บทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการให้น้ำผู้เชื่อใหม่

วันที่ 07 เดือน 12 ปี 2022

เดือนมกราคมปีนี้ ฉันให้นำผู้มาใหม่ที่คริสตจักร ฉันรับผิดชอบพี่หลิวกับสามีที่เป็นผู้มาใหม่ หัวหน้างานบอกฉันว่า สามีของพี่หลิวเพิ่งเริ่มสืบค้นงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า เขามาชุมนุมแค่ไม่กี่ครั้ง ต้องเกื้อหนุนและให้น้ำเพิ่ม

พี่หลิวกับสามีมีปากเสียงกัน ทั้งสองครั้งที่ฉันไปบ้านเธอ พอตรวจสอบดูถึงรู้ว่า พี่หลิวดูถูกสามีที่ทำตามกระแสทางโลก และไม่เป็นผู้เชื่อที่อุทิศตน ฉันฉุกคิดได้ว่า ความต้องการของเธอไม่สมจริง และการดุด่าสามีตอนที่เพิ่งเริ่มสืบค้นหนทางที่แท้จริง ก็อาจขวางความก้าวหน้าของเขา ครั้งหนึ่ง ฉันสามัคคีธรรมวิธีเข้าหาผู้คนด้วยความอดอทนอดกลั้นกับเธอ ฉันประหลาดใจที่เธอโกรธจัด และบอกว่าเธออดทนมากแล้ว ถึงกับพูดว่า “ไม่อยากเชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ อย่างน้อยเขาก็จะได้ส่งผลต่อสภาวะของฉัน” ฉันกังวลมากว่า ถ้าสามีของเธอได้ยิน เขาอาจถอนตัวจากคริสตจักร ฉันต่อว่าเธอในใจว่า “พี่น้องหญิงคนนี้โอหังเหลือเกิน เธอสนใจแต่จะระบายอารมณ์ โดยไม่ห่วงว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง ฉันต้องสามัคคีอย่างจริงจัง ให้เธอรู้ว่าสถานการณ์นี้ร้ายแรงแค่ไหน” แต่พอฉันพูดไปตรงๆ พี่หลิวก็เถียงกลับว่า “ฉันไม่อยากโกรธหรอก แต่เขาไปสังสรรค์ ไม่ก็ไปเล่นไพ่ทั้งวัน และไม่อ่านพระวจนะ ไม่ว่าฉันจะพูดกี่ครั้งเขาก็ไม่ฟัง” พอฟังแล้ว ฉันก็โกรธนิดหน่อย คิดว่า “คุณแสดงสัญญาณของความเสื่อมทรามชัดๆ แต่กลับเอาแต่ตำหนิสามี คุณนี่ไม่รู้จักตัวเองเลย!” ฉันจึงอ่านวิวรณ์ที่พูดถึงอุปนิสัยโอหังของผู้คนให้เธอฟัง และตีความว่าที่เธอโกรธเป็นเพราะอยากได้สถานะเกินไป การโกรธและอารมณ์เสีย เพื่อให้สามียอมทำตามที่เธอว่า คืออุปนิสัยเสื่อมทราม และต้องถูกแก้ไขให้ถูกต้อง ตอนนั้น เธอจำใจยอมรับว่าโอหังเกินไป แต่หลังจากนั้นเธอก็เป็นเหมือนเดิม และไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ต่อมา ฉันสามัคคีธรรมกับเธอหลายครั้ง กำชับให้เธอปฏิบัติกับสามีอย่างเป็นธรรม ไม่เห็นแต่ข้อบกพร่องของเขา และต้องรู้จักตัวเอง แต่เธอก็ยังหาข้อแก้ตัวไปเรื่อย ฉันไม่รู้จะทำยังไง เดิมทีฉันแค่อยากให้สามีของเธอเข้าชุมนุมมากขึ้น เพื่อช่วยเขาวางรากฐานบนหนทางที่แท้จริง แต่จู่ๆ การชุมนุมเหล่านั้นก็ถูกยกเลิกทั้งหมด

ตอนนั้น ฉันเอาแต่ต่อว่าและตัดสินพี่หลิวว่า “เธอโอหังมากและเอาแต่ดุด่าสามี เธอมีความเป็นมนุษย์ที่แย่ใช่ไหม? ฉันสามัคคีธรรมกับเธอตั้งหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่ปฏิบัติความจริง หรือช่วยส่งเสริมการชุมนุม ฉันไม่อยากให้น้ำเธอแล้วจริงๆ” ครั้งหนึ่ง ฉันหารือปัญหานี้กับคู่ทำงาน และระบายความข้องใจให้เธอฟัง พี่น้องหญิงคนนี้ เลยแนะนำวิดีโอประสบการณ์คำพยานเรื่องหนึ่งให้ฉัน พระวจนะบทตอนหนึ่งในนั้นโดนใจฉันมาก พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “คนเราต้องใช้ความใส่ใจและรอบคอบและพึ่งพาความรักเวลาปฏิบัติต่อผู้คนที่สืบค้นหนทางที่แท้จริง นี่เป็นเพราะทุกคนที่สืบค้นหนทางที่แท้จริงคือผู้ไม่เชื่อ—แม้แต่ผู้ที่นับถือศาสนาในหมู่พวกเขาก็เป็นผู้ไม่เชื่อไม่มากก็น้อย—และพวกเขาล้วนเปราะบาง กล่าวคือ หากมีสิ่งใดไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา พวกเขาก็อาจจะโต้แย้ง และหากวลีใดไม่คล้อยตามเจตจำนงของพวกเขา พวกเขาก็อาจจะถกเถียง ดังนั้นแล้ว การเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่พวกเขาจึงต้องอาศัยความอดทนของพวกเรา พึงต้องใช้ความรักอย่างที่สุดในส่วนของพวกเรา และพึงต้องใช้วิธีการและแนวทางบางอย่าง แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟัง ถ่ายทอดความจริงทั้งปวงที่พระเจ้าทรงแสดงเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดแก่พวกเขา และให้พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและพระวจนะแห่งพระผู้สร้าง ด้วยเหตุนี้ พวกเขาย่อมจะได้รับประโยชน์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ) พระเจ้าประสงค์ให้เราปฏิบัติต่อผู้มีโอกาสยอมรับข่าวประเสริฐทุกคนความใส่ใจที่เปี่ยมรัก ควรช่วยเหลือพวกเขาด้วยความอดทนและความรักอันลึกซึ้ง สามัคคีธรรมความจริง และพาพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์ นี่คือความรับผิดชอบและหน้าที่ของผู้แบ่งปันข่าวประเสริฐทุกคน ฉันสัมผัสได้ถึงความใส่พระทัยอันเปี่ยมรักที่ทรงมีต่อชีวิตมนุษย์ในทุกถ้อยวลี นี่คือเหตุผลที่พระองค์ทรงต้องการสิ่งเหล่านี้จากเรา พอใคร่ครวญความรักและความเข้าใจมนุษยชาติของพระเจ้า ฉันก็ละอายใจ ฉันนึกย้อนไปถึงวิธีที่ฉันปฏิบัติต่อพี่หลิว ตอนที่ฉันสามัคคีธรรมกับเธอสองสามครั้งเรื่องโมโหใส่สามี และเธอไม่ปรับปรุงตัว ฉันก็โกรธ และหาพระวจนะมาเพื่อตำหนิเธอตามความตั้งใจส่วนตัว วิเคราะห์ปัญหาของเธอ ระบายความข้องใจใส่เธอ และไม่คิดถึงความรู้สึกหรือวุฒิภาวะของเธอเลยสักนิด ถึงกับพูดต่อหน้าคู่ทำงานของฉันว่าเธอมีความเป็นมนุษย์ที่แย่ ความกรุณาอันเปี่ยมรักของฉันอยู่ที่ไหน? พี่หลิวพึ่งยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้าได้หกเดือน และยังไม่เข้าใจความจริงมากนัก จึงเป็นปกติไม่ใช่หรือที่พอเจอปัญหา เธอก็เผยความเสื่อมทราม? นอกจากจะไม่นำเธอด้วยความรัก เพื่อช่วยให้เธอปฏิบัติความจริง ฉันยังดูถูกเธอ ฉันขาดความเป็นมนุษย์จริงๆ พอใคร่ครวญเรื่องนี้ ฉันก็ตระหนักว่า ที่ฉันสามัคคีธรรมกับพี่หลิวสองสามครั้งแล้วไม่ได้ผล เป็นเพราะฉันไม่ได้สามัคคีธรรมด้วยความรัก และใช้ความจริงแก้ไขปัญหาของเธอ แต่ฉันกลับดูถูกและจำกัดเธอด้วยความโอหัง แถมต่อว่าเธอด้วยความโกรธ ถ้ายังทำตัวแบบนี้ ฉันจะหวังช่วยให้เธอเข้าใจความจริงและปรับปรุงสภาวะได้ยังไง? ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ พร้อมจะแก้ไขเจตนา และหยุดปฏิบัติต่อพี่หลิวตามอุปนิสัยโอหังของฉัน

วันหนึ่ง ฉันได้เห็นพระวจนะบทตอนที่ว่า “เจ้าจำเป็นต้องมีความเข้าใจต่อสภาวะมากมายที่ผู้คนจะเป็นอยู่เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติพระราชกิจแก่พวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาผู้ที่ประสานงานในการปรนนิบัติพระเจ้าต้องทำความเข้าใจสภาวะเหล่านี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นอีก หากเจ้าเพียงแค่พูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์มากมาย หรือหนทางทั้งหลายในการบรรลุการเข้าสู่เท่านั้น นั่นแสดงให้เห็นว่า ประสบการณ์ของเจ้าเป็นประสบการณ์ด้านเดียวมากเกินไป หากไม่รู้จักสภาวะที่แท้จริงของเจ้าและไม่จับความเข้าใจหลักธรรมเกี่ยวกับความจริง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย หากไม่รู้จักหลักธรรมทั้งหลายในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือไม่เข้าใจดอกผลที่พระราชกิจมีให้ ก็ย่อมลำบากยากเย็นสำหรับเจ้าที่จะหยั่งรู้งานของพวกวิญญาณชั่ว เจ้าต้องเปิดโปงงานของพวกวิญญาณชั่ว รวมทั้งมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ และเจาะทะลุตรงเข้าไปยังหัวใจของประเด็นปัญหา เจ้ายังต้องชี้ให้เห็นการเบี่ยงเบนหลายอย่างในการปฏิบัติของผู้คน และปัญหาที่พวกเขาอาจมีในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาด้วย เพื่อที่พวกเขาอาจระลึกรู้ในสิ่งเหล่านั้น อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็ต้องไม่ทำให้พวกเขารู้สึกคิดลบหรือนิ่งเฉย อย่างไรก็ดี เจ้าต้องเข้าใจความลำบากยากเย็นทั้งหลายที่มีอยู่อย่างเป็นรูปธรรมสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ เจ้าต้องไม่ไร้เหตุผล หรือ ‘พยายามสอนสุกรให้ร้องเพลง’ นั่นเป็นพฤติกรรมที่โง่เขลา ในการแก้ไขความลำบากยากเย็นมากมายที่ผู้คนได้รับประสบการณ์นั้น ก่อนอื่นเจ้าต้องจับใจความพลวัตของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ได้ เจ้าต้องเข้าใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติพระราชกิจแก่ผู้คนที่แตกต่างกันอย่างไร เจ้าต้องมีความเข้าใจเรื่องความลำบากยากเย็นทั้งหลายที่ผู้คนเผชิญหน้า และเรื่องข้อบกพร่องของพวกเขา และเจ้าต้องเข้าใจทะลุปรุโปร่งถึงประเด็นสำคัญของปัญหา และเข้าถึงแหล่งที่มาของมัน โดยไม่มีการเบี่ยงเบนหรือสร้างข้อผิดพลาดอันใด มีเพียงบุคคลประเภทนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะประสานงานในการปรนนิบัติพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้เลี้ยงที่เหมาะสมควรเตรียมตัวให้พร้อมสรรพด้วยสิ่งใดบ้าง) พอทบทวนดู ฉันก็ตระหนักว่า ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันข่าวประเสริฐหรือให้น้ำผู้มาใหม่ เราก็ต้องรับรู้ถึงปัญหาและสภาวะจริงของผู้คนเสมอ รวมถึงสามัคคีธรรมความจริงที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาของพวกเขาจริงๆ ถ้าเราไม่เข้าใจความยากลำบากของพวกเขา และแค่สามัคคีธรรมตามที่เชื่อ ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาไม่ได้ แต่น่าจะทำร้ายและล่วงเกินพวกเขาด้วย บางครั้งเมื่อผู้มาใหม่แสดงสัญญาณของความเสื่อมทรามและการคิดลบ สามัคคีธรรมหลายครั้งก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้น ก่อนอื่นเราก็ควรทบทวน ว่าสามัคคีธรรมความจริงถึงปัญหาของเขาได้ชัดเจนหรือไม่ ถ้าปัญหาของพวกเขายังไม่ถูกแก้เพราะเราสามัคคีธรรมความจริงไม่ชัดเจน ก็แปลว่าเราไม่ได้ทำหน้าที่ และทำความรับผิดชอบให้ลุล่วง ฉันอดคิดถึงวิธีที่ฉันปฏิบัติต่อพี่หลิวไม่ได้ ช่วงนั้นเวลาฉันเห็นพี่หลิวระเบิดอารมณ์ใส่สามี ฉันก็ทึกทักไปว่าเธอโอหังและชอบบงการเขา ฉันเลยวิจารณ์ต่อว่าเธออย่างต่อเนื่อง และบังคับให้เธอรับรู้อุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง แต่สุดท้ายปัญหาของเธอก็ยังไม่ถูกแก้ไข พอสงบความคิดและตริตรองเรื่องนี้ ฉันก็ตระหนักว่า สาเหตุที่พี่หลิวยังอารมณ์เสียอยู่ เพราะเธอหวังว่าสามีจะวางรากฐานในหนทางที่แท้จริงได้โดยเร็ว เริ่มเข้าชุมนุมอย่างต่อเนื่อง และมีการทรงคุ้มครองเมื่อเจอปัญหา พอเธอเห็นสามีสาละวนอยู่กับการไปสังสรรค์ หรือเล่นไพ่ และไม่อ่านพระวจนะ เธอก็จะหัวเสีย ฉันยังไม่ได้สามัคคีธรรมกับเธอถึงปัญหานี้ จึงยังไม่เห็นผลจากการสามัคคีธรรม ในความเป็นจริง ปัญหาหลักอยู่ที่ฉันเอง ฉันไม่ได้ระบุปัญหาของผู้มาใหม่เพื่อมาสามัคคีธรรมกับเธอ ถึงกับตัดสินว่า เธอมีความเป็นมนุษย์ที่แย่ และไม่ยอมรับความจริง จนไม่อยากให้น้ำเธอด้วยซ้ำ ฉันไม่รู้จักตัวเองจริงๆ และไม่มีความรักต่อคนอื่นแม้แต่น้อย พอตระหนักได้ ฉันก็ละอายใจ และรู้สึกผิด ฉันต้องแก้ไขท่าทีที่มีต่อพี่หลิวให้ถูก สามัคคีธรรมตามสถานการณ์จริงของเธอ และใช้ความจริงแก้ไขปัญหา

วันต่อมา ก็ถึงเวลาชุมนุมอีกครั้ง พอฉันไปถึงบ้านเธอ พี่หลิวก็เริ่มบ่น ว่าสามีเธอพูดชัดเจนว่าจะมาชุมนุม แต่ก็ยังไม่กลับบ้าน เธอยังจำกัดว่าเขาไม่ใช่ผู้แสวงหา และอยากยอมแพ้ในตัวเขาแล้ว ฉันจึงสามัคคีธรรมกับเธอตามสถานการณ์ บอกว่า “การขอให้สามีคุณมาชุมนุม และอ่านพระวจนะ ถือเป็นเจตนาที่ดี แต่เราจะคาดหวังในตัวเขาสูงเกินไปไม่ได้ ถ้าคุณอารมณ์เสียเวลาเขาไม่ฟัง เขาก็ไม่น่าจะยอมทำตามนะคะ ผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก และไม่รักความจริง การแสวงหาความจริง และการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาจึงมาช้ามาก ต้องใช้สามัคคีธรรม ประสบการณ์ และแม้แต่ความพ่ายแพ้มากมาย เพื่อให้เข้าใจเชิงลึกแม้เพียงเล็กน้อย เราจึงต้องช่วยเหลือผู้คนด้วยความรัก และให้เวลาพวกเขาเปลี่ยนแปลง เราเห็นแล้วว่า พระเจ้าประสงค์ให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย แต่ไม่เคยทรงบังคับเราหรือตั้งความคาดหวังที่เป็นไปไม่ได้ แม้ทรงเห็นเราใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเสื่อมทราม และไม่โอนอ่อนตามพระวจนะ พระองค์ก็ไม่ทรงปล่อยพระพิโรธใส่เรา หรือทอดทิ้งเรา แต่ทรงให้ความรู้แจ้ง และทรงนำเราด้วยพระวจนะ ทรงให้เราประสบกับสิ่งต่างๆ ทีละน้อย ค่อยๆ มาเข้าใจความจริง และเปลี่ยนแปลงได้ เรารู้สึกว่า วิธีของพระองค์ช่างอ่อนโยน ถ้าเราอยากให้คนในครอบครัวเข้าชุมนุมและอ่านพระวจนะ เพื่อวางรากฐานให้เร็วที่สุด ก็เป็นเจตนาที่ถูกต้อง แต่เราต้องเห็นใจความยากลำบากของพวกเขา ชี้นำและเกื้อหนุนพวกเขาอย่างอดทน พวกเขาถึงน่าจะยอมทำตาม” พอฟังที่ฉันพูด พี่หลิวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และตอบว่า “ฉันพยายามให้สามีมาชุมนุม และอ่านพระวจนะมากขึ้นตลอด คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา พยายามให้เขาทำตามฉัน พอไม่ทำฉันก็ระเบิดอารมณ์ใส่ การทำกับเขาแบบนั้น น่าจะทำให้เขาเจ็บปวดจริงๆ เรื่องนี้ฉันผิดเอง คราวหลัง ฉันจะปฏิบัติตามพระวจนะ และเลิกปฏิบัติต่อเขาด้วยอุปนิสัยเสื่อมทราม” ฉันรู้สึกดีมากด้วย ที่เห็นพี่หลิวเข้าใจขึ้นบ้าง และมีรอยยิ้มบนหน้า จากนั้น เราก็อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งด้วยกัน “เจ้าควรปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไรนั้นแสดงหรือระบุเป็นนัยไว้อย่างชัดเจนแล้วในพระวจนะของพระเจ้า ท่าทีที่พระเจ้าทรงใช้ปฏิบัติต่อมนุษยชาติคือท่าทีที่ผู้คนควรจะรับมาใช้ในการปฏิบัติต่อกัน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกๆ บุคคลอย่างไร? ผู้คนบางคนมีวุฒิภาวะที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ หรือยังอ่อนเยาว์ หรือได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้น หรือไม่ใช่คนไม่ดีโดยธรรมชาติและแก่นแท้ ไม่ได้ร้ายกาจ แต่เพียงไม่รู้เท่าทันนิดหน่อยหรือขาดพร่องขีดความสามารถ หรือพวกเขาถูกตีกรอบมากเกินไป และยังไม่เข้าใจความจริง ยังไม่เข้าสู่ชีวิต ดังนั้นจึงยากที่พวกเขาจะไม่ทำเรื่องเขลาหรือมีการกระทำที่ไม่รู้เท่าทัน แต่พระเจ้าไม่มัวทรงจับจ้องความเขลาชั่วขณะของผู้คน พระองค์ทรงมองที่หัวใจของพวกเขาเท่านั้น หากพวกเขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมถูกต้อง และเมื่อนี่คือวัตถุประสงค์ของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็กำลังทรงเฝ้าสังเกตพวกเขา ทรงรอคอยพวกเขา และทรงให้เวลาและโอกาสที่อนุญาตให้พวกเขาเข้าสู่ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะทรงซัดโทษใส่พวกเขาให้ตายเพราะการฝ่าฝันเพียงครั้งเดียว นั่นเป็นสิ่งที่ผู้คนมักจะทำกัน พระเจ้าไม่เคยทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนั้น หากพระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อผู้คนในหนทางนั้นแล้วไซร้ เหตุใดผู้คนจึงปฏิบัติต่อผู้อื่นในหนทางนั้น? นี่แสดงให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขามิใช่หรือ? นี่คืออุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาอย่างแน่นอน เจ้าต้องมองไปที่วิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนที่ไม่รู้เท่าทันและโง่เขลา วิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกเหล่านั้นที่มีวุฒิภาวะยังไม่เป็นผู้ใหญ่ วิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อการสำแดงแบบปกติถึงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษยชาติ และวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกที่ร้ายกาจ พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนที่แตกต่างกันในหนทางที่แตกต่างกัน และพระองค์ยังทรงมีสารพัดวิธีในการบริหารจัดการสภาวะเงื่อนไขที่มากมายเหลือคณาของผู้คนที่แตกต่างกัน เจ้าต้องเข้าใจความจริงเหล่านี้ ทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริงเหล่านี้ เมื่อนั้นเจ้าก็จะรู้ว่าจะผ่านประสบการณ์กับเรื่องราวทั้งหลายและปฏิบัติต่อผู้คนตามหลักธรรมอย่างไร(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะได้รับความจริง คนเราต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายรอบตัว) พอเราอ่านจบ พี่หลิวก็บอกว่านี่เป็นบทตอนที่ดี และขอให้ฉันสามัคคีธรรมเพิ่ม ฉันจึงสามัคคีธรรมกับเธอ โดยบอกว่า “เมื่อเราสังเกตเห็นเวลาโต้ตอบกับคนที่มีข้อบกพร่องหรือปัญหา เราก็พูดถึงมันขึ้นมาได้ ด้วยวิธีที่เปี่ยมรักและใจเย็น และไม่คาดหวังในตัวพวกเขาเกินไป เราควรให้เวลาพวกเขายอมรับความจริง และรอให้พวกเขาค่อยๆ ปรับปรุงตัว พระเจ้าทรงรู้ว่าเราถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก มีอุปสรรคและความยากลำบากมากมายในการยอมรับและปฏิบัติความจริง บางครั้งถึงจะเข้าใจความจริง เราก็ปฏิบัติทันทีไม่ได้ พระเจ้าทรงต้องสามัคคีธรรมกับเราซ้ำๆ บางครั้งพระองค์กังวลว่าเราจะไม่เข้าใจ จึงทรงจัดหาตัวอย่างให้เราอย่างใจเย็น และทรงใช้ทุกวิธีการเพื่อนำให้เราเข้าใจ บางครั้งพระองค์ทรงนำเราผ่านพระวจนะ บางครั้งผ่านการชี้ผ่านเหล่าพี่น้อง บางครั้งเราด้านชาและกบฏเกินไป สามัคคีธรรมกี่ครั้งก็ไม่ได้ผล พระเจ้าจึงทรงจัดเตรียมสถานการณ์จริงเพื่อตีสอน บ่มวินัย ตัดแต่ง และจัดการเรา เพื่อปลุกใจเรา พระเจ้าทรงใช้วิธีที่อ่อนโยนและเปี่ยมรักมาก พระองค์ไม่ได้ทรงทำอะไรที่โอ่อ่า แม้จะเป็นเวลาที่ทรงเข้มงวดตีสอน บ่มวินัย พิพากษา และเปิดโปงเรา เราก็ยังรู้สึกได้ถึงความรัก และความกรุณาของพระองค์ ผ่านประสบการณ์ เราจึงเห็นว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนในวิธีที่มีหลักธรรมมาก และทรงไม่เคยบุ่มบ่ามทอดทิ้งเรา แค่เพราะเราปรับปรุงตัวไม่ได้ หลังจากได้ฟังความจริงมากมาย พระเจ้าทรงมีความรักและความอดทนอันยิ่งใหญ่ต่อมนุษยชาติ และทรงมีความปรารถนาที่จริงใจอย่างลึกซึ้งในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด”

หลังสามัคคีธรรมกับพี่หลิว จู่ๆ ฉันก็คิดว่า “ฉันปฏิบัติในสิ่งที่พระเจ้าประสงค์แค่ไหนกัน? ฉันแค่สามัคคีธรรมกับเธอถึงวิธีปฏิบัติต่อสามีอย่างเหมาะสม แต่ฉันไม่ได้ปฏิบัติต่อเธออย่างเหมาะสมเลย! พอเห็นพี่หลิวโกรธสามี และไม่ปรับปรุงตัวหลังสามัคคีธรรมไปสองสามครั้ง ฉันก็แอบตัดสินว่าเธอเป็นคนโอหัง ขาดความเป็นมนุษย์ ดีแต่พูด และอื่นๆ” นึกย้อนไปถึงสิ่งที่ฉันเปิดเผย ฉันก็ค่อนข้างละอายใจ พี่หลิวเป็นผู้มาใหม่ และไม่มีประสบการณ์มากนัก แต่ฉันกลับบังคับให้เธอรู้ธรรมชาติอันโอหังของตัวเอง และเรียกร้องให้เธอเปลี่ยนแปลง พอเธอไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ฉันก็จำกัดเธอว่าเป็นคนที่ไม่แสวงหาหรือยอมรับความจริง ถึงกับตัดสินเธอว่ามีความเป็นมนุษย์ที่แย่ ชัดเจนว่าฉันไม่เข้าใจสภาวะของพี่หลิว และไม่ได้สามัคคีธรรมเรื่องนั้นกับเธอ แถมยังบีบให้เธอยอมรับ นบนอบ และเปลี่ยนแปลง ฉันช่างโอหังและไร้เหตุผลจริงๆ ตอนนั้นฉันถึงตระหนักได้ว่า ฉันเผลอแสดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกไป สภาวะของพี่หลิวเป็นแค่กระจก ที่ทำให้ฉันเห็นความเสื่อมทรามของตัวเอง เธอเชื่อในพระเจ้ามาแค่ครึ่งปี จึงปกติที่ทบทวนและรู้จักตัวเองไม่ได้ ส่วนฉันเชื่อมาหลายปี และสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหาหลายครั้ง แต่จริงๆ แล้วฉันปฏิบัติความจริงมากแค่ไหน? การที่ฉันดีแต่พูดโดยไม่ปฏิบัติ ก็เหมือนพวกฟาริสีที่เอาแต่พูดคำสอนไม่ใช่หรือ? จุดนั้น พระวจนะก็ผุดขึ้นมาในความคิด “มีผู้คนบางคนที่เตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงเพียงเพื่อที่จะทำงานและประกาศ เพื่อที่จะจัดเตรียมให้แก่ผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อแก้ไขปัญหาของตนเอง และยิ่งไม่นำความจริงไปปฏิบัติ การสามัคคีธรรมของพวกเขาอาจมีความเข้าใจที่ถ่องแท้ และสอดคล้องกับความจริง แต่พวกเขาไม่เอาความจริงมาประเมินวัดตนเอง และพวกเขาไม่ปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับความจริง ปัญหาในที่นี้คืออะไร? พวกเขายอมรับความจริงเสมือนเป็นชีวิตของตนอย่างแท้จริงแล้วหรือ? ไม่เลย พวกเขาไม่เคยยอมรับ คำสอนที่คนเราประกาศ ไม่ว่าจะถ่องแท้เพียงใดก็ไม่ได้หมายความว่าคนเรามีความเป็นจริงของความจริง การที่จะถึงพร้อมด้วยความจริงนั้น คนเราต้องเข้าสู่ความจริงด้วยตนเองเสียก่อน และเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริงแล้ว ก็นำความจริงไปปฏิบัติ หากคนเราไม่มุ่งเน้นที่การเข้าสู่ของตนเอง แต่มุ่งที่จะอวดตนด้วยการประกาศความจริงแก่ผู้อื่น เจตนาของพวกเขาย่อมผิด มีผู้นำเทียมเท็จมากมายที่ทำงานเช่นนี้ สามัคคีธรรมแก่ผู้อื่นไม่หยุดหย่อนเกี่ยวกับความจริงที่ตนเข้าใจ จัดเตรียมให้แก่ผู้เชื่อใหม่ สอนผู้คนให้ปฏิบัติความจริง ให้ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ไม่คิดลบ คำพูดเหล่านี้ล้วนดีงาม—เปี่ยมรักด้วยซ้ำไป—แต่เหตุใดผู้ที่กล่าวคำพูดเหล่านี้จึงไม่ปฏิบัติความจริง? เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีการเข้าสู่ชีวิต? แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นในที่นี้? อันที่จริงบุคคลเช่นนี้รักความจริงหรือไม่? เรื่องนี้พูดยาก นี่คือวิธีที่พวกฟาริสีในอิสราเอลขยายความพระคัมภีร์ให้แก่ผู้อื่น แต่ทว่าพวกเขาไม่สามารถรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยตนเองได้ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจ พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่ก็ต้านทานองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้าและถูกพระเจ้าสาปแช่ง เพราะฉะนั้นผู้คนทั้งหมดที่ไม่ยอมรับความจริงหรือปฏิบัติความจริง ย่อมจะถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษ พวกเขาช่างเลวร้าย! หากคำสอนอันมีแต่ถ้อยคำและตัวอักษรที่พวกเขาประกาศสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ เหตุใดจึงช่วยเหลือพวกเขาไม่ได้? พวกเราควรเรียกบุคคลเช่นนี้ว่าคนหน้าซื่อใจคดที่ไม่มีความเป็นจริง พวกเขาจัดเตรียมคำพูดและตัวอักษรเกี่ยวกับความจริงให้แก่ผู้อื่น พวกเขาให้ผู้อื่นปฏิบัติความจริง แต่พวกเขาไม่ยอมปฏิบัติความจริงด้วยตนเองแม้แต่น้อย บุคคลเช่นนี้ไม่ไร้ยางอายหรอกหรือ? พวกเขาไม่มีความเป็นจริงของความจริง แต่ทว่าในการประกาศคำพูดและตัวอักษรที่เป็นคำสอนแก่ผู้อื่น พวกเขากลับแสร้งทำเป็นว่ามี นี่คือการจงใจหลอกลวงและทำร้ายมิใช่หรือ? หากบุคคลเช่นนี้ถูกเปิดโปงและขับออกไป พวกเขาย่อมจะมีแต่ตัวเองให้ติเตียนเท่านั้น พวกเขาไม่ควรค่าที่จะได้รับความสงสาร(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พระวจนะอธิบายสภาวะของฉันได้ถูกต้อง นึกย้อนไปตอนที่ฉันให้น้ำพี่หลิว ฉันใช้ชีวิตโดยอุปนิสัยเสื่อมทราม และไม่ปฏิบัติกับเธออย่างเป็นธรรม ฉันเห็นแต่การที่พี่หลิวเผลอแสดงอุปนิสัยเสื่อมทราม และไม่ยอมรับความจริง แต่ไม่ทบทวนเลยว่า ฉันเองเผยความเสื่อมทรามอะไรไปบ้าง ฉันไม่รับรู้โฉมหน้าอันน่าเกลียดของตัวเอง แถมหน้าไม่อายใช้พระวจนะติเตียนพี่หลิว เรียกร้องให้เธอปรับปรุงตัว มันเหมือนคนอื่นต้องทบทวนความเสื่อมทรามของตัวเอง แต่ฉันไม่เสื่อมทราม จึงไม่จำเป็นต้องทบทวน ฉันไม่รู้ตัวเองเลยจริงๆ และไร้ยางอายมาก! ฉันใช้พระวจนะเพื่อสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหาของคนอื่น แต่ฉันไม่ทบทวนหรือมีการเข้าสู่แม้แต่น้อย แบบนี้จะต่างจากฟาริสีที่แสร้งว่าเคร่งยังไง? ฉันจะหวังให้ตัวเองช่วยคนอื่นได้ยังไง ถ้าทำหน้าที่แบบนี้?

ต่อมา พอสามีของพี่หลิวกลับมา เธอก็บอกเขาว่า “น้องสาวคนนี้เพิ่งอ่านพระวนะให้ฉันฟัง และฉันก็ตระหนักได้ว่าฉันผิด ฉันข่มเหงคุณด้วยอุปนิสัยโอหังของฉัน ทีหลังฉันจะปฏิบัติตามพระวจนะ และจะเลิกปฏิบัติต่อคุณด้วยอุปนิสัยโอหัง” พอเห็นการที่พี่หลิวปฏิบัติพระวจนะได้ ฉันก็ยิ่งละอายใจ เมื่อก่อน ฉันจำกัดเธอว่าเป็นคนไม่ยอมรับความจริง แต่ความเป็นจริงของสถานการณ์เหมือนตบหน้าฉัน ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันคิดถึงการที่ฉันจำกัดและตัดสินพี่หลิว และรู้สึกผิดขึ้นมา ฉันนึกถึงพระวจนะที่ว่า “หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะรู้วิธีปฏิบัติความจริงและเชื่อฟังพระเจ้า และก็เป็นธรรมดาที่จะเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง หากเส้นทางที่เจ้าเดินเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง และอยู่ในแนวเดียวกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ผละจากเจ้าไป—ซึ่งในกรณีนี้ย่อมจะมีโอกาสน้อยลงเรื่อยๆ ที่เจ้าจะทรยศพระเจ้า หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีอุปนิสัยที่โอหังและทะนงตน เช่นนั้นแล้วการถูกบอกให้ไม่ต่อต้านพระเจ้าก็คงไม่สร้างความแตกต่างอะไร เจ้าไม่อาจห้ามตัวเองได้ มันอยู่เหนือการควบคุมของตัวเจ้า เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง นำเสนอตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าสบประมาทผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นจะไม่ปล่อยให้หัวใจของเจ้ามีผู้ใดนอกจากตัวเจ้าเอง ความโอหังและความทะนงตนจะปล้นที่ทางของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าไป และในท้ายที่สุดก็จะเป็นเหตุให้เจ้านั่งแทนที่พระเจ้าและเรียกร้องให้ผู้คนนบนอบเจ้า และทำให้เจ้าเทิดทูนความคิด แนวคิด และมโนคติอันหลงผิดของตนเอง ว่าเป็นความจริง ผู้คนที่อยู่ภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและหยิ่งทะนงของตนนั้นทำความชั่วไปมากมายเหลือเกิน! เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาการทำชั่วของพวกเขา พวกเขาจะต้องแก้ไขธรรมชาติของตนเสียก่อน หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำพาการแก้ไขขั้นพื้นฐานมาสู่ปัญหานี้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้) พอใคร่ครวญพระวจนะ ฉันก็ยิ่งเห็นอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเองชัดขึ้น พอคิดย้อนไปถึงตอนให้น้ำพี่หลิว เมื่อสามัคคีธรรมหลายครั้งแล้วเธอไม่ปรับปรุงตัว ฉันก็ไม่ทบทวนตัวเอง ถึงกับคิดว่าฉันระบุปัญหาได้แม่นยำ และสามัคคีธรรมแก้ไขสถานการณ์ของเธอได้ ถ้าพี่หลิวไม่ยอมตาม ก็เพราะเธอไม่ยอมรับความจริง ฉันมีโอกาสได้พบพี่หลิวแค่ไม่กี่ครั้ง และไม่รู้จักเธอจริงๆ เลย แต่ฉันก็ยังซี้ซั้วตัดสิน และจำกัดเธอ ราวกับฉันเข้าใจความจริงดีมาก และมองแก่นแท้ของคนออก หลังเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง หลังจากถูกเปิดโปงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันก็ตระหนักว่า ฉันไม่เข้าใจรากเหง้าและแก่นแท้ของปัญหาของคน และไม่ปฏิบัติต่อผู้คนตามพฤติกรรม ธรรมชาติ และแก่นแท้โดยรวมของพวกเขา ฉันไม่เข้าใจความจริงเลย แถมยังเชื่อในตัวเองมาก และยึดมั่นในสิ่งที่เชื่อ ฉันไม่มีความรู้เกี่ยวกับตัวเองเลยสักนิด ฉันตระหนักได้ว่า ถ้าทำกับผู้มาใหม่ตามอุปนิสัยเสื่อมทรามต่อไป น้อยสุดคือฉันคงอคติกับพวกเขา ฉันอาจจะบีบคั้นและทำให้พวกเขาเสียหาย และการเข้าสู่ชีวิตล่าช้า แย่สุดคือฉันอาจตัดสินและจำกัดพวกเขา และอาจถึงกับบุ่มบ่ามทอดทิ้งพวกเขา นั่นคงเป็นการติดค้างพวกเขามาก พอตระหนักได้ ฉันก็ค่อนข้างหวั่นใจ แต่ก็รู้สึกโล่งใจด้วย ตอนฉันแสดงสัญญาณของความโอหัง คู่ทำงานได้ชี้ให้ฉันเห็น ทำให้ฉันรับรู้ปัญหาของตัวเอง และเปลี่ยนแปลงได้ทันการณ์ นี่คือการคุ้มครองของพระเจ้า! ต่อมา ฉันต้องออกจากคริสตจักรไปทำงานที่อื่นชั่วคราว หนึ่งเดือนต่อมา พอได้เจอพี่หลิวอีกครั้ง เธอก็เล่าให้ฉันฟัง เรื่องที่เธอได้ประสบและเป็นพยานแก่พระวจนะขณะประกาศข่าวประเสริฐ เธอถอนหายใจพลางพูดต่อว่า “แต่ช่วงนี้ พอแบ่งปันข่าวประเสริฐ ฉันก็เห็นว่า ทุกคนมีมโนคติอันหลงผิดมากมายเรื่องพระเจ้า มันไม่ง่ายที่ผู้คนจะยอมรับงานในยุคสุดท้าย และมาเฉพาะพระพักตร์ เมื่อก่อน ฉันคิดเสมอว่าสามีของฉันไม่แสวงหา แถมยังเรียกร้องให้เขาละเว้นหลายอย่าง ฉันเรียกร้องจากเขามากไป ฉันผิดเองค่ะ พระวจนะยอดเยี่ยมจริงๆ และฉันก็ยังต้องประสบเพิ่มเติม” พอได้ยินแบบนี้ ฉันรู้สึกมีความสุขกับเธอมาก แต่ก็ค่อนข้างละอายใจและรู้สึกตื้นตัน การจะให้ผู้คนยอมรับความจริง ต้องใช้เวลาและประสบการณ์จริงๆ จากนั้น เมื่อผู้มาใหม่แสดงสัญญาณของความเสื่อมทรามระหว่างให้น้ำ ฉันจะมุ่งเน้นที่การระบุรากเหง้าปัญหาพวกเขา และหาหลักธรรมที่เกี่ยวข้องมาจัดการปัญหาพวกนั้น ช่วงนั้นฉันยังเห็นด้วยว่า การมาเฉพาะพระพักตร์และวางรากฐาน คือขั้นตอนที่ใช้เวลา ในขั้นตอนของการให้น้ำและเกื้อหนุนพวกเขา ฉันก็จะทบทวนตัวเอง และแก้ไขสภาวะที่ไม่เหมาะสม เกื้อหนุนพวกเขาด้วยความรัก ให้พวกเขาวางรากฐาน และมาเฉพาะพระพักตร์โดยเร็วที่สุด การทำหน้าที่แบบนี้ ทำให้ฉันรู้สึกสงบและโล่งอกจริงๆ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การเข้าใจว่าการเป็นคนดีหมายถึงอะไร

ตั้งแต่เด็ก พ่อแม่สอนให้ฉันเป็นธรรม มีเหตุผล ใจดีต่อผู้อื่น เข้าใจความยากลำบากของคนอื่น และไม่คิดเล็กคิดน้อย พวกท่านว่านั่นคือการเป็นคนดี...

ฉันจะไม่คร่ำครวญเรื่องชะตากรรมของตัวเองอีกต่อไป

ฉันเกิดมาในครอบครัวชาวนาธรรมดาๆ และพ่อแม่ของฉันก็พึ่งพาการปลูกพืชผักเพื่อยังชีพ มีครัวเรือนที่มีฐานะดีอยู่ในหมู่บ้านของเรา...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger