บททดสอบของตัวประกอบเสริมความเด่น
โดย ฉิงเต้า เกาหลีใต้ “โอ พระเจ้า! ไม่ว่าข้าพระองค์จะมีสถานะหรือไม่ ตอนนี้ข้าพระองค์เข้าใจตัวเองแล้ว หากสถานะของข้าพระองค์สูง...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2017 ฉันทนทุกข์กับอาการความดันโลหิตสูง หัวหน้าจึงให้ฉันหยุดทำหน้าที่ไปก่อนชั่วคราวเพื่อให้ฉันได้กลับบ้านไปพักผ่อน ฉันรู้สึกไม่พอใจมากและคิดว่า “พระเจ้ากำลังจะทรงสรุปปิดพระราชกิจ ดังนั้น ตอนนี้จึงเป็นช่วงสำคัญของฉันในการทำหน้าที่ และตระเตรียมความประพฤติที่ดีๆ ถ้าไม่มีหน้าที่ให้ปฏิบัติ ฉันจะมีบั้นปลายและจุดจบที่ดีได้อย่างไร การทำงานหนัก ยอมลำบากมาตลอดหลายปีนี้ จะเป็นการสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ? ฉันปิดคลินิกของฉันเพื่อมาทำหน้าที่เต็มเวลา และสามีของฉันได้พยายามแล้ว แต่เขาก็ไม่อาจขวางทางในการติดตามพระเจ้าของฉันได้ ตอนนี้ฉันหย่ากับเขาแล้ว ไม่มีครอบครัว พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ตามติดฉันไม่ห่าง คอยถามพ่อแม่ฉันอยู่ตลอดว่าฉันอยู่ที่ไหน ฉันไปบ้านพ่อกับแม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนจริงๆ” พี่น้องหญิงคนหนึ่งรับฉันไปอยู่ด้วย เธอสามัคคีธรรมกับฉันในเรื่องน้ำพระทัยของพระเจ้า บอกว่าฉันควรนบนอบ แต่พอได้เห็นว่าเธอยุ่งอยู่กับหน้าที่เสมอ ฉันก็อิจฉาเอามากๆ ฉันทำหน้าที่ไม่ได้เพราะฉันไม่สบาย พระเจ้าได้กำลังทรงใช้ภาวะของฉันเพื่อพรากหน้าที่ของฉันไป เพื่อเปิดโปงและกำจัดฉันอย่างนั้นหรือ? ความคิดนี้ทำให้ฉันอ่อนเปลี้ยไปหมดทั้งตัว และฉันรู้สึกเศร้าหมองและไร้ความหวัง ฉันยังเข้าใจผิดและบ่นว่าพระเจ้าออกมาอีกด้วย ฉันได้เลิกล้มทุกสิ่งทุกอย่างและทนทรมานมามากโดยไม่ปริปากสักคำ ทำไมท้ายที่สุดฉันจึง ไม่ได้รับอนุญาตแม้แต่ให้ทำหน้าที่ของฉันล่ะ นับตั้งแต่นั้นมา ฉันก็ไม่สามารถรับพระวจนะของพระเจ้าได้เลยจริงๆ และฉันก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับพระองค์ในการอธิษฐาน ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับ ฉันตกอยู่ในความมืดมิด จนถึงขั้นที่คิดจะออกไปหางานทำ พอพี่น้องหญิงคนนั้นเห็นฉันเป็นแบบนั้น ก็ได้จัดการกับฉันโดยพูดว่า “คุณไม่ใช่กำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่จริงๆ แถมยังกำลังพิจารณาเรื่องการหาเงิน คุณเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คุณไม่แสวงหาความจริง” นี่เป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับฉันที่จะรับฟัง และฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อแสวงหา “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่รู้วิธีรับมือกับประสบการณ์นี้ และไม่รู้ว่าเส้นทางภายภาคหน้าคืออะไร ข้าพระองค์กำลังใช้ชีวิตอยู่ในความมืดและทุกข์ใจ โปรดประทานความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์และทรงนำให้รู้น้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด”
ฉันเอาแต่อธิษฐานและแสวงหาอย่างหนักตลอดสองสามวันต่อมา ในเช้าวันหนึ่ง บางอย่างจากพระวจนะของพระเจ้าผุดก็ขึ้นมาในใจฉัน “เจ้ามีหน้าตาเหมือนผู้หนึ่งซึ่งสามารถได้รับพรหรือไม่?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า) ฉันรีบเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาบทตอนเหล่านั้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “หลังจากหลายพันปีแห่งความเสื่อมทราม มนุษย์ด้านชาและปัญญาทึบ เขาได้กลายเป็นปีศาจตนหนึ่งซึ่งต่อต้านพระเจ้า จนถึงขนาดที่ความเป็นกบฏของมนุษย์ต่อพระเจ้านั้นได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือทั้งหลาย ว่าด้วยประวัติศาสตร์ และกระทั่งมนุษย์เองก็ไม่สามารถที่จะพรรณนาพฤติกรรมอันเป็นกบฏของเขาได้อย่างครบถ้วน—ด้วยเหตุที่มนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก และได้ถูกซาตานนำพาให้ออกนอกลู่นอกทางไปถึงขนาดที่ว่าเขาไม่รู้ว่าจะหันไปทางใด แม้กระทั่งวันนี้ มนุษย์ยังคงทรยศพระเจ้า กล่าวคือ เมื่อมนุษย์เห็นพระเจ้า เขาทรยศพระองค์ และเมื่อเขาไม่สามารถเห็นพระเจ้า เขาก็ทรยศพระองค์ด้วยเช่นกัน มีแม้กระทั่งพวกที่เมื่อได้เป็นประจักษ์พยานในคำสาปแช่งของพระเจ้าและพระพิโรธของพระเจ้าแล้ว ก็ยังคงทรยศพระองค์ และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าสำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้ว และว่ามโนธรรมของมนุษย์ก็ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้วด้วยเช่นกัน มนุษย์ที่เราเฝ้ามองคือสัตว์เดียรัจฉานตัวหนึ่งในเครื่องแต่งกายของมนุษย์ เขาเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง และไม่สำคัญว่าเขาพยายามทำตัวให้ดูเหมือนน่าเวทนาต่อหน้าต่อตาของเราเพียงใด เราจะไม่มีวันเมตตาต่อเขา ด้วยเหตุที่มนุษย์ไม่มีการจับความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างขาวกับดำ ในความแตกต่างระหว่างความจริงกับสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง สำนึกรับรู้ของมนุษย์ด้านชายิ่งนัก กระนั้นก็ตามเขายังคงปรารถนาที่จะได้รับพร สภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาต่ำศักดิ์ยิ่งนัก กระนั้นก็ตามเขายังคงปรารถนาที่จะมีอธิปไตยของกษัตริย์ เขาจะสามารถเป็นกษัตริย์ของใครได้ ด้วยสำนึกรับรู้เช่นนั้น? เขาที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนั้นจะสามารถนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างไร? มนุษย์ไม่มีความละอายใจจริงๆ! เขาคือผู้เคราะห์ร้ายที่ทะนงตนคนหนึ่ง! สำหรับพวกเจ้าที่ปรารถนาจะได้รับพร เราขอแนะนำให้เจ้าหากระจกเงาหนึ่งบานแล้วมองดูภาพสะท้อนอันน่าเกลียดของเจ้าเองเสียก่อน—เจ้ามีสิ่งที่จำเป็นในการเป็นกษัตริย์หรือไม่? เจ้ามีหน้าตาเหมือนผู้หนึ่งซึ่งสามารถได้รับพรหรือไม่? ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าเลยแม้แต่น้อยและเจ้ายังไม่ได้นำความจริงใดๆ มาปฏิบัติเลย กระนั้นเจ้ายังคงปรารถนาที่จะมีวันพรุ่งนี้ที่น่าอัศจรรย์อยู่อีก เจ้ากำลังหลอกตัวเอง!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า) “คนเราเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะรับพระพร—นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่อยู่ในหัวใจของทุกคนหรอกหรือ?…หากปราศจากแรงจูงใจนี้ที่จะรับพระพร พวกเจ้าจะรู้สึกอย่างไรหรือ? พวกเจ้าควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าด้วยท่าทีใดหรือ? หากแรงจูงใจนี้ได้ถูกกำจัด หรือหากตัวผู้คนเองหยุดต้องการการนี้และได้ล้มเลิกการนี้ไป เช่นนั้นแล้ว พวกเขามากมายก็คงจะทำหน้าที่ของพวกเขาโดยปราศจากพลังงาน และรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ใดเลยในการที่เชื่อในพระเจ้า นั่นก็คงจะเป็นราวกับว่าดวงจิตของพวกเขาได้ถูกพรากไปแล้ว สิ่งนี้อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจของพวกเขา บางที ขณะที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือดำเนินชีวิตคริสตจักร พวกเขาอาจรู้สึกว่า การรับพระพรทั้งหลายไม่ได้สร้างแรงจูงใจภายในตัวพวกเขาอีกต่อไป แต่พระเจ้าไม่ทรงเชื่อเช่นนั้น ผู้คนมองดูที่พื้นผิวของพวกเขาและรู้สึกว่าตัวเองนั้นดีงาม และคิดว่าพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงแล้ว พวกเขาคิดว่าพวกเขาได้ไปจากช่วงระยะที่เปี่ยมด้วยความมุ่งมาดปรารถนาสู่ช่วงระยะแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงแล้วในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ว่าพวกเขาไม่พึ่งพาความมุ่งมาดปรารถนาหรือพึ่งพาแรงกระตุ้นชั่วครู่ชั่วยามที่จะปฏิบัติหน้าที่นั้นอีกต่อไป แต่มีความสามารถที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและเพียรพยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ได้ตามมาตรฐานในขณะที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่นั้น และว่าพวกเขากำลังชำระตัวเองให้บริสุทธิ์อยู่เป็นนิตย์ เพื่อที่ว่าพวกเขาจะมาสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าและผ่านไปได้ในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และว่าพวกเขายังพอที่จะสามารถนบนอบได้บ้างอีกด้วย แต่เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับบั้นปลายและปลายทางของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว ใบหน้าที่แท้จริงของผู้คนย่อมถูกเปิดเผยอย่างครบบริบูรณ์อยู่ในวิธีที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตนนั่นเอง” (“หกข้อบ่งบอกความก้าวหน้าในชีวิต” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) การพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันไม่มีที่ให้หลบซ่อน เมื่อก่อนนี้ ฉันก็รู้ตามทฤษฎีว่า ความเชื่อนั้นไม่อาจเป็นไปแค่เพื่อพระพรเท่านั้น แต่ฉันก็ไม่ได้รู้จักตัวเองอย่างแท้จริงเลย สถานการณ์นี้ตีแผ่จนหมดเปลือกถึงแรงจูงใจของฉันที่จะได้มาซึ่งพระพร ตลอดหลายปีมานี้ ฉันได้เลิกล้มทุกสิ่งทุกอย่างไป ปิดคลินิกของฉันและหันมาทำหน้าที่ในคริสตจักร ทนทุกข์ทรมานมามากมาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ฉันคิดว่าด้วยการพลีอุทิศทั้งหมดนั้นให้กับความเชื่อ ฉันคงจะได้รับความเห็นชอบและพระพรจากพระเจ้าอย่างแน่นอน และมีบั้นปลายที่ดี ดังนั้น ฉันก็เลยได้มีแรงจูงใจจริงๆ ในการทำหน้าที่ของฉัน ตอนนี้ ฉันทำหน้าที่ไม่ได้เพราะสุขภาพของฉัน ฉันก็เลยคิดว่าฉันได้สูญเสียบั้นปลายไปแล้วและความฝันของฉันเรื่องพระพรก็เป็นอันสลายไป ฉันซึมเศร้าเกินกว่าจะไปต่อ ฉันไม่เพียงแต่นึกเสียดายที่เลิกล้มทุกอย่างไป แต่ยังติเตียนพระเจ้า คิดหาเหตุผลกับพระองค์และต่อต้านพระองค์ ฉันปฏิบัติต่อการพลีอุทิศของฉันเหมือนเป็นทุนในการค้าขายพระพรกับพระเจ้า คิดไปว่าความทุกข์และการมีส่วนร่วมสนับสนุนของฉันหมายความว่าพระเจ้าได้ทรงติดค้างการมอบบั้นปลายและจุดจบที่ดีให้ฉัน เมื่อไม่มีสิ่งนั้น ฉันก็บ่นว่าและติเตียนพระองค์ ดังนั้น เหตุจูงใจที่จะได้รับการอวยพรจึงถูกซ่อนไว้เบื้องหลังความคิดลบของคุณ มันเตือนให้ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้า “จุดประสงค์ของความเชื่อของพวกเจ้าในพระเจ้าคือการใช้พระองค์เพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเจ้าเอง นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมของการทำให้ขุ่นเคืองของพวกเจ้าต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก) พระอุปนิสัยของพระเจ้าส่องสว่างผ่านพระวจนะของพระองค์ มุมมองในความเชื่อของฉันคือการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนกับพระเจ้า เล่นไม่ซื่อกับพระองค์ ใช้พระองค์เพื่อให้ได้รับพระพรที่ฉันอยากได้ นั่นเป็นการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า การมีส่วนร่วมสนับสนุนและการพลีอุทิศของเปาโลล้วนเพื่อเรียกร้องมงกุฎแห่งความชอบธรรมจากพระเจ้า นี่เป็นการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างร้ายแรง และเขาก็โดนลงโทษ และหลังจากที่ฉันพลีอุทิศบางอย่าง ฉันก็เรียกร้องบำเหน็จ มงกุฎ ความเห็นชอบ และพระพร เหมือนเขาไม่มีผิด พอฉันไม่ได้อย่างที่หวัง ฉันก็เข้าใจผิดและติเตียนพระเจ้า และถึงขั้นคิดทรยศพระองค์ เหตุผลและมโนธรรมของฉันไปอยู่เสียที่ไหน? พวกเดียวกันกับซาตานอย่างฉันเฝ้าฝันถึงพระพร ช่างน่าละอายเหลือเกิน! ถ้าสุขภาพของฉันไม่ได้หยุดยั้งฉันจากการทำหน้าที่ ฉันคงไม่มีวันได้เห็นว่าตัวเองไล่ตามเสาะหาความเชื่ออย่างไม่เหมาะสมเลย แต่คงจะยังเดินต่อไปบนเส้นทางที่ผิด จนท้ายที่สุดก็ต้องลงเอยอย่างเปาโลไม่มีผิด นี่ทำให้ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมา และฉันก็ตระหนักว่า พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสิ่งนี้ด้วยความรักและความรอดของพระองค์เพื่อฉัน! ฉันเสียใจและตำหนิตัวเองทันทีที่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันก็เลยร้องไห้ออกมาตอนที่อธิษฐาน “โอ้ พระเจ้า! ข้าพระองค์สำนึกบุญคุณยิ่งนักสำหรับความรอดของพระองค์ หากข้าพระองค์ไม่ถูกเปิดโปงในหนทางนี้ ข้าพระองค์คงต่อต้านพระองค์และตกนรกไปโดยไม่รู้สาเหตุเลย ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ปรารถนาจะกลับใจหยุดไล่ตามเสาะหาพระพร ข้าพระองค์เพียงต้องการไล่ตามความจริง ขจัดอุปนิสัยเสื่อมทราม ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์”
ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มขึ้นหลังจากการอธิษฐาน “บัดนี้เรากำลังจะมุ่งเน้นไปที่การพรรณนาแก่พวกเจ้าถึงวิธีที่เปโตรได้รู้จักเราและบทอวสานสุดท้ายของเขาเป็นอย่างไร…เราได้นำเขาไปสู่การทดสอบนับไม่ถ้วน—การทดสอบที่โดยธรรมชาติแล้วได้ทิ้งเขาให้กึ่งเป็นกึ่งตาย—แต่ท่ามกลางการทดสอบหลายร้อยครั้งเหล่านี้ เขาไม่เคยได้สูญเสียความเชื่อในเราหรือได้รู้สึกผิดหวังในเราเลยสักครั้งเดียว แม้ในยามที่เราได้พูดว่าเราได้ละทิ้งเขาไปแล้ว เขาก็ยังคงไม่ท้อแท้ และยังคงรักเราต่อไปในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและโดยสอดคล้องกับหลักการทั้งหลายในอดีตเกี่ยวกับการปฏิบัติ เราได้บอกเขาว่าเราจะไม่สรรเสริญเขาถึงแม้ว่าเขารักเรา ว่าท้ายที่สุดแล้วเราจะขับเขาให้ไปอยู่ในมือของซาตาน แต่ท่ามกลางการทดสอบเช่นนั้น การทดสอบที่ไม่ได้มาประสบกับเนื้อหนังของเขา แต่เป็นวจนะทั้งหลาย เขายังคงอธิษฐานต่อเราแล้วกล่าวว่า ‘โอ พระเจ้า! ท่ามกลางสวรรค์และแผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่ง มีมนุษย์ผู้ใด สิ่งทรงสร้างใด หรือสิ่งใดที่ไม่อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์หรือไม่ องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? เมื่อพระองค์ทรงปรานีต่อข้าพระองค์ หัวใจของข้าพระองค์ก็ชื่นบานไปกับความปรานีของพระองค์เป็นอย่างมาก เมื่อพระองค์พิพากษาข้าพระองค์ แม้ข้าพระองค์อาจจะไม่ควรค่า แต่ข้าพระองค์ก็ได้รับสำนึกรับรู้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับความยากหยั่งถึงได้ของกิจการของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเต็มไปด้วยสิทธิอำนาจและพระปรีชาญาณ ถึงแม้ว่าเนื้อหนังของข้าพระองค์จะทนทุกข์กับความยากลำบาก แต่จิตวิญญาณของข้าพระองค์ก็ได้รับการชูใจ ข้าพระองค์จะไม่สามารถให้การสรรเสริญพระปรีชาญาณและกิจการของพระองค์ได้อย่างไร? ต่อให้ข้าพระองค์จะต้องตายหลังจากได้รู้จักพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่สามารถทำเช่นนั้นอย่างดีใจและมีความสุขได้อย่างไร?…’” “เพราะความจงรักภักดีของเขาต่อหน้าเรา และเพราะพรของเราที่ให้เขา เขาได้เป็นต้นแบบและแบบอย่างสำหรับมนุษย์มาเป็นเวลาหลายพันปี การนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าควรเอาอย่างโดยแน่แท้หรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 6) ฉันเห็นในพระวจนะของพระเจ้าว่าเปโตรไม่ถูกหน่วงเหนี่ยวโดยชะตากรรมหรือบั้นปลายของเขา แม้กระทั่งเมื่อพระเจ้าตรัสว่า พระองค์จะไม่ทรงเห็นชอบกับเปโตรทั้งที่เขารักพระองค์ และในท้ายที่สุดจะทรงนำส่งเขาไปให้ซาตาน เปโตรก็ยังคงไล่ตามความรักที่มีต่อพระเจ้า และนบนอบจนตาย ไม่มีธุรกรรมแลกเปลี่ยนหรือการแปดเปื้อนอยู่ในความรักที่เปโตรมีต่อพระเจ้าเลย แต่เป็นความรักและความเชื่อฟังที่แท้จริง ฉันพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติจากพระวจนะของพระเจ้า กลายเป็นเต็มใจเสาะแสวงที่จะรักพระเจ้าเหมือนเปโตร เพื่อเดินบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ไม่ว่าพระเจ้าจะปฏิบัติต่อฉันอย่างไร ไม่ว่าจุดจบและบั้นปลายของฉันจะเป็นอะไร ฉันจะยอมนบนอบต่อกฏเกณฑ์การจัดการเตรียมการของพระเจ้า และสละตัวเองเพื่อพระองค์ ฉันไม่สามารถทำหน้าที่ของฉันในคริสตจักรได้เหมือนเมื่อก่อน แต่ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ฉันได้ชื่นชมกับเสบียงอาหารจากพระวจนะของพระเจ้า และได้มีประสบการณ์อยู่บ้าง ฉันก็เลยสามารถเขียนสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อเป็นพยานแด่พระองค์ นี่ก็เป็นการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างเช่นกัน ฉันเริ่มทำการสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ไตร่ตรองพระวจนะของพระองค์และเขียนถึงประสบการณ์ที่เป็นคำพยาน ฉันรู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น หยุดกังวลเรื่องอนาคตและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ ฉันสำนึกถึงการปลดปล่อยอันใหญ่หลวงเลยค่ะ หลังพักฟื้น ความดันโลหิตของฉันก็เป็นปกติเลยนะคะ ก็เลยได้กลับไปทำหน้าที่ในคริสตจักร
ฉันคิดว่าหลังจากประสบการณ์นั้น ฉันได้เข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับทรรศนะของฉันในเรื่องความเชื่อในพระเจ้า และฉันจะไม่ถูกขัดขวางโดยความหวังในพระพร แต่หลังจากนานไม่นาน ความอยากได้อยากมีก็กลับมาอีก
ฉันได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้นำคริสตจักร ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ผู้นำของเราขอให้เราตรวจสอบผู้นำกลุ่มแต่ละคน ในเรื่องของความสามารถที่จะทำงานซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริง และบอกว่าอย่าให้คนฉลาดแกมโกงหรือพวกที่ไม่ยอมรับความจริงได้รับตำแหน่งนั้นเด็ดขาด ฉันคิดว่าต้องทำเรื่องนี้ทันที เพราะการใช้คนผิดอาจเป็นอันตรายต่องานของคริสตจักรและเหล่าพี่น้อง ไม่เพียงแต่ฉันอาจเสียหน้าที่ในฐานะผู้นำ แต่นั่นยังจะเป็นการฝ่าฝืน เป็นการประพฤติชั่วอีกด้วย หนึ่งเดือนต่อมา มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่จำเป็น และฉันรู้สึกมีความสุขมาก แต่น่าประหลาดใจ ผู้นำของเราได้พบว่าหนึ่งในคนที่ฉันเลือกเป็นคนฉลาดแกมโกง มันทำให้ฉันไม่พอใจมาก ฉันรู้สึกว่าตัวเองทำหน้าที่ได้ไม่ดี และทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก หลังจากนั้นไม่นาน เหล่าพี่น้องได้รายงานว่า อีกคนหนึ่งที่ฉันเลือกก็โอหังอย่างมาก เขาปฏิเสธข้อเสนอแนะที่มีเหตุผลของคนอื่นๆ และด่าว่าและฉุดรั้งคนอื่นไม่ให้เดินหน้า พวกเขาต้องการให้ปลดคนนี้ออก การได้เจอปัญหาตามกันมาติดๆ ทำให้ฉันรู้สึกขยับตัวไม่ออก ฉันทุกข์ใจมาก และรู้สึกว่าฉันเข้าใจความจริงเพียงตื้นๆ และขาดความจริงความเป็นจริง ถ้ามีอะไรผิดพลาดไปและส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร นั่นจะเป็นความชั่วอันใหญ่หลวง แล้วอย่างนั้น อนาคต ชะตากรรม จุดจบและบั้นปลายของฉันจะไม่หมดกันหรอกหรือ? ฉันรู้สึกว่าควรเปลี่ยนไปทำหน้าที่อื่นทันที เช้าวันหนึ่ง ฉันเริ่มรู้สึกเวียนหัว และเห็นว่าความดันโลหิตของฉันสูงกว่าปกติมาก ฉันบอกผู้นำของเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ คิดว่าในเมื่อฉันมีปัญหาด้านสุขภาพ คงเป็นการดีไม่น้อยถ้าเธอจะเปลี่ยนให้ฉันไปทำหน้าที่อื่น ฉันจะได้ไม่ต้องมีความรับผิดชอบมากเหมือนก่อน ฉันพูดอย่างใจเย็นกับพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ทำงานกับฉันว่า “ฉันเต็มใจสละตำแหน่งนี้ถ้าจำเป็น แล้วจะทำหน้าที่อะไรก็ตามที่ทำได้หลังจากนั้น” เธอจัดการกับฉัน บอกว่าฉันกำลังเผยแสดงความคิดลบออกมาและควรทบทวนตนเอง แต่ฉันไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้เลย ฉันคิดว่าฉันเต็มใจเชื่อฟังและทำหน้าที่อะไรก็ตามที่ทำได้ นั่นเป็นการคิดลบตรงไหน? แต่แล้วฉันก็คิดได้ว่าพระเจ้าอนุญาตให้เธอพูดแบบนั้น ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อขอการทรงนำจากพระองค์ให้ฉันได้รู้สภาวะที่แท้จริงของตัวเอง
จากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “ไม่ว่าพวกเขาจะถูกทดสอบอย่างไร ความสวามิภักดิ์ของบรรดาผู้ที่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่สำหรับพวกที่ไม่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา ทันทีที่พระราชกิจของพระเจ้าไม่เป็นประโยชน์ต่อเนื้อหนังของพวกเขาแล้ว พวกเขาย่อมเปลี่ยนทัศนะที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า และอาจถึงขั้นแยกห่างจากพระเจ้า เช่นนั้นคือพวกที่จะไม่ตั้งมั่นในเบื้องปลาย พวกที่แสวงหาเพียงพรของพระเจ้าและไม่มีความพึงปรารถนาที่จะสละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้าและมอบอุทิศตัวพวกเขาเองแด่พระองค์ ผู้คนต่ำช้าเช่นนั้นทั้งหมดจะถูกขับไล่เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไปถึงบทอวสาน และพวกเขาไม่ควรค่าแก่ความเห็นอกเห็นใจใดๆ พวกที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์ย่อมไม่สามารถรักพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ เมื่อสภาพแวดล้อมมีความปลอดภัยและมั่นคงหรือเมื่อมีผลกำไรให้ทำ พวกเขาจะเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเต็มที่ แต่เมื่อสิ่งที่พวกเขาอยากได้อยากมีถูกประนีประนอมลงมาหรือถูกหักล้างในที่สุด พวกเขาก็ลุกฮือทันที แม้แต่ในระยะชั่วข้ามคืนเท่านั้น พวกเขาก็อาจเปลี่ยนจากบุคคลที่ยิ้มแย้มและ ‘ใจดี’ เป็นฆาตกรที่น่าเกลียดและดุดัน ที่พลันปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณในวันวานของพวกเขาประดุจศัตรูคู่อาฆาตของพวกเขาโดยไม่มีเหตุผลใดๆ หากผีเหล่านี้ไม่ถูกไล่ออกไป ผีเหล่านี้ซึ่งจะลงมือฆ่าโดยไม่มีการกะพริบตา พวกมันจะไม่กลายเป็นอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่หรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์) คำพิพากษาของพระเจ้าเป็นเหมือนกำปั้นชกเข้าที่ลิ้นปี่ ที่แท้ฉันก็คือคนชนิดที่พระองค์ทรงเผยให้เห็นนั่นเอง ฉันมีใจกระตือรือร้นทำงานหนักเมื่อคิดว่าหน้าที่ของฉันจะให้ผลเป็นพระพร ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันก็แสดงให้เห็นอีกด้านและไม่ต้องการหน้าที่นั้นอีกต่อไป ฉันเอาแต่คิดถึงอนาคตและบั้นปลายของฉันเท่านั้น เมื่อฉันทำผิดพลาด ฉันไม่ได้ทบทวนและแสวงหาความจริงในแง่ของความล้มเหลวของฉัน ชดเชยข้อตำหนิทั้งหลายและเพียรพยายามทำให้ดีขึ้น แต่ฉันกลัวจะต้องรับผิดชอบและทำให้อนาคตของฉันตกอยู่ในอันตราย ฉันต้องการทิ้งตรงนี้ไปทำหน้าที่ซึ่งรับผิดชอบน้อยกว่า โดยใช้ความดันโลหิตของฉันมาเป็นข้อแก้ตัว จากภายนอก ฉันดูมีเหตุผลดีเลยค่ะ แต่ฉันมีเหตุจูงใจที่น่าดูหมิ่นซ่อนอยู่เบื้องหลัง ฉันฉลาดแกมโกงชะมัดเลยค่ะ!
ฉันเริ่มทบทวนเกี่ยวกับ รากเหง้าจริงๆ ของการแสวงหาพระพรอยู่เสมอในความเชื่อของฉัน ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้าว่า “เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์ ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง พวกเขาทอดทิ้งสิ่งทั้งหลาย สละตัวเองเพื่อพระองค์ และสัตย์ซื่อต่อพระองค์ แต่พวกเขาก็ยังคงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง โดยสรุป ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพระพรให้ตัวเอง ในสังคมนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างทำไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว การเชื่อในพระเจ้าก็ทำไปเพื่อที่จะได้รับพระพรแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพระพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถทานทนต่อความทุกข์มากมายได้ กล่าวคือ ทั้งหมดนี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงธรรมชาติอันเสื่อมทรามของมนุษย์” (“ความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงภายนอกกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันเรียนรู้จากสิ่งนี้ ว่าฉันนึกถึงตัวเองอยู่เสมอเพราะซาตานทำให้ฉันเสื่อมทรามลึกมาก “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” และ “อย่ากระดิกแม้แต่นิ้วเดียวหากไม่ได้รางวัล” กฎแห่งความอยู่รอดเยี่ยงซาตานเหล่านี้ได้กลายเป็นธรรมชาติของฉัน ทำให้ฉันเห็นแก่ตัว น่าดูหมิ่น และรับใช้ตนเองมากขึ้น ฉันคิดถึงผลตอบแทนส่วนตัวในทุกสิ่งที่ทำ เมื่อมองดูเส้นทางในความเชื่อของฉันตลอดหลายปีมานั้น จุดเริ่มต้นในการทำหน้าที่ของฉัน คือการได้รับการทรงอวยพร การได้รับบำเหน็จ การเข้าไปสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ในท้ายที่สุด เวลาหลายปีของงานหนักและความทุกข์ของฉันไม่ใช่หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้าง หรือการสละตนเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง มันเป็นการใช้พระเจ้า โกงพระองค์ ทำข้อตกลงกับพระองค์ ไม่ใช่การรักและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเลย ฉันจะเป็นบุคคลที่มีความเชื่อได้อย่างไร? ฉันเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ พระเจ้าทรงยกระดับให้ฉันรับใช้ในฐานะผู้นำคริสตจักร เพื่อให้ได้ฝึกใช้ความจริงในการแก้ปัญหา เรียนรู้วิจารณญาณและความรู้ความเข้าใจเชิงลึก แต่ฉันไม่ได้เห็นโอกาสนั้นเป็นสมบัติล้ำค่า ฉันไม่ได้เข้ามาด้วยความจริง แต่แค่คิดถึงอนาคตและชะตากรรมของฉัน ฉันอยู่บนเส้นทางที่กลับกันกับพระเจ้า ฉันรู้ว่าต้องกลับใจและไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่อย่างนั้นฉันคงจะถูกทำลายอย่างแน่นอน
ในการเฝ้าเดี่ยวครั้งหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “เหตุผลประการเดียวที่พระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ได้ทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์ก็คือเนื่องจากความจำเป็นของมนุษย์ที่เสื่อมทราม เป็นเพราะความจำเป็นของมนุษย์นั่นเอง ไม่ใช่ของพระเจ้า และการพลีอุทิศและความทุกข์ทั้งหมดของพระองค์นั้นล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ และมิใช่เพื่อประโยชน์ของพระเจ้าพระองค์เอง ไม่มีข้อดีและข้อเสียหรือรางวัลตอบแทนใดๆ เลยสำหรับพระเจ้า พระองค์จะไม่ได้เก็บเกี่ยวพืชผลในอนาคตบางอย่าง แต่พืชผลนั้นเองที่เป็นหนี้ต่อพระองค์มาแต่เดิม ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำและทรงพลีอุทิศให้แก่มวลมนุษย์นั้นมิใช่เพื่อที่พระองค์จะทรงได้รางวัลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ แต่เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ล้วนๆ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องมีความรอดจากพระเจ้าซึ่งทรงปรากฏในรูปมนุษย์มากกว่า) ความรักของพระเจ้าดลใจฉันอย่างลึกซึ้งเมื่อไตร่ตรองเรื่องนี้ พระเจ้าทรงสูงสุด บริสุทธิ์และทรงเกียรติ ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ถึงสองครั้งเพื่อช่วยมนุษยชาติที่แสนเสื่อมทรามให้รอด ต้องทนทุกข์กับความอัปยศอดสูและความเจ็บปวดอย่างสาหัส องค์ประเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่มนุษยชาติ โดยจ่ายราคาเป็นพระชนม์ชีพของพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในประเทศจีนในยุคสุดท้าย ทรงแสดงความจริงเพื่อชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนและโลกศาสนากดขี่ข่มเหงและหมิ่นประมาท พระองค์ทรงทนทุกข์ทุกอย่างเพื่อทรงงานท่ามกลางพวกเรา เพื่อให้พระวจนะของพระองค์แก่เราโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทน เพียงเพื่อช่วยเราให้รอดจากอิทธิพลของซาตาน พระเจ้าทรงจ่ายราคามหาศาลเช่นนี้เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด โดยไม่คำนึงถึงว่าจะทรงได้กำไรหรือขาดทุน พระองค์ไม่ทรงพึงประสงค์สิ่งใดตอบแทนจากเรา พระองค์ไม่ทรงเรียกร้องบำเหน็จใดเลย ความรักของพระองค์ไม่เห็นแก่ตัวและแท้จริง แก่นแท้ของพระเจ้างดงามและดีงามเหลือเกิน! แล้วดูฉันสิ ฉันพูดว่ามีความเชื่อและต้องการทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่ฉันไม่จริงแท้ต่อพระองค์เลย ฉันอ้างตัวสนับสนุนการทำงานเพื่อพระองค์ก็แค่เป็นการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนกับพระพร ใช้พระองค์และโกงพระองค์ ฉันได้เห็นว่าตัวเองเห็นแก่ตัว ฉลาดแกมโกง ไร้คุณค่า และน่าละอายเพียงใด ฉันนำสภาพเสมือนของซาตานมาใช้ในชีวิตจริง คนที่ต้านทานพระเจ้าอย่างฉัน พวกเดียวกันกับซาตาน จะไม่มีวันได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะพลีอุทิศอะไรก็ตาม ฉันยังได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในฐานะสิ่งทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า มนุษย์ควรพยายามปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า และพยายามรักพระเจ้าโดยไม่สร้างตัวเลือกอื่น เพราะพระเจ้าทรงคู่ควรกับความรักของมนุษย์ บรรดาผู้ที่พยายามรักพระเจ้าไม่ควรแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวใดๆ หรือแสวงหาสิ่งซึ่งพวกเขาถวิลหาเป็นการส่วนตัว นี่คือวิถีทางที่ถูกต้องที่สุดของการไล่ตามเสาะหา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) ฉันมองเห็นในพระวจนะของพระเจ้า ว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไม่ควรมีความเชื่อเพราะพระพร การไล่ตามเสาะหาความรักแด่พระเจ้าและทำหน้าที่ของเราอย่างถูกต้องเหมาะสม คือชีวิตเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่มีความหมาย ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการทิ้งเส้นทางแห่งความชั่วและกลับใจต่อพระองค์ และหยุดแสวงหาพระพร ไม่ว่าบั้นปลายขั้นสุดท้ายของข้าพระองค์จะเป็นอย่างไร ข้าพระองค์ก็ต้องการทำหน้าที่ของข้าพระองค์ให้ดีเพื่อตอบแทนความรักของพระองค์” ทันทีที่ฉันแก้ไขสภาวะของฉันแล้ว ความดันโลหิตของฉันก็คงที่
นอกจากนี้ฉันยังได้ชมการอ่านพระวจนะของพระเจ้าสองสามบทตอนด้วย “ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งหรือไม่ หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา การได้รับพรคือเมื่อใครบางคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้ชื่นชมพรของพระเจ้าหลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา การถูกสาปแช่งคือเมื่ออุปนิสัยของใครบางคนไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาแล้ว คือตอนที่พวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแต่ถูกลงโทษ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่เป็นสิ่งที่น้อยที่สุดที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำ เจ้าไม่ควรทำหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น และเจ้าไม่ควรปฏิเสธที่จะกระทำเพราะกลัวถูกสาปแช่ง เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้าว่า การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา โดยผ่านทางกระบวนการของการทำหน้าที่ของเขา มนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนไป และโดยผ่านทางกระบวนการนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเขา ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็จะได้รับความจริงมากขึ้นเท่านั้น และการแสดงออกของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์) “การที่ผู้คนจะสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาลุล่วงหน้าที่ใด แต่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาได้เข้าใจและได้รับความจริงหรือไม่ และขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอันจริงแท้หรือไม่ พระเจ้าทรงชอบธรรม และนี่คือมาตรฐานที่พระองค์ทรงใช้เพื่อประเมินวัดมวลมนุษย์ทั้งปวง มาตรฐานนี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ และเจ้าต้องจดจำการนี้ไว้ เพราะฉะนั้น จงอย่าคิดเรื่องการค้นหาเส้นทางอื่นบางเส้นทาง หรือการไล่ตามเสาะหาบางสิ่งที่ไม่เป็นจริง มาตรฐานทั้งหลายที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากทุกคนที่บรรลุความรอดก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล มาตรฐานเหล่านั้นยังคงเป็นอย่างเดิมไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร” (“ท่าทีที่มนุษย์ควรมีต่อพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) นี่ช่วยให้ฉันเข้าใจ ว่าหน้าที่ของเราไม่เกี่ยวอะไรกับการที่ว่าเราจะได้รับการทรงอวยพรหรือถูกสาปแช่งในท้ายที่สุด กุญแจสำคัญในการได้รับการช่วยให้รอดอย่างเต็มที่ คือการที่เราไล่ตามเสาะหาและได้รับความจริงและสามารถเปลี่ยนอุปนิสัยของเราได้หรือไม่ หน้าที่ของฉันจะเป็นอะไรและเมื่อไหร่นั้น ล้วนกำหนดพิจารณาโดยพระเจ้า และจุดจบกับบั้นปลายของฉัน ก็ยิ่งขึ้นอยู่กับการปกครองและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า สิ่งที่ฉันควรทำคือยอมรับการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉันโดยอุทิศ และฉันยังได้ตระหนักอีกว่า ฉันไม่มีความจริงความเป็นจริงและขาดพร่องมากเกินไป นั่นเป็นเหตุให้หน้าที่นั้นเปิดโปงความผิดและข้อบกพร่องของฉัน การแสวงหาความจริงและการเข้าใจหลักธรรมเหล่านี้ สามารถปรับปรุงข้อตำหนิและช่วยให้ฉันเติบโตในชีวิตได้ค่ะ ได้เห็นแบบนี้ ฉันเลิกกังวลเกี่ยวกับอนาคตและชะตากรรมของฉัน และไม่ต้องการสลับเปลี่ยนหน้าที่อีกต่อไป ฉันทำงานอย่างหนักแน่นมั่นคง แสวงหาความจริงเพื่อจัดการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ฉันจับความเข้าใจหลักธรรมบางอย่างได้อย่างช้าๆ และค่อยๆ ทำความผิดพลาดในหน้าที่ของฉันน้อยลง การปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและไม่ไล่ตามเสาะหาพระพรในหน้าที่ของฉัน เป็นการปลดปล่อยสำหรับฉันจริงๆ ฉันได้รับการทรงอวยพรและทรงนำทางโดยพระเจ้า ด้วยผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ฉิงเต้า เกาหลีใต้ “โอ พระเจ้า! ไม่ว่าข้าพระองค์จะมีสถานะหรือไม่ ตอนนี้ข้าพระองค์เข้าใจตัวเองแล้ว หากสถานะของข้าพระองค์สูง...
โดย ไทที, ประเทศจีน เดือนมิถุนายน ปี 2013 ประจำเดือนฉันมาสิบกว่าวัน อีกทั้งมีลิ่มเลือดก้อนใหญ่ออกมาด้วย ตอนนั้นฉันแค่ปวดท้องน้อยด้านขวาเบาๆ...
โดย เลี้ยงซิน, ประเทศจีน เมื่อสองปีก่อน ลูกชายฉัน เกิดเจ็บเอวขึ้นมาอย่างรุนแรง เราพาเขาไปตรวจ หมอบอกว่า ผลการตรวจน่ากังวล...
ในปี 2018 ผมโชคดีได้ยอมรับงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ทำให้ผมตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ ไม่นานนัก...