ระวัง! ศัตรูของพระคริสต์อยู่รอบตัวคุณ!

วันที่ 07 เดือน 12 ปี 2022

มีนาคมปี 2021 ฉันยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันอ่านพรวะจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากมาย เข้าชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงบ่อยๆ และไม่นานนัก ฉันก็เป็นผู้นำกลุ่ม ที่คริสตจักร ฉันได้พบกับคลอเดีย เธอบอกฉันว่าเธอเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาปีครึ่งแล้ว ตอนนี้เธอเป็นมัคนายกให้น้ำ และบริหารจัดการหลายกลุ่มชุมนุม และเธอรู้วิธีให้น้ำและเกื้อหนุนพี่น้องชายหญิงให้ดี เธอยังเป็นมิตรกับฉันมากด้วย ทักทายฉันทุกวันและแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับฉัน ฉันจึงสุขใจมาก และรู้สึกว่าเธอห่วงใยฉัน เธอยังบอกฉันด้วยว่า เพราะฉันเชื่อในพระเจ้ามาไม่นาน ฉันจึงรับมือการเป็นผู้นำกลุ่มคนเดียวไม่ได้ ถ้าฉันไม่เข้าใจพระวจนะ ก็อาจจะทำผิดพลาด เธอจึงให้ฉันรายงานเธอเรื่องทุกการชุมนุม ได้ยินเธอพูดแบบนั้น ทำให้ฉันกังวลมาก ฉันกลัวว่าอาจจะทำผิดพลาด ดังนั้นทุกครั้งที่ฉันจัดชุมนุม ฉันจึงแจ้งให้เธอทราบ ฉันคิดว่าเธอสามัคคีธรรมได้ดี และฉันต้องให้เธอช่วย เพราะฉันทำคนเดียวไม่ได้ มีครั้งหนึ่ง ฉันกำลังจะเกื้อหนุนพี่น้องหญิงที่ไม่เข้าร่วมเป็นประจำ และคลอเดียก็บอกฉันว่า “คุณเพิ่งเริ่มเชื่อและไม่รู้สิ่งต่างๆ คุณเกื้อหนุนผู้มาใหม่คนเดียวไม่ได้ ฉันจะอยู่ตรงนี้เพื่อเกื้อหนุนและชี้แนะคุณตลอด” เธอยังพูดด้วยว่าอยากสอนฉันเพิ่ม ฉันคิดว่าเธอเป็นพี่สาวที่ดีมากเพราะเธอมาช่วยฉันทุกครั้งที่ฉันเจอปัญหา

ต่อมา คริสตจักรต้องการเลือกเหล่าผู้นำและมัคนายกคนใหม่ ก่อนการเลือกตั้ง คลอเดียบอกฉันว่า “ผู้นำระดับสูงสามัคคีธรรมที่การชุมนุมไม่ดี เราต้องยืนขึ้นคัดค้านและต่อต้านเธอ เราให้เธอเป็นผู้นำต่อไปไม่ได้ ถ้าคุณพบว่าเธอทำบางอย่างไม่ดี ก็แปลว่าเธอทำผิด ถ้าคุณพบสิ่งเหล่านี้ ต้องบอกฉันนะ ถ้าคุณไม่บอกฉัน คุณก็ทรยศพระเจ้า” ฉันพูดว่า “ฉันคิดว่าผู้นำคนนี้ไม่ได้มีอะไรผิดนะ ฉันทำตามคำขอของคุณไม่ได้ ฉันพูดสิ่งที่ฉันไม่รู้ไม่ได้หรอก” เธอเสริมว่า “ฉันทำงานในคริสตจักรมาปีครึ่งแล้ว และรู้วิธีการนำผู้อื่น แต่ผู้นำระดับสูงไม่เคยเลือกฉันเป็นผู้นำเลย คุณต้องคัดค้านการเลือกตั้งของพวกเขา นั่นเป็นทางเดียวที่คุณจะได้รับเลือกเป็นผู้นำ” ฉันรู้สึกว่าเธอพูดไม่ถูก ผู้คนมาเป็นผู้นำแค่เพราะอยากเป็นไม่ได้ พวกเขาล้วนได้รับเลือกโดยพี่น้องชายหญิงตามหลักธรรม และไม่ว่าเราได้รับเลือกเป็นผู้นำหรือไม่ เราก็ล้วนควรเชื่อฟังการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ไม่นานจากนั้น ฉันก็ถูกเลือกเป็นมัคนายก พอรู้เข้าคลอเดียก็โมโหโทโสมาก และเริ่มพูดว่าพวกผู้นำทำผิดพลาด เธอพูดด้วยว่า “คุณเป็นผู้มาใหม่ และคุณยังไม่รู้อะไรเลย พวกเขาให้คุณเป็นมัคนายกได้ยังไง?” ได้ยินเธอพูดแบบนั้น ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ฉันไม่อยากบอกปัดหน้าที่นั้น แต่ก็กังวลว่าจะทำได้ไม่ดี ฉันสับสนมาก

ต่อมา คลอเดียนำพวกมัคนายก ผู้นำกลุ่ม และฉันไปเข้ากลุ่ม รวมๆ แล้วมีคนอยู่ประมาณสิบกว่าคน และขอให้พวกเราไม่ไปบอกพวกผู้นำ ฉันถามเธอว่าทำไม เธอพูดว่า “ฉันตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาเพื่อสอนพวกคุณทุกคน ฉันนำพวกคุณให้เข้าใจความจริงมากขึ้น และช่วยพวกคุณปฏิบัติหน้าที่ให้ดีขึ้นได้ กลุ่มนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกผู้นำ ฉันทำแบบนี้เพื่อประโยชน์ของพวกคุณเอง” ตอนนั้น ฉันคิดว่าคลอเดียนิสัยดีมาก และเธอก็กระตือรือร้นที่จะช่วยเราเสมอ ฉันคิดว่า “เอาละ ในเมื่อนี่ก็เพื่อประโยชน์ของเรา คงไม่เป็นไรที่จะไม่บอกพวกผู้นำ” ต่อมา คลอเดียพูดในกลุ่มนี้ว่าพวกผู้นำไม่ดี ไม่รู้ว่าจะทำงานยังไง ล้วนเป็นผู้นำเทียมเท็จ เราต้องมีวิจารณญาณ และอื่นๆ ฉันไม่คิดว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง ผู้นำของเราแสดงความรัก และช่วยให้เราเข้าใจพระวจนะและทำหน้าที่ของเรา สิ่งที่เธอพูดเรื่องผู้นำของเราไม่ถูกต้อง ตอนนั้น พี่น้องชายคนหนึ่งโต้แย้งเธอว่า “สิ่งที่คุณพูดไม่เป็นความจริง และพูดแบบนั้นมันผิด” แต่พอได้ยินคลอเดียก็โกรธมาก และโต้เถียงกับพี่น้องชายคนนี้ จากนั้น เขาก็ออกไปจากกลุ่มพร้อมกับพี่น้องหญิงอีกคน ต่อมา ฉันไปหาคลอเดีย และพูดว่า “การที่คุณวิจารณ์พวกผู้นำลับหลังเป็นเรื่องที่ผิดนะ พอเขาชี้ให้คุณเห็น ทำไมคุณถึงโกรธล่ะ? ทำไมถึงไปโต้เถียงกับเขา?” คลอเดียไม่เพียงไม่ยอมรับเท่านั้น เธอโกรธมากด้วย ต่อมา ฉันก็ออกจากกลุ่มนั้นด้วย

ฉันไม่เคยคาดคิด ว่าที่ทุกการประชุมเพื่อนร่วมงาน เธอจะพูดจาทิ่มแทงปัญหาของผู้นำ ที่การประชุมเพื่อนร่วมงานครั้งหนึ่ง เธอชักจูงให้มัคนายกคนหนึ่งส่งข้อความในกลุ่ม พูดว่าผู้นำคริสตจักรโนเลียทำงานได้ไม่ดี ว่าเธอไม่แก้ไขปัญหาของพี่น้องชายหญิง หรือบ่มเพาะผู้นำกลุ่ม และเธอควรลาออกและมอบตำแหน่งให้คนอื่น ตอนนั้น ผู้นำระดับสูงพูดว่า “โนเลียทำงานบางส่วนไม่ได้เพราะก่อนหน้านี้เธอป่วย แต่ปกติเธอมีความรับผิดชอบในหน้าที่มาก” แต่แม้แต่หลังจากคลอเดียได้ยินแบบนี้ เธอก็ไม่ยอมปล่อยไป เธอว่า “เธอเป็นผู้นำ จึงต้องทำงานหนักกว่าเรา” แล้วเธอก็ส่งข้อความบอกว่า “ฉันกำลังปกป้องงานของคริสตจักร ในอดีต ผู้นำจัดการฉันที่ทำงานมั่วๆ และไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ทำให้ฉันเจ็บปวด แต่พระเจ้าทรงรู้หัวใจฉัน และทุกอย่างจะถูกเปิดเผยออกมา” ต่อมา คลอเดียพูดเสมอว่าคริสตจักรเราไม่ดี ผู้นำของเราเทียมเท็จ และเธออยากไปทำหน้าที่ที่คริสตจักรอีกแห่ง ที่การชุมนุม ฉันเห็นเธอพูดว่านี่ไม่ดี นั่นไม่ถูกเสมอ และนั่นทำให้ทุกคนสงบใจและใคร่ครวญพระวจนะไม่ได้ ฉันรู้สึกว่าเป็นเรื่องแย่มาก และฉันไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ คริสตจักรควรเป็นที่สำหรับนมัสการพระเจ้า ที่ที่พี่น้องชายหญิงชุมนุมเพื่อกินและดื่มพระวจนะ แต่ตอนนี้ มันถูกทำให้เสียหายหมดแล้ว ฉันอยากรายงานเรื่องนี้ต่อผู้นำ แต่ฉันกังวลว่าถ้าคลอเดียรู้เข้า เธอจะมีความเห็นเกี่ยวกับฉัน และคิดว่าฉันแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับเธอ ฉันไม่อยากล่วงเกินใครทั้งนั้น ฉันจึงไม่พูดอะไร ต่อมา คลอเดียมาหาฉันอีกครั้ง พูดว่าพวกผู้นำคริสตจักรน่ะเทียมเท็จ และเราต้องยืนขึ้นต่อต้านพวกเขา ในตอนนั้น ฉันขาดวิจารณญาณ และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงรู้สึกทรมานมาก ฉันนำเรื่องนี้ไปเฉพาะพระพักตร์และอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงนำฉัน ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ “จงใช้ความพยายามทั้งหมดของเจ้าไปในการวางหัวใจของเจ้าต่อหน้าเรา และเราจะปลอบประโลมเจ้า และนำสันติสุขและความสุขมาให้เจ้า จงอย่ากระเสือกกระสนเพื่อจะเป็นหนทางใดหนทางหนึ่งเบื้องหน้าคนอื่น การทำให้เราพึงพอใจไม่มีคุณค่าและน้ำหนักมากกว่าหรอกหรือ? ในการทำให้เราพึงพอใจนั้น เจ้าจะไม่เต็มเปี่ยมยิ่งขึ้นด้วยสันติสุขและความสุขนิรันดร์และตราบชั่วชีวิตหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) หลังจากอ่านพระวจนะ ฉันก็เข้าใจ ฉันเห็นคลอเดียก่อกวนชีวิตคริสตจักร แต่ไม่กล้ารายงาน เพราะฉันห่วงภาพลักษณ์และสถานะของตัวเองมากเกินไป และกลัวจะล่วงเกินผู้คน ทว่าฉันไม่เคยคิดว่าถ้าฉันไม่ปกป้องชีวิตคริสตจักร ฉันจะยืนอยู่บนฝั่งซาตาน ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจ ฉันไม่มีสันติสุขหรือความเบิกบานในหัวใจ มีแต่ความเจ็บปวดและทุกข์ใจ ทั้งหมดล้วนเพราะฉันไม่ปฏิบัติความจริง ฉันไม่อาจปกป้องความสัมพันธ์ของฉันกับคนอื่นได้อีก ฉันต้องปฏิบัติตามพระวจนะและปกป้องชีวิตคริสตจักร วันหนึ่ง ผู้นำระดับสูงถามฉันว่า ฉันคิดอย่างไรกับพฤติกรรมของคลอเดียที่การชุมนุม ฉันพูดว่า “สิ่งที่เธอพูดไม่ถูกต้อง อะไรแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในคริสตจักร” ฉันบอกผู้นำเรื่องพฤติกรรมอื่นๆ ของคลอเดียด้วย

ต่อมา ผู้นำคริสตจักรสามัคคีธรรมกับเราถึงวิธีแยกแยะคลอเดีย และเราอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “การหลอกลวงและการดึงให้เข้าร่วมมีความหมายคล้ายคลึงกัน แต่มีความแตกต่างในแก่นแท้และวิธีการ การหลอกลวงคือการใช้เรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อชักนำให้ผู้คนหลงผิดและทำให้พวกเขาเข้าใจไปว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นความจริง การดึงให้เข้าร่วมคือการจงใจใช้วิธีการบางอย่างและทำให้ผู้คนทำในสิ่งที่คนเราพูดและเดินตามเส้นทางของผู้พูด และแรงจูงใจนี้ค่อนข้างชัดแจ้ง การหลอกลวงและดึงให้เข้าร่วมคือการใช้ถ้อยวาจาที่ถูกต้องเพื่อลวงให้ผู้คนหลงเชื่อ เป็นการพูดสิ่งที่ผู้คนรู้สึกว่าถูกต้องไปหมดและพูดสิ่งที่พวกเขายอมรับได้ง่าย เป็นเหตุให้พวกเขาเชื่อในตัวผู้พูดและติดตามเขาโดยไม่รู้ตัว และทำให้คนเหล่านั้นเห็นพ้องกับเขา กลายเป็นสมัครพรรคพวกของเขาไปในตอนนั้นเอง นี่คือการดึงผู้คนจากกลุ่มที่ถูกต้องเข้าสู่ค่ายของตน กล่าวสั้นๆ คือ หากผู้คนยอมรับการเข้าหาเช่นนี้จากศัตรูของพระคริสต์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะเชื่อและติดตามศัตรูของพระคริสต์ และจากจุดนั้น พวกเขาจะยอมรับและเชื่อฟังอะไรก็ตามที่ศัตรูของพระคริสต์พูด พวกเขาจะติดตามอยู่ข้างหลังศัตรูของพระคริสต์โดยไม่รู้ตัว พวกเขาถูกหลอกเข้าให้แล้วมิใช่หรือ? ศัตรูของพระคริสต์บางคนมักจะใช้วิธีการบางอย่างในการดึงความสนใจของผู้คนและในคำกล่าวของตนอยู่บ่อยครั้ง เพื่อที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของการหลอกลวงผู้คนและดึงพวกเขามาเป็นพวก นี่นำไปสู่การสร้างพรรคพวก ฝักฝ่าย และกลุ่มภายในคริสตจักร…ในหนทางนี้ ศัตรูของพระคริสต์ย่อมหลอกลวงผู้คนและดึงพวกเขาให้เข้าร่วมโดยไม่มีความกระดากใจแม้แต่น้อย ทำให้เกิดพรรคพวกและฝักฝ่าย พวกเขาใช้วิธีการเหล่านี้เพื่อแบ่งแยกและควบคุมคริสตจักร เป้าหมายของพวกเขาในการทำเช่นนี้คืออะไร? (เพื่อสร้างอาณาจักรที่เป็นเอกเทศ) อะไรคือแก่นแท้ของการสร้างอาณาจักรที่เป็นเอกเทศ? คือการตั้งตนเป็นปรปักษ์กับพระคริสต์ ใช้กำลังยึดอำนาจครอบครองประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า นี่คือความพยายามที่จะแข่งกับพระเจ้ามิใช่หรือ? (ใช่แล้ว) ใช่ เป็นเช่นนั้น(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่ห้า: พวกเขาหลอกลวงผู้คน ดึงผู้คนมาเข้าร่วม ข่มขู่ และควบคุมผู้คน) ผู้นำใช้พระวจนะเพื่อสามัคคีธรรมกับเราถึงพฤติกรรมของคลอเดีย พูดว่าเธอมักจะเป็นพยานยืนยันให้ตัวเองต่อหน้าคนอื่นว่าเข้าใจความจริงมากมาย และสามารถทำงานของผู้นำและมัคนายกได้ ซึ่งทำให้ผู้มาใหม่มากมายถูกเธอหลอก บูชาเธอ และถกเถียงว่าการที่ไม่แต่งตั้งเธอเป็นผู้นำนั้นไม่เป็นธรรม ที่จริง ระหว่างที่เธอเป็นมัคนายก เธอทำงานมั่วๆ เสมอ ไม่เคยทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และผู้มาใหม่หลายคนที่เธอให้นำก็มักจะขาดการชุมนุม หลังจากผู้นำระดับสูงสามัคคีธรรมกับเธอถึงปัญหาเหล่านี้ ไม่เพียงเธอไม่ทบทวนตัวเอง แต่กลับอ้างว่าเธอไม่ได้รับความเป็นธรรม และพูดว่าพระเจ้าทรงรู้หัวใจของเธอ อีกอย่างก็คือ เธอมักจะแข่งขันเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ในคริสตจักร พอคริสตจักรไม่เลือกเธอเป็นผู้นำ เธอก็เริ่มเผยแพร่ว่าผู้นำที่เลือกมาไร้ประสบการณ์และทำงานไม่ได้ ผู้นำระดับสูงสามัคคีธรรมกับเธอถึงหลักธรรมในการเลือกผู้นำ พูดว่าคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดีซึ่งไล่ตามความจริงได้รับเลือก ไม่ใช่แค่คนที่มีประสบการณ์ทำงานมากที่สุด แต่เธอไม่ยอมรับเลย และถึงกับตั้งกลุ่มขึ้นอย่างลับๆ กลุ่มนี้ เธอนำคนที่ใกล้ชิดกับเธอทั้งหมดมารวมกัน ที่เธอลับๆ ล่อๆ อ้างว่าผู้นำระดับสูงจัดแจงงานไม่ได้ และยุให้รำตำให้รั่วระหว่างผู้นำกับพี่น้องชายหญิง เธอถึงกับชักจูงมัคนายกบางคนให้โจมตีพวกผู้นำคนใหม่และพูดว่าพวกเขาควรลงจากตำแหน่ง เธอก่อความไม่สงบในคริสตจักร เพื่อให้งานของคริสตจักรดำเนินไปตามปกติไม่ได้ คลอเดียคือศัตรูของพระคริสต์ซึ่งจงใจทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักและแยกคริสตจักรจากกัน ฉันพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับสิ่งที่ผู้นำพูดอยู่สักพัก ฉันเชื่อไม่ลงจริงๆ คลอเดียจะเป็นศัตรูของพระคริสต์ได้ยังไง? ส่วนใหญ่เธอดูจิตใจดี และเต็มใจช่วยเหลือผู้คนเสมอ แม้ว่าเธอจะทำบางอย่างผิดไป ก็ไม่ได้ทำให้เธอเป็นศัตรูของพระคริสต์ถูกไหม? เธอไม่ควรได้รับโอกาสให้กลับใจอีกสักครั้งเหรอ? หลังจากคิดแบบนี้ ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้เข้าใจน้ำพระทัยและช่วยให้ฉันแยกแยะคลอเดีย

หลังจากผู้นำของฉันใช้พระวจนะ เพื่อสามัคคีธรรมถึงเจตนาและเป้าหมายของคำพูดและการกระทำของศัตรูของพระคริสต์ ในที่สุดฉันก็มีวิจารณญาณเรื่องคลอเดียขึ้นบ้าง พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “แก่นแท้ของพฤติกรรมของพวกศัตรูของพระคริสต์คือการใช้วิถีทางและวิธีการต่างๆ อย่างเนืองนิตย์ เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขาในการมีสถานะ ในการชนะใจผู้คน และในการทำให้ผู้คนติดตามและเคารพพวกเขา เป็นไปได้ว่าในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่จงใจแย่งชิงมนุษยชาติกับพระเจ้า แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน นั่นคือแม้ในเวลาที่พวกเขาไม่แย่งชิงพวกมนุษย์กับพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะมีสถานะและพลังอำนาจท่ามกลางพวกมนุษย์ ต่อให้วันนั้นมาถึงเมื่อพวกเขาตระหนักว่าพวกเขากำลังแย่งชิงสถานะกับพระเจ้า และพวกเขาดึงรั้งตัวเองเอาไว้บ้าง แต่พวกเขาก็ยังคงใช้วิธีการต่างๆ เพื่อไล่ตามไขว่คว้าสถานะและเกียรติยศ พวกเขาชัดเจนในหัวใจของตนว่าพวกเขาจะมีสถานะที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหากได้รับความเห็นชอบและความเลื่อมใสจากผู้อื่น กล่าวสั้นๆ ก็คือ แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกศัตรูของพระคริสต์ทำดูเหมือนจะประกอบด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา แต่ผลที่ตามมาคือการหลอกผู้คนให้หลงกล ทำให้ผู้คนบูชาและติดตามพวกเขา—ซึ่งในกรณีนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในหนทางนี้คือการยกย่องและเป็นพยานยืนยันให้แก่ตัวพวกเขาเอง ความทะเยอทะยานของพวกเขาที่จะควบคุมผู้คน—และได้รับสถานะและอำนาจในคริสตจักร—จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นี่คือศัตรูของพระคริสต์โดยแท้ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าจะตรัสหรือทรงทำสิ่งใด และไม่สำคัญว่าพระองค์จะทรงขอสิ่งใดจากผู้คน ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ทำสิ่งที่พวกเขาควรทำหรือทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วงในหนทางที่เหมาะสมกับพระวจนะและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ยกเลิกการไล่ตามเสาะหาพลังอำนาจและสถานะของพวกเขา อันเป็นผลของการเข้าใจถ้อยดำรัสของพระองค์และความหมายของความจริงอยู่บ้าง ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขายังคงมีอยู่ ยังคงยึดครองหัวใจของพวกเขา และควบคุมทั้งหมดที่พวกเขาเป็น ชี้นำพฤติกรรมและความคิดของพวกเขา และกำหนดเส้นทางที่พวกเขาเดิน นี่คือศัตรูของพระคริสต์โดยแท้(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่ห้า: พวกเขาหลอกลวงผู้คน ดึงผู้คนมาเข้าร่วม ข่มขู่ และควบคุมผู้คน) ผู้นำสามัคคีธรรมว่า “จากพระวจนะที่เปิดเผยศัตรูของพระคริสต์ เราเห็นได้ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพื่อสถานะ และเพื่อสนองความอยากครองอำนาจ เพื่อให้ได้สถานะ พวกเขามักจะยกย่องและเป็นพยานยืนยันให้ตัวเอง เพื่อที่คนอื่นจะชื่นชมและนับถือพวกเขา หรือบางครั้งถึงกับตั้งกลุ่มและหว่านความแตกแยกในคริสตจักร ตอนนี้เราใช้พฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์เพื่อแยกแยะคลอเดียได้ ตั้งแต่เธอมาเป็นมัคนายกให้น้ำ เธอก็อยากเป็นผู้นำตลอด เพื่อให้ได้ความเห็นชอบจากเหล่าพี่น้อง ให้พวกเขาเลือกเธอเป็นผู้นำ เธอมักจะยกย่องและเป็นพยานยืนยันว่าเธอเชื่อในพระเจ้ามานานแล้ว นำมาหลายกลุ่ม มีประสบการณ์ทำงาน และเข้าใจความจริงมากมาย เธอยังโจมตีผู้เชื่อใหม่ด้วยว่าพวกเขาไม่เข้าใจอะไรเลย และอ้างว่าพวกเขาต้องให้เธอช่วยและเกื้อหนุนเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้ดี ซึ่งทำให้บางคนบูชาและเชื่อฟังเธอ เมื่อเธอเห็นคริสตจักร เลือกคนที่เชื่อในพระเจ้ามาสั้นกว่าเธอในฐานะผู้นำและมัคนายก เธอก็เกิดความไม่พอใจ เธอเผยแพร่คำกล่าวหาในคริสตจักรว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ และขอให้ทุกคนปฏิเสธผู้นำพวกนั้น สนับสนุนเธอ และฟังเธอ เพื่อให้เธอได้รับเลือกเป็นผู้นำ เธอยังดึงบางคนมาโจมตีและกล่าวโทษพวกผู้นำที่ได้รับเลือกมาใหม่ ซึ่งทำให้ผู้นำที่ได้รับเลือกมาใหม่รู้สึกอึดอัดและคิดลบ คริสตจักรควรเป็นที่กินและดื่มพระวจนะและนมัสการพระเจ้า แต่คลอเดียหว่านความแตกแยกและก่อกวนทุกคน ซึ่งริดรอนชีวิตคริสตจักรตามปกติของพี่น้องชายหญิง เธอหันไปใช้อะไรก็ตามเพื่อให้ได้รับสถานะ ธรรมชาติและแก่นแท้ของเธอเคลือบแฝงและชั่วร้ายเป็นพิเศษ และเธอคือศัตรูของพระคริสต์ที่เกลียดความจริงและเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า” หลังจากอ่านพระวจนะและได้ยินสามัคคีธรรมของผู้นำ ในที่สุดฉันก็ได้รับวิจารณญาณคลอเดียขึ้นบ้าง ฉันเคยคิดว่าเธอจิตใจดี และเธอกระตือรือร้นในหน้าที่และช่วยเหลือผู้คน ฉันคิดว่าเธอทำไปเพื่อผลดีต่อคริสตจักร แม้ว่าเธอวิจารณ์พวกผู้นำลับหลังเสมอ และมักจะทะเลาะกับพี่น้องชายหญิง ฉันไม่อาจแยกแยะเป้าหมายและเจตนาเบื้องหลังคำพูดและการกระทำของเธอได้ ตอนนี้ฉันตระหนักว่า คลอเดียทำทั้งหมดนี้เพื่อจะได้มาเป้นผู้นำ เธอทักทายฉันทุกวันและส่งพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาให้ เธอบอกฉันว่าเธอทำหน้าที่มามากกว่าหนึ่งปี รู้จักพระวจนะมากมาย และมีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอยังพูดด้วยว่าผู้นำที่เพิ่งถูกเลือกนั้นเทียมเท็จ รวมถึงผู้นำระดับสูงด้วย ทั้งหมดที่เธอพูดและทำเพื่อยกย่องตัวเองและดูถูกพวกผู้นำ เพราะเธออยากให้คนอื่นเลือกเธอเป็นผู้นำ เธอจัดตั้งกลุ่มอย่างลับๆ โจมตีและตัดสินพวกผู้นำ และยุแยงให้ทุกคนปฏิเสธพวกผู้นำ จากนั้นเมื่อคนอื่นโทษเธอที่พูดสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่เพียงเธอไม่ยอมรับหรือกลับใจ เธอยังโต้เถียงกับพวกเขาไม่รู้จบ ตอนนี้ ฉันเห็นชัดเจน ว่าเพื่อให้ได้สถานะ เธอได้ตั้งกลุ่ม ยุแยงความขัดแย้งกับพวกผู้นำ และพยายามแยกคริสตจักร เธอเป็นศัตรูของพระคริสต์จริงๆ

ผู้นำพูดต่อไปว่า “เพื่อตอบโต้การทำสิ่งเหล่านี้ของคลอเดีย ผู้นำระดับสูงสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมของความจริงที่เกี่ยวข้องหลายครั้งเพื่อช่วยเธอ แต่เธอไม่ยอมรับเลย เธอกลับหว่านความแตกแยกในคริสตจักรต่อไป ตั้งกลุ่ม และแบ่งพรรคแบ่งพวก ซึ่งทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักอย่างร้ายแรง” ผู้นำอ่านพระวจนะให้เราฟังบทตอนหนึ่ง “พวกที่อยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิงซึ่งระบายความรู้สึกในแง่ลบของตนอยู่เสมอนั้นเป็นสมุนของซาตานและพวกเขารบกวนคริสตจักร สักวันหนึ่ง ผู้คนเช่นนี้ต้องถูกไล่และขับออกไป…บรรดาผู้ที่ระบายถึงการพูดคุยที่เป็นพิษและมุ่งร้ายของตนภายในคริสตจักร ผู้ซึ่งแพร่ข่าวลือ ยุแหย่ให้เกิดความไม่ลงรอยกัน และก่อการแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่พี่น้องชายหญิง—พวกเขาควรจะถูกไล่ออกจากคริสตจักร ถึงกระนั้นก็ดี เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคแห่งพระราชกิจที่ต่างออกไปของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้จึงถูกคุมเข้ม เพราะแน่นอนแล้วว่าพวกเขาจะถูกขับออกไป ทุกคนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามล้วนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม บางคนไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ในขณะที่คนอื่นๆ แตกต่างออกไป นั่นคือ ไม่ใช่แค่พวกเขามีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเท่านั้น แต่ธรรมชาติของพวกเขายังมุ่งร้ายอย่างที่สุดอีกด้วย ไม่ใช่แค่คำพูดหรือการกระทำของพวกเขาเท่านั้นที่เปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของพวกเขา แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนเหล่านี้เป็นซาตานมารร้ายที่แท้จริง พฤติกรรมของพวกเขาขัดจังหวะและรบกวนพระราชกิจของพระเจ้า มันทำให้การเข้าสู่ชีวิตของบรรดาพี่น้องชายหญิงเสื่อมถอยลง และ มันสร้างความเสียหายต่อชีวิตตามปกติของคริสตจักร ไม่ช้าก็เร็ว หมาป่าในคราบแกะเหล่านี้ต้องถูกลบล้างไป ท่าทีที่ไม่ผ่อนปรน ท่าทีแห่งการปฏิเสธ ควรจะถูกนำมาใช้กับสมุนของซาตานเหล่านี้ นี่เท่านั้นคือการยืนในฝ่ายของพระเจ้า และพวกที่ล้มเหลวในการทำเช่นนั้นกำลังเกลือกกลิ้งในโคลนตมกับซาตาน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง) หลังอ่านพระวจนะ ผู้นำก็สามัคคีธรรมว่า “พระวจนะบอกเราชัดเจน ว่าพวกที่มักจะเผยแพร่ความคิดลบ หว่านความไม่ลงรอย และตั้งกลุ่มในคริสตจักร—พวกเขามีนิสัยก่อความไม่สงบ ไม่เคยเล่นบทบาทเชิงบวก และไม่ยอมกลับใจ พวกเขาล้วนเป็นคนที่พระเจ้าจะทรงขับออก และล้วนควรถูกนำออกไปจากคริสตจักร นี่คืออุปนิสัยชอบธรรมของพระเจ้า คริสตจักรปฏิบัติต่อคนทำชั่วตามหลักธรรม บางคนแค่มีอุปนิสัยเสื่อมทราม แต่ไม่ใช่คนชั่วโดยแก่นแท้ พวกเขายอมรับความจริงได้ และหลังจากทำชั่ว ก็สามารถกลับใจหลังจากสามัคคีธรรม คริสตจักรให้โอกาสคนเหล่านี้อีกครั้ง แต่บางคนมีธรรมชาติชั่วร้ายและไม่ยอมรับความจริงเลย พวกเขาเกลียดคนที่สามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา และยังคงทำชั่วต่อไป สิ่งที่พวกเขาแสดงออกไม่ใช่การสำแดงความเสื่อมทรามเพียงชั่วครู่ แก่นแท้ของพวกเขาเกลียดความจริงและต่อต้านพระเจ้า เหล่านี้คือศัตรูของพระคริสต์โดยแท้ และไม่ว่าจะเจอพวกเขาเมื่อใด พวกเขาก็จะถูกคัดออก” จากพระวจนะและสามัคคีธรรมของผู้นำ ฉันเข้าใจ ว่าคลอเดียหว่านความไม่ลงรอยในหมู่พี่น้องชายหญิงเสมอ โจมตีและตัดสินพวกผู้นำ ทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงัก และดึงให้พี่น้องชายหญิงออกจากคริสตจักรไปติดตามเธอ ทั้งหมดทำให้เธอเป็นศัตรูของพระคริสต์โดยแท้ ตอนแรกฉันขาดวิจารณญาณ ฉันคิดว่า “ทำไมไม่ให้โอกาสคลอเดียได้กลับใจ?” ที่จริง เธอได้รับการสามัคคีธรรมและช่วยเหลือหลายครั้ง และได้รับโอกาสมากมาย แต่เธอก็ยังไม่ยอมรับความจริง และไม่ยอมกลับใจ ธรรมชาติของเธอคือเกลียดความจริงและเป็นปรปักษ์กับพระเจ้า ไม่ว่าเธอจะได้รับโอกาสกี่ครั้ง เธอก็ไม่มีวันกลับใจจริงๆ เธอจึงต้องถูกเอาออกไป เมื่อฉันตระหนักเรื่องนี้ ฉันก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่า “ฉันเจอคนแบบนี้หลังจากเพิ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้าได้ยังไง? ทำไมศัตรูของพระคริสต์ถึงปรากฏตัวในคริสตจักร?”

หลังจากผู้นำอ่านพระวจนะให้เราฟังสองตอน ในที่สุดฉันก็เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า “เมื่อศัตรูของพระคริสต์ปรากฏขึ้นและทำให้คริสตจักรหยุดชะงัก นั่นเป็นสิ่งดีหรือสิ่งที่ไม่ดี? (เป็นสิ่งที่ไม่ดี) ไม่ดีอย่างไร? ไม่ดีที่พระเจ้าทรงทำผิดพลาดใช่หรือไม่? พระเจ้ามิได้ทรงเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดและอนุญาตให้พวกศัตรูของพระคริสต์แทรกซึมเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้าใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) เช่นนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้น? (พระเจ้าทรงเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์เพื่อให้พวกเรามีวิจารณญาณมากขึ้น เรียนรู้วิธีที่จะมองทะลุธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขา ไม่ยอมให้ซาตานหลอกลวงพวกเราอีก และสามารถตั้งมั่นในการเป็นพยานให้พระเจ้า นี่คือความรอดที่พระเจ้าทรงมีให้พวกเรา) พวกเราพูดเสมอว่าซาตานชั่ว เลวทราม และมุ่งร้ายเพียงใด ว่าซาตานเบื่อหน่ายและเกลียดชังความจริง เจ้าสามารถมองเห็นการนี้หรือไม่? เจ้าสามารถมองเห็นสิ่งที่ซาตานทำในโลกฝ่ายวิญญาณหรือไม่? วิธีที่มันพูดและกระทำ อะไรคือท่าทีที่มันมีต่อความจริงและพระเจ้า ความชั่วของมันอยู่ตรงที่ใด—เจ้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้เลยสักนิด ดังนั้น ไม่ว่าพวกเราจะพูดว่าซาตานชั่ว ว่ามันต้านทานพระเจ้า และว่ามันเบื่อหน่ายความจริงอย่างไร ในจิตใจของเจ้า นี่ย่อมเป็นเพียงถ้อยแถลงเท่านั้น ไม่มีภาพที่แท้จริงของการนี้อยู่เลย กลวงเปล่าเกินไป และไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่สามารถใช้เป็นการอ้างอิงที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ แต่เมื่อคนเราได้ติดต่อกับศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาย่อมมองเห็นอุปนิสัยอันชั่วและเลวทรามของซาตาน เห็นแก่นแท้ที่เบื่อหน่ายความจริงของมันชัดเจนขึ้นเล็กน้อย และความเข้าใจที่พวกเขามีในซาตานก็คมชัดและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นเล็กน้อย หากไม่มีตัวอย่างและเหตุการณ์จริงเหล่านี้ให้ผู้คนได้มาสัมผัสและมองเห็น ความจริงที่ผู้คนเข้าใจก็จะพร่ามัว กลวงเปล่า และไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง แต่เมื่อผู้คนมาสัมผัสกับศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วเหล่านี้จริงๆ พวกเขาจึงสามารถเห็นได้ว่าคนเหล่านี้ทำความชั่วและต้านทานพระเจ้าอย่างไร และพวกเขาก็สามารถระบุธรรมชาติและแก่นแท้ของซาตานได้ พวกเขามองเห็นว่าคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้คือซาตานที่ปรากฏในรูปมนุษย์—ว่าคนเหล่านี้คือซาตานที่มีชีวิต มารที่มีชีวิต การสัมผัสกับศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วสามารถสร้างผลกระทบเช่นนี้ได้” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า: พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่แปด)) “ในคริสตจักร ศัตรูของพระคริสต์ไม่เพียงเป็นศัตรูของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นศัตรูกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรด้วย หากเจ้าไม่สามารถระบุตัวศัตรูของพระคริสต์ได้ เจ้าก็มีแนวโน้มที่จะถูกหลอกลวงและให้ใจของเจ้าไป หมิ่นเหม่ที่จะเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ และถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและลงโทษ หากการนั้นเกิดขึ้น ความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้าย่อมล้มเหลวไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ผู้คนต้องมีสิ่งใดจึงจะได้รับความรอด? ก่อนอื่นพวกเขาต้องเข้าใจความจริงมากมายและสามารถระบุแก่นแท้ อุปนิสัย และเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ได้ นี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าจะไม่บูชาหรือติดตามผู้คนในขณะที่เชื่อในพระเจ้า และเป็นหนทางเดียวที่จะติดตามพระเจ้าไปจนสุดทาง มีเพียงผู้คนที่สามารถระบุตัวศัตรูของพระคริสต์ได้เท่านั้นที่สามารถเชื่อ ติดตาม และเป็นพยานให้แก่พระเจ้าได้อย่างแท้จริง การระบุตัวศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่เรื่องง่าย และพึงต้องมีความสามารถที่จะมองเห็นแก่นแท้ของพวกเขาได้อย่างชัดเจน และมองทะลุอุบาย เล่ห์เหลี่ยม และเป้าหมายที่อยู่เบื้องหลังทุกสิ่งที่พวกเขาทำ ในหนทางนั้นเจ้าจะไม่ถูกพวกเขาหลอกลวงหรือควบคุม และเจ้าก็จะสามารถตั้งมั่น ไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างปลอดภัยและมีสวัสดิภาพ และแน่วแน่บนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและเส้นทางแห่งการได้รับความรอด หากเจ้าไม่สามารถระบุตัวศัตรูของพระคริสต์ เช่นนั้นแล้วก็สามารถกล่าวได้ว่าเจ้าอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง และเจ้าหมิ่นเหม่ที่จะถูกศัตรูของพระคริสต์หลอกลวงและจับตัวไป และใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน…ดังนั้น หากเจ้าต้องการที่จะไปถึงที่ซึ่งเจ้าสามารถได้รับมอบความรอด การทดสอบแรกที่เจ้าต้องผ่านก็คือการทดสอบของการมีความสามารถที่จะมองซาตานให้ทะลุปรุโปร่ง และเจ้าต้องมีความกล้าหาญที่จะยืนหยัดและเปิดโปงและตัดขาดจากซาตานด้วย เช่นนั้นแล้ว ซาตานอยู่ที่ใดเล่า? ซาตานอยู่เคียงข้างเจ้าและอยู่รอบตัวเจ้า มันอาจจะใช้ชีวิตอยู่ภายในหัวใจของเจ้าด้วยซ้ำ หากเจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยของซาตาน ก็สามารถกล่าวได้ว่าเจ้าเป็นของซาตาน เจ้าไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสซาตานและพวกวิญญาณชั่วในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณได้ แต่ซาตานและพวกมารที่มีชีวิตและดำรงอยู่ในชีวิตจริงมีอยู่ทุกหนแห่ง บุคคลใดก็ตามที่เบื่อหน่ายความจริงคือคนชั่ว และผู้นำหรือคนทำงานคนใดก็ตามที่ไม่ยอมรับความจริงคือศัตรูของพระคริสต์หรือผู้นำเทียมเท็จ ผู้คนเช่นนั้นมิใช่พวกซาตานและพวกมารที่มีชีวิตหรอกหรือ? ผู้คนเหล่านี้อาจจะเป็นบรรดาผู้ที่เจ้านมัสการและนับถืออยู่ก็ได้ พวกเขาอาจจะเป็นผู้คนที่นำเจ้าหรือผู้คนที่เจ้าเลื่อมใส ไว้วางใจ พึ่งพา และมุ่งหวังอยู่ในหัวใจของเจ้าก็ได้ อย่างไรก็ตาม โดยแท้จริงแล้ว พวกเขาเป็นสิ่งกีดขวางที่ยืนอยู่บนหนทางของเจ้าและขัดขวางเจ้าไม่ให้ไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับความรอด พวกเขาคือผู้นำเทียมเท็จและเหล่าศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาสามารถเข้าควบคุมชีวิตของเจ้าและเส้นทางที่เจ้าเดิน และพวกเขาสามารถทำลายโอกาสของเจ้าที่จะได้รับความรอด หากเจ้าล้มเหลวในการระบุตัวพวกเขาและมองพวกเขาทะลุปรุโปร่ง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็สามารถถูกหลอกลวงหรือถูกพวกเขาจับตัวแล้วพาไปได้ทุกชั่วขณะ ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าจึงอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง หากเจ้าไม่สามารถพาตัวเองหลุดพ้นจากอันตรายนี้ได้ เจ้าก็คือเหยื่อที่ใช้บูชาซาตาน อย่างไรก็ดี ผู้คนที่ถูกหลอกลวง ถูกควบคุม และกลายเป็นผู้ที่ติดตามศัตรูของพระคริสต์จะไม่มีวันสามารถบรรลุความรอดได้เป็นอันขาด เนื่องจากพวกเขาไม่รักและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจึงสามารถถูกหลอกลวงและติดตามศัตรูของพระคริสต์ได้ นั่นคือผลลัพธ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สาม: พวกเขากีดกันและโจมตีบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง) ผู้นำสามัคคีธรรมว่า “พระเจ้าทรงอนุญาตให้ศัตรูของพระคริสต์ปรากฏในคริสตจักรเพื่อให้เราเรียนรู้บทเรียนและมีวิจารณญาณ และเพื่อเปิดเผยผู้คนทุกประเภทด้วย ถ้าเราแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ไม่ได้ เราก็จะนับถือและเชื่อฟังอย่างมืดบอดเมื่อศัตรูของพระคริสต์หลอกลวงและก่อกวนเรา และเป็นการง่ายที่เราจะถูกพวกเขาหลอกลวงและควบคุม เราทำความชั่วและต่อต้านพระเจ้าตามศัตรูของพระคริสต์ และถูกพระเจ้าขับออกได้ด้วยซ้ำ หรือเมื่อศัตรูของพระคริสต์กดข่มและลงโทษเรา เราจะไม่กล้าต่อต้านและปฏิเสธพวกเขา และเราจะเจ็บปวดในหัวใจ หรือยิ่งร้ายแรงกว่านั้น เราจะทรยศและไปจากพระเจ้า และละทิ้งโอกาสที่จะถูกพระเจ้าช่วยให้รอด” ผู้นำพูดต่อว่า “ผ่านประสบการณ์นี้ เราแสวงหาความจริงและเรียนรู้ที่จะแยกแยะผู้คนหลายรูปแบบ เรารู้ว่าศัตรูของพระคริสต์คืออะไร และพวกเขาประพฤติตัวยังไง เราเห็นธรรมชาติและแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ได้ชัดเจน เราสามารถแแยกแยะ รายงาน และปฏิเสธศัตรูของพระคริสต์ตามหลักธรรมของความจริงได้ และเราขีดเส้นระหว่างเรากับศัตรูของพระคริสต์ได้ ทางนี้เท่านั้นที่เรารอดพ้นการหลอกลวงและควบคุมของซาตานได้ ถ้าเราขาดวิจารณญาณและปฏิเสธศัตรูของพระคริสต์ไม่ได้ เราก็อาจโดนพวกเขาหลอกและเสียโอกาสถูกช่วยให้รอดและทำให้เพียบพร้อมได้” หลังจากผู้นำสามัคคีธรรม ฉันก็เข้าใจ พระเจ้าทรงอนุญาตให้ศัตรูของพระคริสต์ปรากฏในคริสตจักรเพื่อให้เราได้รับความจริงและวิจารณญาณ และเป็นอิสระจากการหลอกลวงและควบคุมของซาตาน โดยไม่ได้ติดต่อตามจริงกับศัตรูของพระคริสต์ เราจะไม่อาจแยกแยะผู้คน และเราอาจยังติดตามและถูกศัตรูของพระคริสต์หลอกลวง หลังจากประสบการณ์หลอกลวงและก่อกวนโดยศัตรูของพระคริสต์คนนี้ ฉันเข้าใจด้วยว่า เมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น เราต้องแสวงหาความจริงเพื่อเห็นตามหลักธรรมของพระวจนะ ถ้าเราเห็นใครละเมิดหลักธรรม เราต้องปฏิบัติความจริงและเปิดโปงมัน และเราต้องรายงานให้ผู้นำทราบโดยทันที อีกอย่าง ฉันเคยเป็นคนชอบเอาใจคน และกลัวจะล่วงเกินผู้คน และรักษาความสัมพันธ์กับพวกเขาเสมอ ฉันเห็นแล้วว่านี่คือหลักปรัชญาเยี่ยงซาตาน เมื่อเราเห็นบางสิ่งขัดกับความจริง เราต้องพูดออกมาตรงๆ และเราควรพิทักษ์งานของคริสตจักร ไม่ใช่ความสัมพันธ์กับผู้คน ซึ่งเป็นสิ่งที่ล่วงเกินพระเจ้าและทรงเกลียด

จากนั้น พี่น้องชายหญิงทุกคนก็มีวิจารณญาณเรื่องคลอเดีย และทุกคนเห็นชอบให้ขับเธอออกจากคริสตจักร หลังเธอออกจากกลุ่ม เธอโทรหาฉัน ร้องไห้พูดว่า “คนในคริสตจักรพูดว่าฉันเป็นศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาพูดแบบนี้ไม่ได้นะ! น้องเสว คุณต้องออกจากคริสตจักร ผู้นำคริสตจักรล้วนเทียมเท็จ พวกเขาเป็นคนโกหก และถ้าคุณอยู่ก็สนับสนุนคำโกหกของพวกเขา” ฉันบอกเธอว่า “ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า เราควรเชื่อฟังพระวจนะ สามัคคีธรรมของผู้นำเป็นไปตามพระวจนะ เราจึงต้องทำตามที่พวกเขาพูด คุณไม่อยากรับฟัง นั่นก็เป็นเรื่องของคุณ อย่าพยายามมาชักจูงฉัน คุณพลาดโอกาสถูกช่วยให้รอด ฉันไม่อยากพลาดของฉัน” จากนั้นฉันก็ไม่ได้พูดกับเธอเพิ่มเติม และเธอก็ไม่พยายามคุยกับฉันอีก หลังจากคลอเดียออกจากคริสตจักร ก็มีสองคนที่ไม่เคยแยกแยะเธอออก และไม่ว่าได้ฟังสามัคคีธรรมอะไร พวกเขาก็ยังติดตามเธออย่างหัวรั้น และสุดท้ายก็ออกจากคริสตจักรไปเช่นกัน จากประสบการณ์นี้ ฉันเห็นการทรงนำและความรอดที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงมีให้ฉัน พระวจนะของพระเจ้าปกป้องฉัน นำฉันให้รู้จักแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ และช่วยให้ฉันอยู่บนทางที่ถูกต้อง และไม่ถูกศัตรูของพระคริสต์หลอก ฉันรู้ว่าฉันยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก ฉันยังต้องทำตัวเองให้พร้อมด้วยความจริงมากขึ้น แต่ฉันจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพึ่งพาพระเจ้าเพื่อได้รับประสบการณ์งานของพระเจ้ามากขึ้น

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ฉันหยุดพูดโกหกอย่างไร

โดย มารีเนศ, ฝรั่งเศส ก่อนฉันจะยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันจะโกหกและประจบผู้คนโดยไม่ไตร่ตรอง เพราะกลัวว่าถ้าบอกความจริง...

หน้าที่ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยง

ฉันยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในปี 2019 แล้วไม่กี่เดือนต่อมาฉันก็เริ่มเผยเผ่ข่าวประเสริฐ...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger