การทบทวนหลังถูกจัดการ
ฉันเริ่มทำหน้าที่ผู้นำ เมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้เอง ฉันทำงานบางอย่าง ที่พระนิเวศจัดเตรียมไว้ให้ต่อไป เพื่อกำจัดเหล่าคนทำชั่ว...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2011 ฉันจำเป็นต้องเข้ารับตำแหน่งแทนผู้นำที่ชื่อเหยาหลานในคริสตจักรแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในอีกภาคของประเทศ ในระหว่างการส่งมอบตำแหน่ง ขณะที่เหยาหลานสรุปสถานการณ์ในคริสตจักรให้ฉันฟัง เธอเอ่ยพาดพิงไปว่า เสี่ยวหมินลูกสาวของเธอเป็นมัคนายกฝ่ายให้น้ำ และเสี่ยวหมินจะช่วยฉันให้คุ้นเคยกับงานในคริสตจักร การได้ยินเธออธิบายทุกสิ่งทุกอย่างในหนทางที่มีระเบียบตามลำดับขั้นตอนนั้น ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมเธอ ดูเหมือนเหยาหลานจะรับมือกับงานของคริสตจักรได้ดีมากและมีความสามารถเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงแทบไม่น่าแปลกใจเลยที่ตอนนี้เธอสามารถรับผิดชอบงานได้เป็นช่วงกว้างขนาดนี้ ฉันตกลงใจอย่างเงียบๆ ที่จะคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและทำดีที่สุดเพื่อทำงานของคริสตจักรให้ดี
วันต่อมา เสี่ยวหมินพาฉันไปร่วมการชุมนุมหัวหน้าทีมด้วยกัน หลังจากที่พวกเราอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็แบ่งปันประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องและความเข้าใจของตัวฉันเองออกมาเล็กน้อย น้องเซี่ยก็พูดขึ้นต่อจากนั้นอย่างไม่พอใจว่า “เหยาหลานผู้นำคนเดิมของเราไม่สามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าแบบนั้น เธอจะอธิบายพระวจนะให้พวกเราฟังทีละบรรทัด ด้วยการพูดอะไรเป็นทำนองว่า ‘นี่คือการหนุนใจ’ และ ‘นี่คือการเตือน’” พี่น้องชายหญิงคนอื่นก็พากันพูดผสมโรงว่าเหยาหลานสามัคคีธรรมถึงความจริงอย่างชัดเจนแค่ไหน ฉันอึ้งหมดท่าไปเลยและคิดว่า “การสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า เป็นการพูดถึงประสบการณ์และความเข้าใจของตัวพวกเราเอง บนพื้นฐานของพระวจนะของพระองค์ไม่ใช่หรือ? แล้วเหยาหลานไม่ได้พูดเรื่องการที่เธอนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ และรับประสบการณ์เหล่านั้นด้วยตัวเองได้อย่างไร? ทำไมเธอจึงอธิบายพระวจนะของพระเจ้าให้พี่น้องชายหญิงฟังทีละบรรทัด? การสามัคคีธรรมแบบนั้นจะเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าใจความจริงและรู้จักตัวเองได้หรือ?” ฉันต้องการจะหารือเรื่องหลักธรรมของการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าในการชุมนุมกับพวกเขา แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ฉันเป็นคนใหม่ที่คริสตจักรนี้ และเหยาหลานก็เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบเรื่องงานของฉัน เสี่ยวหมินลูกสาวของเธอก็อยู่ที่นี่ด้วย หากฉันพูดว่าหนทางของเหยาหลานในการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้านั้น เป็นแค่การอธิบายความหมายตามตัวอักษรเท่านั้น แล้วมันไปเข้าหูเธอเข้า เธออาจพูดว่า ฉันเพิ่งมาถึงก็พยายามจับผิดเธอเสียแล้ว และคิดไม่ดีกับฉัน สิ่งต่างๆ ก็จะพากันตะขิดตะขวงไปหมด หากฉันไปล่วงเกินเธอเข้า” ฉันจึงได้แต่หุบปากไว้เท่านั้นเอง
วันหนึ่ง น้องเซียวส่งจดหมายให้ฉันลับหลังเสี่ยวหมิน จดหมายเขียนว่า ก่อนหน้านี้ เธอเคยเสนอแนะเหยาหลานบางอย่าง แต่เหยาหลานไม่ยอมรับ ไม่เพียงเท่านั้น เหยาหลานยังได้เริ่มเตะถ่วงเธอ และไม่ยอมให้เธอทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านอีกต่อไป ฉันถึงกับหน้าหงายไปเลย ฉันคิดว่า “น้องเซียวคงเข้าใจผิดเป็นแน่ เหยาหลานจะกดขี่ใครได้อย่างไรกัน?” จากนั้นฉันก็ไปหาเสี่ยวหมินเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ เสี่ยวหมินพูดว่าน้องเซียวเคยมีใจกระตือรือร้นมาก แต่ก็เข้าใจอะไรผิดบ่อยๆ เธอพูดต่อไปว่าน้องเซียวเป็นที่รู้จักในท้องถิ่นในฐานะผู้เชื่อ ว่าบ้านของเธอไม่มีความปลอดภัย และว่าเธอไม่มีปัญญาที่จะทำให้สภาพแวดล้อมที่บ้านมีความปลอดภัย เธอพูดเกี่ยวกับน้องเซียวในสิ่งที่เป็นลบหลายอย่าง ฉันคิดกับตัวเองว่า “ถ้าทั้งหมดนั่นเป็นความจริง งั้นน้องเซียวก็ไม่เหมาะสมสำหรับหน้าที่เจ้าบ้านจริงๆ แต่ทำไมเธอจะต้องพูดว่าเหยาหลานกดขี่เธอล่ะ? เธออาจจะมีความรู้สึกคับข้องใจในตัวเหยาหลานบางอย่างก็ได้” ยังไงฉันก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ฉันก็เลยไปพบน้องเซียวที่บ้าน ฉันค้นพบว่า เมื่อเทียบเคียงแล้ว บ้านของเธอก็ดูเหมาะสมสำหรับการเป็นเจ้าบ้านทีเดียว และเธอก็ไม่ได้ขาดแคลนปัญญาเลยสักนิด ฉันจึงเริ่มรู้สึกงุนงง ฉันสงสัยว่า “ทำไมอะไรต่ออะไรจึงต่างจากที่เสี่ยวหมินพูดขนาดนี้? เหยาหลานกำลังกดขี่น้องเซียวจริงๆ หรือ?” พอฉันขอให้น้องเซียวบอกรายละเอียดเพิ่มเติม ฉันก็ได้รู้ว่า เหยาหลานกำลังใช้ความจำเป็นที่จะต้องมีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเป็นข้ออ้าง ได้รู้ว่าเธอได้ห้ามมัคนายกหลายคนไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง และผลลัพธ์ก็คือ ไม่มีใครให้น้ำพี่น้องชายหญิง พวกเขาไม่ได้กำลังดำรงชีวิตคริสตจักรที่เป็นปกติ พอน้องเซียวยกประเด็นปัญหานี้ขึ้นมาพูดกับเหยาหลาน โดยพูดว่า การจัดการเตรียมการพวกนี้เป็นสิ่งไม่สมควร เหยาหลานไม่เพียงปฏิเสธที่จะยอมรับเรื่องนี้ แต่ยังปลดน้องเซียวออกจากหน้าที่อีกด้วย เธอถึงขนาดเก็บจดหมายของน้องเซียวที่รายงานปัญหาของเธอซ่อนไว้อย่างมิดชิด ฉันตกใจมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เป็นไปได้ยังไงกัน? เหยาหลานกำลังทำผิดชัดๆ แต่เธอกลับไม่ยอมรับสิ่งที่น้องเซียวพูด และถึงขั้นเหยียบย่ำเธอและระงับจดหมายของเธออีกด้วย เธอไม่ใช่คนที่ยอมรับความจริงอย่างแน่นอน! นั่นเป็นอีกครั้งที่ย้ำเตือนให้ฉันนึกถึงการที่เธอไม่เคยพูดเกี่ยวกับประสบการณ์และความเข้าใจของตัวเธอเอง ในเวลาที่เธอให้การสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า แต่กลับนำพระวจนะของพระเจ้าออกนอกบริบทและนำพี่น้องชายหญิงไปผิดทาง เธอสวนทางกับหลักธรรมของการสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง ฉันจึงได้ตระหนักว่า เธออาจจะมีปัญหาจริงๆ และฉันจำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ต่อผู้ที่ตำแหน่งสูงกว่าพวกเรา เพื่อที่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าจะได้ไม่ล่าช้า แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ตามที่น้องเซียวพูดมานั้น เหยาหลานมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แย่ เธอเป็นคนรับผิดชอบดูแลเรื่องงานของฉันอยู่ตอนนี้ ดังนั้น หากเธอรู้เข้าว่าฉันเป็นคนรายงานเธอ เธอก็อาจจะกดขี่ฉันและปลดฉันจากหน้าที่” ฉันถอนหายใจพลางตัดสินใจว่า ไม่พูดอะไรเป็นดีที่สุด แต่ฉันก็ตัดสินใจด้วยเช่นกันที่จะจัดการเตรียมการให้น้องเซียวกลับมาทำหน้าที่เจ้าบ้านเหมือนเดิม
แต่ที่ไม่คาดคิดก็คือ สองสามวันต่อมา น้องเฉินก็รายงานการทำชั่วบางอย่างของเหยาหลานให้ฉันทราบ เธอพูดว่าพี่หวังและภรรยาของเขาเป็นผู้เชื่อใหม่ และกลัวอยู่บ้างเนื่องจากการจับกุมและข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้ารับหน้าที่เจ้าบ้าน เหยาหลานไม่เพียงแต่ไม่สามัคคีธรรมถึงความจริงเพื่อช่วยพวกเขาเท่านั้น แต่ยังติติงพวกเขา และไม่ยอมอนุญาตให้คนอื่นสนับสนุนพวกเขาอีกด้วย สุดท้าย พี่หวังและภรรยาก็จิตตกลงสู่ความคิดลบและไม่ต้องการเข้าร่วมการชุมนุมอีกต่อไป เมื่อน้องเฉินบอกเหยาหลานว่า นี่ไม่ใช่หนทางที่จะปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงเลยสักนิด เธอก็ไม่ได้ทบทวนตัวเองเลยแม้แต่น้อย แต่กุเรื่องขึ้นมาว่า น้องเฉินกำลังตกอยู่ในอันตรายทางด้านการรักษาความปลอดภัย แล้วเธอก็แยกน้องเฉินออกจากคริสตจักรเป็นเวลาหลายเดือน โดยไม่อนุญาตให้เธอมีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักร แล้วยังมีพี่สาวอีกคนที่กำลังทำหน้าที่ให้น้ำด้วย ในการชุมนุม เธอจะรวมพระวจนะของพระเจ้าเข้าไว้ในการสามัคคีธรรมของเธอ อีกทั้งเปิดเผยและซื่อสัตย์อย่างเต็มที่ว่ามีอุปนิสัยเสื่อมทรามไหนบ้างที่เธอได้เปิดเผยตลอดมา เหยาหลานรีบฉวยโอกาสตรงนี้ปลดเธอออกจากหน้าที่ จากนั้นเธอก็เลื่อนขั้นให้เสี่ยวหมินลูกสาวของตัวเองมาทำหน้าที่ให้น้ำ และบอกพี่น้องชายหญิงให้ฝึกลูกสาวของเธอให้ดี เพราะเธอจะรับงานที่สำคัญในพระนิเวศของพระเจ้าในอนาคต เหยาหลานได้เลื่อนขั้นสามีของเธอขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีมด้วยเช่นกัน ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว เขาไม่ใช่ผู้เชื่อเที่ยงแท้ และไม่สามารถสามัคคีธรรมอะไรที่มีคุณค่าในการชุมนุมได้เลย เหยาหลานทำตามอารมณ์และลากสามีเข้ามาในคริสตจักร แล้วมอบหมายให้เขาเป็นหัวหน้าทีม—นี่เป็นการละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารอย่างร้ายแรง แล้วการทำชั่วของเธอก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เหยาหลานกับลูกสาวปกครองคริสตจักรราวกับเจ้าเหนือหัว กดขี่และสั่งการพี่น้องชายหญิงตามใจชอบ จนกระทั่ง แค่เห็นเธอ พวกเขาก็กลัวจนไม่มีใครกล้าเปล่งเสียงแสดงความคิดเห็นแล้ว ฉันตกใจและโกรธมากเมื่อได้ยินสิ่งที่พี่เฉินพูด ตอนที่เหยาหลานส่งมอบงานของเธอให้ฉันตอนเริ่มต้น ฉันรู้สึกเลื่อมใสเมื่อเธอพูดว่างานทั้งหมดกำลังเป็นไปได้ด้วยดี แต่ทั้งหมดเป็นแค่คำโกหก เธอไม่เพียงอ้างพระวจนะของพระเจ้าที่ไม่อยู่ในบริบทระหว่างสามัคคีธรรม และนำพี่น้องชายหญิงบางคนไปผิดทางด้วยการประกาศตัวอักษรและคำสอนเท่านั้น เธอยังสำราญกับพระพรในเรื่องตำแหน่งของเธอ และกลั่นแกล้งพี่น้องชายหญิงด้วย เธอไปไกลถึงขั้นที่ปกครองคริสตจักรอย่างเผด็จการ กดขี่คนอื่นตามอำเภอใจ และปลดผู้คนออกจากตำแหน่ง เธอเลื่อนตำแหน่งและปลุกปั้นพวกที่ใกล้ชิดเธอที่สุดขึ้นมา และกระทำการใช้อำนาจเกื้อหนุนญาติมิตร พฤติกรรมอันเมามันและบุ่มบ่ามของเธอ และความประพฤติชั่วมากมายหลายอย่างของเธอ แสดงให้เห็นว่า เธอเป็นศัตรูของพระคริสต์แบบหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง! ตอนนี้ขอบเขตหน้าที่ของเธอกว้างขึ้นไปอีก ดังนั้นพี่น้องชายหญิงย่อมจะเป็นอันตรายมากขึ้นอย่างแน่นอน ฉันรู้ว่าฉันต้องรายงานเธอกับผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าสักคนโดยเร็วที่สุด และค้ำจุนงานของคริสตจักร แต่ทว่าเมื่อฉันเริ่มคิดจะรายงานเรื่องเธอ ฉันก็เริ่มเป็นกังวลว่า “เหยาหลานดูแลรับผิดชอบเรื่องงานของฉัน ฉันรู้พฤติกรรมของเธอดี เป็นไปได้ที่สุดที่เธอจะปลดฉันจากตำแหน่งผู้นำคริสตจักรแล้วส่งฉันกลับบ้าน เธออาจถึงขั้นหาข้ออ้างเพื่อกดขี่และลงโทษฉันด้วยซ้ำ ชีวิตของฉันคงจะกลายเป็นลำบากยากเย็นอย่างมากไปเลย จะเป็นอย่างไร ถ้าหากฉันลงเอยด้วยการถูกเตะออกจากคริสตจักร? ถ้าเป็นแบบนั้น การเดินทางไกลแห่งความเชื่อในพระเจ้าของฉันก็คงจบสิ้น ฉันจำเป็นต้องมองตามความเป็นจริง ฉันจะจัดแจงงานของคริสตจักรให้เข้าที่ก่อนแล้วค่อยดูอีกที” และดังนั้น เพื่อจะปกป้องตัวเอง ฉันตัดสินใจไม่รายงานและเปิดโปงเธอ แต่ในการชุมนุมครั้งถัดมา ฉันได้เห็นสีหน้าคาดหวังของพี่น้องชายหญิงทั้งหมดที่ถูกกดขี่ ฉันก็รู้สึกทุกข์ใจจริงๆ และมโนธรรมก็กำลังทำให้ฉันรู้สึกผิด ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อฉันได้ยินพวกเขาพูดถึงการที่เสี่ยวหมินกำลังยกย่องความสามารถในการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงของเหยาหลานไปทั่วคริสตจักร และพูดว่าเธอกำลังบีบบังคับและอบรมสั่งสอนพี่น้องชายหญิงในหนทางที่วางอำนาจบาตรใหญ่ ฉันก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก ฉันคิดกับตัวเองว่า “ฉันต้องรายงานเรื่องการทำชั่วของเหยาหลานและเสี่ยวหมินกับผู้มีตำแหน่งสูงกว่าสักคน ฉันไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาทำตัวเลวและกดขี่พี่น้องชายหญิงตามใจชอบได้” ดังนั้นฉันจึงเขียนทุกอย่างที่พี่น้องชายหญิงบอกเกี่ยวกับพวกเขา แต่ทว่าหลังจากการชุมนุม ฉันก็รู้สึกขัดแย้งขึ้นอีกครั้งว่า เหยาหลานจะลงโทษฉันยังไงนะถ้าเธอรู้เข้า? แต่จะไม่เป็นการทำชั่วหรอกหรือ หากฉันเลือกปกป้องตัวเอง และไม่เปิดโปงสองคนนั้น? ฉันตกอยู่ในสภาพหนีเสือปะจระเข้ และรู้สึกเหมือนทุกอย่างถูกขมวดเป็นปม ฉันทรุดลงคุกเข่าลงอธิษฐานต่อพระเจ้าทั้งน้ำตาว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการรายงานเรื่องเหยาหลานกับลูกสาวของเธอให้บรรดาผู้นำของข้าพระองค์ทราบ แต่ข้าพระองค์กลัวว่าพวกเขาจะแก้แค้นข้าพระองค์ โอ้พระเจ้า ได้โปรดนำข้าพระองค์ให้ฝ่าพ้นการกดขี่ของกำลังบังคับแห่งความมืด และปฏิบัติความจริงและค้ำจุนงานของคริสตจักรด้วยเถิด”
หลังจากอธิษฐาน ฉันได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “เจ้าทั้งปวงกล่าวว่าเจ้าคำนึงถึงพระภาระของพระเจ้า และจะปกป้องคำพยานของคริสตจักร แต่ใครหรือในหมู่พวกเจ้าที่ได้คำนึงถึงพระภาระของพระเจ้าจริงๆ? จงถามตัวเจ้าเองว่า เจ้าเป็นใครคนหนึ่งซึ่งได้แสดงให้เห็นความคำนึงถึงพระภาระของพระองค์หรือไม่? เจ้าสามารถปฏิบัติความชอบธรรมเพื่อพระองค์หรือไม่? เจ้าสามารถยืนขึ้นและพูดเพื่อเราหรือไม่? เจ้าสามารถนำความจริงมาปฏิบัติอย่างหนักแน่นมั่นคงหรือไม่? เจ้ากล้าพอที่จะต่อสู้กับความประพฤติทั้งปวงของซาตานหรือไม่? เจ้าจะสามารถวางภาวะอารมณ์ทั้งหลายของเจ้าลง และเปิดโปงซาตานเพื่อเห็นแก่ประโยชน์แห่งความจริงของเราไหม? เจ้าสามารถยอมให้เจตนาของเราได้รับการทำให้ลุล่วงภายในตัวเจ้าไหม? เจ้าได้มอบถวายหัวใจของเจ้าในชั่วขณะที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดหรือไม่? เจ้าเป็นใครคนหนึ่งที่จะกระทำตามเจตจำนงของเราหรือไม่? จงถามคำถามเหล่านี้กับตัวเจ้าเอง และคิดเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ให้บ่อย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 13) ฉันละอายใจตัวเองมากเมื่ออ่านวิวรณ์เหล่านี้ในพระวจนะของพระเจ้า ฉันเชื่อในพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ทรงมีที่ในหัวใจของฉันเลย ฉันไม่ได้จริงจังกับพระบัญชาของพระเจ้า และทั้งหมดที่ฉันคิดถึงเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาก็คือผลประโยชน์ของตัวฉันเอง ฉันไม่ได้อารักขางานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าสักนิด ฉันค้นพบอย่างชัดเจน ว่าเหยาหลานกำลังอธิบายพระวจนะของพระเจ้าโดยอ้างถึงพระวจนะเหล่านั้นนอกบริบท ว่าเธอกำลังทำการครอบงำในคริสตจักร และว่าเธอกำลังลงโทษและกดขี่พี่น้องชายหญิง ในการที่จะเลื่อนตำแหน่งให้พวกที่ใกล้ชิดเธอที่สุดขึ้นมาเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้ตัวเอง เธอปลดผู้คนออกจากหน้าที่ตามอำเภอใจ แทรกแซงและสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิตคริสตจักร และบีบบังคับและทำอันตรายต่อพี่น้องชายหญิงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะตอนนี้ที่ขอบเขตงานของเธอกว้างขึ้น เธออยู่ในตำแหน่งที่จะทำอันตรายพี่น้องชายหญิงได้มากขึ้นไปอีก แต่ฉันเอาแต่กลัวสถานะและอิทธิพลของเหยาหลาน กลัวว่าจะถูกเธอกดขี่และปลดจากตำแหน่ง กลัวจะเสียตำแหน่งและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของตัวเอง และกลัวว่าเธอและลูกสาวจะแก้แค้นและทำอันตรายแก่ฉัน ฉันจึงไม่กล้ายึดหลักธรรมและเปิดโปงและรายงานพวกเธอ และดังนั้น ฉันจึงได้แต่เฝ้ามองพวกศัตรูของพระคริสต์และพวกคนเลววิ่งอาละวาดอยู่ในคริสตจักรอย่างรู้เห็นอยู่เต็มตา พี่น้องชายหญิงถูกกดขี่และชีวิตของพวกเขาก็ได้รับความเสียหาย แต่ฉันก็ยังไม่กล้ายืนขึ้นและเปิดโปงซาตาน ฉันเป็นคนที่ต่ำทราม เห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นอะไรอย่างนั้น! แล้วฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ตรัสว่า “มวลมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลุ่มลึก น้ำพิษของซาตานไหลเวียนผ่านเลือดของทุกบุคคล และสามารถเห็นได้ว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเสื่อมทราม ชั่ว และเป็นปฏิกิริยานิยม เต็มอิ่มและชุ่มแช่อยู่ในปรัชญาทั้งหลายของซาตาน—ในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมันนั้น มันคือธรรมชาติหนึ่งซึ่งทรยศพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่ผู้คนต้านทานพระเจ้าและยืนหยัดอยู่ในการต่อต้านพระเจ้า” (“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “สำหรับสิ่งที่พิษของซาตานเป็นนั้น มันสามารถแสดงออกมาอย่างครบถ้วนด้วยคำพูด ตัวอย่างเช่น หากพวกเจ้าถามพวกคนทำชั่วว่าเหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติตนในหนทางที่พวกเขาทำ พวกเขาก็จะตอบว่า ‘เพราะมนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา ตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว พวกเขาอาจทำสิ่งทั้งหลายเพื่อจุดประสงค์นี้นั้น แต่พวกเขาก็แค่กำลังทำมันเพื่อตัวพวกเขาเอง ทุกคนคิดว่าในเมื่อ มันเป็นว่ามนุษย์ทุกคนทำเพื่อตนเองและมารก็เอาตัวคนรั้งท้ายไป ผู้คนก็ควรดำรงชีวิตเพื่อประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง และทำทุกสิ่งทุกอย่างในอำนาจของพวกเขาเพื่อที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับสถานภาพที่ดีเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอาหารและเครื่องนุ่งห่มอันวิจิตร ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือชีวิตและปรัชญาของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย คำพูดเหล่านี้ของซาตานเป็นพิษของซาตานอย่างแน่แท้ และเมื่อผู้คนรับมันไว้ภายใน มันจึงกลายเป็นธรรมชาติของพวกเขา ธรรมชาติของซาตานนั้นถูกเปิดโปงโดยผ่านทางคำพูดเหล่านี้ คำพูดเหล่านี้เป็นตัวแทนซาตานอย่างครบบริบูรณ์ พิษนี้กลายเป็นชีวิตของผู้คนเช่นเดียวกับเป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา และมนุษยชาติซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามก็ได้ถูกครอบงำโดยพิษนี้เป็นเวลาหลายพันปี” (“วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าได้แสดงให้ฉันเห็นว่า ฉันถูกซาตานเหยียบย่ำและทำให้เสื่อมทราม และเห็นว่ากระดูกและเลือดเนื้อของฉันได้ชุ่มโชกและอาบชุ่มด้วยพิษ ปรัชญา และแนวปฏิบัติแบบซาตาน จนกระทั่งตัวฉันเองกลายเป็นยิ่งชั่วและเห็นแก่ตัวขึ้นทุกที ฉันใช้ชีวิตด้วยพิษแบบซาตานอย่าง “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “เมื่อเจ้ารู้ว่าบางสิ่งบางอย่างผิดไป จงพูดให้น้อยลงเสียจะดีกว่า” และ “ผู้คนที่มีไหวพริบนั้น เก่งในการปกป้องตัวเอง ด้วยการแค่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น” ความคิดของฉันบิดเบี้ยวไปหมด และฉันมีค่านิยมและทัศนะที่เลวร้ายต่อชีวิต ฉันมองผลประโยชน์ของตัวเอง ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของฉัน และโชคชะตาของฉันว่าสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด เมื่อเห็นเหยาหลานกับแก๊งกองกำลังชั่วของพวกศัตรูของพระคริสต์ของเธอทำอันตรายพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร ฉันรู้ว่าฉันต้องเปิดโปงและรายงานพวกเขา แต่เพราะฉันกลัวการถูกกดขี่และการสูญเสียตำแหน่งและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของฉัน ฉันก็ไม่กล้าทำ ไม่ว่าฉันจะทุรนทุรายอย่างไรก็ตาม ดังนั้นฉันจึงยอมให้ศัตรูของพระคริสต์สร้างความวุ่นวายในคริสตจักร และฉันก็ทำตัวพินอบพิเทา โดยไม่กล้าพูดตรงๆ อย่างเป็นกลางแม้แต่คำเดียว ฉันรู้ตัวว่าฉันถูกพิษของซาตานพันธนาการและล่ามโซ่ไว้อย่างแน่นหนา จนฉันกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของมัน เป็นสุนัขรับใช้ นี่ช่างน่าชิงชังสำหรับพระเจ้า และฉันไม่ควรค่าที่จะมีชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ฉันได้ชื่นชมพระราชกิจและการทรงนำของพระเจ้ามาหลายปี และพระองค์ทรงอุ้มชูฉันเพื่อให้ฉันสามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้นำคริสตจักรได้ แต่ทว่าฉันไม่รู้จักทะนุถนอมมันไว้ และไม่ได้คิดสักนิดว่าจะห่วงใยพี่น้องชายหญิงหรือค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้ายังไง ฉันมีชีวิตอยู่โดยห่อหุ้มตัวเองไว้อย่างมิดชิดภายในความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนเอง โดยไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของศักดิ์ศรีหรือความสัตย์สุจริต ฉันล้มเหลวที่จะทำให้ได้สมกับความเชื่อใจที่พี่น้องชายหญิงมีให้ฉัน และยิ่งไปกว่านั้น ฉันล้มเหลวที่จะทำให้ได้ดังพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมอบให้กับฉัน พอคิดแบบนี้ ฉันก็เกลียดตัวเองที่เห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นเหลือเกิน แล้วฉันก็กล่าวอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยความเต็มใจที่จะกลับใจ ฉันขอให้พระเจ้าประทานความเข้มแข็งแก่ฉัน และทรงนำฉันให้ฝ่าพ้นอิทธิพลมืดเหล่านี้ และสามารถปฏิบัติความจริงได้
หลังจากนั้น ฉันได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือพระอุปนิสัยของผู้ปกครองแห่งสรรพสิ่งต่างๆ และสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เป็นพระอุปนิสัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการสร้างทั้งปวง พระอุปนิสัยของพระองค์แสดงให้เห็นถึงพระเกียรติ ฤทธานุภาพ ความสูงศักดิ์ ความยิ่งใหญ่ และเหนือสิ่งอื่นใด ความยิ่งใหญ่สูงสุด พระอุปนิสัยของพระองค์เป็นสัญลักษณ์แห่งสิทธิอำนาจ สัญลักษณ์แห่งทุกสิ่งซึ่งชอบธรรม สัญลักษณ์แห่งทุกสิ่งซึ่งสวยงามและดีงาม ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของพระองค์ผู้ซึ่งไม่สามารถถูก[ก]พิชิตหรือถูกรุกรานได้โดยความมืดและกองกำลังศัตรูใดๆ รวมทั้งยังเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของพระองค์ผู้ซึ่งไม่สามารถถูกทำให้ขุ่นเคืองได้ (อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงยอมผ่อนปรนให้กับการถูกทำให้ขุ่นเคือง)[ข] โดยสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ พระอุปนิสัยของพระองค์เป็นสัญลักษณ์แห่งฤทธานุภาพสูงสุด ไม่มีบุคคลหรือเหล่าบุคคลใดสามารถหรืออาจรบกวนพระราชกิจของพระองค์หรือพระอุปนิสัยของพระองค์ได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสำคัญมาก) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจว่าพระเจ้าทรงปกครองเหนือสรรพสิ่ง เข้าใจว่าพระอุปนิสัยของพระองค์เป็นตราสัญลักษณ์แห่งสิทธิอำนาจสูงสุด และเข้าใจว่าไม่มีกองกำลังศัตรูหรือกำลังบังคับแห่งความมืดใดๆ ล่วงเกินพระอุปนิสัยนั้นได้ พระเจ้าจะทรงชำระล้างกองกำลังชั่วของซาตานทั้งหมดที่ก่อความวุ่นวายให้หมดไปจากคริสตจักรและกำจัดพวกเขาทิ้งจนหมดสิ้น นี่คือทิศทางของพระราชกิจของพระเจ้าและเป็นความจริงที่พระเจ้าจะทรงบรรลุผลอย่างแน่นอน เหยาหลานได้ปกครองคริสตจักรเหมือนทรราชมาตลอด โดยควบคุมและกดขี่พี่น้องชายหญิง ปลุกปั้นพวกคนที่ใกล้ชิดเธอที่สุดขึ้นมาและจัดตั้งอาณาจักรของตัวเอง เธอได้แทรกแซงและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก ได้ทำความชั่วทุกลักษณะ และล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างร้ายแรง เธอเป็นปิศาจศัตรูของพระคริสต์ซึ่งจะถูกขับไล่ออกจากคริสตจักรในไม่ช้าก็เร็ว ฉันคิดถึงเรื่องการที่พระนิเวศของพระเจ้าเคยขับไล่คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์มากมาย ไม่ว่าพวกเขาจะอำมหิตแค่ไหน พวกเขาก็ประสบความสำเร็จได้แค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น และสุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถหนีพ้นจากการลงโทษของพระเจ้าได้ นี่ไม่ใช่ความชอบธรรมของพระเจ้าหรอกหรือ? แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว ฉันกลับยังไม่เข้าใจความชอบธรรมของพระเจ้า และไม่ได้ไว้วางใจในข้อเท็จจริงที่ว่า ความจริงและความชอบธรรมได้ถืออำนาจปกครองอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ว่าพระเจ้าได้ทรงครองราชย์อยู่ ฉันมีทรรศนะต่อพระนิเวศของพระเจ้าราวกับว่าเป็นแบบเดียวกับโลก ราวกับว่าใครก็ตามที่มีสถานะและอำนาจก็สามารถควบคุมชะตากรรมของฉันได้ แล้วถ้าฉันอยู่คนละฝั่งกับเหยาหลานและลูกสาวของเธอ ฉันก็คิดว่าฉันจะสูญเสียความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตและบั้นปลายของฉัน ฉันถึงกับกลัวว่าพวกเธอจะแก้แค้นฉัน—ฉันไม่วางใจในการปกครองของพระเจ้าเหนือสรรพสิ่ง ความเชื่อประเภทนี้ช่างเป็นความเสื่อมเสียต่อพระเจ้ายิ่งนัก! หลังจากนั้น ฉันได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “วจนะของเราคือพื้นฐานของมนุษย์ในการหลีกหนีจากอิทธิพลมืดทั้งหลาย และผู้คนที่ไม่สามารถปฏิบัติตามวจนะของเราจะไม่สามารถหลีกหนีจากพันธนาการของอิทธิพลแห่งความมืดได้ การใช้ชีวิตในสภาวะที่ถูกต้องก็คือการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การทรงนำแห่งพระวจนะของพระเจ้า อยู่ในสภาวะแห่งความจงรักภักดีต่อพระเจ้า อยู่ในสภาวะของการแสวงหาความจริง อยู่ในความเป็นจริงแห่งการสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจ และอยู่ในสภาวะที่รักพระเจ้าอย่างจริงแท้ บรรดาผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเหล่านี้และอยู่ภายในความเป็นจริงนี้จะค่อยๆแปลงสภาพเมื่อพวกเขาเข้าสู่ก้นบึ้งแห่งความจริง และพวกเขาจะแปลงสภาพเมื่องานนั้นลงลึกยิ่งขึ้น และในท้ายที่สุด พวกเขาจะได้กลายเป็นผู้คนซึ่งได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน และเป็นผู้ที่รักพระเจ้าอย่างจริงแท้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงหนีให้พ้นจากอิทธิพลแห่งความมืด แล้วพระเจ้าจะทรงรับเจ้าไว้) พระวจนะของพระเจ้าเผยเส้นทางแก่ฉัน หากฉันต้องการฝ่าฟันผ่านโซ่ล่ามแห่งอิทธิพลมืดของซาตาน ฉันจำเป็นต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า ฉันต้องปล่อยวางผลประโยชน์ส่วนตัวและความคิดเรื่องอนาคตของฉัน ปฏิบัติความจริง เปิดโปงและรายงานเรื่องศัตรูของพระคริสต์พวกนั้น และค้ำจุนงานของพระนิเวศของพระเจ้า ต่อให้ฉันถูกปลดจากหน้าที่ และเสียตำแหน่งและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของฉันไป ฉันก็จำเป็นต้องติดแน่นอยู่กับหลักธรรมแห่งความจริง พอฉันเข้าใจเรื่องนี้ ฉันก็พบว่าตัวเองมีความเข้มแข็ง และฉันก็เขียนจดหมายถึงบรรดาผู้นำของฉันเพื่อรายงานเรื่องเหยาหลานกับเสี่ยวหมิน
สองวันต่อมา บรรดาผู้นำเรียกพี่น้องชายหญิงทั้งหมดมาชุมนุมกันเพื่อเปิดโปงข้อเท็จจริงของความประพฤติชั่วที่เหยาหลานกับเสี่ยวหมินได้กระทำไป โดยว่ากันไปตามหลักธรรม ทั้งเหยาหลาน สามีของเธอ และเสี่ยวหมินจึงพากันถูกปลดออกจากหน้าที่ เหยาหลานกับลูกสาวไม่ได้ทบทวนหรือพยายามที่จะรู้จักตัวเอง แต่กลับไปหาพี่น้องชายหญิงตามบ้าน แสร้งแสดงความเสียใจแบบสำนึกผิด และถึงขนาดโอดครวญว่าพวกเธอถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เพื่อพยายามหลอกลวงพี่น้องชายหญิงเหล่านั้น พวกเธอไม่กลับใจเลยสักนิด และท้ายที่สุด เพราะความประพฤติชั่วของพวกเธอ พวกเธอจึงถูกพิจารณาตัดสินว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ และเป็นพวกคนทำชั่วซึ่งได้กระทำความเลวไปแล้วในทุกลักษณะ และถูกขับไล่ออกจากคริสตจักรไป ชีวิตคริสตจักรจึงได้กลับสู่ปกติ พี่น้องชายหญิงปรบมือและแซ่ซ้องไชโย และทุกคนสรรเสริญความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระเจ้า นี่ช่วยให้ฉันเห็นชัดเจนขึ้นไปอีกว่า ความชอบธรรมและความจริงมีอำนาจปกครองอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ว่าพระคริสต์ปกครองที่นั่น และไม่ว่ากองกำลังชั่วของศัตรูของพระคริสต์จะชั่วและอาละวาดเพ่นพ่านแค่ไหน หรือพวกเขาจะมีอำนาจสักเท่าไร พวกเขาก็ไม่มีทางเกินหน้าสิทธิอำนาจของพระเจ้า หรือทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักได้ นับประสาอะไรที่จะสามารถควบคุมชะตากรรมของใครได้ พวกเขาก็แค่เป็นเหมือนตัวหมากรุกในพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นเครื่องมือที่ทำหน้าที่ช่วยผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้ได้พัฒนาวิจารณญาณ ผลการปฏิบัติงานของพวกเขาเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมองเห็นพวกศัตรูของพระคริสต์และพวกคนชั่วในสิ่งที่พวกเขาเป็นจริงๆ เพื่อให้ผู้คนเหล่านั้นไม่ถูกนำให้ออกนอกลู่นอกทาง โดยผ่านทางประสบการณ์ในการรายงานศัตรูของพระคริสต์พวกนี้ เพราะการให้ความรู้แจ้ง การทรงนำ และความเป็นผู้นำแห่งพระวจนะของพระเจ้านี่เอง ที่ทำให้ฉันฝ่าพ้นจากกำลังบังคับแห่งความมืดและปฏิบัติความจริงได้ ฉันรู้สึกสบายใจและมีสันติสุขในหัวใจ และฉันรู้สึกว่า การประพฤติปฏิบัติตนเช่นนี้เป็นหนทางเดียวที่จะดำรงชีวิตอยู่กับศักดิ์ศรีและความสัตย์สุจริต ฉันรู้สึกได้รับการปลดปล่อยและเป็นอิสระ นี่เองคือดอกผลของการเขียนรายงานที่มีความซื่อสัตย์
พระสิริทั้งปวงจงมีแด่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! อาเมน!
เชิงอรรถ:
ก. ข้อความเดิมคือ “มันเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการไม่สามารถถูก”
ข. ข้อความเดิมคือ “รวมทั้งยังเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการไร้ความสามารถที่จะถูกทำให้ขุ่นเคืองได้ (และการไม่ยอมผ่อนปรนให้กับการถูกทำให้ขุ่นเคือง)”
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
ฉันเริ่มทำหน้าที่ผู้นำ เมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้เอง ฉันทำงานบางอย่าง ที่พระนิเวศจัดเตรียมไว้ให้ต่อไป เพื่อกำจัดเหล่าคนทำชั่ว...
พฤษภาคมปี 2018 ฉันจากบ้านไปร่วมกองทัพ ในกองทัพ เมื่อผู้นำออกคำสั่ง ยศต่ำกว่าก็ทำตามอย่างเชื่อฟัง เวลากำกับดูแลงานของเรา...
โดย หยาง หยี, ประเทศจีน ฉันเริ่มเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าในปี 1995 หลังจากนั้น โรคหัวใจที่ฉันเป็นมานาน ก็ดีขึ้นอย่างปาฏิหาริย์ ฉันซาบซึ้งมาก...
โดย เหวยเสี่ยว, สเปน เรื่องเกิดเมื่อต้นปีนี้ค่ะ ตอนที่ฉันเป็นผู้นำคริสตจักร และพี่หวาง หัวหน้าทีมข่าวประเสริฐ ได้ย้ายไปอีกคริสตจักรหนึ่ง...