีผู้ใดใช้ทั้งชีวิตของพวกเขาไปโดยไม่มีความทุกข์ สำหรับผู้คนบางคนนั่นเกี่ยวกับครอบครัว สำหรับบางคนนั่นเกี่ยวกับงาน สำหรับบางคนนั่นเกี่ยวกับการสมรส และสำหรับบางคนนั่นเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บทางกายภาพ ทุกคนทนทุกข์ บางคนพูดว่า ‘เหตุใดผู้คนจึงต้องทนทุกข์? สิ่งนั้นคงจะยอดเยี่ยมเพียงใดที่จะดำรงทั้งชีวิตของพวกเราอย่างเปี่ยมสันติสุขและมีความสุข พวกเราไม่ทนทุกข์ไม่ได้หรือ?’ ไม่ได้—ทุกคนต้องทนทุกข์ ความทุกข์ทำให้ทุกบุคคลได้รับประสบการณ์กับความรู้สึกมากมายมหาศาลของชีวิตทางกายภาพ ไม่ว่าความรู้สึกเหล่านี้จะเป็นเชิงบวก เชิงลบ คล่องแคล่ว หรือนิ่งเฉย ความทุกข์ให้ความรู้สึกและความซึ้งคุณค่าที่แตกต่างกันแก่เจ้า ซึ่งเป็นประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดสำหรับเจ้า หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริงและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าจากสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเข้าไปใกล้ชิดมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ต่อเจ้ามากขึ้นตลอด นั่นคือแง่มุมหนึ่ง และนั่นก็เป็นไปเพื่อที่จะทำให้ผู้คนได้รับประสบการณ์เพิ่มขึ้น อีกแง่มุมหนึ่งคือความรับผิดชอบที่พระเจ้าทรงมอบให้มนุษย์ ความรับผิดชอบอันใด? เจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์นี้ ทนความทุกข์นี้ และหากเจ้าสามารถทนได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือคำพยาน และไม่ใช่สิ่งที่น่าละอาย” (“โดยการแก้ไขมโนคติที่หลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงสามารถเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการที่เชื่อในพระเจ้า (1)” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันเรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้า ว่าทุกคนต่างต่อสู้ดิ้นรนในชีวิต ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้เชื่อหรือไม่ และความทุกข์ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การประสบความทุกข์ไม่ได้ไร้ค่าเลยแม้แต่นิดเดียว มันเพิ่มคุณค่าให้แก่ประสบการณ์ของฉัน และนำฉันให้เข้าใกล้พระเจ้าได้ ฉันมาเฉพาะพระพัตกร์เพื่อแสวงหาความจริงและน้ำพระทัยได้ ซาตานทำให้พวกเราเสื่อมทรามมาก เราทุกคนละโมบ อยากได้รับเกียรติ เสาะหาอนาคตที่ดี และไม่รักความจริง ถ้าเราใช้ชีวิตง่ายๆ สะดวกสบาย เราก็จะไกลห่างจากพระเจ้า และเลวทรามมากขึ้นเรื่อยๆ การที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้มันเกิดกับฉัน ก็เพื่อนำฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ ให้แสวงหาความจริง ฉันจะได้มีความเชื่อแท้จริง และใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น หลังจากเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันก็ไม่อยากสู้กับสถานการณ์นั้นอีก แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น ฉันก็อยากนบนอบอย่างแท้จริง และยังอุทิศตนต่อพระเจ้า
จากนั้น ฉันอ่านพระวจนะอีกบทตอน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในประสบการณ์ชีวิตของผู้คนนั้น พวกเขามักคิดถึงตัวเองว่า ฉันได้ยอมทิ้งครอบครัวและงานของฉันเพื่อพระเจ้าแล้ว และพระองค์ได้ประทานสิ่งใดให้ฉัน? ฉันต้องเพิ่มมันขึ้นและยืนยันมัน—ฉันได้รับพระพรใดๆ หรือยังในช่วงนี้? ฉันได้ให้ไปมากมายในช่วงระหว่างเวลานี้ ฉันได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และได้ทนทุกข์มากมาย—พระเจ้าได้ทรงมอบพระสัญญาใดๆ เป็นการตอบแทนแก่ฉันหรือยัง? พระองค์ได้ทรงจดจำความประพฤติดีๆ ของฉันหรือยัง? บทอวสานของฉันจะเป็นอย่างไร? ฉันสามารถได้รับพระพรของพระเจ้าได้หรือไม่?…ทุกบุคคลทำการคิดคำนวณเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอภายในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาทำการร้องขอจากพระเจ้าซึ่งเป็นแรงจูงใจ ความทะเยอทะยาน และความคิดแบบแลกเปลี่ยนของพวกเขา กล่าวคือ ในหัวใจของเขานั้น มนุษย์กำลังทดสอบพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ คิดวางแผนเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ โต้แย้งเรื่องราวเพื่อบทอวสานแต่ละอย่างของพวกเขาเองกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ และพยายามที่จะคัดรายงานแถลงจากพระเจ้า โดยดูว่าพระเจ้าสามารถประทานสิ่งที่เขาต้องการให้แก่เขาหรือไม่ ในเวลาเดียวกันกับที่ไล่ตามเสาะหาพระเจ้านั้น มนุษย์ก็ไม่ปฏิบัติกับพระเจ้าดังเช่นพระเจ้า มนุษย์พยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้าอยู่เสมอ ทำข้อเรียกร้องจากพระองค์อย่างไม่หยุดหย่อน และแม้กระทั่งกดดันพระองค์ในทุกขั้นตอน โดยหลังจากได้คืบแล้วก็พยายามที่จะเอาศอก ในเวลาเดียวกันกับที่พยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า มนุษย์ก็ยังโต้แย้งกับพระองค์ด้วย และมีแม้กระทั่งผู้คนที่มักจะกลายเป็นอ่อนแอ อยู่นิ่งเฉย และหย่อนยานในงานของพวกเขา และเต็มไปด้วยการร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้าเมื่อการทดสอบตกมาถึงพวกเขาและเต็มไปด้วยคำติเตียนเกี่ยวกับพระเจ้า จากเวลาที่มนุษย์ได้เริ่มเชื่อในพระเจ้านั้น เขาได้พิจารณาว่าพระเจ้าทรงเป็นความอุดมสมบูรณ์ เป็นมีดพับสวิส และเขาได้พิจารณาตัวเขาเองว่าเป็นเจ้าหนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า ราวกับว่าการพยายามได้รับพระพรและพระสัญญาจากพระเจ้านั้นเป็นสิทธิ์และภาระผูกพันประจำตัวของเขา ในขณะที่หน้าที่รับผิดชอบของพระเจ้าคือการคุ้มครองปกป้องและดูแลมนุษย์ และการจัดเตรียมให้กับเขา เช่นนั้นเองคือความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ ‘การเชื่อในพระเจ้า’ ของพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่เชื่อในพระเจ้า และเช่นนั้นคือความเข้าใจส่วนลึกที่สุดของพวกเขาเกี่ยวกับมโนทัศน์แห่งการเชื่อในพระเจ้า จากเนื้อแท้แห่งธรรมชาติของมนุษย์ไปจนถึงการไล่ตามเสาะหาในใจของเขา ไม่มีสิ่งใดที่สัมพันธ์กับความยำเกรงพระเจ้าเลย จุดมุ่งหมายของมนุษย์ในการเชื่อในพระเจ้าไม่สามารถเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์ไม่เคยได้พิจารณาหรือเข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าจำเป็นต้องมีการยำเกรงและการนมัสการพระเจ้า เนื่องจากสภาพเงื่อนไขเช่นนั้น เนื้อแท้ของมนุษย์ก็ชัดแจ้ง เนื้อแท้นี้คือสิ่งใด? มันก็คือหัวใจของมนุษย์นั้นมุ่งร้าย เก็บงำการทรยศหักหลังและการหลอกลวง ไม่รักความยุติธรรมและความชอบธรรมและสิ่งที่เป็นเชิงบวก และมันน่าเหยียดหยามและโลภ หัวใจของมนุษย์ไม่สามารถใกล้ชิดกับพระเจ้าได้มากขึ้น เขาไม่ได้มอบมันให้แก่พระเจ้าเลย พระเจ้าไม่เคยทรงมองเห็นหัวใจที่แท้จริงของมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่เคยได้รับการนมัสการโดยมนุษย์ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงจ่ายราคาที่ยิ่งใหญ่เพียงใด หรือพระองค์ทรงพระราชกิจมากเพียงใด หรือพระองค์ทรงจัดเตรียมให้มนุษย์มากเพียงใด มนุษย์ยังคงมืดบอดและไม่แยแสอย่างสิ้นเชิงต่อการนั้นทั้งหมด มนุษย์ไม่เคยได้มอบหัวใจของเขาแด่พระเจ้า เขาเพียงต้องการที่จะเอาใจใส่หัวใจของเขาด้วยตัวเอง ที่จะทำการตัดสินใจของเขาเองเท่านั้น—ซึ่งความนัยก็คือว่ามนุษย์ไม่ต้องการที่จะติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว หรือที่จะเชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า อีกทั้งเขาไม่ต้องการนมัสการพระเจ้าในฐานะพระเจ้า เช่นนั้นคือสภาวะของมนุษย์ในปัจจุบัน” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2) พระวจนะเปิดเผยสภาวะแท้จริงของฉัน และทำให้ฉันละอายมาก ความเชื่อของฉันมีเพื่อให้ได้พระพรเท่านั้น และแม้ว่าฉันจะทุ่มเทตัวเองเพื่อพระเจ้า ท้ายที่สุดแล้วทั้งหมดก็เพื่อให้ได้รับบำเหน็จรางวัลจากพระองค์ ฉันรับใช้พระเจ้าอย่างแข็งขัน ทุ่มเทเวลาและพลังงานไปมาก เพราะหวังว่าจะทรงอวยพร และประทานพระคุณให้ ฉันจะได้ลงเอยที่ได้งานเงินเดือนสูง และอยู่ในด้านที่ฉันเรียนมา แล้วฉันจะมีความสุข ไม่ต้องการอะไรอีก และฉันกับครอบครัวก็จะไม่ทนทุกข์อีก นั่นคือความคิดและเป้าหมายของฉันค่ะ แต่หลังจากที่เชื่อมาสองปีกว่า พระพรที่ฉันไล่ตามเสาะหาก็ไม่เป็นจริงสักที ตอนที่ฉันไม่ได้งานที่ฉันหวังเอาไว้ แรงขับที่จะติดตามและรับใช้พระเจ้าก็หมดไป ข้อเท็จจริงพวกนี้แสดงให้ฉันเห็นว่า ฉันโกงพระเจ้ามาโดยตลอด ทำข้อตกลงกับพระองค์ ดูเหมือนว่า ฉันทำงานหนักเพื่อพระเจ้า ไปร่วมชุมนุมและทำหน้าที่อย่างแข็งขัน แต่ความจริงแล้ว ฉันมีแรงจูงใจแฝง เพื่อให้ได้พระคุณและพระพรจากพระเจ้ามากขึ้น ความรู้แจ้งในพระวจนะ เผยความเห็นแก่ตัวของฉัน ฉันคิดถึงแต่ตัวเอง และครอบครัวของฉัน บังคับขู่เข็ญเอาจากพระเจ้า เรียกร้องต่อพระองค์มากเกินควร ฉันไม่ทำกับพระองค์เหมือนพระเจ้า และไม่นมัสการพระองค์จริงๆ ฉันเรียกร้องค่าตอบแทนราวกับพระองค์เป็นลูกหนี้ ให้พระองค์ทรงโปรดปรานฉันเป็นพิเศษ ใช้พระองค์สนองความอยากของฉัน พระเจ้าทรงมอบชีวิตให้เราแล้ว และทรงมอบความจริงให้เรามากมายอย่างไม่มีเงื่อนไข พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และทนทุกข์อย่างมากเพื่อช่วยเรามนุษย์ที่เสื่อมทรามให้รอด ทั้งหมดก็เพื่อให้เราได้รับความจริง ละทิ้งความเสื่อมทราม และถูกพระเจ้าช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ ความรักของพระเจ้านั้นมหาศาล และทรงมอบพระคุณให้เรามากมาย แต่ฉันมองไม่เห็นความรักของพระเจ้า และไม่เคยสนใจน้ำพระทัยของพระองค์ ฉันรู้แต่วิธีเรียกร้อง ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลเลย! พระวจนะเปิดเผยสภาวะที่แท้จริงของฉันเสมอ ถ้าฉันใช้การพลีอุทิศเพื่อเรียกร้องพระพรที่ต้องการจากพระเจ้า ทำกับหน้าที่เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยน ความเชื่อและการรับใช้แบบนั้นก็เหมือนการทำงานให้เจ้านายในโลกข้างนอก แค่เพื่อให้ได้บางอย่างกลับมา ขาดความจริงใจอย่างสิ้นเชิง
ต่อมา ฉันก็อ่านพระวจนะอีกบทตอน บทตอนสุดท้ายใน “พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์” “ไม่ว่าพวกเขาจะถูกทดสอบอย่างไร ความสวามิภักดิ์ของบรรดาผู้ที่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่สำหรับพวกที่ไม่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา ทันทีที่พระราชกิจของพระเจ้าไม่เป็นประโยชน์ต่อเนื้อหนังของพวกเขาแล้ว พวกเขาย่อมเปลี่ยนทัศนะที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า และอาจถึงขั้นแยกห่างจากพระเจ้า เช่นนั้นคือพวกที่จะไม่ตั้งมั่นในเบื้องปลาย พวกที่แสวงหาเพียงพรของพระเจ้าและไม่มีความพึงปรารถนาที่จะสละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้าและมอบอุทิศตัวพวกเขาเองแด่พระองค์ ผู้คนต่ำช้าเช่นนั้นทั้งหมดจะถูกขับไล่เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไปถึงบทอวสาน และพวกเขาไม่ควรค่าแก่ความเห็นอกเห็นใจใดๆ พวกที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์ย่อมไม่สามารถรักพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ เมื่อสภาพแวดล้อมมีความปลอดภัยและมั่นคงหรือเมื่อมีผลกำไรให้ทำ พวกเขาจะเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเต็มที่ แต่เมื่อสิ่งที่พวกเขาอยากได้อยากมีถูกประนีประนอมลงมาหรือถูกหักล้างในที่สุด พวกเขาก็ลุกฮือทันที แม้แต่ในระยะชั่วข้ามคืนเท่านั้น พวกเขาก็อาจเปลี่ยนจากบุคคลที่ยิ้มแย้มและ ‘ใจดี’ เป็นฆาตกรที่น่าเกลียดและดุดัน ที่พลันปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณในวันวานของพวกเขาประดุจศัตรูคู่อาฆาตของพวกเขาโดยไม่มีเหตุผลใดๆ หากผีเหล่านี้ไม่ถูกไล่ออกไป ผีเหล่านี้ซึ่งจะลงมือฆ่าโดยไม่มีการกะพริบตา พวกมันจะไม่กลายเป็นอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่หรือ?” (พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พระวจนะบอกเรา ว่าคนที่มีพระเจ้าในหัวใจ จึงจะยืนหยัดเป็นพยานผ่านบททดสอบได้ แต่คนที่ไม่มีพระเจ้าในหัวใจ ย่อมคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง เมื่อพวกเขาได้ผลประโยชน์ทางเนื้อหนัง ก็บังคับตัวเองให้เชื่อฟัง แต่ทันทีที่พวกเขาไม่ได้ตามต้องการ พวกเขาก็เห็นพระเจ้าเป็นศัตรู ตำหนิ และหักหลังพระองค์ พระเจ้าทรงเกลียดคนแบบนี้และจะกำจัดทิ้ง พวกเขาเหมือนพวกผี พอไตร่ตรองพระวจนะฉันก็ตระหนักว่า ฉันเป็นคนแบบนั้นเลยไม่ใช่เหรอ? ความเชื่อของฉันก็เพื่อพระพร ตราบใดที่คนในครอบครัวของฉันแข็งแรงดี และมีการงานที่ดี ฉันก็พร้อมทำงานหนักให้พระเจ้า แต่พอสิ่งเหล่านั้นไม่เป็นไปตามที่ฉันต้องการ ฉันก็หยุดงานประท้วง และร้องทุกข์ต่อพระเจ้า ฉันไม่อุทิศตนหรือนบนอบต่อพระเจ้า ความเชื่อในพระเจ้าของฉันไม่จริงใจ ฉันกำลังโกงพระเจ้า ทำข้อตกลง และพระองค์ทรงไม่มีทางยอมรับความเชื่อแบบนั้น พระเจ้าทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะให้เสร็จสิ้นในยุคสุดท้าย พวกเขาหันหัวใจเข้าหาพระเจ้าได้ และอยู่เพื่อสนองพระองค์ พวกเขามีใจตั้งมั่นที่จะทนทุกข์เพื่อพระเจ้า และสามารถยืนหยัดผ่านความทุกข์ลำบากเหมือนโยบ เพื่อเป็นพยานได้ ท้ายที่สุดพระเจ้าก็จะทำให้พวกเขาเพียบพร้อม และพวกเขาเท่านั้นที่พระองค์ทรงเห็นชอบและอวยพร โยบทนทุกข์อย่างมากผ่านบททดสอบของเขา แต่เขาไม่เคยติเตียนพระเจ้าสำหรับความทุกข์ของตัวเอง ที่จริง ความเชื่อในพระเจ้าของเขาไม่เคยหวั่นไหวเลย และเมื่อเขาสูญเสียลูกๆ และทรัพย์สินทั้งหมด เขาก็ยังสรรเสริญพระนาม และนบนอบต่อกฎของพระองค์ได้ เขาคือพยานที่ดังกึกก้องให้แก่พระเจ้า แต่ดูฉันสิ ฉันห่างไกลจากข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าจริงๆ
วันหนึ่ง ฉันอ่านพระวจนะบทตอนนี้ บทตอนสุดท้ายใน “เจ้าจงรักภักดีต่อใคร?” “หากเราจะวางเงินจำนวนหนึ่งตรงหน้าพวกเจ้าตอนนี้ และให้พวกเจ้ามีอิสระในการเลือก—และหากเราไม่กล่าวโทษพวกเจ้าเนื่องจากตัวเลือกของพวกเจ้า—เมื่อนั้น พวกเจ้าส่วนใหญ่คงจะเลือกเงินและละทิ้งความจริง คนที่ดีกว่าในหมู่พวกเจ้าคงจะยอมละทิ้งเงินและเลือกความจริงอย่างลังเล ในขณะที่ผู้ที่อยู่ระหว่างกลางคงจะหยิบฉวยเงินไว้ในมือข้างหนึ่งและความจริงไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว ธาตุแท้ของพวกเจ้าจะไม่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดหรอกหรือ? เมื่อต้องเลือกระหว่างความจริงและสิ่งใดก็ตามที่พวกเจ้าจงรักภักดี พวกเจ้าจะเลือกตัวเลือกนี้กันทุกคน และทัศนคติของพวกเจ้าก็จะยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ? มีผู้คนไม่มากนักในหมู่พวกเจ้าที่ได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างถูกและผิดมิใช่หรือ? ในการแข่งกันระหว่างด้านบวกกับด้านลบ ดำและขาว พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างแน่นอนถึงตัวเลือกที่พวกเจ้าได้เลือกระหว่างครอบครัวกับพระเจ้า ลูกๆ กับพระเจ้า สันติสุขกับการแตกแยก ความร่ำรวยกับความยากจน สถานภาพกับความธรรมดาสามัญ การได้รับการสนับสนุนกับการถูกทิ้งขว้าง เป็นต้น ระหว่างครอบครัวที่สงบสุขกับครอบครัวที่แตกแยก พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก และเลือกเช่นนั้นโดยไม่ลังเล ระหว่างความร่ำรวยและหน้าที่ พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรกอีกครั้ง และยิ่งขาดความตั้งใจที่จะกลับเข้าฝั่ง[ก] ระหว่างความหรูหราฟุ่มเฟือยกับความยากจน พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก เมื่อต้องเลือกระหว่างบุตรชาย บุตรสาว ภรรยาและสามีของพวกเจ้า กับเรา พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก และระหว่างมโนคติอันหลงผิดกับความจริง พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้เผชิญกับการกระทำอันชั่วร้ายทั้งหลายในทุกรูปแบบของพวกเจ้า เราก็เพียงหมดความเชื่อในตัวพวกเจ้าแล้วเท่านั้น เราเพียงประหลาดใจเท่านั้นที่หัวใจของพวกเจ้าต้านทานการทำให้อ่อนลงยิ่งนัก ชัดเจนแล้วว่าหลายปีแห่งการมอบอุทิศและความพยายามนั้นไม่ได้นำพาอะไรมาให้เรามากไปกว่าการทอดทิ้งและความสิ้นหวังของพวกเจ้า แต่ความหวังของเราที่มีต่อพวกเจ้าเติบโตไปพร้อมกับแต่ละวันที่ผ่านไป เนื่องจากวันของเราได้ถูกแผ่วางต่อหน้าทุกคนอย่างสมบูรณ์แล้ว กระนั้น พวกเจ้าก็ยังยืนกรานที่จะแสวงหาสิ่งที่มืดมนและชั่วร้ายทั้งหลาย และปฏิเสธที่จะคลายมือของเจ้าที่ยึดจับสิ่งเหล่านั้นไว้ เช่นนั้นแล้ว บทอวสานของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร? พวกเจ้าเคยให้การคิดคำนึงถึงเรื่องนี้อย่างรอบคอบหรือไม่? หากพวกเจ้าถูกขอให้เลือกอีกครั้ง แล้วจุดยืนของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร? มันจะยังคงเป็นอย่างแรกอยู่อีกหรือไม่? พวกเจ้ายังจะนำความผิดหวังและความโศกเศร้าที่น่าเวทนามาสู่เราอยู่หรือไม่? หัวใจของพวกเจ้ายังจะมีความอบอุ่นอันน้อยนิดเพียงอย่างเดียวอยู่หรือไม่? พวกเจ้ายังจะไม่ตระหนักรู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อชูใจเราอยู่หรือไม่? ณ เวลานี้ พวกเจ้าจะเลือกอะไร? เจ้าจะนบนอบต่อวจนะของเราหรือจะเหนื่อยล้าต่อวจนะเหล่านั้น? วันของเราได้ถูกแผ่วางต่อสายตาของพวกเจ้าแล้ว และสิ่งที่พวกเจ้าเผชิญคือชีวิตใหม่และจุดเริ่มต้นใหม่ อย่างไรก็ตาม เราต้องบอกพวกเจ้าว่าจุดเริ่มต้นนี้ไม่ใช่การเริ่มต้นของงานใหม่ที่ผ่านมา แต่เป็นการสรุปปิดตัวของงานเก่า นั่นคือ นี่เป็นฉากสุดท้าย เราคิดว่าพวกเจ้าทุกคนสามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งใดที่ผิดปกติเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นนี้ อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งในไม่ช้า พวกเจ้าจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของจุดเริ่มต้นนี้ ดังนั้น เรามาเคลื่อนผ่านมันไปด้วยกันและต้อนรับฉากสุดท้ายที่จะมาถึงกันเถิด!” (พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พระวจนะนั้นสะเทือนใจฉันมาก และฉันเห็นว่าผู้คนมีธรรมชาติหักหลังพระเจ้าจริงๆ เรารักแต่ทรัพย์สมบัติ เงินทอง สถานะ และชื่อเสียง ไม่ใช่ความจริง แม้ว่าพระเจ้าทรงรังเกียจธรรมชาติของเรา ก็ทรงไม่ใส่ใจความกบฏและเสื่อมทรามของเรา แต่ทรงดูว่าตอนนี้เราไล่ตามความจริงหรือไม่ เรากลับใจและเปลี่ยนแปลงแล้วหรือไม่ พระเจ้าทรงอยากช่วยเราให้รอดจากอิทธิพลของซาตานโดยสมบูรณ์และนำเราเข้าสู่ราชอาณาจักร แต่ฉันไม่เห็นค่าพระคุณของพระเจ้า หรือไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันจดจ่อกับการหางานที่ดี มีเงินเดือนสูงๆ ปรารถนาทรัพย์สมบัติ และสิ่งชูใจ ฉันโง่เขลามากค่ะ! มีเพียงความจริงที่ช่วยให้รอด ชำระความเสื่อมทรามของเรา ให้เราแยกแยะดีชั่ว และพ้นจากการหลอกลวงและภัยของซาตานได้ การเข้าใจความจริงช่วยให้เรารู้จักพระเจ้า รู้วิธีใช้ชีวิต วิธีหาความหมายอย่างคนคนหนึ่งได้ การไล่ตามเงินทองและความสุขทางวัตถุ มีแต่ทำให้ฉันห่างจากพระเจ้า ทำให้ฉันยิ่งเสื่อมทราม ละโมบและหลงผิด เสียโอกาสได้รับความรอด ดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกพวกท่านอีกว่า ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ยังง่ายกว่าที่คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า” (มัทธิว 19:24) การรวยเกินไป สบายเกินไป ก็ใช่ว่าจะดี สุภาษิตกล่าวว่า “และการที่คนโง่หลงเพลิดเพลินก็ทำลายตนเอง” (สุภาษิต 1:32) องค์พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราว่า “เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายและกล่าวว่าจะเอาอะไรกิน? หรือจะเอาอะไรดื่ม? หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม? เพราะว่าบรรดาคนต่างชาติแสวงหาสิ่งทั้งปวงนี้ แต่ว่าพระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการสิ่งทั้งปวงนี้ แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้” (มัทธิว 6:31-33) ความวิบัติรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเตรียมตัวเองให้พร้อมไปด้วยความจริงและทำงานหนักในหน้าที่ ในหน้าที่ของเรา เราต้องละทิ้งความเสื่อมทราม และนบนอบต่อพระเจ้า เพื่อให้ควรค่าที่จะเป็นสิ่งทรงสร้างในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีสิ่งอื่นใดมีค่าหรือมีความหมาย ฉันเรียนรู้ด้วยว่า ไม่ว่าฉันจะพบงานที่ดีหรือไม่ ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ฉันพร้อมจะนบนอบต่อการจัดเตรียมของพระเจ้าและฝากชีวิตไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
ต่อมา ฉันก็อ่านพระวจนะอีกบทตอน “ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งหรือไม่ หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา การได้รับพรคือเมื่อใครบางคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้ชื่นชมกับพรของพระเจ้าหลังได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา การถูกสาปแช่งคือเมื่ออุปนิสัยของใครบางคนไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาแล้ว คือตอนที่พวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแต่ถูกลงโทษ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่เป็นสิ่งที่น้อยที่สุดที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำ เจ้าไม่ควรทำหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น และเจ้าไม่ควรปฏิเสธที่จะกระทำเพราะกลัวถูกสาปแช่ง เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้าว่า การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์) ฉันได้เรียนรู้จากบทตอนนี้ว่า ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงมอบโชคหรือภัยพิบัติให้เรา เราต้องทำหน้าที่ของตัวเอง และทำตามพระบัญชา นี่คือความรับผิดชอบอย่างไม่มีเงื่อนไขของเรา พอฉันคิดย้อนไป หลังจากประสบความล้มเหลวบ้างในการไล่ตามเสาะหางานที่มั่นคงและน่านับถือ ฉันก็หดหู่และคิดลบจริงๆ ไม่อยากทำหน้าที่ของตัวเองอีกต่อไป นั่นไม่ใช่ท่าทีที่ถูกต้องต่อหน้าที่ของฉัน พระเจ้า ทรงบอกเราว่า ในฐานะสิ่งทรงสร้าง เราทุกคนต้องรับผิดชอบทำในส่วนของตน ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงให้เราพบเจออะไร ไม่ว่าเราจะรู้สึกอ่อนแอ หรือไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราต่อไป เราเป็นสิ่งทรงสร้างที่ควรนบนอบต่อพระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข เราไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรหรือทำข้อตกลงกับพระองค์ ในฐานะสิ่งทรงสร้าง การทำในส่วนของเราเป็นภาระหน้าที่ของเรา และไม่มีการแลกเปลี่ยนใดทำให้แปดเปื้อนได้! มันถูกต้องและเหมาะสม เป็นครรลองของสรรพสิ่ง เหมือนกับลูกๆ กตัญญูต่อพ่อแม่
หลังจากนั้น ฉันก็ทำหน้าที่อย่างจริงจังมากขึ้น และทุ่มเทตัวเองเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐ การใช้ชีวิตในทางนี้ รู้สึกสงบสุขมากค่ะ วันหนึ่ง มีโรงเรียนหนึ่งเชิญฉันไปสัมภาษณ์งาน โรงเรียนนั้นมีชื่อเสียงมากจริงๆ ฉันรู้เลยว่าถ้าได้งานนี้ ฉันก็จะได้เงินเดือนสูง แต่ระหว่างการสัมภาษณ์ ฉันกล่าวอธิษฐานในใจ “พระเจ้า พระองค์ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าข้าพระองค์จะตอบสัมภาษณ์ได้ดีหรือไม่ ข้าฯ ก็ไม่ขอเรียกร้องงานนี้จากพระองค์ ข้าพระองค์เพียงต้องการนบนอบต่อ การจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ ถึงข้าฯ จะไม่ได้งานนี้ ข้าฯ จะยังสรรเสริญพระองค์ และทำหน้าที่ต่อไป” เมื่อผลสอบข้อเขียนออกมา ฉันอยู่ในรายชื่อตัวจริงห้าคนแรก ฉันมีความสุขมากค่ะ สองวันต่อมา หลังจากสอบสัมภาษณ์ ฉันก็ไม่ได้รับเลือก เพื่อนของฉันบอกว่าเขาเป็นคนได้รับเลือก และแม้ว่าจะยินดีกับเขา ฉันก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้างเล็กน้อย ฉันขอให้พระเจ้าทรงมอบความสงบภายใน และเฝ้าดูแลใจฉัน เพื่อให้ฉันนบนอบต่อกฎของพระองค์ได้ หลังอธิษฐาน ใจฉันสงบมาก แล้วบ่ายวันนั้นก็ไปทำหน้าที่ตามปกติค่ะ ฉันรู้ว่า ถ้าพระเจ้าทรงต้องการให้ฉันทำงานที่โรงเรียนนั้น ฉันก็คงได้งานนั้นแล้ว แต่ถ้าไม่อย่างนั้น จะทำงานหนักแค่ไหนฉันก็เข้าไม่ได้ ฉันรู้สึกมั่นใจว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ในพระหัตถ์ และไม่มีใครมีอำนาจเหนือพระเจ้าได้ พอฉันคิดแบบนั้น ฉันก็รู้สึกถึงแรงผลักดันภายในนี้ และไม่ว่ายังไง ก็อยากทำหน้าที่ของฉันจริงๆ เพื่อรับผิดชอบต่องาน
เรื่องนี้สอนฉันจริงๆ ว่า สภาวะแวดล้อมที่ยากลำบากพวกนั้น ที่จริงแล้วคือพระคุณและพระพรของพระเจ้า พระเจ้าทรงให้ฉันผ่านทั้งหมดนั้นเพื่อทดสอบความเชื่อของฉัน และทรงดูว่าฉันจะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าผ่านเวลาที่ยากลำบากได้ไหม การเผชิญข้อเท็จจริงนั้น แสดงให้เห็นว่าความเชื่อของฉันปลอมปนแค่ไหน ว่าฉันมีความสามารถ ที่จะโกงพระเจ้า การทรงนำของพระวจนะช่วยให้ฉันเข้าใจตัวเองและแก้ไขการไล่ตามเสาะหาที่ผิดพลาดของฉันใหม่ หากมีแต่ความสะดวกสบาย ฉันก็คงไม่มีทางได้รับสิ่งเหล่านี้เลย ขอบคุณความรักของพระเจ้า!
เชิงอรรถ:
ก. กลับเข้าฝั่ง: สุภาษิตจีน หมายถึง “กลับมาจากหนทางชั่วร้ายของเรา”
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ