เรียนรู้จากเสียงวิจารณ์

วันที่ 29 เดือน 01 ปี 2022

โดย ซงหยู่, เนเธอร์แลนด์

เดือนพฤษภาปีนี้ พี่สาวคนหนึ่งรายงานฉัน ว่าพี่ลูบอกเธอว่า ผู้นำคริสตจักรอย่างน้อยสามคนไม่ปฏิบัติงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และพี่น้องชายหญิงก็ไม่อาจแยกแยะผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ หลังจากที่ได้ยินรายงานของเธอ ฉันก็คิดกับตัวเองว่าพี่ลูโอหังเกินไป ถ้าผู้นำคริสตจักรสามคนนี้เป็นปัญหาจริง พวกเขาคงถูกแทนที่ไปนานแล้วสิ ลับหลังพวกเขา พี่ลูอ้างว่า ทั้งสามคนเป็นผู้นำเทียมเท็จ เธอกำลังตัดสินผู้นำด้วยการทำเช่นนี้อยู่ไม่ใช่หรือ? ฉันเริ่มมีทรรศนะบางอย่างเกี่ยวกับพี่ลู ฉันคิดว่าเธออาจจะไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี หลังจากนั้น ฉันจึงไปหาคำตอบเรื่องพฤติกรรมและสภาวะความเป็นมนุษย์โดยทั่วไปของพี่ลู ว่าเธอชอบชี้ให้เห็นปัญหากับผู้นำและคนทำงานลับหลังพวกเขาหรือไม่ เมื่อฉันเริ่มตรวจสอบ ก็ได้เรียนรู้จากพี่น้องว่า พี่ลูเจาะจงว่ามีผู้นำคนหนึ่งไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ฉันเลยยิ่งสงสัยกว่าเดิม ว่าพี่ลูมีเจตนาไม่ดีและต้องการเป็นผู้นำเสียเอง เธอเลยวิจารณ์ผู้นำต่อหน้าพี่น้องเสมอ และเธอได้แพร่อคติไม่ดีเกี่ยวกับผู้นำ ทำให้ระเบียบของคริสตจักรหยุดชะงัก และขัดขวางงานของคนอื่น ถ้าพี่ลูต้องการปกป้องงานของคริสตจักรจริงๆ เมื่อเห็นว่ามีผู้นำเทียมเท็จในคริสตจักร เธอก็ควรรายงานผู้นำระดับสูง หลังจากที่ผู้นำระดับสูงสอบสวนและตรวจสอบสถานการณ์ ถามผู้เชื่อคนอื่น ถ้าพวกเขาพบว่ามีผู้นำเทียมเท็จจริง พวกเขาก็คงรับมือได้อย่างเหมาะสม แต่พี่ลูไม่รายงานสถานการณ์ให้ผู้นำระดับสูงทราบ เธอกลับพูดถึงปัญหาของผู้นำเหล่านั้นกับพี่น้องไม่หยุด สิ่งที่เธอกำลังทำคือการตัดสินผู้นำ ฉันจึงไปหาพี่ลูเพื่อสามัคคีธรรมกับเธอ บอกเธอว่า “ถ้าคุณพบว่าผู้นำและคนทำงานมีปัญหา คุณควรรายงานไปยังเบื้องบน ไม่ใช่พูดซี้ซั้วต่อหน้าพี่น้องชายหญิง สิ่งที่คุณทำจะทำให้พวกเขามีอคติต่อผู้นำและปฎิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับงานของผู้นำ พฤติกรรมนี้ส่งผลเสียต่องานของคริสตจักร และคุณได้พูดคุยปัญหาของผู้นำหลายคนลับหลัง นี่คือการตัดสินผู้นำ” ฉันบอกให้เธอทบทวนเจตนาและเป้าหมายในการพูดอะไรเหล่านี้ สุดท้ายก็เตือนเธอไปว่า “ถ้าคุณยังตัดสินผู้นำลับหลังแบบนี้ต่อไป ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก คุณอาจเสียโอกาสที่จะปฏิบัติหน้าที่ของคุณได้” หลังจากจัดการเรื่องพี่ลูแล้ว ฉันก็รู้สึกว่าได้ลุล่วงความรับผิดชอบในฐานะผู้นำ และได้ปกป้องงานของคริสตจักร

วันหนึ่งในที่ประชุม จู่ๆ ผู้นำระดับสูงกว่าก็ถามฉันอย่างไม่ได้คาดหมายว่า “ทำไมคุณจึงปลดพี่ลูออกจากหน้าที่? เธอทำผิดอะไรหรือ?” คำถามนี้ทำให้ฉันสับสนทันที คิดว่า “ฉันไม่เคยปลดพี่ลูเสียหน่อย ถ้ามีคนมาแทนที่เธอ ฉันก็ไม่รู้เรื่องนะ” แล้วผู้นำก็บอกฉันว่า ปัญหาที่พี่ลูรายงานเป็นจริง และอันที่จริงผู้นำที่เธอรายงาน คือพวกที่ต้องถูกแทนที่ ผู้นำได้จัดการกับฉันที่ทำโดยพลการมากไปในการรับมือกับปัญหาของพี่ลู เขาพูดว่า เพียงเพราะเธอรายงานปัญหาเกี่ยวกับผู้นำหลายคน ฉันก็กำหนดว่าเธอตัดสินผู้นำโดยพลการและมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แย่ การกระทำของฉันเท่ากับการปราบปรามและกล่าวโทษประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ไม่ต่างอะไร จากสิ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำเลย ใครที่บอกความจริงจะถูกปราบปรามและลงโทษ หลังจากที่ผู้นำจัดการกับฉัน ก็ยากที่ฉันจะยอมรับได้ ฉันไม่คิดว่าฉันสร้างบรรยากาศของความกลัวแน่ๆ และฉันก็ไม่ต้องการลงโทษพี่ลู ยิ่งกว่านั้น ผู้นำที่คริสตจักรของพี่ลูต่างหากที่ให้คนมาแทนที่เธอ ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงเลย นั่นทำให้ฉันเหมือนกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ยังไง?

จากนั้น ฉันก็หยุดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมผู้นำจัดการฉันแบบนี้ แล้วปัญหาของฉันเกิดขึ้นที่ตรงไหน? ฉันนึกย้อนถึงคำพูดของผู้นำ ฉันอธิบายว่าการกระทำของพี่ลูเป็น “การตัดสินผู้นำ” ซึ่งจากนั้นเธอก็ถูกปราบปรามและปลดจากหน้าที่ทันที ถ้าฉันไม่อธิบายบุคลิกเธอแบบนั้น เธอจะถูกปลดเร็วขนาดนั้นหรือเปล่า? ฉันใคร่ครวญเรื่องนี้ขณะที่คิดทบทวน คิดว่า แม้ฉันจะไม่ใช่คนที่ปลดพี่ลูจากหน้าที่ และแม้ฉันไม่ได้จงใจลงโทษหรือปราบปรามเธอ แต่เพราะฉันเป็นผู้นำคนหนึ่ง หลังจากที่บรรยายปัญหาของเธอว่า “ตัดสินผู้นำโดยพลการ” แล้ว พี่น้องของเราก็ไม่มีความประทับใจที่ดีกับเธอ เมื่อมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นในหน้าที่ของเธอ ผู้นำคริสตจักรของเธอก็คงคิดว่าเธอชอบตัดสินผู้คน มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แย่ และปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี พวกเขาก็เลยปลดเธอ จุดเริ่มต้นของห่วงโซ่เหตุการณ์ทำให้เธอถูกปลด คือการที่ฉันหมายมั่นเรื่องเธอ แต่สิ่งที่เป็นมูลฐานของฉัน ในการกำหนดว่าเธอผิดที่ “ตัดสินผู้นำ” คืออะไร? เธอได้ตัดสินผู้คนจริงๆ หรือ? ขณะที่ฉันทบทวนคำถามเหล่านี้ ฉันได้ค้นพบว่าฉันมีทัศนคติบางอย่างที่ผิด ฉันคิดว่าการรายงานผู้นำต้องทำไปตามขั้นตอน ถ้าคุณไม่ให้คำแนะนำโดยตรงกับบุคคลที่มีปัญหา คุณก็ต้องพูดถึงปัญหากับผู้นำระดับสูงกว่า ให้พวกเขาสอบสวนและจัดการมัน ไม่อย่างนั้น คุณก็กำลังตัดสินผู้นำลับหลังเขา พี่ลูพูดว่ามีปัญหาบางอย่างกับผู้นำสี่คน แต่เธอไม่ได้บอกกับพวกผู้นำเอง หรือรายงานปัญหากับผู้อยู่เหนือกว่าพวกเขา เธอกลับพูดเรื่องนี้ กับพี่น้องชายหญิงหลายครั้ง ว่าพวกเขาไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง พูดแต่คำสอน และเป็นผู้นำเทียมเท็จ ฉันคิดว่าพฤติกรรมของเธอรวมๆ กันแล้วเป็นการตัดสินผู้นำ ฉันก็เลยกล่าวโทษเธอตามพฤติกรรมนี้ โดยไม่ได้สืบสาวราวเรื่องจริงๆ ว่าปัญหากับผู้นำที่พี่ลูพูดถึงเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่ ถ้าสิ่งที่พี่ลูพูดเป็นจริง ว่าทั้งสี่คนนี้เป็นผู้นำเทียมเท็จ เช่นนั้น เธอก็กำลังทำเพื่อเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้อยู่ ก็เท่ากับว่าเธอยกชูหลักธรรมแห่งความจริงและกระทำการอย่างเที่ยงธรรม ซึ่งหมายความว่าเธอรับผิดชอบและปกป้องงานในพระนิเวศของพระเจ้า บางคนที่มีความสามารถที่จะรายงานปัญหาได้ตามจริงและกล้าพูดความจริง โดยไม่กลัวสถานะและอำนาจของพวกผู้นำเทียมเท็จ คือคนดีในพระนิเวศ คือคนที่เราควรบ่มเพาะ ถ้าปัญหาที่พวกเขารายงานไม่ตรงตามข้อเท็จจริง หรือถ้าพวกเขากล่าวหาเท็จต่อผู้นำและคนทำงาน นี่ก็คือการให้ร้ายและใส่ความ ตัดสินคนโดยพลการ และก่อความไม่สงบต่องานของคริสตจักร และบุคคลเช่นนี้คือคนทำชั่วที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แย่ ซึ่งต้องถูกจัดการไปตามหลักธรรม ตอนนี้ข้อเท็จจริงได้รับการพิสูจน์แล้ว ว่าคนพวกนั้นเป็นผู้นำเทียมเท็จจริงที่ไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ทุกสิ่งที่เธอรายงานสอดคล้องกับข้อเท็จจริง เธอไม่ได้ตัดสินผู้นำเลย เธอกำลังบอกความจริงและเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จ คนที่มีสำนึกความเป็นธรรมแบบนั้น สมควรได้รับการสนับสนุน ไม่ใช่ถูกกล่าวหาและกล่าวโทษแบบพล่อยๆ ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจว่าการเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จและการตัดสินผู้คนหมายถึงอะไร เมื่อมีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้น ฉันก็ไม่แสวงหาหลักธรรมหรือยำเกรงพระเจ้า กลับกล่าวโทษคนดีไปตามอำเภอใจ ถ้าผู้นำไม่พบว่าการปลดพี่ลูนั้น ขาดหลักธรรม และยับยั้งได้ทัน ฉันก็คงจะได้ทำสิ่งที่เลวไปแล้ว ขณะที่ฉันทบทวนเรื่องนี้ ฉันรู้สึกโทษตัวเองมาก เพราะตระหนักได้ว่าฉันผิดไปแล้ว ฉันจึงอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพื่อแสดงความเต็มใจที่จะยอมรับการตัดแต่งและการจัดการของพระองค์ ขอการทรงนำเพื่อให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับความเสื่อมทรามของฉันเอง

ช่วงเวลาเฝ้าเดี่ยว ฉันเจอบทตอนหนึ่งจากพระวจนะ ย่อหน้าที่สองของ “งานปรนนิบัติทางศาสนาต้องได้รับการชำระล้าง” “การรับใช้พระเจ้าไม่ใช่ภารกิจง่ายๆ พวกที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีวันสามารถรับใช้พระเจ้าได้ หากอุปนิสัยของเจ้ายังไม่ได้รับการพิพากษาและตีสอนโดยพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยของเจ้าก็ยังคงเป็นตัวแทนซาตาน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเจ้ารับใช้พระเจ้าโดยเจตนาที่ดีของเจ้าเอง เป็นการพิสูจน์ว่าการปรนนิบัติของเจ้านั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเจ้า เจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยบุคลิกลักษณะตามธรรมชาติของเจ้า และตามความพึงใจส่วนบุคคลของเจ้า ที่มากไปกว่านั้นคือ เจ้าคิดอยู่เสมอว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเต็มใจทำนั้นคือสิ่งที่น่าปีติยินดีต่อพระเจ้า และคิดว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่อยากทำนั้นคือสิ่งที่น่ารังเกียจต่อพระเจ้า เจ้าทำงานตามความพึงใจของเจ้าเองโดยสิ้นเชิง การนี้สามารถเรียกว่าเป็นการรับใช้พระเจ้าได้หรือ? ท้ายที่สุดแล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยในอุปนิสัยชีวิตของเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การปรนนิบัติของเจ้าจะทำให้เจ้าดื้อดึงยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าฝังแน่นอย่างล้ำลึก และเมื่อเป็นเช่นนั้น จะมีกฎเกณฑ์ทั้งหลายเกี่ยวกับการปรนนิบัติพระเจ้าที่ขึ้นอยู่กับบุคลิกลักษณะของเจ้าเองเป็นสำคัญ และประสบการณ์ทั้งหลายที่ได้จากการปรนนิบัติของเจ้าตามอุปนิสัยของเจ้าเองก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นภายในตัวเจ้า เหล่านี้คือประสบการณ์และบทเรียนของมนุษย์ มันคือปรัชญาแห่งการดำรงชีวิตบนโลกของมนุษย์ ผู้คนเยี่ยงนี้สามารถจัดระดับให้เป็นพวกฟาริสีและพวกเจ้าหน้าที่ทางศาสนาได้ หากพวกเขาไม่ตื่นขึ้นและไม่กลับใจเลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นเหล่าพระคริสต์เทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ผู้หลอกลวงผู้คนในยุคสุดท้ายอย่างแน่นอน เหล่าพระคริสต์เทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ทั้งหลายที่พูดถึงนี้จะเกิดขึ้นจากท่ามกลางผู้คนเช่นนั้น หากบรรดาผู้ที่รับใช้พระเจ้าปฏิบัติตามบุคลิกลักษณะของพวกเขาเองและกระทำตามเจตจำนงของพวกเขาเอง พวกเขาก็มีความเสี่ยงที่จะถูกขับออกไปได้ตลอดเวลา พวกที่นำประสบการณ์ที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปีของตนมาใช้ในการรับใช้พระเจ้าเพื่อที่จะชนะใจผู้อื่น เพื่ออบรมสั่งสอนพวกเขาและควบคุมพวกเขา และเพื่ออยู่ในตำแหน่งสูง—และพวกที่ไม่เคยกลับใจ ไม่เคยสารภาพบาปพวกเขา ไม่เคยประกาศสละผลประโยชน์จากตำแหน่ง—ผู้คนเหล่านี้จะต้องล้มลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกับเปาโล โดยถือสิทธิความอาวุโสของตนและโอ้อวดเรื่องคุณวุฒิของตน พระเจ้าจะไม่ทรงนำพาผู้คนเยี่ยงนี้ไปสู่การมีความเพียบพร้อม การปรนนิบัติเช่นนั้นแทรกแซงพระราชกิจของพระเจ้า ผู้คนยึดติดกับสิ่งเก่าๆ ตลอดเวลา พวกเขายึดติดกับมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายในอดีต กับทุกสิ่งทุกอย่างจากวันเวลาที่ผ่านไปแล้ว นี่เป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ต่อการปรนนิบัติของพวกเขา หากเจ้าไม่สามารถสลัดสิ่งเหล่านั้นทิ้งไปได้ สิ่งเหล่านี้จะบีบคั้นชีวิตของเจ้าทั้งชีวิต พระเจ้าจะไม่ทรงชมเชยเจ้า ไม่แม้แต่น้อย ไม่แม้กระทั่งว่าขาของเจ้าจะหักในขณะดำเนินงานหรือหลังของเจ้าจะหักขณะที่ใช้แรง ไม่แม้กระทั่งว่าเจ้าจะพลีชีพในการปรนนิบัติของเจ้าต่อพระเจ้า ตรงกันข้ามอย่างยิ่ง คือ พระองค์จะตรัสว่า เจ้าเป็นคนทำความชั่วคนหนึ่ง(พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พระวจนะเปิดเผยสภาวะของฉันได้แม่นยำ ฉันเป็นผู้นำมานาน จึงรู้สึกว่ามีประสบการณ์มากมาย เข้าใจหลักธรรมอยู่บ้าง ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ คิดว่าตัวเองรู้ว่าจะมองผู้คน สิ่งต่างๆ รวมถึงวิธีจัดการปัญหายังไง หลังจากนั้น ฉันก็ค่อยๆ โอหังขึ้น ไม่มีที่ให้พระเจ้าในหัวใจ และเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ฉันก็คิดว่าฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันจึงมีแนวคิดของตัวเองอยู่ตลอด ฉันเชื่อเสมอว่าฉันถูก และควรทำสิ่งต่างๆ ยังไง ฉันไม่อธิษฐานเพื่อแสวงหาหลักธรรม แต่กลับทำในทางที่คิดว่าถูกต้อง เมื่อมีรายงานปัญหาของพี่ลูกับฉัน ฉันไม่ได้อธิษฐานถามพระเจ้าเลย ฉันไม่แสวงหาวิธีปฏิบัติความจริงหรือกระทำการไปตามหลักธรรมในเรื่องนี้ ตอนแรกฉันมองว่า นี่คือปัญหาของความเป็นมนุษย์ของเธอ และการตัดสินคนอื่น ฉันจึงเจาะจงหาคำตอบว่าความเป็นมนุษย์ของเธอแย่จริงไหม เธอพูดถึงปัญหาของผู้นำและคนทำงานบ่อยๆ เวลามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นหรือเปล่า เมื่อเรียนรู้ว่าพี่ลูได้พูดคุยถึงปัญหาของผู้นำคนอื่น ฉันก็นิยามไปเองว่าเธอ “ตัดสินผู้คน” และ “ทำลายงานคริสตจักร” ตามหลักธรรม ฉันควรไปหาคนที่เกี่ยวข้องและสอบสวนสิ่งที่เธอพูด ฉันควรเรียนรู้ว่าพวกเขาปฏิบัติงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่ เพื่อจะได้กำหนดปัญหาได้แม่นยำ ฉันควรได้ยืนยันว่าสิ่งที่พี่ลูพูดจริงหรือไม่ แต่เพราะฉันโอหัง และคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอ ฉันจึงไม่ได้แสวงหาหลักธรรม ไม่ยำเกรงพระเจ้าในหัวใจ และอธิบายตัวตนของเธอไปโดยพลการ นำให้เธอถูกแทนที่ ถูกปราบปราม และกีดกัน ฉันเกือบจะทำลายคนดีๆ คนหนึ่ง พระนิเวศเน้นไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า เราต้องหนุนผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในการรายงานปัญหา ปกป้องคนเหล่านั้นที่กล่าวความคิดเห็นต่อผู้นำและคนทำงาน สอบสวนสิ่งที่พวกเขารายงานและเปิดโปงให้ละเอียดและชัดเจน และจัดการไปตามหลักธรรม ถึงอย่างนั้น เพราะฉันถูกธรรมชาติโอหังควบคุมไว้ ฉันจึงแปะป้ายผู้อื่นตามใจ ไม่ทำตามหลักธรรม ปราบปรามคนดีๆ คนหนึ่ง ปกป้องและยอมผู้นำเทียมเท็จ ละเมิดการจัดเตรียมงานของพระนิเวศในทุกส่วน ผู้นำเทียมเท็จ ทำลายงานของคริสตจักร แต่แทนที่จะจัดการพวกเขา ฉันกลับกล่าวโทษคนที่รายงานปัญหา นั่นทำให้ฉันเป็นร่มกำบังให้กับพวกผู้นำเทียมเท็จหรอกไม่ใช่หรือ? ฉันมีส่วนร่วมในความเลวของพวกผู้นำเทียมเท็จ ได้กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตาน เมื่อฉันคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ก็ตระหนักว่าฉันกำลังทำหน้าที่ด้วยอุปนิสัยอันโอหัง และนี่คือการทำชั่วและต่อต้านพระเจ้า ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พระเจ้าคงจะทรงดูหมิ่นและปฏิเสธฉัน ปัญหานี้ทำหน้าที่เป็นคำเตือนต่อฉัน ในอนาคต ฉันไม่ควรไว้วางใจตัวเองง่ายนัก ฉันต้องแสวงหาความจริงมากขึ้น ทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมให้สอดคล้องกับน้ำพระทัย

ตอนที่ฉันคิดทบทวน ฉันจำได้ว่า ผู้นำบอกว่าฉันกำลังสร้างบรรยากาศของ “ความหวาดกลัวสีขาว” เหมือนกับพรรค ยิ่งคิดเรื่องนี้ มันก็ยิ่งถูกต้อง หลังจากที่กล่าวหาพี่ลูว่าตัดสินผู้คน ฉันบอกเธอไม่ให้ซี้ซั้วพูดถึงความไม่พอใจในตัวผู้นำและคนทำงาน แล้วเตือนเธอว่า ถ้ายังทำอีกเธออาจจะเสียหน้าที่นี้ไป การเข้าหาของฉันแตกต่างไปจากการเข้าหาของพญานาคใหญ่สีแดงอย่างไร? ไม่มีเสรีภาพในการพูดในจีน และผู้คนก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐบาล ถ้าพูดก็คือต่อต้านพรรค พวกเขาจะถูกจับและตกอยู่ภายใต้วิธีการและการทรมานทุกชนิดเพื่อให้พวกเขายอมจำนน ไม่กล้าพูดต่อต้านอีก ใครก็ตามที่กล้าเปิดโปงพรรค จะถูกตัดสินว่าทำผิดโทษฐาน “โค่นล้มอำนาจรัฐ” และถูกตัดสินจำคุก ความวิบัติใดในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง หรือข่าวไม่พึงประสงค์ใดๆ ต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะไม่ได้รับอนุญาตให้รายงาน ใครก็ตามที่รายงานเป็น “การทำความลับของรัฐรั่วไหล” และจะถูกจับมาตัดสินโทษ ถ้าเจ้าหน้าที่ละเลยหรือละทิ้งหน้าที่ของพวกเขา ผู้คนก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดโปงหรือออกความเห็น ถ้าใครก็ตามโพสต์ความเห็นทางออนไลน์ ในรายเบาๆ ตำรวจจะตักเตือนและข่มขู่ ในรายที่แย่กว่าพวกเขาก็จะโดนข้อหาอาชญากรรมอย่างจังๆ ถูกทำโทษหรือตัดสินโทษ เพื่อให้คนอยู่เงียบๆ ไม่กล้าพูดความจริง ถ้าโกรธ ก็แค่ต้องกล้ำกลืน​มันไว้ ผู้คนมีชีวิตอยู่อย่างขลาดกลัว สูญเสียเสรีภาพในการพูด เมื่อคิดถึงสิ่งที่ฉันได้ทำ มันก็เป็นการสร้างบรรยากาศของ “ความหวาดกลัวสีขาว” แบบที่พรรคทำจริงๆ ถ้ามีใครพูดอะไรแย่ๆ เกี่ยวกับผู้นำ ฉันก็กล่าวหาพวกเขาตามอำเภอใจว่าตัดสินผู้นำ เพื่อทำให้พวกเขาปิดปาก และสร้างความหวาดกลัว จนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรใช้ชีวิตอยู่อย่างขลาดกลัว ไม่กล้าเปิดโปงและรายงานผู้นำเทียมเท็จอีกต่อไป เพราะพวกเขากลัวว่าผู้นำจะทำให้ชีวิตของพวกเขาลำบาก พี่ลูได้เปิดโปงและรายงานผู้นำเทียมเท็จ แต่ฉันกลับปราบปรามและกล่าวโทษเธอ ถ้าวันหนึ่งเกิดมีปัญหาหรือความไม่เห็นพ้องในหน้าที่ของฉันเอง แต่แทนที่จะรายงานฉันกับผู้นำระดับสูงกว่า พี่น้องกลับหารือกันและเปิดโปงฉันท่ามกลางพวกเขา และฉันได้ยินเรื่องนี้เข้า ฉันจะกำหนดว่าพวกเขาตัดสินฉันและก็ลงโทษพวกเขา หรือกระทั่งกำจัดและขับไล่พวกเขาไปหรือเปล่า? โดยธรรมชาติของฉัน ฉันทำแบบนั้นได้แน่นอน ถ้าฉันไม่กลับใจและยังดำเนินไปตามเส้นทางเดิม ฉันก็คงกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า และโดนกำจัดทิ้ง หลังจากได้คิดทบทวนเรื่องเหล่านี้แล้ว ฉันก็กลัวเพราะสิ่งที่ฉันได้ทำไป ฉันทำหน้าที่ในฐานะผู้นำมากว่าสองปี และไม่เคยอยากปราบปรามหรือลงโทษผู้ที่ทรงเลือกเลย แต่ฉันก็ยังสามารถกล่าวโทษพี่น้องได้โดยพลการ อันที่จริง ฉันได้ปราบปรามใครคนหนึ่งไปแล้ว ฉันได้ทำสิ่งชั่วร้ายไปแล้ว ฉันรู้สึกสำนึกผิดมาก จึงได้อธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ว่าเต็มใจที่จะกลับใจจริงๆ และวันหลังเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ฉันก็ยำเกรงพระเจ้าในหัวใจ แสวงหาความจริงมากขึ้น และกระทำการไปตามหลักธรรม

โดยผ่านการตัดแต่งและจัดการ ฉันได้ตระหนักด้วยว่าฉันมีทรรศนะที่ผิด ฉันคิดว่าเมื่อใครบางคนได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ พวกเขาก็ดีกว่าพี่น้องทั่วไปในคริสตจักรและมีสิทธิ์ที่จะพูด เพราะพวกเขาทำงานคริสตจักร ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ควรสนับสนุนพวกเขา ถีงจะพบปัญหา คุณก็ไม่ควรหารือกับพี่น้องแบบซี้ซั้ว ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ได้เปลี่ยนทรรศนะของฉัน และสอนให้ฉันรู้ถึงบทบาทและจุดประสงค์ของผู้นำและคนทำงานในคริสตจักร พระเจ้าตรัสว่า “เมื่อใครบางคนถูกพี่น้องชายหญิงเลือกให้เป็นผู้นำ หรือได้รับการส่งเสริมโดยพระนิเวศของพระเจ้าให้ทำงานบางชิ้นหรือปฏิบัติหน้าที่บางอย่าง นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีสถานะหรืออัตลักษณ์พิเศษ หรือว่าความจริงทั้งหลายที่พวกเขาเข้าใจนั้นลึกซึ้งกว่าและมีจำนวนมากกว่าความจริงทั้งหลายของผู้คนอื่นๆ—นับประสาอะไรที่จะหมายความว่าบุคคลนี้สามารถนบนอบต่อพระเจ้าและจะไม่ทรยศพระองค์ นั่นไม่ได้หมายความเช่นกันว่าพวกเขารู้จักพระเจ้าและเป็นใครบางคนที่ยำเกรงพระเจ้า ในข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขายังไม่ได้บรรลุสิ่งใดที่กล่าวมานี้เลย การส่งเสริมและการบ่มเพาะก็เป็นเพียงแค่การส่งเสริมและการบ่มเพาะในความหมายที่ตรงไปตรงมาที่สุด การส่งเสริมและการบ่มเพาะของพวกเขาแค่หมายความว่าพวกเขาได้รับการส่งเสริมแล้ว และรอการบ่มเพาะอยู่ และจุดจบสุดท้ายของการบ่มเพาะนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นเดินอยู่บนเส้นทางใด และพวกเขาไล่ตามเสาะหาสิ่งใด ด้วยเหตุนี้ เมื่อใครบางคนในคริสตจักรได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะให้เป็นผู้นำ พวกเขาก็แค่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะในความหมายที่ตรงไปตรงมา ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นผู้นำที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแล้ว หรือเป็นผู้นำที่มีความสามารถ ว่าพวกเขาสามารถเข้ารับภาระหน้าที่ของงานผู้นำได้แล้ว และสามารถทำงานได้จริง—นั่นไม่ใช่กรณีเช่นนั้น เมื่อใครบางคนได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะให้เป็นผู้นำ พวกเขาครองความเป็นจริงแห่งความจริงหรือไม่? พวกเขาเข้าใจหลักธรรมเกี่ยวกับความจริงหรือไม่? บุคคลนี้มีความสามารถที่จะนำการจัดการเตรียมการงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้ามาสู่การให้ดอกผลได้หรือไม่? พวกเขามีสำนึกแห่งความรับผิดชอบหรือไม่? พวกเขาครองความหมายมั่นหรือไม่? พวกเขาสามารถนบนอบต่อพระเจ้าได้หรือไม่? เมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหา พวกเขาสามารถสำรวจค้นหาความจริงได้หรือไม่? ไม่มีผู้ใดรู้ทั้งหมดนี้ บุคคลนี้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่? และความยำเกรงพระเจ้าของพวกเขาใหญ่หลวงเพียงใดกันแน่? พวกเขาหมิ่นเหม่ที่จะติดตามเจตจำนงของพวกเขาเองหรือไม่เมื่อพวกเขาทำสิ่งทั้งหลาย? พวกเขาสามารถแสวงหาพระเจ้าได้หรือไม่? ในระหว่างเวลาที่พวกเขาปฏิบัติงานของผู้นำ พวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเป็นประจำและเนืองนิจเพื่อสำรวจค้นหาน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาสามารถนำผู้คนในการเข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งความจริงได้หรือไม่? การนี้และอีกมากมายล้วนแต่รอการบ่มเพาะและการค้นพบ การนี้ทั้งหมดยังคงไม่มีผู้ใดรู้ การส่งเสริมและการบ่มเพาะใครบางคนไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริงแล้ว อีกทั้งไม่ใช่การกล่าวว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างเป็นที่น่าพึงพอใจแล้ว ดังนั้น จุดมุ่งหมายและนัยสำคัญของการส่งเสริมและการบ่มเพาะใครบางคนคือสิ่งใด? นั่นก็คือ บุคคลดังกล่าวในฐานะปัจเจกบุคคล ได้รับการส่งเสริมให้ได้รับการฝึกฝน ได้รับการให้น้ำและการแนะนำเป็นพิเศษ ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจหลักธรรมเกี่ยวกับความจริงได้ รวมทั้งหลักธรรมเกี่ยวกับการทำสิ่งทั้งหลายที่แตกต่างกัน และหลักธรรม วิถีทาง และวิธีการสำหรับการแก้ไขปัญหานานา ตลอดจนวิธีจัดการรับมือและสะสางสภาพแวดล้อมและผู้คนนานาชนิดโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และในหนทางที่อารักขาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเมื่อพวกเขาเผชิญผู้คนและสิ่งเหล่านั้น การนี้บ่งบอกหรือไม่ว่า ผู้ที่มีความสามารถพิเศษซึ่งได้รับการส่งเสริมและการบ่มเพาะโดยพระนิเวศของพระเจ้า สามารถพอที่จะเข้ารับภาระงานของตนและปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ในระหว่างช่วงเวลาของการส่งเสริมและการบ่มเพาะ หรือก่อนการส่งเสริมและการบ่มเพาะ? แน่นอนว่าไม่ ด้วยเหตุนี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้คนเหล่านี้จะได้รับประสบการณ์กับการถูกจัดการ การตัดแต่ง การพิพากษาและการตีสอน การเปิดโปง และแม้กระทั่งการถูกแทนที่ในระหว่างช่วงเวลาของการบ่มเพาะ การนี้เป็นปกติ พวกเขากำลังได้รับการฝึกฝนและการบ่มเพาะ(“การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (5)” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันได้เข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้า ว่าเมื่อพระนิเวศส่งเสริมและฝึกฝนให้ใครเป็นผู้นำ ก็เพราะบุคคลนี้มีขีดความสามารถบางอย่าง สามารถยอมรับความจริงได้ รับผิดชอบในหน้าที่ของพวกเขา หรือมีความชำนาญในงานของพวกเขา นี่ให้โอกาสพวกเขาได้ฝึกฝนตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขากำจัดความเสื่อมทรามออกหมดแล้วหรือได้เข้าใจความจริง นี่ไม่ได้หมายความว่าใครบางคนเป็นผู้นำที่มีคุณวุฒิ หรือไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นี้เป็นปัจเจกบุคคลที่โดดเด่น และมีอัตลักษณ์หรือสถานะพิเศษในพระนิเวศของพระเจ้า หน้าที่ของการเป็นผู้นำคือทำตามพระบัญชาและความรับผิดชอบ ไม่ใช่เรื่องของสถานะเลย เมื่อคุณเป็นผู้นำ นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณมีสถานะและอำนาจตัดสินใจในพระนิเวศทันที ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นที่นับถือจากผู้คน เป็นคนที่พี่น้องเคารพเทิดทูน หรือห้ามใครหารือเมื่อคุณทำพลาด นั่นเป็นทรรศนะที่ผิด การจะเป็นผู้นำได้ เราต้องยอมรับการควบคุมดูแลและคำแนะนำจากพี่น้อง นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้เราเข้าใจปัญหาในงาน ให้เราได้เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ทันเวลา นอกจากนั้น ถ้าพี่น้องพบว่าผู้นำไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง พวกเขาก็ควรปฏิบัติความจริงด้วยการรายงานและเปิดโปงผู้คนเช่นนั้น และปกป้องงานคริสตจักร นี่คือท่าทีที่ถูกต้องที่ควรมีต่อผู้นำ การปฏิบัติต่อผู้นำเช่นนี้เท่านั้นที่แสดงถึงหลักธรรม พระวจนะเปลี่ยนแนวคิดผิดๆ และมโนคติที่หลงผิดของฉัน แสดงให้ฉันเห็นถึงวิธีปฏิบัติหน้าที่ผู้นำและควบคุมดูแลประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างถูกต้อง ฉันหวังที่จะทำให้สิ่งต่างๆ กลับมาดีด้วย นับจากนั้นมา ในภาระหน้าที่ของฉัน ไม่ว่าใครได้รายงานปัญหาเกี่ยวกับผู้นำและคนทำงานอย่างไร ฉันก็หวังว่าจะรับมือกับมันด้วยความระมัดระวัง ขณะเดียวกัน ฉันได้เรียนรู้ที่จะยอมรับการควบคุมดูแลจากพี่น้องมากขึ้น

ต่อมา ในการนัดพบ ผู้นำของเราได้สามัคคีธรรมว่า “คนบางคนมองเห็นคนอื่นรายงานหรือเปิดโปงผู้นำ แล้วก็เล่นงานหรือกล่าวโทษคนที่รายงาน แม้ว่าปกติแล้ว ผู้คนเช่นนั้นจริงจังกับหน้าที่ของพวกเขาเป็นอย่างมาก ทว่าพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่เชื่อฟังพระเจ้าเลย” ฉันรู้สึกเจ็บแปลบเป็นพิเศษตอนที่ฉันได้ยินสามัคคีธรรมจากผู้นำ ฉันรู้สึกทันทีว่าฉันยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย ทั้งๆ ที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แม้แต่ตอนนี้ ฉันก็ไม่ใช่คนที่เชื่อฟังพระเจ้า และพระเจ้าก็ไม่พอพระทัยฉันแน่ ขณะที่ฟังสามัคคีธรรมของผู้นำ ฉันรู้ว่านั่นก็เพื่อตัดแต่งและจัดการฉัน ฉันหยุดร้องไห้ไม่ได้เลย ฉันร้องไห้และอธิษฐาน “พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าเจตนารมณ์ที่ทรงเปิดโปงและจัดการนั้นดี ไม่อย่างนั้น ข้าพระ​อง​ค์ก็ยังคงรู้สึกว่าอุปนิสัยเปลี่ยนไปบ้าง และเชื่อฟังพอควร ตอนนี้เอง ข้าพระองค์ตระหนักว่า ข้าพระองค์ยังห่างไกลมาตรฐานของการเชื่อฟังพระองค์จริงๆ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะพยายามและไล่ตามเสาะหาการที่จะเป็นคนเชื่อฟังพระองค์” ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง ที่เป็นประโยชน์มาก เปิดโอกาสให้ฉันได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ พวกเขาต้องก้าวผ่านการพิพากษากับการตีสอน และการทนทุกข์กับกระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้า หรือถูกจัดการ บ่มวินัยและตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังและความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าได้ และไม่ทำเป็นขอไปทีกับพระองค์ ภายใต้กระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่อุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลง โดยผ่านทางการเปิดโปง การพิพากษา การบ่มวินัย และการจัดการของพระวจนะของพระองค์เท่านั้นพวกเขาจึงจะไม่กล้าที่จะปฏิบัติตนอย่างมุทะลุอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหนักแน่นและสำรวมแทน ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือว่า พวกเขามีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าและต่อพระราชกิจของพระองค์ได้ ต่อให้พระราชกิจไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พวกเขาก็มีความสามารถที่จะละวางมโนคติที่หลงผิดเหล่านี้และนบนอบได้อย่างเต็มใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว) ฉันได้เข้าใจจากพระวจนะ ว่าผู้คนที่เชื่อฟังพระเจ้า สามารถทำได้หลังประสบกับการทรงพิพากษา ตัดแต่ง จัดการ บททดสอบ และกระบวนการถลุงเท่านั้น การสัมฤทธิ์การเปลี่ยนอุปนิสัยและเรียนรู้ที่จะทำการตามหลักธรรม ในการเชื่อในพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ ผู้คนเช่นนี้ แสวงหาความจริงและทำสิ่งต่างๆ ไปตามหลักธรรมได้ เมื่อพวกเขาเผชิญกับบางสิ่งที่สำคัญยิ่งยวดหรือเป็นรากฐาน หรือเมื่อพวกเขาเผชิญกับทางเลือกที่เกี่ยวกับเส้นทางในชีวิต พวกเขาจะเลือกได้ถูกต้องตามพระวจนะและความจริงของพระเจ้า ถ้าคุณเชื่อฟังพระเจ้าแค่ในเรื่องเล็กน้อยหรือจากความประพฤติภายนอก แต่คุณทำการตามเจตจำนงของตัวเองหรือนิสัยตามธรรมชาติ ในเรื่องของหลักธรรมหรือกับปัญหาสำคัญ เช่นนั้นแล้ว คุณก็ยังคงเป็นคนที่กบฏต่อพระเจ้า ในอดีต ฉันคิดเสมอว่าฉันละทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานของฉันเพื่อสละให้กับพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการหน้าที่ใดในพระนิเวศให้ฉัน ฉันจะยอมรับและเชื่อฟังได้ เมื่อฉันเผชิญกับความลำบาก ฉันก็อ่านพระวจะและอธิษฐานต่อพระเจ้าได้ และพยายามหาทางทำหน้าที่ให้ดีขึ้นเสมอ คิดว่าท่าทีนี้ที่ฉันมีต่อหน้าที่ แปลว่าฉันเชื่อฟังพระเจ้าบ้าง แต่ในเรื่องของพี่ลู ฉันได้เห็นว่าฉันยังคงรับมือกับสิ่งต่างๆ อย่างหูหนวกตาบอดตามเจตจำนงของตัวเอง กล่าวโทษและปราบปรามเธอโดยพลการ พิสูจน์ให้เห็นว่าอุปนิสัยเยี่ยงซาตานยังคงควบคุมหัวใจของฉันอยู่ ถึงแม้ว่าปกติแล้วฉันจริงจังและมีสำนึกในหน้าที่ เมื่อเป็นเรื่องของหลักธรรมและปัญหาสำคัญ ฉันยังคงกบฏและเป็นศัตรูต่อพระเจ้า ฉันได้เห็นว่าฉันไม่เข้าใจความจริงเลย อุปนิสัยของฉันก็ไม่ได้เปลี่ยน ฉันยังคงไม่ใช่คนที่เชื่อฟังพระเจ้า หากไม่มีการตัดแต่งและการจัดการของผู้นำ รวมถึงการพิพากษาและวิวรณ์แห่งพระวจนะ ฉันก็คงจะไม่รู้จักตัวเองได้เลย

ตอนนี้ ในเรื่องสำคัญๆ ที่เกี่ยวกับหลักธรรมแห่งความจริง ฉันแสวงหาความจริงอย่างมีสติ และทำสิ่งต่างๆ ไปตามหลักธรรมได้ ฉันไม่ทำสิ่งต่างๆ ตามอุปนิสัยอันโอหังอีกต่อไป ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่บ่อยๆ ด้วย ฉันยังคงมีอุปนิสัยเสื่อมทรามและทรรศนะที่ผิดอยู่มาก ฉันจึงต้องประสบกับการพิพากษา ตีสอน ตัดแต่ง จัดการ สั่งสอนและบ่มวินัย เพื่อเปลี่ยนแปลง ฉันอธิษฐานว่าการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าจะไม่มีวันผละจากฉันไป เพื่อฉันจะได้เข้าใจการกบฏและความเสื่อมทรามของฉันลึกซึ้งมากขึ้น และค่อยๆ เชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างแท้จริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ความไม่ละอายแห่งการโอ้อวด

โดย ว่าน ซินผิง, ประเทศจีน เดือนมีนาคมปี 2020 ฉันย้ายไปยังคริสตจักรใหม่ ที่คริสตจักรเก่าฉันเป็นผู้นำ และพี่น้องชายหญิง ก็เคารพฉันมาก...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger