หน้าที่ของฉันกลายเป็นเชิงธุรกรรมแลกเปลี่ยนได้อย่างไร
โดย ไฉ่ น่า, ประเทศจีน ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2017 ฉันทนทุกข์กับอาการความดันโลหิตสูง...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ฉันเกิดมาในครอบครัวคริสเตียนและยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตอนอายุหกสิบปี ฉันรู้สึกโชคดีมากที่ได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าในยุคสุดท้ายและได้ยอมรับพระราชกิจช่วงสุดท้ายของพระเจ้า อีกทั้งความฝันของฉันที่จะได้รับการช่วยให้รอดและได้เข้าสู่ราชอาณาจักรจะเป็นจริงในไม่ช้า ดังนั้นตราบใดที่ฉันตั้งใจทำหน้าที่และพลีอุทิศ ฉันก็จะมีโอกาสได้รับความรอดของพระเจ้า หลังจากนั้น ฉันจึงทุ่มสุดตัวให้กับหน้าที่ที่คริสตจักรมอบหมายมา ขนาดอายุเจ็ดสิบฉันก็ยังสามารถปั่นจักรยานและทำธุระบางอย่างให้คริสตจักรได้ ฉันเดินขึ้นลงบันไดเพื่อทำหน้าที่ ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเลย ฉันมีความสุขที่ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ยิ่งแก่ตัวลง อายุที่มากขึ้นก็ส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย และร่างกายฉันก็ไม่เหมือนเดิม เมื่อคำนึงถึงเรื่องสุขภาพของฉัน คริสตจักรจึงมอบหมายให้ฉันทำหน้าที่เจ้าบ้านอยู่ที่บ้าน ฉันรู้สึกผิดหวังทีเดียว พอฉันอายุมากขึ้นเรื่อยๆ สายตาของฉันก็เสื่อมถอย และฉันไม่สามารถปั่นจักรยานไปทำหน้าที่ได้อีกต่อไป สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือทำหน้าที่เจ้าบ้าน ถ้าฉันแก่ลงเรื่อยๆ แล้วไม่สามารถทำหน้าที่ใดได้อีก ฉันจะยังได้รับการช่วยให้รอดอยู่ไหม? ฉันนึกไปว่าจะดีแค่ไหนหากฉันอายุน้อยกว่านี้สักสองสามปี และฉันก็อิจฉาพี่น้องชายหญิงที่อายุน้อยที่สามารถเดินทางไปทำงานเพื่อพระเจ้าได้จริงๆ
เดือนมีนาคม ค.ศ. 2022 ผู้นำคริสตจักรจัดแจงให้ฉันไปเกื้อหนุนน้องหยู่ซิน เธออายุ 78 ปี และไปไหนมาไหนลำบากเพราะเรื่องสุขภาพ และเธอก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ใดๆ ได้แล้ว พอเห็นว่าเธออยู่ในสภาวะไหน ฉันก็รู้สึกเศร้าและทุกข์ใจ ตัวฉันอายุแปดสิบกว่าแล้ว แก่กว่าน้องหยู่ซินด้วยซ้ำ สุขภาพฉันก็ไม่เหมือนเคย และฉันไม่รู้ว่าวันหนึ่งตัวเองจะป่วยจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้เหมือนกันไหม ถึงตอนนั้นฉันจะมีประโยชน์อะไร? ถ้าฉันไม่สามารถทำหน้าที่ได้อีกแล้ว ฉันจะยังมีหวังในความรอดไหม? ยิ่งคิดเรื่องนี้ฉันก็ยิ่งรู้สึกกลุ้มใจมากขึ้นทุกที ต่อมา ฉันก็ล้มป่วยเช่นเดียวกัน ครั้งหนึ่ง ฉันรู้สึกเวียนหัวขณะตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก แล้วพอตอนเช้าฉันก็ลุกออกจากเตียงไม่ไหว ฉันรู้สึกตาพร่าจนลืมตาไม่ขึ้น ฉันอาเจียนและท้องเสีย และดื่มน้ำไม่ลงด้วยซ้ำ สามีของฉันโทรเรียกลูกสาวของเราให้มาดูแลฉัน พอผ่านไปสองวัน ในที่สุดฉันก็เริ่มฟื้นตัว ฉันไม่ได้ทำให้หน้าที่หยุดชะงัก แต่ฉันก็อ่อนแอมาก และไม่มีเรี่ยวแรงทำอะไรทั้งสิ้น ฉันกินข้าวไม่ลง รู้สึกวิงเวียนและผะอืดผะอม ฉันกังวลว่าในฐานะคนสูงอายุที่สุขภาพทรุดโทรมลงไปทุกวัน ถ้าฉันป่วยแบบนั้นอีก ฉันจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วแบบนั้นไหม? ถ้าฉันไม่ดีขึ้นในเวลาอันสั้นและจำเป็นต้องมีคนมาดูแล ฉันจะไม่สามารถทำหน้าที่ใดได้ แบบนั้นฉันจะไม่กลายเป็นคนไร้ประโยชน์เหรอ? ฉันสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรโดยไร้ซึ่งหน้าที่ได้ไหม? ถ้าอายุน้อยกว่านี้สักสองสามปีคงจะดีไม่น้อย เพราะเมื่อยี่สิบปีก่อนตอนที่ฉันเพิ่งยอมรับพระราชกิจช่วงระยะนี้ ฉันไม่กลัวที่จะทำอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าคริสตจักรมอบหมายให้ทำอะไร จะใกล้หรือไกล ฉันก็ทำให้เสร็จได้ พอมีหน้าที่ ฉันก็มีหวังที่จะได้รับการอวยพรมากขึ้น แต่ฉันไม่อาจย้อนเวลากลับไปได้ และฉันก็ไม่เหมาะกับหน้าที่ไหนเลย ฉันเลยแค่ทำให้พอพ้นไปวันๆ กว่าจะรู้ตัว ฉันก็ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะคิดลบและเข้าใจผิดเสียแล้ว สภาวะของฉันแย่ลงเรื่อยๆ ฉันหมดใจในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า และไม่มีแรงขับเคลื่อนที่จะทำอะไรทั้งนั้น ฉันไม่ทุ่มเทหัวใจให้การทำหน้าที่เหมือนแต่ก่อน ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนว่าตอนนี้พอข้าพระองค์แก่ตัวลงและไม่อาจทำหน้าที่ได้มากนัก ข้าพระองค์ก็หมดหวังที่จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรและถูกช่วยให้รอด ข้าพระองค์ผิดหวังจริงๆ ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานความเชื่อและทรงนำข้าพระองค์ ให้ข้าพระองค์ไม่ถูกความชราฉุดรั้ง และให้ข้าพระองค์สามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ และออกจากสภาวะนี้ได้ด้วยเถิด”
เมื่อฉันได้อ่านพระวจนะบางส่วนของพระเจ้า สภาวะของฉันเริ่มกลับมาดีขึ้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ยังมีผู้สูงอายุในหมู่พี่น้องชายหญิง ซึ่งอยู่ในวัยตั้งแต่ 60 ไปจนถึงประมาณ 80 หรือ 90 ปี และเพราะสูงวัยจึงพลอยประสบความลำบากบางอย่างไปด้วย แม้จะมีอายุ แต่การคิดอ่านของพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องถูกต้องหรือเป็นเหตุเป็นผลนัก แนวคิดและทัศนะของพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามความจริง คนสูงอายุเหล่านี้มีปัญหาเหมือนกันเลย พวกเขาวิตกกังวลเสมอว่า ‘สุขภาพของฉันไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว และฉันก็มีข้อจำกัดว่าจะปฏิบัติหน้าที่อะไรได้บ้าง ถ้าฉันเอาแต่ปฏิบัติหน้าที่เล็กๆ นี้ พระเจ้าจะทรงจดจำฉันหรือไม่? บางครั้งฉันไม่สบาย และต้องมีใครสักคนดูแล เวลาที่ไม่มีใครคอยดูแล ฉันก็ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองไม่ได้ แล้วฉันจะสามารถทำอะไรได้? ฉันแก่แล้ว เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าก็จำพระวจนะไม่ได้ และเข้าใจความจริงได้ยาก เวลาสามัคคีธรรมความจริง ฉันก็พูดจาเลอะเลือน ไม่เป็นเหตุเป็นผล และฉันก็ไม่มีประสบการณ์อะไรที่ควรค่าแก่การแบ่งปัน ฉันแก่แล้ว ไม่มีกำลังวังชามากพอ สายตาก็ไม่ดีนัก และฉันก็ไม่ได้แข็งแรงอีกแล้ว ทุกสิ่งยากลำบากสำหรับฉัน ไม่เพียงฉันจะปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองไม่ไหวเท่านั้น แต่ฉันยังลืมง่ายและผิดพลาดง่าย บางครั้งฉันก็สับสนและก่อปัญหาให้คริสตจักรและพี่น้องชายหญิง ฉันอยากบรรลุความรอดและไล่ตามเสาะหาความจริง แต่นั่นก็ยากมาก ฉันจะทำอะไรได้?’… โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผู้สูงอายุบางคนที่อยากใช้เวลาทั้งหมดของตนในการสละตนเพื่อพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา แต่สุขภาพของพวกเขานั้นไม่ดี บ้างก็มีความดันโลหิตสูง บ้างก็มีน้ำตาลในเลือดสูง บ้างก็มีปัญหาด้านระบบทางเดินอาหาร และเรี่ยวแรงของพวกเขาก็ไม่สามารถตอบสนองตามที่หน้าที่ของตนเรียกร้องได้ ดังนั้นพวกเขาจึงกลัดกลุ้ม พวกเขามองเห็นคนหนุ่มสาวสามารถกินและดื่ม วิ่งและกระโดด พวกเขาจึงรู้สึกอิจฉา ยิ่งพวกเขามองเห็นคนหนุ่มสาวทำเรื่องดังกล่าว พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจ คิดไปว่า ‘ฉันอยากทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ไล่ตามเสาะหาและเข้าใจความจริง และฉันก็อยากปฏิบัติความจริงด้วย แล้วทำไมถึงได้ยากอย่างนี้? ฉันแก่และไร้ประโยชน์เหลือเกิน! พระเจ้าไม่ทรงต้องการคนแก่หรือไร? คนแก่ไม่มีประโยชน์จริงหรือ? พวกเราบรรลุความรอดไม่ได้กระนั้นหรือ?’ ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรในเรื่องนี้ พวกเขาก็เศร้าและไม่อาจรู้สึกเป็นสุขได้ พวกเขาไม่อยากพลาดช่วงเวลาที่วิเศษเช่นนี้และโอกาสที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถสละตนและปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยหัวใจและดวงจิตทั้งดวงเหมือนคนหนุ่มสาวได้ คนสูงอายุเหล่านี้ตกอยู่ในความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลอย่างยิ่งก็เพราะอายุของตน ทุกครั้งที่พวกเขาพบเจอความลำบาก ปัญหา ความทุกข์ยาก หรืออุปสรรคบางอย่าง พวกเขาก็นึกโทษอายุของตนเอง ถึงกับเกลียดตัวเองและไม่ชอบตัวเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีทางออก และพวกเขาก็ไม่มีหนทางให้ไปต่อ เป็นไปได้หรือที่พวกเขาไม่มีหนทางให้ไปต่อจริงๆ? ไม่มีทางออกเลยหรือ? (คนสูงอายุก็ควรปฏิบัติหน้าที่ของตนให้มากเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้เช่นกัน) การที่คนสูงอายุปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้มากเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้นั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ถูกต้องไหม? คนสูงอายุไม่อาจไล่ตามเสาะหาความจริงได้อีกแล้วเพราะอายุของพวกเขากระนั้นหรือ? พวกเขาไม่สามารถเข้าใจความจริงได้กระนั้นหรือ? (พวกเขาสามารถ) คนสูงอายุสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่? พวกเขาสามารถเข้าใจได้บ้าง และแม้กระทั่งคนหนุ่มสาวก็ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดเช่นกัน ตลอดเวลาคนสูงอายุมีแนวคิดที่ผิดอยู่อย่างหนึ่ง เชื่อไปว่าตนนั้นสับสน ความจำไม่ดี ดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ พวกเขาเข้าใจถูกต้องหรือไม่? (ไม่) แม้คนหนุ่มสาวจะมีกำลังวังชามากกว่าคนสูงอายุมากนัก ร่างกายก็แข็งแรงกว่า แต่แท้จริงแล้วความสามารถในการทำความเข้าใจ จับใจความ และรับรู้ของพวกเขานั้นเหมือนกับของคนสูงอายุไม่มีผิด คนสูงอายุก็เคยเป็นหนุ่มเป็นสาวเช่นกันมิใช่หรือ? พวกเขาไม่ได้เกิดมาแก่ และสักวันหนึ่งคนหนุ่มสาวทุกคนก็จะแก่ตัวด้วย คนสูงอายุต้องไม่คิดอยู่ตลอดเวลาว่าเพราะตนเองแก่ ร่างกายอ่อนแอ สุขภาพไม่ดี และความจำก็ไม่ดี พวกเขาจึงต่างจากคนหนุ่มสาว ที่จริงแล้วไม่มีความแตกต่าง เวลาที่เราบอกว่าไม่มีความแตกต่าง เราหมายความว่าอย่างไร? ไม่ว่าใครบางคนจะแก่หรือเป็นหนุ่มเป็นสาว อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาย่อมเหมือนกัน ท่าทีและทัศนะที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ สารพัดรูปแบบย่อมเหมือนกัน มุมมองและจุดยืนที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ นานัปการย่อมเหมือนกัน ดังนั้นคนสูงอายุต้องไม่คิดว่าเพราะตนเองแก่ มีความอยากอันฟุ้งเฟ้อน้อยกว่าคนหนุ่มสาว และดำรงตนได้มั่นคงกว่า พวกเขาจึงไม่มีความทะเยอทะยานหรือความอยากได้อยากมีที่ฟุ้งซ่าน และมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามน้อยกว่า—นี่เป็นความคิดที่ผิด คนหนุ่มสาวสามารถวิ่งเต้นเพื่อตำแหน่ง แล้วคนสูงอายุไม่สามารถวิ่งเต้นเพื่อตำแหน่งกระนั้นหรือ? คนหนุ่มสาวอาจทำสิ่งที่ขัดต่อหลักธรรมและกระทำการตามอำเภอใจได้ แล้วคนสูงอายุทำเรื่องเดียวกันไม่ได้กระนั้นหรือ? (ทำได้) คนหนุ่มสาวโอหังได้ แล้วคนสูงอายุโอหังด้วยไม่ได้กระนั้นหรือ? อย่างไรก็ดี เวลาที่คนสูงอายุโอหัง เนื่องจากความสูงวัย พวกเขาจึงไม่ก้าวร้าวเท่าใดนัก แล้วก็ไม่ได้เป็นความโอหังที่ใหญ่โตอะไร คนหนุ่มสาวนั้นแสดงให้เห็นลักษณะที่โอหังได้ชัดเจนกว่าเพราะมีร่างกายและความรู้สึกนึกคิดที่ยืดหยุ่นกว่า ส่วนคนที่อายุมากกว่าย่อมแสดงลักษณะที่โอหังไม่ชัดเจนเท่าเพราะร่างกายแข็งเกร็งและความรู้สึกนึกคิดก็ไม่ยืดหยุ่น อย่างไรก็ดี แก่นแท้ของความโอหังและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขากลับเหมือนกัน ไม่ว่าคนสูงอายุจะเชื่อในพระเจ้ามานานเท่าใด หรือปฏิบัติหน้าที่ของตนมานานกี่ปี ถ้าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาย่อมจะยังมีอยู่… ดังนั้นไม่ใช่ว่าคนสูงอายุไม่มีอะไรทำ หรือปฏิบัติหน้าที่ของตนไม่ได้ และยิ่งไม่ใช่ว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ได้—มีหลายสิ่งหลายอย่างให้พวกเขาทำ ความคิดนอกรีตและเหตุผลวิบัติต่างๆ ที่เจ้าสะสมมาในช่วงชีวิตของตน รวมทั้งแนวคิดและมโนคติดั้งเดิมที่หลงผิด เรื่องที่ดื้อรั้นไม่รู้ความ เรื่องอนุรักษนิยม เรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล และเรื่องบิดเบือนทั้งหลายที่เจ้าสะสมเอาไว้ล้วนกองสุมอยู่ในหัวใจของเจ้า และเจ้าก็ควรใช้เวลาขุด ชำแหละ และตระหนักรู้เรื่องพวกนี้ให้มากกว่าคนหนุ่มสาวเสียอีก นี่ไม่ใช่เรื่องว่าเจ้าไม่มีอะไรทำ หรือเรื่องที่เจ้าควรรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลเมื่อเจ้าไม่รู้จะทำอะไร—นี่ไม่ใช่ทั้งกิจและความรับผิดชอบของเจ้า ก่อนอื่น คนสูงอายุควรมีวิธีคิดที่ถูกต้อง แม้เจ้าจะมีวัยที่ล่วงเลยไปทุกที และร่างกายก็ค่อนข้างมีอายุแล้ว แต่เจ้าก็ควรมีวิธีคิดที่เป็นหนุ่มเป็นสาว แม้เจ้าจะอายุมากขึ้น การคิดอ่านช้าลงและความจำก็ไม่ดี แต่ถ้าเจ้ายังคงทำความรู้จักตัวเองได้ ยังคงทำความเข้าใจวจนะที่เรากล่าวได้ และยังคงทำความเข้าใจความจริงได้ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้แก่และขีดความสามารถของเจ้าก็ไม่ได้บกพร่อง ถ้าใครบางคนมีอายุเจ็ดสิบกว่าปี แต่ไม่สามารถเข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วนี่ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีวุฒิภาวะน้อยเกินไปและมีความสามารถไม่ถึง เพราะฉะนั้น พอเป็นเรื่องของความจริง อายุจึงไม่มีความเกี่ยวข้อง” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) ฉันอ่านบทตอนนั้นอยู่หลายครั้ง พระวจนะของพระเจ้าตรงเข้าสู่หัวใจฉันจริงๆ เปิดเผยสภาวะที่ฉันเป็นอยู่พอดี ฉันเห็นว่าตอนนี้ฉันอายุมากแล้ว และสภาพร่างกายก็ไม่เหมือนเดิม ฉันจึงไม่สามารถเดินทางไปมาเพื่อทำหน้าที่ และทำได้แค่เป็นเจ้าบ้านอยู่ที่บ้านเท่านั้น พอฉันเห็นอาการของน้องหยู่ซินที่ต้องอยู่บ้านและไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ฉันก็กังวลเรื่องอายุของตัวเองจริงๆ ว่า ถ้าวันหนึ่งฉันไม่สามารถไปไหนมาไหนหรือทำหน้าที่ได้จริงๆ ฉันก็ไม่สามารถถูกช่วยให้รอดได้ เมื่อคิดว่าจะไม่ได้เข้าสู่ราชอาณาจักรฉันก็เจ็บปวดและกลุ้มใจจริงๆ อีกทั้งกังวลเกี่ยวกับบั้นปลายของตัวเอง ฉันใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่คิดลบและมองโลกในแง่ร้าย ไม่เหลือแรงใจที่จะทำอะไรเลย การอ่านพระวจนะของพระเจ้าดลใจฉันและทำให้หัวใจของฉันสว่าง ไม่ใช่ว่าผู้สูงอายุไม่มีทางเลือกและไม่อาจถูกช่วยให้รอด ไม่ใช่ว่าเราไม่สามารถทำหน้าที่หรือรับผิดชอบอะไรได้ การสูงอายุไม่ได้หมายความหัวใจของพวกเราแก่ชราและทำอะไรไม่ได้แล้ว คนสูงอายุยังสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้เหมือนก่อน อ่านพระวจนะของพระเจ้า และอธิษฐานในยามที่ควรทำ และทำหน้าที่ต่างๆ ที่ทำได้ตามปกติ พระเจ้าไม่เคยตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงเห็นชอบในตัวผู้สูงอายุเพราะพวกเขาทำหน้าที่ได้ไม่มากนัก อีกอย่าง ทั้งคนสูงอายุและคนหนุ่มสาวต่างก็มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และพวกเราทุกคนต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยเหล่านั้น โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุอย่างฉันที่ผ่านชีวิตในบ้าน ในโรงเรียน และในสังคมภายนอก พวกเราก่อร่างความคิด มโนคติอันหลงผิด และปรัชญาในชีวิตทุกรูปแบบขึ้นมา ดังนั้นปรัชญาเยี่ยงซาตาน ความนอกรีต ตรรกะวิบัติพวกนี้จึงสั่งสมอยู่ในหัวฉัน ฉันเป็นผู้เชื่อมาหลายปี แต่พิษร้ายเยี่ยงซาตานเหล่านี้ยังคงฝังลึกอยู่ในตัวฉันและกลายเป็นกฎในการเอาตัวรอดของฉัน บางครั้งเวลาฉันชุมนุมกับผู้อื่น ฉันก็สังเกตเห็นว่าบางคนใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ไม่ถูกต้องหรือเผยแพร่ความคิดลบ ฉันเห็นอย่างชัดเจนมากว่าสิ่งที่พวกเขาพูดกับผู้อื่นไม่น่าเจริญใจ แต่ฉันกลับเอาแต่เงียบเพื่อปกป้องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของตัวเอง ฉันใช้ชีวิตด้วยปรัชญาเยี่ยงซาตานที่ว่า “จงนิ่งเงียบต่อความผิดของเพื่อนสนิทเพื่อสร้างมิตรภาพอันดีงามและยาวนาน” ฉันไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง อึกอักที่จะก่อการล่วงเกิน และในการชุมนุม เวลาเราพูดถึงบางคนและบางเรื่องราวจากพระคัมภีร์ พี่น้องชายหญิงบางคนไม่เข้าใจ และฉันก็แสดงอุปนิสัยอันโอหังออกไป ฉันรู้สึกว่าในฐานะคริสเตียนที่อายุมาก ฉันรู้มากกว่าพวกเขา ฉันเลยจะอธิบายให้พวกเขาฟังไปเรื่อยๆ ใช้สิ่งนั้นเป็นต้นทุนในการอวดตัว เนื่องจากมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมากมายที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ฉันจึงควรรู้สึกถึงความเร่งด่วนมากกว่านี้ และทุ่มเทพยายามไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันควรแสวงหาความจริงให้มากขึ้นในเวลาที่เหลืออยู่เพื่อแก้ไขความเสื่อมทรามของตัวเอง มีหลายสิ่งที่ฉันควรทำ และมีความจริงมากมายที่ฉันควรเข้าสู่ อย่างไรก็ตาม ฉันกลับอิจฉาคนที่อายุน้อยอยู่เสมอที่มีสุขภาพดีและยังทำหน้าที่ได้หลายอย่าง คิดว่าพวกเขามีความหวังในความรอดมากกว่า ตอนนี้พอฉันไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ และหน้าที่ที่ทำได้ก็มีจำกัด ฉันก็กังวลว่าตัวเองจะไม่มีที่ในราชอาณาจักร ฉันจมลงสู่สภาวะคิดลบจนไม่สามารถออกมาได้ ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่โง่เขลาเหลือเกิน ฉันต้องมีท่าทีที่เหมาะสม ถึงแม้ฉันอายุมากกว่าและสังขารของฉันกำลังโรยรา ฉันก็ยังสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้ และฉันยังมีสำนึกและเหตุผลที่เป็นปกติอยู่ ฉันจึงไม่อาจเสียเวลาในการไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่อาจใช้ชีวิตในความทุกข์ใจและความวิตกกังวลต่อไปได้ เรื่องนี้ผ่านเข้ามาในพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้จริงๆ “แม้เจ้าจะอายุมากขึ้น การคิดอ่านช้าลงและความจำก็ไม่ดี แต่ถ้าเจ้ายังคงทำความรู้จักตัวเองได้ ยังคงทำความเข้าใจวจนะที่เรากล่าวได้ และยังคงทำความเข้าใจความจริงได้ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้แก่และขีดความสามารถของเจ้าก็ไม่ได้บกพร่อง” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) พระวจนะของพระเจ้าทำให้หัวใจของฉันสว่าง และฉันรู้สึกในทันทีว่าฉันมีบางอย่างที่ต้องเพียรพยายาม พระเจ้าตรัสว่าฉันไม่ได้ชรา ฉันจึงควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแข็งขันในเวลาที่เหลืออยู่ให้มากยิ่งขึ้น
ฉันยังได้อ่านพระวจนะที่บอกว่า “เราไม่ได้ตัดสินบั้นปลายของแต่ละบุคคลตามอายุ ความอาวุโส ระดับความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่ ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า) “ความปรารถนาของพระเจ้าคือการที่ทุกคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และเป็นผู้ที่พระองค์ทรงรับไว้ในท้ายที่สุด เป็นผู้ที่พระองค์ทรงชำระให้สะอาด และกลายเป็นประชากรที่พระองค์ทรงรัก ไม่สำคัญเลยกับการที่เรากล่าวว่าพวกเจ้าล้าหลังหรือมีขีดความสามารถอ่อนด้อย นี่คือข้อเท็จจริงทั้งสิ้น แต่การที่เรากล่าวเช่นนี้มิได้พิสูจน์ว่าเราตั้งใจที่จะละทิ้งพวกเจ้า ว่าเราได้สูญสิ้นความหวังในตัวพวกเจ้า และยิ่งไม่ได้พิสูจน์ว่าเราไม่เต็มใจที่จะช่วยพวกเจ้าให้รอด วันนี้เรามาเพื่อทำงานแห่งความรอดของพวกเจ้า ซึ่งหมายความว่างานที่เราทำคือการสานต่องานแห่งความรอด ทุกคนมีโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม กล่าวคือ หากว่าเจ้าเต็มใจ หากว่าเจ้าไล่ตามเสาะหา ในท้ายที่สุดเจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้ และพวกเจ้าจะไม่ถูกละทิ้งเลยสักคนเดียว หากเจ้ามีขีดความสามารถอ่อนด้อย ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าจะสอดคล้องกับขีดความสามารถอันอ่อนด้อยของเจ้า หากเจ้ามีขีดความสามารถสูง ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าก็จะสอดคล้องกับขีดความสามารถที่สูงของเจ้า หากเจ้าไม่รู้เท่าทันหรือไม่มีการศึกษา ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าก็จะสอดคล้องกับความไม่รู้หนังสือของเจ้า หากเจ้ามีการศึกษา ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าก็จะสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้ามีการศึกษา หากเจ้าเป็นคนสูงวัย ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าย่อมจะสอดคล้องกับวัยของเจ้า หากเจ้าสามารถให้การต้อนรับขับสู้ ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าก็จะสอดคล้องกับความสามารถนี้ หากเจ้าพูดว่าเจ้าไม่สามารถให้การต้อนรับขับสู้ และสามารถเพียงปฏิบัติหน้าที่หนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ หรือการดูแลคริสตจักร หรือการเข้าร่วมกิจการทั่วไปอื่นๆ การทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมของเราก็จะสอดคล้องกับหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ การจงรักภักดี การนบนอบจนถึงปลายทาง และการพยายามที่จะมีความรักสูงสุดให้แก่พระเจ้า—นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องสำเร็จลุล่วง และไม่มีการปฏิบัติใดที่ดีกว่าสามสิ่งนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์) พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าทำให้ฉันตื้นตันใจจริงๆ พระเจ้าทรงไม่เคยกำหนดจุดจบของใครตามขีดความสามารถ อายุ หรือจากที่ว่าพวกเขาทำหน้าที่ไปมากแค่ไหน พระเจ้าทรงดูเพียงว่าผู้คนอุทิศตนและเชื่อฟังพระองค์หรือไม่ ตราบใดที่ใครคนหนึ่งมุ่งมั่นไล่ตามเสาะหาความจริง อีกทั้งมีความเชื่อที่แท้จริงและรักความจริง พระเจ้าก็จะไม่ทรงทอดทิ้งพวกเขา ฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม และพระองค์ไม่ได้มีข้อพึงประสงค์แบบเดียวกันต่อทุกคน พระองค์ทรงเรียกร้องจากผู้คนตามวุฒิภาวะและสิ่งที่พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ได้ ผู้ที่เป็นเจ้าบ้านได้ก็ควรเป็นเจ้าบ้าน ผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐได้ก็ควรทำเช่นนั้น ผู้คนควรทำหน้าที่ที่พวกเขาสามารถทำได้ ดังนั้น ตราบใดที่เราสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าได้ เราก็มีโอกาสในความรอด แต่ฉันรู้สึกเหมือนว่าพออายุเยอะแล้วก็ไม่มีหน้าที่ที่ฉันสามารถทำได้ และรู้สึกว่าพระเจ้าจะไม่ทรงเห็นชอบในตัวฉัน ฉันคิดว่าพระเจ้าทรงเป็นเหมือนเจ้านายในทางโลกที่เก็บเราไว้เมื่อเราทำงานได้และมีคุณค่า แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นก็จะกำจัดเราออกไป นี่คือการไร้ซึ่งความยำเกรงพระเจ้า และฉันเองก็เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าผิดเพราะมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันที่ผิดๆ ของตัวเอง อีกอย่างพระเจ้าก็ไม่เคยตรัสว่าคนที่อายุมากกว่าไม่สามารถถูกช่วยให้รอดหรือถูกทำให้เพียบพร้อมได้ ฉันนึกย้อนไปถึงศัตรูของพระคริสต์และคนทำชั่วที่ถูกขับไล่ไปจากคริสตจักร บางคนอายุน้อยกว่าฉัน และยอมทิ้งบ้าน ทิ้งหน้าที่การงานมาเพื่อทำหน้าที่ พวกเขาทำงานหนักในมาตรฐานของมนุษย์ แต่พวกเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายตามธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตน ขัดขวางงานของพระนิเวศ ไม่เคยกลับใจ และในที่สุดก็ถูกพระเจ้าทรงกำจัดออกไป สำหรับสมาชิกที่มีอายุมากกว่า บางคนก็อยู่บ้านทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้าน บางคนเก็บรักษาหนังสือของคริสตจักร แต่ทุกคนต่างก็ทำบทบาทที่พวกเขาควรทำ พระเจ้าไม่ทรงหันหลังให้พวกเขาหรือกำจัดพวกเขาออกไปเพราะพวกเขาอายุมาก หรือไม่สามารถทำหน้าที่ได้มากนัก ฉันมองเห็นว่าพระเจ้าทรงกำจัดผู้คนออกไปเพราะแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ไม่ใช่อายุ ตอนนี้ฉันอายุมากแล้ว ฉันจึงไม่สามารถเกื้อหนุนคริสตจักรได้อย่างที่เคย ฉันเป็นเจ้าบ้านรับรองคนอื่นอยู่ที่บ้าน ดังนั้นฉันจึงต้องทำหน้าที่เจ้าบ้านให้ดี และรักษาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับการชุมนุมในบ้านเอาไว้เพื่อให้พี่น้องชายหญิงสามารถไปมาได้อย่างสันติ นั่นคือการอุทิศตนให้แก่หน้าที่ของฉัน น้องหยู่ซินเพื่อนบ้านของฉันป่วย และต้องการการเกื้อหนุน ฉันจึงควรทำในสิ่งที่ทำได้ ไปพบปะและสามัคคีธรรมกับเธอ และเวลาฉันเผชิญกับเรื่องท้าทายหรือปัญหา ฉันก็ควรอธิษฐานและอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น ถ้าฉันแบกได้ห้าปอนด์ ฉันก็จะแบกห้าปอนด์ ถ้าแบกได้ยี่สิบปอนด์ ฉันก็จะแบกยี่สิบปอนด์ จงทำสุดความสามารถและทำทุกอย่างที่ทำได้—เรื่องนั้นสำคัญที่สุด เมื่อฉันเข้าใจเช่นนั้นแล้ว ฉันก็รู้สึกละอายใจและอับอาย ฉันไม่ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และฉันก็ไม่ได้มองดูสิ่งทั้งหลายหรือกระทำการตามพระวจนะของพระองค์ ฉันกลับใช้ชีวิตตามทัศนะผิดๆ ของตัวเอง เข้าใจพระเจ้าผิด ฉันเป็นกบฏโดยแท้จริง
ฉันคิดทบทวนว่าทำไมฉันถึงกังวลเรื่องที่อายุมาก ไม่สามารถทำหน้าที่ และกังวลว่าจะถูกกำจัดออกไปอยู่เสมอ แรงจูงใจเบื้องหลังสิ่งนั้นคืออะไร? ในการแสวงหา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนที่ว่า “ผู้คนบางคนกลายเป็นเต็มไปด้วยเรี่ยวแรงทันทีที่พวกเขามองเห็นว่าความเชื่อในพระเจ้าจะนำพรมาให้พวกเขา แต่แล้วก็สูญเสียพลังงานทั้งหมดไปทันทีที่พวกเขามองเห็นว่าพวกเขาต้องทนทุกข์กับกระบวนการถลุง นั่นคือการเชื่อในพระเจ้าหรือ? ในท้ายที่สุด เจ้าต้องสัมฤทธิ์การนบนอบโดยบริบูรณ์ทุกประการเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในความเชื่อของเจ้า เจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ก็ยังคงมีข้อเรียกร้องต่อพระองค์ มีมโนคติที่หลงผิดทางศาสนามากมายที่เจ้าไม่สามารถวางลงได้ มีผลประโยชน์ส่วนตัวที่เจ้าไม่สามารถปล่อยมือได้ และเจ้ายังคงแสวงหาพรแห่งเนื้อหนังและต้องการให้พระเจ้าช่วยกู้เนื้อหนังของเจ้า เพื่อช่วยดวงจิตของเจ้าให้รอด—เหล่านี้คือพฤติกรรมทั้งหมดของผู้คนที่มีมุมมองที่ผิด แม้ว่าผู้คนซึ่งมีการเชื่อทางศาสนามีความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไม่พยายามเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาและไม่ไล่ตามเสาะหาความรู้เรื่องพระเจ้า แต่กลับแสวงหาเพียงแค่ผลประโยชน์ของเนื้อหนังของพวกเขาเสียมากกว่า หลายคนท่ามกลางพวกเจ้ามีความเชื่อซึ่งจัดอยู่ในหมวดหมู่ของความเชื่อมั่นทางศาสนา นี่ไม่ใช่ความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า เพื่อที่จะเชื่อในพระเจ้า ผู้คนต้องครองหัวใจซึ่งถูกตระเตรียมที่จะทนทุกข์เพื่อพระองค์และมีเจตจำนงที่จะมอบตัวพวกเขาเองให้ทั้งหมด ความเชื่อของพวกเขาในพระเจ้านั้นใช้ไม่ได้ และพวกเขาจะไม่มีความสามารถที่จะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขาได้ เว้นเสียแต่ว่าผู้คนประจวบพ้องกับสภาพเงื่อนไขสองอย่างนี้ เฉพาะผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แสวงหาความรู้เรื่องพระเจ้า และไล่ตามเสาะหาชีวิตอย่างแท้จริงเท่านั้นคือบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) “ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ได้รับการอวยพร เพื่อให้ได้รับการปูนบำเหน็จ และเพื่อให้ได้รับมงกุฏ สิ่งนี้มีอยู่ในหัวใจของทุกคนมิใช่หรือ? เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าสิ่งนี้มีอยู่ในหัวใจของทุกคน ถึงแม้ผู้คนมักจะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กัน และถึงกับปกปิดเหตุจูงใจและความอยากจะได้รับพระพรของตน ความอยากและเหตุจูงใจนี้ที่อยู่ลึกในหัวใจของผู้คนนั้นไม่สามารถสั่นคลอนได้เสมอมา ไม่ว่าผู้คนจะเข้าใจทฤษฎีฝ่ายวิญญาณมากเพียงไหน พวกเขามีประสบการณ์หรือมีความรู้ใด พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ใดได้ พวกเขาสู้ทนความทุกข์มากมายเพียงใด หรือพวกเขาจ่ายราคามากเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยปล่อยมือจากแรงจูงใจที่อยากได้พรซึ่งซ่อนอยู่ลึกๆ ในหัวใจของตน และตรากตรำรับใช้แรงจูงใจนี้อยู่เงียบๆ เสมอ นี่เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ลึกที่สุดภายในหัวใจของผู้คนมิใช่หรือ? หากไร้ซึ่งแรงจูงใจในการได้รับพระพร พวกเจ้าจะรู้สึกอย่างไร? เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนและติดตามพระเจ้าด้วยท่าทีเช่นใด? ผู้คนจะกลายเป็นเช่นไรหากแรงจูงใจในการได้รับพระพรซึ่งซ่อนอยู่ในหัวใจของพวกเขาถูกกำจัดออกไป? เป็นไปได้ว่าผู้คนมากมายจะกลายเป็นคนคิดลบ ขณะที่บางคนจะกลายเป็นคนที่ขาดแรงจูงใจในหน้าที่ของตน พวกเขาจะหมดสิ้นความสนใจต่อการเชื่อในพระเจ้าของตน ราวกับจิตใจของพวกเขาได้อันตรธานไป พวกเขาจะดูราวกับถูกกระชากหัวใจออกไป นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงกล่าวว่าแรงจูงใจที่จะได้พระพรเป็นบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกในหัวใจของผู้คน” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หกข้อบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตในชีวิต) สิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยและพิพากษาในพระวจนะของพระเจ้านี้ตรงกับสภาวะของฉันพอดิบพอดี พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจและจิตใจของมนุษย์อย่างแท้จริง พระวจนะนี้เปิดโปงแรงจูงใจและความหวังลึกๆ ที่ฉันมีต่อการได้รับพระพร และเปิดโปงว่าความเชื่อของฉันมีอยู่เพื่อพระพรเท่านั้น ตอนที่ฉันเพิ่งยอมรับพระราชกิจช่วงระยะนี้ ฉันได้รับแรงจูงใจจากโอกาสที่จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักร ฉันเต็มใจที่จะทำทุกอย่างที่คริสตจักรต้องการ ฉันจะทำหน้าที่ไม่ว่าฝนตกหรือแดดออก ฉันคิดว่าตราบใดที่ฉันยอมลำบาก พระเจ้าก็จะทรงเห็นชอบ แล้วฉันก็จะถูกช่วยให้รอดและได้รับพระพรแห่งราชอาณาจักรสวรรค์ แต่ตอนนี้พอฉันเห็นตัวเองแก่ตัวลงจนความชราส่งผลต่อการทำงานทุกส่วนของร่างกาย และเห็นว่าฉันไม่สามารถทำหน้าที่ที่เคยทำเมื่อก่อนได้ ฉันก็กังวลว่าวันหนึ่งฉันจะล้มป่วย และไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ความคิดนั้นทำให้ฉันรู้สึกเศร้าและทุกข์ใจมาก แล้วพอนึกถึงตอนที่ฉันป่วยและนอนซมอยู่สองวัน ฉันก็ยิ่งกังวลมากกว่าเดิมว่าหากฉันป่วยอีกและไม่ดีขึ้นในเร็ววัน ฉันจะไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆ ได้ และจะไม่อาจถูกช่วยให้รอด หัวใจของฉันรู้สึกว่างเปล่า และฉันก็รู้สึกมืดมนและหดหู่ ฉันไม่มีแรงใจที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรืออธิษฐาน คิดว่าฉันแค่ทำให้พ้นไปวันๆ ก็พอ ฉันเห็นจริงๆ ว่าฉันมีแรงจูงใจที่จะได้รับการอวยพรฝังแน่นซ่อนอยู่ในใจลึกๆ และฉันก็ตรากตรำและพยายามที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายนี้เสมอ จากภายนอกฉันกำลังทำหน้าที่และต้องการทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่ที่จริง ฉันทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อแลกกับพระพรแห่งราชอาณาจักรสวรรค์ ฉันทำงานเพื่อบั้นปลายของตัวเอง ธรรมชาติของฉันชั่วและเจ้าเล่ห์เกินไปจริงๆ ฉันเกิดมาในครอบครัวคริสเตียนและเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าตามพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก พออายุได้หกสิบปี ฉันก็ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันได้รับอะไรมากมายแล้ว พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมทุกแง่มุมของความจริงไว้อย่างชัดเจนในยุคสุดท้าย และผ่านการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระองค์ ฉันก็ได้เข้าใจธรรมชาติอันเสื่อมทรามของตัวเองและพิษร้ายเยี่ยงซาตานขึ้นบ้าง ฉันสามารถรังเกียจตัวเอง และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย สิ่งเหล่านี้คือผลจากประสบการณ์ของฉันในการถูกพระวจนะของพระเจ้าพิพากษาและตีสอน นี่คือพระคุณอันเหลือเชื่อจากพระเจ้า! ฉันได้รับความรอดที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ต่อให้พระเจ้าทรงพรากลมหายใจนี้ไปจากฉันเสียเดี๋ยวนี้ ฉันก็จะไม่เสียใจ และฉันติดค้างความขอบคุณต่อพระเจ้า แต่ตอนนี้ฉันยังมีชีวิตอยู่ และฉันยังมีลมหายใจนี้อยู่ ฉันควรไล่ตามเสาะหาความจริงและความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยอย่างสุดหัวใจ ไม่ว่าในอนาคตฉันจะได้รับพระพรหรือทนทุกข์ความวิบัติ ฉันก็ควรนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่ฉันควรมีในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่หลังจากได้รับการค้ำจุนมากมายจากพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ยังไม่รู้จักตอบแทนความรักของพระองค์ ฉันต้องการใช้หน้าที่ของตัวเองต่อรองกับพระเจ้าเพื่อพระพรแห่งราชอาณาจักร พอคิดว่าฉันไม่สามารถได้รับสิ่งนั้นแล้ว ฉันก็กลายเป็นคิดลบและเข้าใจพระเจ้าผิด ฉันไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล สภาวะความเป็นมนุษย์ของฉันหายไปไหน? ฉันเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และต่ำช้าสิ้นดี แรงจูงใจและมุมมองที่ฉันมีต่อความเชื่อนั้นไม่ถูกต้อง ฉันเพียงต้องการเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ และฉันก็เอาแต่ไล่ตามผลประโยชน์และพรทางเนื้อหนัง ฉันอยู่บนเส้นทางเดียวกับเปาโล ฉันนึกถึงการที่เปาโลสัมฤทธิ์ผลมากมาย แต่เขามีความเชื่อเพียงเพื่อให้ได้รับบำเหน็จและมงกุฏ เขาใช้งานของตนเองเพื่อต่อรองกับพระเจ้า แลกเปลี่ยนงานนั้นกับพรแห่งสวรรค์ เขาไม่ได้แสวงหาที่จะรู้จักพระเจ้า เขาอยู่บนเส้นทางที่แข็งขืนต่อพระเจ้า สุดท้ายเขาก็ถูกพระเจ้าทรงลงโทษ การไล่ตามเสาะหาของฉันเหมือนกันกับเปาโล ฉันไม่ได้ไล่ตามความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย และฉันก็ทำหน้าที่แค่เพื่อพระพร จากภายนอกดูเหมือนฉันกำลังทำหน้าที่ แต่ในแก่นแท้แล้วฉันกำลังโกงพระเจ้า ฉันไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง ผู้เชื่อที่แท้จริงคือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง คนที่แสวงหาที่จะรู้จักและรักพระเจ้า การทำหน้าที่ของพวกเขาไม่มีเงื่อนไขหรือข้อแลกเปลี่ยนใดๆ ไม่มีแรงจูงใจหรือเป้าหมายส่วนตัว หรือความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อ พวกเขามอบทั้งหมดที่มีเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย เช่นเดียวกับเปโตร—ถึงแม้เขาไม่ได้ทำงานมากเท่าเปาโล เขาก็สามารถยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า รู้จักตัวเอง และแสวงหาที่จะรู้จักและรักพระเจ้าได้ ท้ายที่สุดเขาก็นบนอบไปจนตาย ถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้า เป็นพยานเพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้า ความเชื่อแบบฉันที่ยึดถือแรงจูงใจและความอยากได้อยากมีอันเลวทรามอยู่เสมอจะทำให้ฉันไม่มีวันได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าไม่ว่าเชื่อมากี่ปีแล้วก็ตาม ฉันจะลงเอยด้วยการถูกพระเจ้าทรงเกลียดและปฏิเสธเท่านั้น ถ้าไม่กลับใจและยังคงมีความเชื่อและหน้าที่เพื่อทำการแลกเปลี่ยนอยู่ สุดท้ายฉันจะไม่ได้รับความจริงหรือเกิดความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย ฉันจะลงเอยด้วยการถูกพระเจ้าทรงเปิดโปงและกำจัดออกไปเหมือนเปาโล
ฉันนึกถึงที่พระเจ้าตรัสว่า “ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งหรือไม่ หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์) จุดนี้เองที่ฉันตระหนักว่า หน้าที่นั้นเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ และไม่เกี่ยวกับการได้รับพระพรหรือความอับโชค ในฐานะสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า ฉันไม่ควรมีเงื่อนไขกับพระองค์ ฉันควรลุล่วงความผิดชอบของตัวเอง เช่นเดียวกับครอบครัว เมื่อลูกๆ ทำสิ่งที่พวกเขาทำได้เพื่อครอบครัว พวกเขาสามารถขอเงินรางวัลจากพ่อแม่ได้จริงหรือ? แบบนั้นย่อมจะเป็นลูกจ้าง ไม่ใช่คนในครอบครัว ในฐานะสมาชิกครอบครัวของพระเจ้าและในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง การทำหน้าที่เล็กน้อยเพื่อพระผู้สร้างเป็นเพัยงสิ่งที่ฉันควรทำ นี่คือสิ่งที่ถูกต้องและเป็นธรรมชาติ ฉันควรแสดงการอุทิศตนโดยไม่คิดถึงเงื่อนไขหรือบำเหน็จ นั่นคือสิ่งที่ฉันควรจะทำ ตอนนี้ฉันอายุมากขึ้นแถมสุขภาพก็ไม่ดีนัก แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงล้มเลิกในตัวฉัน พระองค์ยังทรงค้ำจุนและทรงนำฉันด้วยพระวจนะของพระองค์ ฉันไม่สามารถไร้ซึ่งมโนธรรม และไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะคิดลบ ทิ้งให้ตัวเองอยู่ในความสิ้นหวังต่อไปได้ ฉันควรมีท่าทีที่เหมาะสม และขณะที่มีความคิดที่ถูกต้องและยังมีเหตุผลอยู่นั้น ฉันก็ควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นเพื่อรู้จักตัวเองและไล่ตามความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย ทำหน้าที่ที่ฉันสามารถทำได้ในขณะนี้ และนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ฉันได้อ่านเรื่องอื่นๆ ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้า หรืออายุ หรือจำนวนปีที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าจะเป็นเช่นใด ทุกคนก็ควรทุ่มเทความพยายามไปสู่เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าไม่ควรเน้นเหตุผลเชิงข้อเท็จจริงใดๆ เจ้าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร้เงื่อนไข จงอย่าปล่อยวันเวลาของตนให้ผ่านไปเปล่าๆ ถ้าเจ้าไล่ตามเสาะหาและใช้ความพยายามกับการไล่ตามเสาะหาความจริงเหมือนเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิตของเจ้า ก็อาจเป็นไปได้ว่าความจริงที่เจ้าได้รับและสามารถไปถึงในการไล่ตามเสาะหาของเจ้านั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าเคยปรารถนา แต่ถ้าพระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะประทานบั้นปลายที่เหมาะสมแก่เจ้าตามท่าทีในการไล่ตามเสาะหาของเจ้าและตามความจริงใจของเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะวิเศษนัก! ในตอนนี้ จงอย่ามุ่งเน้นว่าบั้นปลายหรือจุดจบของเจ้าจะเป็นเช่นใด หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นและอนาคตจะเป็นเช่นใด หรือไม่ว่าเจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงความวิบัติและจะไม่ตายได้หรือไม่—จงอย่าคิดหรือร้องขอเรื่องเหล่านี้ จงจดจ่ออยู่กับการไล่ตามเสาะหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ จดจ่ออยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี และการสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าเท่านั้น จะได้ไม่กลายเป็นว่าเจ้านั้นไม่คู่ควรกับการรอคอยนานหกพันปีของพระเจ้า และความคาดหวังนานหกพันปีของพระองค์ จงถวายความชูใจแด่พระเจ้าบ้าง จงให้พระองค์มองเห็นความหวังในตัวเจ้า และจงให้ความปรารถนาของพระองค์กลายเป็นจริงในตัวเจ้า บอกเราเถิดว่าถ้าเจ้าทำเช่นนั้น พระเจ้าจะทรงทำไม่ดีกับเจ้าไหม? แน่นอนว่าไม่! และต่อให้ผลลัพธ์สุดท้ายไม่เป็นไปตามที่คนเราอยากให้เป็น ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแล้ว พวกเขาควรปฏิบัติกับข้อเท็จจริงนั้นเช่นไร? พวกเขาควรนบนอบในทุกสิ่งต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้าโดยไม่มีวาระซ่อนเร้นส่วนตัว นี่คือมุมมองที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีมิใช่หรือ? (ใช่) นั่นคือวิธีคิดที่ถูกต้อง” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง) “การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตมนุษย์ ไม่มีเรื่องอื่นใดสำคัญเท่าการไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่มีเรื่องอื่นใดมีคุณค่าเหนือกว่าการได้มาซึ่งความจริง การติดตามพระเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้เป็นเรื่องง่ายหรือไม่? จงเร่งมือเถิด และทำให้การไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ! ในแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์ พระราชกิจในยุคสุดท้ายในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงดำเนินการในตัวผู้คน การไล่ตามเสาะหาความจริงคือความคาดหวังสูงสุดที่พระเจ้าทรงมีต่อประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร พระองค์ทรงหวังให้ผู้คนเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง ซึ่งก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริง” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, เหตุใดมนุษย์จึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริง) ขณะอ่านพระวจนะนี้ ฉันก็รู้สึกมีแรงบันดาลใจและตื้นตันใจจริงๆ พระเจ้าทรงบอกเราทั้งหมดเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระองค์ รวมถึงสิ่งที่ทรงพึงประสงค์และทรงหวังจากผู้คน พระองค์ไม่ได้ใส่พระทัยว่าเรามีขีดความสามารถสูงหรือต่ำ เราอายุเท่าไหร่ หรือทำหน้าที่มามากมายแค่ไหน พระองค์สนพระทัยเพียงแค่ว่าเราไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ อุทิศตนในความเชื่อ และเชื่อฟังหรือไม่ ดั่งเช่นในยุคพระคุณ หญิงหม้ายถวายเพียงเหรียญเล็กๆ สองเหรียญเท่านั้น แต่เธอก็ยังได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าเพราะเธอมอบทุกสิ่งที่มีให้แก่พระองค์ พระเจ้าทรงเห็นถึงความจริงใจของเธอ แม้ว่าตอนนี้ฉันอายุมากแล้วและไม่มีแง่มุมใดที่เปรียบเทียบกับคนหนุ่มสาวได้ ฉันก็ไม่ได้คิดลบ ฉันต้องการเดินหน้าต่อและฉวยทุกๆ วันเอาไว้ ในขณะที่ฉันยังมีสำนึกและเหตุผลอยู่นั้น อันที่จริงฉันควรไล่ตามเสาะหาความจริงให้มากขึ้น และอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น ปฏิบัติทุกสิ่งเล็กน้อยที่ฉันเข้าใจ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แล้วเมื่อฉันตายไป หัวใจของฉันจะสงบสุข และฉันจะไม่ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังที่ทรงค้ำจุนฉันตลอดทั้งชีวิตนี้ พระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันเกิดมาในยุคสุดท้าย ฉันสามารถยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ได้ในวัยหกสิบ สามารถเป็นพยานให้การทรงปรากฏของพระเจ้า ได้ยินพระสุรเสียงด้วยตัวเอง และได้ก้าวผ่านการพิพากษาและตีสอนแห่งพระวจนะของพระองค์ นี่คือพระคุณและพระพรมหาศาลที่พระองค์ทรงมีต่อฉัน ถ้าฉันยังใช้ชีวิตติดอยู่ในความเสียใจว่าอายุมากแล้ว โดยไม่เร่งรีบที่จะฉวยโอกาสนี้มาไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันก็จะพลาดโอกาสมีประสบการณ์กับงานของพระเจ้าและถูกช่วยให้รอด ถ้าฉันต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงเอาทีหลัง โอกาสของฉันจะหายไป จะเสียใจตอนนั้นก็ไม่ทันแล้ว ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์พร้อมกลับใจแล้ว ข้าพระองค์ไม่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของการคิดลบ การวิตกกังวล และการเข้าใจผิดอีกต่อไป ข้าพระองค์ต้องการนำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติ ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างเต็มที่ในขณะที่ยังมีชีวิต และเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต ข้าพระองค์ต้องการปฏิบัติทุกสิ่งที่เข้าใจจากพระวจนะของพระองค์ ทำหน้าที่ของตัวเอง และสนองน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ว่าข้าพระองค์ได้รับการอวยพรหรือทนทุกข์กับความอับโชค ข้าพระองค์ก็พร้อมนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระองค์”
นับจากนั้นมา ฉันก็มุ่งเน้นการอ่านและตริตรองพระวจนะให้มากขึ้น ฉันทุ่มเททุกอย่างที่มีให้หน้าที่ที่คริสตจักรต้องการให้ฉันทำ ฉันได้รับประสบการณ์และความรู้บางอย่างจากหลายปีที่เป็นผู้เชื่อ และฉันก็ได้เขียนบทความเพื่อเป็นพยานแด่พระเจ้า โดยเฉพาะตอนนี้ที่การประกาศข่าวประเสริฐจำเป็นต้องมีบทความที่ดีมาแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนในศาสนา และในฐานะของคนที่เชื่อมานาน ฉันก็อยากเขียนบ้าง อยากทำสิ่งที่ฉันทำได้เพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร นอกจากนี้ ในฐานะที่ฉันมีอุปนิสัยที่ค่อนข้างโอหังและมีแนวโน้มที่จะบีบบังคับครอบครัวจากความโอหังของฉัน ฉันจึงแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความเสื่อมทรามแง่มุมนี้ของตัวเอง และเพื่อใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติกับครอบครัว ในการปฏิสัมพันธ์โดยทั่วไปกับพี่น้องชายหญิง เมื่อฉันเห็นใครบางคนทำสิ่งที่ขัดต่อหลักธรรม หากฉันกลัวว่าการพูดออกไปอาจล่วงเกินพวกเขาหรือทำให้พวกเขามองฉันไม่ดี ฉันก็จะอธิษฐานถึงพระเจ้าว่าฉันจะไม่ใช้ชีวิตด้วยปรัชญาเยี่ยงซาตาน และจะมุ่งปฏิบัติความจริง ค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักร และไม่เป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่น ตอนนี้ฉันกำลังฝึกตัวเองให้ปฏิบัติความจริงในทุกสิ่งเล็กๆ น้อยๆ และฉันก็รู้สึกสงบและเปี่ยมด้วยความชื่นบานยินดี การหลุดพ้นจากความทุกข์ใจ ความวิตก และความกังวลมาได้ ล้วนเป็นเพราะการทรงนำและพระคุณของพระเจ้าโดยแท้ ฉันขอบคุณพระเจ้าจริงๆ!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ไฉ่ น่า, ประเทศจีน ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2017 ฉันทนทุกข์กับอาการความดันโลหิตสูง...
โดย หยาง หยี, ประเทศจีน ฉันเริ่มเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าในปี 1995 หลังจากนั้น โรคหัวใจที่ฉันเป็นมานาน ก็ดีขึ้นอย่างปาฏิหาริย์ ฉันซาบซึ้งมาก...
โดย ฉิงเต้า เกาหลีใต้ “โอ พระเจ้า! ไม่ว่าข้าพระองค์จะมีสถานะหรือไม่ ตอนนี้ข้าพระองค์เข้าใจตัวเองแล้ว หากสถานะของข้าพระองค์สูง...
โดย เลี้ยงซิน, ประเทศจีน เมื่อสองปีก่อน ลูกชายฉัน เกิดเจ็บเอวขึ้นมาอย่างรุนแรง เราพาเขาไปตรวจ หมอบอกว่า ผลการตรวจน่ากังวล...