การเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่บิดาของฉัน

วันที่ 13 เดือน 10 ปี 2020

โดย Mikha, อินเดีย

ผมมาเป็นผู้ที่เชื่อตั้งแต่เด็ก และตกลงใจว่าจะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าไปตลอดชีวิต สุดท้าย ผมได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยสอนศาสนาอยู่สามปี ซึ่งผมได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายจากที่นี่เองครับ หลังจากยอมรับข่าวประเสริฐแล้ว ผมก็อยากแบ่งปันข่าวดีเรื่องที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วให้พ่อฟังทันที ท่านเป็นมัคนายกอยู่ที่คริสตจักรท้องถิ่น เป็นคนที่รู้พระคัมภีร์อย่างดี รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี และเป็นที่รักของผู้อื่น ท่านเป็นคริสเตียนที่เคร่งมากครับ ผมคิดว่าพ่อคงยอมรับอย่างเป็นสุขถ้าท่านได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว

คืนนั้นพอผมกลับถึงบ้าน ผมก็บอกพ่อว่า “องค์พระเยซูเจ้าที่เรารอคอยทรงกลับมาแล้ว พระองค์ทรงกำลังแสดงให้เห็นถึงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า เราต้องยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระองค์ เพื่อที่จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์” แต่ผมก็ต้องประหลาดใจที่ท่านแนะนำว่า “พระคัมภีร์เผยพระวจนะไว้ว่า พระคริสต์เทียมเท็จจะหลอกลวงผู้คนในยุคสุดท้าย ดังนั้นระวังให้ดีและอย่าประมาทนะลูก สิ่งที่ลูกพูดเรื่องการเสด็จกลับมาและพระราชกิจแห่งการพิพากษาขององค์พระผู้เป็นเจ้าน่ะ มีหลักฐานรองรับจากพระคัมภีร์ไหม ถ้าไม่มีก็อย่าไปหลงเชื่อ!” ผมหยิบพระคัมภีร์ออกมาและพูดว่า “มีแน่นอนครับ มีอย่างน้อย 200 ข้อที่พูดถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาเพื่อทรงการพิพากษาของพระองค์ อย่างเช่น ‘เพราะพระองค์เสด็จมาพิพากษาโลก พระองค์จะทรงพิพากษาโลกด้วยความชอบธรรม และจะทรงพิพากษาชนชาติทั้งหลายด้วยความเที่ยงธรรม’ (สดุดี 98:9) และในยอห์นก็มีบอกว่า ‘เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร(ยอห์น 5:22)ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:48) และใน 1 เปโตรก็มีบอกว่า ‘เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า(1 เปโตร 4:17) นี่แสดงให้เห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายเพื่อทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษานะครับ” พ่อตอบมาว่า “ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เหรอ พ่อเคยเห็นในพระคัมภีร์กล่าวแค่ว่าพระองค์จะเสด็จมาบนก้อนเมฆนะ ‘นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์(วิวรณ์ 1:7) พ่อไม่เคยเห็นประโยคไหนในพระคัมภีร์ที่พูดถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในร่างมนุษย์เลย ไม่มีทางที่พระองค์กำลังทรงพระราชกิจการพิพากษาในร่างมนุษย์!” ผมได้แบ่งปันการสามัคคีธรรมนี้ไป “มีคำเผยพระวจนะเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ตั้งเยอะครับ ไม่ใช่แค่พระองค์เสด็จมาบนก้อนเมฆ แต่ยังทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างลับๆ ด้วย อย่างที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ‘พวกท่านจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา(ลูกา 12:40)นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย(วิวรณ์ 16:15) และในลูกา 17:24-25 ก็บอกไว้ว่า ‘เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ องค์พระเยซูเจ้าทรงกล่าวถึงการเสด็จมาของบุตรมนุษย์อยู่หลายครั้ง ทั้งหมดล้วนอ้างถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในร่างมนุษย์ ถ้าเราจำกัดการเสด็จมาของพระองค์ว่าต้องเป็นบนก้อนเมฆ แล้วคำเผยพระวจนะเรื่องการเสด็จมาอย่างลับๆ ของพระองค์จะลุล่วงได้ยังไงครับ ในยุคสุดท้าย องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในสองวิธี วิธีแรกคือทรงจุติเป็นมนุษย์และเสด็จมาอย่างลับๆ เพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า จากนั้นพระองค์จึงเสด็จลงมาบนก้อนเมฆและทรงปรากฎต่อมนุษย์ทุกคน ถ้าเราไม่มองที่คำเผยพระวจนะว่าพระองค์เสด็จมาอย่างลับๆ แต่ดูแค่อันที่เกี่ยวกับพระองค์เสด็จมาบนก้อนเมฆ นั่นก็จะเป็นการคิดไปเองข้างเดียว และเราจะพลาดโอกาสรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าได้นะครับ”

พ่อเอาแต่ทำหน้าบึ้งโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วพ่อก็ตัดบทผมด้วยความโกรธว่า “พอได้แล้ว พ่ออ่านพระคัมภีร์มาตั้งแต่ยังเด็กแถมยังรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี พ่อจะไม่รู้มากกว่าลูกเหรอ ลูกเรียนในวิทยาลัยสอนศาสนามาแค่สามปี จะไปรู้อะไร” ผมเห็นว่าพ่อไม่สามารถสงบลงได้ และไม่สนใจฟังการสามัคคีธรรมของผมเลย ผมจึงกลับไปที่ห้องของตัวเอง หลังจากนั้นผมก็พยายามอยู่อีกสองสามครั้ง แต่พ่อไม่รับฟังและถึงขั้นพูดว่า “แค่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าก็พอแล้ว อยู่เงียบๆ หรือไม่ก็ออกจากบ้านไปซะ!” ผมตกใจและเสียใจมากที่พ่อทำแบบนั้น ท่านรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาตั้งนาน แถมยังเป็นคนที่อบอุ่นและถ่อมตัวอยู่เสมอ พ่อปรารถนาถึงการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ตอนนี้ที่พระองค์ทรงอยู่ที่นี่แล้ว พ่อของผมกลับยึดติดตัวอักษรในพระคัมภีร์โดยไม่แสวงหา ถึงขนาดโกรธจัดด้วยซ้ำ ผมรู้สึกว่าพ่อดื้อมากๆ ผมผิดหวังและสูญเสียความมั่นใจไปบ้างในการแบ่งปันข่าวประเสริฐนี้ พอได้เห็นว่าพ่อผู้รอบรู้ในพระคัมภีร์อย่างมากกลับติดอยู่ในมโนคติที่หลงผิดของตัวเอง

พอพี่น้องชายหญิงบางคนรู้เข้า พวกเขาก็ส่งพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้ามา เพื่อให้กำลังใจผมครับ “เจ้าตระหนักรู้ภาระบนบ่าของเจ้า พระบัญชาสำหรับเจ้า และความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่? สำนึกแห่งภารกิจครั้งประวัติศาสตร์ของเจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้าจะทำหน้าที่เป็นเจ้านายคนหนึ่งในยุคถัดไปให้ดีพอได้อย่างไร? เจ้ามีสำนึกอันแรงกล้าของความเป็นนายหรือไม่? เจ้าจะอธิบายการเป็นนายของสรรพสิ่งอย่างไร? ใช่การเป็นนายเหนือสิ่งสร้างที่มีชีวิตทั้งมวลและเหนือสรรพสิ่งทางกายภาพของโลกจริงๆ หรือ? เจ้ามีแผนการอันใดเพื่อความก้าวหน้าของงานระยะต่อไป? มีผู้คนมากมายเพียงใดที่กำลังรอคอยให้เจ้าเป็นผู้เลี้ยงของพวกเขา? งานของเจ้าใช่งานหนักหรือไม่? พวกเขาอ่อนด้อย น่าสงสาร ตาบอดและหลงทาง ร้องคร่ำครวญอยู่ในความมืดมิดว่า—หนทางอยู่แห่งใด? พวกเขาโหยหายิ่งนักให้ความสว่างพลันเคลื่อนลงมาเหมือนดาวตก และขับไล่กำลังบังคับแห่งความมืดที่บีบคั้นมนุษย์มานานหลายปีเหลือเกิน ผู้ใดจะรู้ได้ว่าพวกเขาตั้งความหวังอย่างกระวนกระวายใจปานใด และคะนึงหาสิ่งนี้เพียงใดทั้งกลางวันและกลางคืน? แม้กระทั่งในวันที่ความสว่างส่องแสงวาบผ่านไป ผู้คนที่ทุกข์ทนอย่างลึกล้ำเหล่านี้ก็ยังคงถูกจองจำอยู่ในคุกใต้ดินอันมืดมิดโดยไม่มีหวังว่าจะได้รับการปลดปล่อย เมื่อไรที่พวกเขาจะไม่ต้องร่ำไห้อีกต่อไป? ความโชคร้ายของวิญญาณอันเปราะบางที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้หยุดพักเหล่านี้ช่างเลวร้าย และพวกเขาถูกพันธนาการที่ไร้กรุณาและประวัติศาสตร์ที่เยือกแข็งผูกมัดไว้ในสภาวะนี้มาช้านานแล้ว และผู้ใดได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของพวกเขา? ผู้ใดมองเห็นสภาพอันยากแค้นของพวกเขา? เจ้าเคยฉุกคิดบ้างหรือไม่ว่าพระหทัยของพระเจ้าโทมนัสและกระวนกระวายเพียงใด? พระองค์จะทรงทนเห็นมวลมนุษย์ผู้ไม่ประสา ที่พระองค์ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ต้องทนทุกข์ทรมานเยี่ยงนี้ได้อย่างไร? ไม่ว่าอย่างไร มนุษย์ก็คือเหยื่อที่ถูกพิษ และถึงแม้มนุษย์จะรอดชีวิตมาได้จนถึงวันนี้ ผู้ใดจะรู้บ้างว่ามวลมนุษย์ถูกมารวางยาพิษมานานแล้ว? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าก็เป็นหนึ่งในเหยื่อทั้งหลาย? เจ้าไม่เต็มใจที่จะเพียรพยายามด้วยความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้า เพื่อช่วยผู้รอดชีวิตเหล่านี้ให้รอดหรอกหรือ? เจ้าไม่เต็มใจที่จะอุทิศพลังงานทั้งหมดที่เจ้ามีเพื่อตอบแทนพระเจ้าผู้ทรงรักมวลมนุษย์ประดุจโลหิตและเนื้อหนังของพระองค์เองหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรจะทำภารกิจในอนาคตของเจ้าอย่างไร?) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมมีกำลังใจมากครับ ผู้คนมากมายไม่รู้ถึงพระราชกิจของพระเจ้าและถูกปิดปากจากมโนคติที่หลงผิดทางศาสนา พวกเขาจึงไม่สอบสวนข่าวเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาอยู่ในความมืดมิด ไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงที่เพียงพอจากพระวจนะของพระเจ้า ผมโชคดีที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและติดตามก้าวย่างแห่งพระเมษโปดก ผมจึงมีหน้าที่ในการแบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรให้แก่พวกเขาครับ จากนั้นพวกเขาก็จะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและถูกรับขึ้นไปเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระองค์ รวมถึงได้รับการชำระให้สะอาดและช่วยให้รอดผ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ นั่นคือการเอาใจใส่น้ำพระทัยของพระเจ้าครับ พ่อของผมเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงมานานมาก และท่านก็ปรารถนาการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ พ่อแค่ถูกมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาพันธนาการแน่นเกินไป แน่นอนว่าพ่อจึงไม่สามารถยอมรับมันได้ในทันที ผมรู้ว่าผมต้องพึ่งพาพระเจ้าและแบ่งปันพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้ากับพ่อต่อไป เพื่อทำหน้าที่ของผมเอง

ในวันที่ห้า ท่าทีของพ่อนั้นอ่อนลงเล็กน้อย ผมจึงแบ่งปันคำพยานแห่งพระราชกิจการพิพากษาของพระเจ้าต่อไป พ่อพูดแบบเศร้าๆ ว่า “เราเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า การเชื่อในหัวใจและสารภาพบาปด้วยปาก แปลว่าเราได้รับการทำให้ชอบธรรมและช่วยให้รอดโดยความเชื่อแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงรับเอาบาปของเราไป ดังนั้นเมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงรับเราขึ้นสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ เราไม่จำเป็นต้องให้พระเจ้าเสด็จมาพิพากษาเรา” ผมบอกพ่อไปในการสามัคคีธรรม ว่าบาปของเราได้รับการอภัยผ่านการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เรายังคงทำบาปและสารภาพบาปอยู่เสมอ เราไม่ได้เป็นอิสระจากบาปเลย “พ่อครับ ลองคิดดูนะ พ่อบอกผู้คนให้ถ่อมตัวและอดทน และพ่อก็อ่อนโยนกับคนอื่นๆ แต่เวลาอยู่บ้านพ่อกลับโกรธแม่และทะเลาะกับท่านอยู่หลายครั้ง พ่อไม่สามารถยึดถือคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้” พ่อตัดบทผมด้วยความโกรธและไม่ยอมให้ผมพูดอะไรอีก วันต่อมา ผมสบโอกาสที่จะแบ่งปันการสามัคคีธรรมนี้กับพ่ออีกครั้ง “พ่อครับ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสอนให้เรารักศัตรูของเรา แต่ผมเป็นลูกชายพ่อ ไม่ใช่ศัตรู ผมแค่บอกข้อเท็จจริงกับพ่อเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจเท่านั้นเอง แถมพ่อไม่ใช่แค่ไม่แสวงหา แต่กลับอารมณ์เสีย นี่ไม่ใช่การแสดงความอดทนนะครับ ผมรู้ว่าพ่อไม่ได้อยากโมโห แต่เป็นเพราะธรรมชาติที่เปี่ยมบาปของเรายังไม่ได้รับการแก้ไข เราเลยอดไม่ได้ที่จะตำหนิผู้คนอย่างเกรี้ยวกราด พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘จงมุ่งมั่นที่จะได้อยู่อย่างสงบสุขกับทุกคนและที่จะได้ความบริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย’ (ฮีบรู 12:14) องค์พระเยซูเจ้ายังได้ตรัสไว้ด้วยว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป(ยอห์น 8:34-35) สิ่งนี้ชัดเจนมาก องค์พระผู้เป็นเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์ และผู้ไม่บริสุทธิ์ก็ไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้ เราทำบาปอย่างต่อเนื่อง เราใช้ชีวิตอยู่ในบาปและไม่ได้บริสุทธิ์แม้แต่น้อย แล้วเราจะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ยังไง องค์พระเยซูเจ้าทรงเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาของพระองค์ไว้หลายครั้ง และบอกว่าพระองค์จะทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพื่อชำระมนุษยชาติให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดโดยสมบูรณ์ แล้วพาเราเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ อย่างที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาตอนนี้และดำรัสความจริงทั้งปวงซึ่งชำระมนุษยชาติให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์กำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อแก้ไขธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของเราอย่างสมบูรณ์ เราสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ ด้วยการชำระความเสื่อมทรามให้สะอาดผ่านการพิพากษาเท่านั้น พ่อครับ เราต้องแสวงหาพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายอย่างนอบน้อม แค่อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และดูว่ามันใช่พระสุรเสียงของพระเจ้าไหม พ่อคงไม่อยากพลาดการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้านะครับ!”

ผมอยากเปิดละครสั้นเรื่องข่าวประเสริฐให้พ่อดู แต่ท่านก็ปฏิเสธที่จะดู ท่านรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับพระคัมภีร์และได้ทำเรื่องที่ดีมาบ้าง ท่านแบ่งปันให้คนยากไร้และบางครั้งท่านก็ไปช่วยเหลือคนที่ไม่มีเงินด้วย แถมท่านยังให้คริสตจักรใช้ที่ดินของท่านโดยไม่คิดเงิน แต่พอเผชิญหน้ากับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า พ่อกลับยึดติดอยู่กับมโนคติที่หลงผิดแบบหัวชนฝาและไม่ยอมแสวงหามัน มันทำให้ผมนึกถึงพวกฟารีสิ ผมกลัวว่าพ่อของผมจะต่อต้านพระเจ้าแบบพวกเขา และเสียความรอดของพระเจ้าไป ผมเตือนท่าน “พวกฟาริสีต่างรู้พระคัมภีร์อย่างดีและดูเหมือนจะเคร่งศาสนา แต่พวกเขาไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย พระราชกิจของพระองค์ไม่ตรงกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่แสวงหาด้วยหัวใจที่นอบน้อม แต่กลับยึดติดตัวอักษรในพระคัมภีร์ ต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์อย่างบ้าคลั่ง พวกเขาจับพระองค์ตรึงกางเขนและถูกพระเจ้าลงโทษ—” พ่อพูดขัดขึ้นมาโดยที่ผมยังไม่ทันพูดจบ “แกกำลังพูดถึงพ่อเหรอ แกกำลังเรียกพ่อว่าฟาริสีงั้นเหรอ” ผมรีบตอบกลับไปว่า “ผมไม่ได้เรียกพ่อว่าฟาริสีนะครับ ผมแค่ไม่อยากให้พ่อรับใช้พระเจ้าขณะที่ต่อต้านพระองค์อย่างพวกเขา พ่อรอการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาตลอดหลายปี แต่ตอนนี้ที่พระองค์ทรงอยู่ที่นี่แล้ว พ่อกลับไม่แสวงหาด้วยความนอบน้อม พ่อติดอยู่กับตัวอักษรในพระคัมภีร์และมโนคติที่หลงผิดของตัวเอง พ่อจะไม่ยอมรับมัน ถ้าเรามองพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายในทางนั้น เราก็จะถูกพระเจ้ากล่าวโทษเหมือนพวกฟาริสีและเสียความรอดของเราไปได้ พระราชกิจการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญที่สุดของพระเจ้าสำหรับความรอดของมนุษยชาติ มันกำลังจะจบลงในไม่ช้า พระองค์ทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะก่อนความวิบัติซึ่งใกล้จะตกมาถึงเราแล้ว ถ้าเราไม่ยอมรับในการพิพากษาและการชำระให้สะอาดของพระองค์ เมื่อความวิบัติมาถึง เราจะร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันนะครับ” คำพูดนี้ยิ่งทำให้พ่อผมโกรธขึ้นไปอีก ท่านยืนขึ้นและพูดว่า “หยุดพูดได้แล้ว! ถ้าขืนแกยังพูดอยู่ นับแต่วันนี้ไปแกก็ไม่ต้องมาเป็นลูกฉันอีก ออกไปจากบ้านนี้เดี๋ยวนี้!”

การได้ยินคำนี้จากพ่อทำให้ผมเสียใจมาก เมื่อก่อนพ่อและผมสนิทกันมาก เราเปิดเผยต่อกัน อ่านพระคัมภีร์และแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยกัน พ่อสอนให้ผมอดทน อดกลั้น ถ่อมตน และเชื่อฟัง ผมไม่เคยคิดเลยว่าพ่อจะไล่ผมออกจากบ้านและถึงขั้นทำกับผมราวกับเป็นศัตรู เพราะผมเป็นพยานให้พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย คนในบ้านที่เหลือก็ปฏิบัติกับผมอย่างเย็นชาตามพ่อ ผมรู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวังมาก ผมส่งข้อความไปบอกพี่น้องชายหญิงในเรื่องนี้ และพี่สาวคนหนึ่งก็ส่งพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งมาให้ผม “การประกาศข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่และภาระผูกพันของทุกคน ในเวลาใดก็ตาม ไม่ว่าพวกเราจะได้ยินสิ่งใด หรือพวกเราจะเห็นสิ่งใด หรือพวกเราจะเผชิญกับการปฏิบัติประเภทใดก็ตาม พวกเราต้องยืนกรานในความรับผิดชอบแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐนี้ต่อไปเสมอ ไม่มีรูปการณ์แวดล้อมใดที่พวกเราจะสามารถละทิ้งหน้าที่นี้เพราะความคิดแง่ลบหรือความอ่อนแอได้ หน้าที่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่เต็มไปด้วยอันตราย เมื่อพวกเจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเจ้าจะไม่พบกับทูตสวรรค์ หรือมนุษย์ต่างดาว หรือหุ่นยนต์ พวกเจ้าจะเผชิญหน้ากับมนุษยชาติที่ชั่วร้ายและเสื่อมทราม พวกปีศาจที่มีชีวิต พวกสัตว์ร้ายเท่านั้น—สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมนุษยชาติที่อยู่รอดในพื้นที่อันชั่วร้ายนี้และที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกและต้านทานพระเจ้า ดังนั้น ในกระบวนการแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐย่อมมีอันตรายอยู่ทุกรูปแบบ ไม่ต้องพูดถึงการนินทาเล็กๆ น้อยๆ การเหยียดหยามทั้งหลาย และความเข้าใจผิดทั้งหลาย ซึ่งมีมากยิ่งกว่าอีก หากเจ้ามองว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบ เป็นภาระผูกพัน และเป็นหน้าที่ของเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถมองสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและกระทั่งจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้องด้วย และเจ้าจะไม่ละทิ้งความรับผิดชอบของเจ้าและภาระผูกพันของเจ้าไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม อีกทั้งเจ้าจะไม่หันเหไปจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของเจ้าที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐและให้คำพยานเกี่ยวกับพระเจ้าเพราะสิ่งเหล่านี้ เพราะนี่คือหน้าที่ของเจ้า พวกเราควรทำความเข้าใจหน้าที่นี้อย่างไร? คุณค่าและความรับผิดชอบเบื้องต้นในชีวิตนี้ของเจ้านั้นคือการเผยแผ่ข่าวดีแห่งพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายและการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งพระราชกิจของพระเจ้า(“การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าเป็นกำลังใจให้ผมมากครับ ผมได้เห็นว่าการถูกปฏิเสธเมื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐนั้นเป็นเรื่องธรรมดามาก ผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนักและพวกเขาก็ไม่รักความจริง พวกเขาโอหังและติดอยู่กับมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของตัวเอง ผมทิ้งหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเองเมื่อเผชิญกับความยากลำบากไม่ได้ ผมนึกถึงเปโตรที่เดินทางไปทั่วทุกหนแห่งเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐแม้พ่อแม่ของเขาจะเห็นแย้ง เขาถูกพิพากษา ตีสอน และทดสอบหลายร้อยครั้ง แล้วจึงถูกพระเจ้าทำให้เพียบพร้อม เขาได้ใช้ชีวิตที่มีความหมายครับ ผมต้องเป็นอย่างเปโตร ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีและเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ว่าผม จะทุกข์ทนมากแค่ไหน หรือครอบครัวจะไม่เข้าใจก็ตาม

เช้าวันรุ่งขึ้นผมเก็บของลงกระเป๋า เตรียมพร้อมจะออกจากบ้าน พ่อก็พูดว่า “ถ้าอยากอยู่ก็อยู่นะ แต่ลูกต้องหยุดประกาศในทางของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซะ” ผมพูดไปอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “พ่อ พ่อก็รู้ว่าผมอยากรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ ผมไปเรียนที่วิทยาลัยสอนศาสนาเพื่อเรียนรู้ความจริงในพระคัมภีร์เพิ่มเติมและตอบแทนความรักของพระเจ้า แต่ผมอ่านพระคัมภีร์หลายครั้งและไม่ได้รับความจริงอะไรเลย ผมรู้สึกจิตใจดำมืดและแห้งผากมากขึ้นด้วยซ้ำ ผมทำเรื่องดีๆ และช่วยเหลือคนอื่นมาบ้าง แต่ผมกลับไม่อยากให้เพื่อนร่วมชั้นที่ต้องการมันจริงๆ ผมจะไปยืนอยู่ข้างหน้าเวลาทำงานบริการทั้งเช้าและเย็นเพื่อให้มีคนเห็น ผมอิจฉาพี่น้องชายหญิงในกลุ่มนมัสการที่สามารถเล่นเครื่องดนตรีต่างๆ ได้ เพราะผมทำได้แค่ร้องเพลง ผมอิจฉาคนที่ทำข้อสอบได้ดีกว่าผม ผมควบคุมความคิดพวกนี้ไม่ได้เลย ผมไม่สามารถหนีรอดจากบาปได้ มันเจ็บปวดมาก ในที่สุดผมก็ได้พบคำตอบ ตอนที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ บาปของเราได้รับการอภัยผ่านการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ก็ทรงไม่เห็นว่าเราเปี่ยมบาป แต่ธรรมชาติที่เปี่ยมบาปของเรายังไม่ได้รับการแก้ไข การยอมรับการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย เป็นหนทางเดียวที่จะได้รับการชำระให้สะอาดและได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ ผมได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และผมรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาแล้ว ราชอาณาจักรได้เคลื่อนลงมาแล้ว ผมมีหน้าที่ในการแบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรกับคนอื่นให้มากขึ้น ผมถึงจะไม่ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง” พอได้ยินแบบนี้พ่อก็ไม่ได้ดูมีท่าทีต่อต้านอะไร พ่อดูผิดหวังนิดหน่อยและพูดว่า “ไปเถอะ พ่อจะอธิษฐานให้ลูกนะ ถ้าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมาจริงๆ พ่อก็จะยอมรับพระองค์ แต่ถ้าไม่ ลูกก็ต้องกลับมา”

หลังจากนั้น ผมก็ได้ไปพักอยู่ในเกสต์เฮ้าส์เล็กๆ ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ขณะเดียวกันก็แบ่งปันข่าวประเสริฐไปด้วย ผมอธิษฐานอยู่ตลอดเวลา วางชีวิตของพ่อและสมาชิกในครอบครัวที่เหลือไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ผ่านไปสองอาทิตย์ จู่ๆ พ่อก็โทรมาหาแล้วถามว่าผมเป็นยังไงบ้าง พ่อบอกว่าท่านเสียใจมากที่โวยวายใส่ผมเมื่อตอนนั้น พ่อบอกว่า ท่านมักจะบอกให้ผู้คนถ่อมตัวอยู่เสมอ แต่ท่านกลับโมโหใส่ผม และเป็นเรื่องจริงที่ท่านไม่สามารถรักษาพระบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ได้ แล้วพ่อก็บอกว่า “กลับบ้านเถอะ พ่ออยากรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายให้มากขึ้น” ผมประหลาดใจและตื่นเต้นมากๆ ที่ได้ยินท่านพูดแบบนี้ พ่อเคยต่อต้านพระราชกิจใหม่ของพระเจ้ามากๆ มาตลอด แต่ตอนนี้พ่อกลับไขว่คว้าการแสวงหา ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงได้ยินคำอธิษฐานของผมครับ ผมขอมอบการขอบคุณและสรรเสริญแก่พระเจ้าครับ พอกลับมาบ้าน พ่อก็บอกว่า “ตั้งแต่ลูกจากไปพ่อก็หลับไม่ลงเลย ทุกอย่างที่ลูกพูดนั้นอยู่ในความคิดพ่อเช้าเย็น พ่อหมั่นอธิษฐานและพิจารณาพระคัมภีร์ และก็มีบอกจริงๆ ว่าพระเจ้าจะทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาตอนเที่ยงคืนอย่างลับๆ ในฐานะบุตรมนุษย์ พระองค์จะทรงเคาะประตูของเรา แกะของพระเจ้าจะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และมีเพียงหญิงพรหมจารีมีปัญญาเท่านั้นที่สามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ในขณะที่หญิงพรหมจารีโง่นั้นไม่ได้ยิน พ่อคิดว่าลูกพูดถูก พ่อไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นมาก่อน แต่ทั้งหมดก็มีอ้างอิงในพระคัมภีร์และสอดคล้องกับข้อเท็จจริงต่างๆ สิ่งที่ลูกพูดมันเกี่ยวข้องกับคำเผยพระวจนะเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเลย ถ้าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วจริงๆ นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ พ่อต้องแสวงหาในเรื่องนี้ พ่อกังวลเรื่องที่ตัวเองจะกลายเป็นฟาริสีจริงๆ และเสียความรอดของพระเจ้าไป พ่อต้องแสวงหาความจริงเกี่ยวกับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า” จากนั้นท่านก็ได้ถามขึ้นมาว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงไถ่เราผ่านการถูกตรึงกางเขนของพระองค์ และทรงรับเอาบาปทั้งหมดของเราไป พระองค์จึงไม่เห็นว่าเราเปี่ยมบาป และเมื่อพระองค์เสด็จมา เราก็สามารถตรงเข้าสู่สวรรค์ได้เลย ทำไมพระองค์ต้องทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในระยะนี้ด้วยล่ะ”

ผมมีความสุขมากที่ได้เห็นว่าพ่อมีความเข้าใจแบบนั้น และแสวงหา เพื่อตอบคำถามของพ่อ เราเลยดูคลิป จากภาพยนตร์เรื่อง บทเพลงแห่งชัยชนะ ที่ชื่อว่า เหตุใดองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงกลับมาเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย น้องสาวในคลิปได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สองบทตอน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ก่อนที่มนุษย์จะได้รับการไถ่ พิษมากมายของซาตานซึ่งได้ถูกปลูกฝังไว้ภายในตัวเขาแล้ว และหลังจากหลายพันปีของการถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขามีธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งต้านทานพระเจ้าก่อตัวขึ้นมาภายในตัวเขา ดังนั้น เมื่อมนุษย์ได้รับการไถ่ ก็ย่อมไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่ากรณีของการไถ่ที่มนุษย์ถูกซื้อมาด้วยราคาแพง แต่ธรรมชาติซึ่งเป็นพิษภายในตัวเขาหาได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นไม่ มนุษย์ซึ่งมีมลทินมากขนาดนั้นจะต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะกลายมามีคุณค่าต่อการรับใช้พระเจ้า ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาตุแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้ เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า ในความจริง ช่วงระยะนี้เป็นช่วงระยะของการพิชิตชัยตลอดจนช่วงระยะที่สองในพระราชกิจแห่งความรอด โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะนี่เอง มนุษย์จึงมาถึงการได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า และโดยผ่านทางการใช้พระวจนะถลุง พิพากษา และเปิดเผยนี่เอง ความไม่บริสุทธิ์ มโนคติที่หลงผิด เหตุจูงใจ และความทะเยอทะยานของปัจเจกบุคคลภายในหัวใจมนุษย์จึงถูกเผยอย่างสมบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4))บาปทั้งหลายของมนุษย์อาจสามารถได้รับการยกโทษโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาปได้ แต่สำหรับวิธีที่แน่ๆ ที่มนุษย์จะไม่สามารถถูกทำให้มีบาปอีกต่อไป และวิธีที่ธรรมชาติบาปของเขาอาจถูกขุดรากถอนโคนอย่างครบบริบูรณ์และแปลงสภาพไปนั้น เขาไม่มีทางแก้ปัญหานี้ได้ บาปทั้งหลายของมนุษย์ได้รับการยกโทษไปแล้ว และนี่ก็เพราะพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนของพระเจ้า แต่มนุษย์ยังคงมีชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานแบบเดิมต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ มนุษย์จะต้องได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบบริบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน เพื่อที่ธรรมชาติบาปของเขาอาจถูกขุดรากถอนโคนอย่างครบบริบูรณ์ ไม่มีวันพัฒนาขึ้นมาอีก เช่นนั้นจึงจะเป็นการทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการแปลงสภาพได้ การนี้มนุษย์พึงต้องจับความเข้าใจในเส้นทางการเติบโตของชีวิต จับความเข้าใจในวิถีแห่งชีวิต และจับความเข้าใจในหนทางที่จะเปลี่ยนอุปนิสัยของเขา ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์พึงต้องกระทำโดยสอดคล้องกับเส้นทางนี้ เพื่อที่อุปนิสัยของเขาอาจค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและเขาอาจมีชีวิตอยู่ภายใต้การสาดแสงของความสว่าง เพื่อที่ทั้งหมดที่เขาทำอาจสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อที่เขาอาจทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และเพื่อที่เขาอาจหลุดพ้นจากอิทธิพลแห่งความมืดของซาตาน อันเป็นผลให้โผล่พ้นออกจากบาปได้อย่างครบถ้วน ถึงตอนนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงจะได้รับความรอดอันครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4))

จากนั้นเธอได้แบ่งปันการสามัคคีธรรมนี้ “พระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าในยุคพระคุณแค่อภัยให้บาปของมนุษย์เท่านั้น แต่ธรรมชาติที่เปี่ยมบาปของเรายังคงอยู่ ธรรมชาติและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเรานี่เอง ที่ถูกฝังรากลึกลงในหัวใจของเรา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราอดไม่ได้ที่จะทำบาปและต่อต้านพระเจ้า ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเราคือรากเหง้าของเรื่องนั้น พระเจ้าทรงอภัยแก่บาปของเราได้ แต่ธรรมชาติที่เปี่ยมบาปของเราได้หยั่งรากลึกไปแล้ว สิ่งนั้นไม่สามารถอภัยให้ได้ จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมพระเจ้าต้องพิพากษาและตีสอนเราเพื่อช่วยเราให้รอดโดยสมบูรณ์ จากพันธนาการแห่งธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเรา พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย ก็เพื่อธรรมชาติและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่อยู่ในตัวของมนุษยชาติผู้เสื่อมทราม บางคนอาจถามว่า สิ่งนี้ถูกแก้ไขได้ผ่านการพิพากษาและตีสอนเท่านั้นหรือ ถ้าเรายอมลำบาก ข่มตัวเอง และยับยั้งชั่งใจ เราก็สามารถแก้ไขธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเรางั้นเหรอ ไม่มีทาง อย่างที่เปาโลกล่าวไว้ว่า ‘ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในเนื้อหนังของข้าพเจ้าไม่มีความดีใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่การดีนั้นไม่สามารถทำได้เลย’ (โรม 7:18) เราต่างก็มีประสบการณ์แบบนี้กันทั้งนั้น เราทนทุกข์ทรมานและข่มกายตนเอง เพื่อให้รอดพ้นจากความเปี่ยมบาปและอยู่เหนือเนื้อหนัง แต่มีใครเอาชนะซาตานและนบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงได้บ้าง ไม่มีเลย นี่แสดงให้เห็นว่าพอให้เราจัดการตัวเอง เราก็ไม่สามารถแก้ไขธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเราได้ เราต้องก้าวผ่านการพิพากษา การตีสอน การทดสอบ และกระบวนการถลุงของพระเจ้า เพื่อให้ได้รับความจริงและแก้ไขธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเราได้จริงๆ บนรากฐานของพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงพิพากษาและตีสอนมนุษย์ ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงทั้งปวงซึ่งชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยเขาให้รอด รวมถึงเปิดเผยความลึกลับแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า อย่างเช่น เรื่องราวในพระราชกิจของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักร รวมถึงสิ่งที่สำเร็จในแต่ละยุค ความสำคัญของการพิพากษาในยุคสุดท้าย และพระนามของพระองค์ ความลึกลับแห่งการจุติมาเป็นมนุษย์ เรื่องราวภายในพระคัมภีร์ พระองค์ทรงสิ้นสุดแต่ละยุคอย่างไร ราชอาณาจักรของพระคริสต์เกิดขึ้นได้อย่างไร รวมถึงผลของมนุษย์ทุกประเภท พระองค์ยังทรงตีแผ่รากเหง้าแห่งความชั่วร้ายและมืดมิดในโลกนี้ กับความจริงของความเสื่อมทรามแห่งมนุษยชาติโดยซาตาน พระองค์ทรงพิพากษาและตีแผ่ธรรมชาติและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่ต่อต้านพระเจ้าของเรา เราได้ก้าวผ่านช่วงเวลาสองสามปีของการพิพากษาและตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า ได้เข้าใจธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่ต่อต้านพระเจ้าของตัวเอง ซึ่งเป็นพิษร้ายและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่อยู่ในธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเรา รวมถึงได้เห็นความจริงว่าซาตานทำให้เราเสื่อมทรามอย่างไร เราได้เริ่มเข้าใจพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมและไม่ทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองของพระเจ้า แล้วเราก็ได้ล้มลงเสียใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ได้รังเกียจตัวเอง เราได้เริ่มปฏิบัติความจริงและดำเนินชีวิตโดยพระวจนะของพระเจ้า อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเราก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปและได้รับการชำระให้สะอาด เราโกหก ทำบาป และต่อต้านพระเจ้าน้อยลง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย มีเพียงพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้น ที่สามารถชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยมนุษย์ให้รอดได้โดยสมบูรณ์ นี่คือข้อเท็จจริง”

พ่อผมดูทุกสิ่งที่มีอย่างตั้งใจ ท่านไม่พูดอะไรมากแต่ก็พูดออกมาอย่างจริงใจว่า “ตอนนี้พ่อเข้าใจแล้ว พ่ออยากสอบสวนเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย” ผมเลยมอบหนังสือ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ฉบับคัดลอกให้พ่อ และท่านก็เริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในทุกเช้า บางครั้งพ่อก็จะเอาไปเปรียบเทียบกับในพระคัมภีร์ แต่หลังจากนั้นไม่นาน พ่อก็ได้เห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริงและเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า ท่านแน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา และได้ยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระองค์ครับ

ในไม่ช้า ศิษยาภิบาลคนเก่าของเราก็ได้ยินว่าพ่อของผมยอมรับในพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายแล้ว เขามาพร้อมกับมิชชันนารีและผู้ร่วมงานอีกคนหนึ่งเพื่อมาห้ามพ่อ พ่อของผมเป็นพยานให้กับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และพูดไปอย่างจริงจังว่า “ผมรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี ผมรู้พระคัมภีร์อย่างดี อีกทั้งผมก็ดูเคร่งศาสนาและซื่อสัตย์ แต่ผมไม่ได้แสวงหาความจริงหรือสอบสวนอย่างนอบน้อมเมื่อได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ผมกลับเพิกเฉย คำเผยพระวจนะทั้งหมดในคัมภีร์ เรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย แถมยังถึงกับไล่ลูกชายออกจากบ้านตอนที่เขาแบ่งปันข่าวประเสริฐนี้กับผม ผมมันเป็นกบฏเหลือเกิน ผมคิดว่าตัวเองเข้าใจพระคัมภีร์อย่างดีมากๆ และไม่มีใครโน้มน้าวผมเป็นอื่นได้ แต่การอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำให้ผมตื้นตันใจมาก ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ว่ามีเพียงผู้แสวงหาความจริงเท่านั้น ที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและได้รับความรอดในยุคสุดท้ายของพระองค์” พอได้ฟังการสามัคคีธรรมของพ่อ และคิดย้อนไปว่าท่านเคยต่อต้านพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าแค่ไหน ผมก็ตื้นตันจนน้ำตาไหล ผมขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ ครับ ผมได้เห็นแล้วจริงๆ ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงและสามารถพิชิตหัวใจของมนุษย์ได้ ไม่ว่ามโนคติที่หลงผิดทางศาสนาของคนๆ นั้นจะแข็งแกร่ง หรืออุปนิสัยของเขาจะกบฏแค่ไหน ถ้าพวกเขาแสวงหาและอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็จะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและได้เห็นการทรงปรากฏของพระองค์ เหมือนที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา(ยอห์น 10:27)

ตอนนี้ครอบครัวของผมทั้งเจ็ดคนได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายแล้วครับผมมั่นใจในการแบ่งปันข่าวประเสริฐขึ้นมากเลย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการแบ่งคริสตจักร

ต้นปีที่แล้ว ด้วยความที่คริสตจักรของผู้มาใหม่ของเราเติบโตอย่างมาก ผู้นำเลยตัดสินใจ แบ่งความรับผิดชอบของฉัน กับเพื่อนร่วมงานใหม่ ทีแรก...

วิธีรับมือกับการถูกตัดแต่ง

โดย โรซาลี, ประเทศเกาหลีใต้วันพุธที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2022 ฟ้าโปร่งวันนี้ฉันได้เริ่มต้นหน้าที่ใหม่ นั่นคืองานที่เกี่ยวกับต้นฉบับ...

ความไม่ละอายแห่งการโอ้อวด

โดย ว่าน ซินผิง, ประเทศจีน เดือนมีนาคมปี 2020 ฉันย้ายไปยังคริสตจักรใหม่ ที่คริสตจักรเก่าฉันเป็นผู้นำ และพี่น้องชายหญิง ก็เคารพฉันมาก...

เหตุใดฉันจึงจะไม่แบกรับภาระ?

โดย เดซี, ประเทศเกาหลีใต้เดือนตุลาคมปี 2021 ฉันรับหน้าที่เป็นหัวหน้างานฝ่ายวิดีโอ ฉันทำงานร่วมกับพี่น้องชายเลโอและพี่น้องหญิงแคลร์...

ติดต่อเราผ่าน Messenger