การเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่อันแน่วแน่ของฉัน
ฉันเติบโตมาในชนบทพร้อมกับพี่น้องแปดคน แม่ฉันมีสุขภาพไม่ดีและไม่สามารถทำงานได้ ในขณะที่พ่อฉันก็ไม่ได้ดูแลบ้านหรือหาเงินเลย เราทำมาหาเลี้ยงชีพได้ด้วยการทำงานในฟาร์มเพียงอย่างเดียว ทุกคนรอบข้างต่างพากันหัวเราะเยาะพ่อแม่ของฉันที่ไม่มีทักษะอะไร แม้แต่ญาติๆ ก็ยังดูถูกเราและไม่มาสุงสิงด้วย นานวันเข้า ฉันก็รู้สึกว่าตั้งแต่ฉันอยู่ในครอบครัวนี้มา ฉันก็มีสถานะทางสังคมต่ำและเป็นคนชั้นต่ำ ถึงขนาดไม่กล้าคุยกับคนอื่นเวลาออกไปข้างนอก พอแต่งงาน สามีของฉันก็เป็นแค่คนงานธรรมดาๆ เพื่อนร่วมงานของเขาทุกคนดูมีอนาคตกว่าเขามาก เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาเห็นเรา พวกเขาก็จะวางท่า บางทีก็พูดจาประชดหรือด่าว่าเราเลยด้วยซ้ำ มันหนักหนาสำหรับฉันมากๆ และฉันก็รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่า จนกระทั่งฉันได้มาเชื่อในพระเจ้าและอ่านพระวจนะของพระองค์ นั่นคือตอนที่ฉันรับรู้ได้ถึงมุมองที่ผิดของตัวเองและรู้สึกโล่งใจ
ในปี 2021 ฉันเริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ต่อมา ฉันพบกับผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐบางคนที่เป็นทั้งเจ้านาย หรือผู้บริหาร พวกเขาทุกคนล้วนเป็นผู้มีสถานะและตำแหน่งในระดับหนึ่ง ฉันรู้สึกถูกจำกัด ฉันคิดว่าภาวะครอบครัวของฉันนั้นต้อยต่ำ คิดว่าฉันไม่มีความรู้หรือสถานะ และคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรที่จะติดต่อกับคนที่มีสถานะและตำแหน่งสูงเหล่านี้ แต่ฉันก็ตระหนักว่านี่เป็นหน้าที่ซึ่งฉันไม่อาจจะบ่ายเบี่ยงได้ ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่าฉันเต็มใจที่จะทำ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันกำลังเตรียมที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้กับเจ้านายผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อรู้ว่าฉันเป็นชนชั้นแรงงาน เธอก็ปฏิเสธอย่างไม่ไยดี เธอพูดว่า “อย่าปล่อยให้เธอเข้ามานี่นะ ฉันจะพบกับคนที่มีเกียรติมีสถานะเท่านั้น” เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ฉันก็รู้สึกเสียใจมาก คิดว่า “สถานะและตำแหน่งของฉันช่างต้อยต่ำนัก ฉันไม่คู่ควรที่จะพบผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐคนหนึ่งด้วยซ้ำ แล้วฉันจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้ยังไง? ถ้าฉันมีสถานะและตำแหน่ง และถ้าภูมิหลังครอบครัวของฉันดีกว่านี้สักหน่อย คนอื่นอาจจะไม่ดูถูกฉันแบบนี้” เมื่อคิดเรื่องนี้ ฉันก็ไม่เต็มใจที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่เธอ ฉันอยากจะกลับไปยังที่ที่ฉันเคยอยู่ มีคนจำนวนมากที่เป็นผู้ใช้แรงงาน และสถานะและตำแหน่งของพวกเขาก็เหมือนๆ กับฉัน พวกเขาคงจะไม่ดูถูกฉัน ฉันบอกกับผู้นำว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐที่นี่เป็นเรื่องยาก ผู้คนที่นี่มีเงินและอิทธิพล แต่ฉันเป็นแค่ผู้ใช้แรงงาน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับฉันที่จะสร้างสายสัมพันธ์กับพวกเขา แถมโรคระบาดก็รุนแรง ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ฉันจะได้รับความร่วมมือ ผู้นำก็เห็นด้วย พอกลับมาแล้ว ฉันก็ไม่ได้คิดทบทวนตัวเองเลย ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ได้รับการแก้ไข
ในฤดูร้อนปี 2022 คนที่ถูกเอาตัวออกไปคนหนึ่ง ได้มอบผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐจากนิกายทางศาสนาหนึ่งให้ฉัน พอฉันได้พบกับคนที่ถูกเอาตัวออกไป เธอคิดว่าฉันเป็นคนบ้านๆ และเสื้อผ้าของฉันก็เรียบๆ เธอจึงถามฉันว่า “คุณเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้ไหม? คุณเข้าใจพระคัมภีร์หรือเปล่า?” ตอนนั้นฉันยังไม่รู้ถึงความหมายที่เธอสื่อ ก็เลยตอบไปตามความเป็นจริงว่า “ฉันเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้แก่ผู้ที่เคร่งศาสนา และฉันก็เข้าใจพระคัมภีร์แค่นิดๆ หน่อยๆ” เธอพููดต่อ “ไม่ใช่ว่าฉันดูถูกคุณหรอกนะ แต่ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐต่างหากที่จะดูถูกคุณ เธอมีภาวะครอบครัวที่ดี สถานะและตำแหน่งของเธอก็สูง!” ฉันฟังแล้วก็เสียใจ คิดว่า “ฉันแต่งตัวเรียบร้อยและเหมาะสม เธอดูถูกฉันแค่เพราะฉันไม่ได้ใส่เสื้อผ้าแพงๆ หากคนนี้เป็นผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ เธอก็คงจะดูถูกฉันแน่ๆ สถานะและตำแหน่งของฉันไม่คู่ควร และเป็นการยากที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ!” ฉันคิดว่าถ้าฉันมีภูมิหลังที่ดี ถ้าฉันมีสถานะและตำแหน่งสูงกว่านี้สักหน่อย และถ้ามีเงินกับมีอิทธิพล การเผยแผ่ข่าวประเสริฐก็คงจะไม่ยากขนาดนี้แน่ ฉันรู้สึกหดหู่ใจมาก ฉันก็เลยอธิษฐานและแสวงหาพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำเพื่อให้ฉันได้เรียนรู้บทเรียน ขณะที่แสวงหาอยู่นั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งว่า “ขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ คนเราย่อมจะเผชิญการเย้ยหยัน ล้อเลียน เหยียดหยาม และว่าร้าย หรือถึงกับพบว่าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย ตัวอย่างเช่น พี่น้องชายหญิงบางคนถูกพวกคนชั่วประณามหรือลักตัวไป และคนอื่นๆ ก็ถูกแจ้งให้ตำรวจจับและส่งตัวให้ทางรัฐบาล บางคนอาจถูกจับและติดคุก ขณะที่คนอื่นอาจถึงกับถูกทุบตีจนถึงแก่ความตาย ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าในตอนนี้ที่พวกเรารู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้ว พวกเราควรเปลี่ยนท่าทีที่มีต่องานเผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือไม่? (ไม่) การประกาศข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของทุกคน ในเวลาใดก็ตาม ไม่ว่าพวกเราจะได้ยินสิ่งใด หรือพวกเราจะเห็นสิ่งใด หรือพวกเราจะเผชิญกับการปฏิบัติประเภทใดก็ตาม พวกเราจะต้องดำรงความรับผิดชอบในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเอาไว้เสมอ ไม่มีรูปการณ์แวดล้อมใดที่พวกเราจะสามารถละทิ้งหน้าที่นี้เพราะความคิดแง่ลบหรือความอ่อนแอได้ หน้าที่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่เต็มไปด้วยอันตราย เมื่อพวกเจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเจ้าจะไม่พบกับทูตสวรรค์ หรือมนุษย์ต่างดาว หรือหุ่นยนต์ พวกเจ้าจะเผชิญหน้ากับมนุษยชาติที่ชั่วร้ายและเสื่อมทราม พวกปีศาจที่มีชีวิต พวกสัตว์ร้ายเท่านั้น—ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นมนุษย์ที่อยู่รอดในพื้นที่อันชั่วร้ายนี้ โลกอันชั่วนี้ ผู้ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกและต้านทานพระเจ้า ดังนั้น ในกระบวนการแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐย่อมมีอันตรายอยู่ทุกรูปแบบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการนินทาเล็กๆ น้อยๆ การเหยียดหยามทั้งหลาย และความเข้าใจผิดทั้งหลาย ซึ่งเกิดขึ้นทั่วไป หากเจ้ามองว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบ เป็นภาระผูกพัน และเป็นหน้าที่ของเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถมองสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและกระทั่งจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้องด้วย เจ้าจะไม่ละทิ้งความรับผิดชอบของเจ้าและภาระผูกพันของเจ้า อีกทั้งเจ้าจะไม่หันเหไปจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของเจ้าที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าเพราะสิ่งเหล่านี้ และเจ้าจะไม่ละเลยความรับผิดชอบนี้ เพราะนี่คือหน้าที่ของเจ้า พวกเราควรทำความเข้าใจหน้าที่นี้อย่างไร? นี่คือคุณค่าและภาระผูกพันเบื้องต้นในชีวิตมนุษย์ การเผยแผ่ข่าวดีเกี่ยวกับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าและข่าวประเสริฐแห่งพระราชกิจของพระเจ้าคือคุณค่าของชีวิตมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ) พระวจนะของพระเจ้าบอกเราว่า ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เป็นเรื่องปกติที่จะถูกล้อเลียน เหน็บแนม เยาะเย้ยต่อต้าน ดูหมิ่น และทำให้อับอายขายหน้า เพราะคนที่เราเผชิญหน้าขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ล้วนแต่เป็นมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม แต่ไม่ว่าเราจะเผชิญสภาวการณ์หรือความลำบากยากเย็นอะไรก็ตาม เราต้องยึดมั่นในความรับผิดชอบที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐนี้ ย้อนกลับไปตอนนั้น ตอนที่ฉันรู้ว่าผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐไม่ต้องการพบฉัน ฉันรู้สึกว่าเป็นเพราะสถานะและตำแหน่งของฉันที่ไม่คู่ควรกับเธอ เธอคงจะดูถูกและทำให้ฉันรู้สึกอับอาย คงจะดีกว่า หากฉันไม่ไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้กับเธอ จะได้ไม่ต้องอับอายขายหน้า วันนี้ก็เหมือนกัน ฉันใส่เสื้อผ้าเรียบๆ และไม่มีสถานะหรือตำแหน่งใดๆ คนอื่นก็ดูถูกฉัน และฉันรู้สึกว่าถ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้กับผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐคนนี้ เธอก็คงจะดูถูกและทำให้ฉันอับอาย ฉันจึงเริ่มจะถอนตัว กลัวว่าหน้าตาและความภาคภูมิใจของตัวเองจะได้รับผลกระทบในทางลบ ฉันโทษว่าเป็นเพราะภูมิหลังที่ต้อยต่ำของฉัน ฉันไม่ตระหนักว่านี่เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ตระหนักว่า ความอยากได้อยากมีชื่อเสียงและสถานะของฉันต่างหากที่เป็นสาเหตุของปัญหา ฉันนึกถึงพี่น้องหญิงชายที่ถูกระบอบซาตานจับกุมไปทรมานเพราะการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเขาต้องสู้ทนกับความยากลำบากมากมาย และบ้างก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่พวกเขาก็สามารถพึ่งพาพระเจ้าและตั้งมั่นในคำพยานของตนได้ พอถูกปล่อยตัวออกจากคุกมาแล้ว พวกเขาก็ยังคงเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้กับพระเจ้า เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว ความยากลำบากของฉันเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ฉันเสียกำลังใจที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ หลังจากเสียหน้าเพียงเล็กน้อย ฉันพบว่าฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างจริงใจ ฉันไม่มีคำพยานอะไรเลย พระเจ้าทรงแสดงพระวจนะเป็นล้านๆ ระหว่างพระราชกิจของพระองค์ในยุคสุดท้าย เพื่อช่วยผู้ที่เชื่อในพระองค์อย่างจริงใจและแสวงหาการทรงปรากฏพระองค์ให้รอด ในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ฉันควรจะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า เผยแผ่ข่าวประเสริฐ และเป็นพยานให้แก่พระองค์ ให้ผู้คนได้ยินพระสุรเสียงและได้เห็นการทรงปรากฎของพระองค์ นี่เป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด และเป็นภารกิจและความรับผิดชอบของฉัน แม้ว่าเราจะต้องทนทุกข์กับความยากลำบากและต้องอับอายบ้างในช่วงเวลานี้ ทั้งหมดนี้ก็มีคุณค่าและมีความหมาย ตอนนี้ฉันเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้ว ฉันไม่ต้องการหลบหนีหรือถอนตัวอีกต่อไป ไม่ว่าผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐจะดูถูกฉันหรือทำให้ฉันอับอายแค่ไหน ฉันก็ควรจะละทิ้งเรื่องหน้าตาของตัวเอง และลุล่วงหน้าที่ของฉัน ขณะเดียวกันฉันก็ตระหนักได้ว่า หลังจากที่มนุษยชาติได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้ว พวกเขาก็จะมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของบุคคลเท่านั้น ว่าพวกเขามีสถานะและตำแหน่งหรือไม่ หากพวกเขามี ผู้คนจะยกย่องและเคารพพวกเขา แต่ถ้าพวกเขาขาดสถานะและตำแหน่ง เงินทองและอิทธิพล พวกเขาก็จะถูกดูหมิ่น ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่ซานตานทำให้มนุษยชาติเสื่อมทราม คนที่ถูกเอาออกไปและผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐดูถูกฉันเพราะสถานะและตำแหน่ง นี่เป็นเรื่องปกติ พอตระหนักได้แบบนี้ สภาวะของฉันก็พลิกผัน และต่อมาฉันก็ติดต่อกลับไปหาคนที่ถูกเอาออกไปอีกครั้ง และเธอก็ยินดีให้ความร่วมมือ ฉันได้ติดต่อกับเธอ และค้นพบว่าเธอมีความเข้าใจที่ไร้เหตุผลมาก โดยเฉพาะการยึดติดกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเอง เราต้องล้มเลิก แต่ฉันก็ได้รับความรู้บางอย่างเกี่ยวกับตัวเองผ่านสภาวการณ์เหล่านี้ นี่คือความรักของพระเจ้า
หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง และได้รับความรู้บางอย่างเกี่ยวกับสภาวะของตัวเอง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ไม่ว่าอัตลักษณ์หรือสถานะของเจ้าจะเป็นอย่างไร ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงลิขิตครอบครัวหรือภูมิหลังทางครอบครัวแบบใดไว้ให้เจ้า อัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวนั้นก็ไม่ได้น่าละอายและไม่ได้น่าให้เกียรติ หลักธรรมที่ว่าเจ้าควรปฏิบัติต่ออัตลักษณ์ของตนอย่างไรนั้นไม่ควรเป็นไปตามหลักการเรื่องเกียรติและความน่าละอาย ไม่ว่าพระเจ้าจะให้เจ้าเกิดมาในครอบครัวเช่นใด ไม่ว่าพระองค์จะทรงอนุญาตให้เจ้ามาจากครอบครัวแบบใด เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าก็มีอัตลักษณ์เพียงหนึ่งเดียว นั่นคืออัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ดังนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าย่อมเท่าเทียมกับทุกคนในสังคมที่มีอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมต่างออกไป พวกเจ้าทุกคนคือสมาชิกของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม ล้วนเป็นผู้คนที่พระเจ้าต้องประสงค์จะช่วยให้รอดทั้งสิ้น และแน่นอนว่าเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าทุกคนมีโอกาสเหมือนกันที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ล้วนมีโอกาสเหมือนกันที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับความรอด ในระดับนี้ เมื่อพิจารณาตามอัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่เจ้าได้รับจากพระเจ้า เจ้าก็ไม่ควรคิดว่าอัตลักษณ์ของตนเองสูงส่งและไม่ควรดูแคลนเช่นกัน แต่เจ้าควรปฏิบัติต่ออัตลักษณ์ของเจ้าที่ได้มาจากพระเจ้า—ซึ่งก็คืออัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—ให้ถูกต้อง และสามารถเข้ากับทุกคนได้อย่างกลมเกลียวบนความเสมอภาค ตามหลักธรรมที่พระเจ้าทรงสอนผู้คนและเตือนสติพวกเขา ไม่ว่าสถานะทางสังคมหรืออัตลักษณ์ทางสังคมของผู้อื่นจะเป็นเช่นใด และไม่ว่าสถานะทางสังคมหรืออัตลักษณ์ทางสังคมของเจ้าเป็นเช่นใด ใครก็ตามที่เข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าและมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าย่อมมีอัตลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวคืออัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เพราะฉะนั้น คนที่มีสถานะและอัตลักษณ์ทางสังคมต่ำต้อยจึงไม่ควรรู้สึกว่าตนต่ำต้อย ไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถพิเศษหรือไม่ ไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้าจะสูงเพียงใด และไม่ว่าเจ้าจะมีฝีมือหรือไม่ เจ้าก็ควรปล่อยมือจากสถานะทางสังคมของเจ้า เจ้ายังควรปล่อยมือจากแนวคิดหรือทัศนะที่จัดลำดับขั้นและแบ่งระดับผู้คนหรือจำแนกพวกเขาว่าโดดเด่นหรือไร้ความสำคัญตามภูมิหลังและประวัติของครอบครัวอีกด้วย เจ้าไม่ควรรู้สึกต่ำต้อยเพราะอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมของตนต่ำต้อย เจ้าควรดีใจว่าแม้ภูมิหลังทางครอบครัวของเจ้าจะไม่มีอำนาจและไม่ได้น่าทึ่งนัก และสถานะที่ตกทอดมาถึงเจ้าก็ต่ำต้อย แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเจ้า พระเจ้าทรงยกชูผู้คนที่ไร้ความสำคัญขึ้นมาจากกองขยะและผงคลี ประทานอัตลักษณ์ที่เหมือนผู้อื่นให้แก่เจ้า นั่นคืออัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ในพระนิเวศของพระเจ้าและเบื้องพระพักตร์พระเจ้า อัตลักษณ์และสถานะของเจ้าย่อมเสมอกับประชากรทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เมื่อเจ้าตระหนักดังนี้แล้ว เจ้าก็ควรปล่อยมือจากปมด้อยของเจ้าและเลิกยึดถือเอาไว้” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (13)) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมาก ที่ผ่านมา ฉันคิดว่าผู้คนที่มีสถานะทางสังคมและภาวะทางครอบครัวที่ดี มีตำแหน่งอันสูงส่ง เป็นคนชั้นสูง และบรรดาผู้ที่ไม่มีสถานะและตำแหน่งเป็นคนชั้นต่ำ ทรรศนะนี้ไม่สอดคล้องกับความจริง ตั้งแต่ฉันยังเด็ก ครอบครัวฉันมีภาวะยากจน ฉันไม่มีการศึกษาที่ดีหรือได้เรียนรู้ทักษะอะไรเลย และถูกคนอื่นดูถูกตลอดมาตั้งแต่เด็กจนโต พอได้แต่งงาน สามีของฉันก็ยากจนและไม่มีสถานะทางสังคมอะไรเลย ฉันรู้สึกว่าสถานะและตำแหน่งของฉันนั้นต่ำเหลือเกิน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้สึกว่าตนเองนั้นด้อยกว่าคนอื่น ฉันอิจฉาและเทอดทูนผู้มีสถานะและตำแหน่งเป็นพิเศษ หลังจากที่ฉันเชื่อในพระเจ้า เพราะฉันเป็นชนชั้นแรงงาน ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐจึงไม่ยอมให้ฉันเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่เธอ ฉันจึงรู้สึกถูกจำกัดมากยิ่งขึ้นไปอีก ฉันเชื่อว่าภูมิหลังของฉันต้อยต่ำ สถานะก็ต่ำ มีแต่จะถูกคนอื่นทำให้อับอายเท่านั้น และเป็นการยากที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ฉันจึงปรารถนาที่จะหลบหนีและถอนตัวออกไป จริงๆ แล้ว ในสายพระเนตรของพระเจ้า ทุกคนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเขามีสถานะและตำแหน่งเดียวกัน และไม่มีความแตกต่างระหว่างชั้นสูงและชั้นต่ำ มนุษย์แบ่งตัวเองออกเป็นชนชั้นต่างๆ ตามภูมิหลังครอบครัวและสถานะทางสังคม แต่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างยุติธรรม ผู้คนต้องยอมรับความจริงเท่านั้นเพื่อที่พระเจ้าจะได้ช่วยพวกเขาให้รอด ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ฉันจึงควรลุล่วงทำหน้าที่ของตนโดยไม่ให้สถานะและตำแหน่งมาเป็นข้อจำกัด
หลังจากนั้น พี่น้องชายท่านหนึ่งแสดงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ฉันดู และฉันก็ค่อนข้างประทับใจกับบทตอนนั้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “จงคิดดู—พวกเจ้าควรจัดการกับค่า สถานะทางสังคม และภูมิหลังทางครอบครัวของมนุษย์อย่างไร? ท่าทีที่ถูกต้องที่พวกเจ้าควรมีคืออะไร? อันดับแรกเลยก็คือ พวกเจ้าควรมองจากพระวจนะของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงจัดการเรื่องนี้อย่างไร มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นพวกเจ้าจึงจะทำความเข้าใจความจริงและไม่ทำสิ่งใดที่ต่อต้านความจริง แล้วพระเจ้าทรงคำนึงถึงภูมิหลังทางครอบครัวของใครบางคน สถานะทางสังคม และการศึกษาที่พวกเขาได้รับ รวมทั้งความมั่งคั่งที่พวกเขามีในสังคมอย่างไร? หากเจ้าไม่มองสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าและไม่สามารถยืนอยู่ข้างเดียวกันกับพระเจ้ารวมทั้งยอมรับสิ่งทั้งหลายจากพระเจ้า เช่นนั้นหนทางที่เจ้ามองสิ่งทั้งหลายย่อมจะห่างไกลสุดกู่จากสิ่งที่พระเจ้าตั้งพระทัยอย่างแน่นอน หากไม่มีความแตกต่างมากนัก โดยมีความคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อย เช่นนั้นนั่นย่อมไม่เป็นปัญหา หากหนทางที่เจ้ามองสิ่งทั้งหลายต่อต้านสิ่งที่พระเจ้าตั้งพระทัยอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นนั่นย่อมขัดแย้งกับความจริง สำหรับพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พระองค์ประทานให้กับผู้คนและพระองค์ประทานมากเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับพระองค์ และสถานะที่ผู้คนมีในสังคมก็ถูกพระเจ้าลิขิตเอาไว้เช่นกันและไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนสร้างขึ้นมาได้เองอย่างแน่นอน หากพระเจ้าทรงเป็นเหตุให้ใครบางคนทนทุกข์กับความเจ็บปวดและความยากจน นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่มีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดกระนั้นหรือ? หากพวกเขามีค่าและตำแหน่งทางสังคมต่ำ พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอดกระนั้นหรือ? หากพวกเขามีสถานะต่ำในสังคม เช่นนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้าพวกเขามีสถานะต่ำด้วยหรือไม่? ไม่จำเป็น นี่ขึ้นอยู่กับอะไร? ขึ้นอยู่กับเส้นทางที่คนคนนี้เดิน สิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา และท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและพระเจ้า หากสถานะทางสังคมของใครบางคนต่ำมาก ครอบครัวของพวกเขายากจนมาก และพวกเขามีระดับการศึกษาต่ำ แต่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าในลักษณะที่อยู่กับความเป็นจริง รวมทั้งรักความจริงและสิ่งที่เป็นบวก เช่นนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้าพวกเขามีค่าสูงหรือต่ำ พวกเขามีคุณค่าหรือไร้ค่า? พวกเขามีคุณค่า เมื่อมองเรื่องนี้จากมุมมองนี้ คุณค่าของใครบางคน—ไม่ว่าสูงหรือต่ำ สูงศักดิ์หรือต่ำศักดิ์—ขึ้นอยู่กับสิ่งใด? ขึ้นอยู่กับว่าพระเจ้าทรงมองเจ้าอย่างไร หากพระเจ้าทรงมองเจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นเจ้าย่อมมีค่าและมีคุณค่า—เจ้าเป็นภาชนะที่มีคุณค่า หากพระเจ้าทรงมองว่าเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่สละตัวเองเพื่อพระองค์อย่างจริงใจ เช่นนั้นเจ้าย่อมไร้ค่าและไม่มีคุณค่า—เจ้าเป็นภาชนะที่ต่ำต้อย ไม่สำคัญว่าเจ้ามีการศึกษาสูงเพียงใดหรือสถานะทางสังคมของเจ้าสูงเพียงใด หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาหรือไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นคุณค่าของเจ้าก็ไม่อาจสูงส่งได้เลย ต่อให้มีคนมากมายสนับสนุนเจ้า สรรเสริญเจ้า และชื่นชมบูชาเจ้าก็ตาม เจ้าก็ยังคงเป็นคนต่ำต้อยที่น่าเหยียดหยามอยู่ดี แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงมองผู้คนในหนทางนี้? เหตุใดคนที่ดูเหมือน ‘สูงศักดิ์’ ที่มีสถานะในสังคมสูง มีคนมากมายเหลือเกินสรรเสริญและเลื่อมใสพวกเขา มีแม้กระทั่งเกียรติยศที่สูงส่ง จึงถูกพระเจ้ามองว่าต่ำต้อย? เหตุใดหนทางที่พระเจ้าทรงมองผู้คนจึงตรงข้ามกับทรรศนะที่ผู้คนมีต่อผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง? พระเจ้ากำลังตั้งพระองค์ต่อต้านผู้คนด้วยความตั้งพระทัยหรือไม่? ไม่เลย เป็นเพราะพระเจ้าทรงเป็นความจริง พระเจ้าทรงเป็นความชอบธรรม ในขณะที่มนุษย์เสื่อมทรามและไม่มีความจริงหรือความชอบธรรม และพระเจ้าทรงประเมินวัดมนุษย์ด้วยมาตรฐานของพระองค์เอง และมาตรฐานของพระองค์ในการประเมินวัดมนุษย์ก็คือความจริง” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เจ็ด: พวกเขาเลว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (ภาคที่หนึ่ง)) จากพระวจนะของพระเจ้าฉันเข้าใจว่า สถานที่และวงศ์ตระกูลที่ผู้คนเกิดนั้น พระเจ้าล้วนเป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะเลือกได้ ดังนั้น ผู้คนควรนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ พระเจ้าไม่ได้ทรงมองที่สถานะทางสังคมหรือการศึกษาของผู้คน ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำ พระองค์ทรงดูว่า ผู้คนสามารถนำพระวจนะของพระองค์ไปปฏิบัติและทำหน้าที่ของตนตามหลักธรรมความจริงได้หรือไม่ หากใครมีฐานะทางสังคมสูงและมีภูมิหลังทางครอบครัวดี แต่พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาหรือยอมรับความจริง พระเจ้าก็จะไม่ช่วยพวกเขาให้รอด หากผู้ใดไม่มีความรู้หรือสถานะ แต่พวกเขารักในสิ่งที่ดี สามารถยอมรับความจริง และปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะทรงเห็นคุณค่าพวกเขา พระเจ้าทรงมองที่หัวใจของผู้คนและท่าทีของพวกเขาต่อความจริง ไม่ว่าสถานะทางสังคมของใครคนใดจะสูงแค่ไหน หากพวกเขาสามารถมาเฉพาะพระพักต์พระเจ้า อ่านพระวจนะของพระองค์ แสวงหาที่จะรู้จักพระองค์ และลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเขาก็สูงส่งในสายพระเนตรของพระเจ้า คนทั้งหลายที่ไม่มาเฉพาะพระพักต์พระเจ้าก็ต่ำต้อยและไร้ค่า ในเมื่อฉันสามารถได้รับการชูใจจากพระเจ้าและรับพระคุณของพระองค์ ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ฉันก็ควรให้ความสำคัญกับโอกาสที่พระเจ้าทรงมอบให้เพื่อลุล่วงหน้าที่ของตน
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งว่า “ไม่ว่าครอบครัวของเจ้าจะนำความเกรียงไกรหรือความอับอายมาให้เจ้า ไม่ว่าอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวจะสูงส่งหรือต่ำต้อย สำหรับเจ้าแล้ว ครอบครัวนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่านั้น ไม่ได้เป็นเครื่องกำหนดว่าเจ้าสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่ เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่ หรือเจ้าสามารถออกเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้น ผู้คนก็ไม่ควรมองว่าอัตลักษณ์และสถานะเป็นเรื่องสำคัญเท่าใดนัก เพราะไม่ได้เป็นตัวกำหนดชะตากรรมของคนคนหนึ่ง อนาคตของคนคนหนึ่ง และยิ่งไม่ได้กำหนดเส้นทางที่คนคนหนึ่งเลือกเดิน อัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวของเจ้าทำได้เพียงกำหนดความรู้สึกและการรับรู้ที่เจ้ามีเวลาอยู่กับผู้อื่นเท่านั้น ไม่ว่าอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวจะเป็นสิ่งที่เจ้าดูหมิ่นหรือมีค่าให้คุยอวด แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถกำหนดได้ว่าเจ้าจะสามารถออกเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องของการไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่สำคัญเลยว่าเจ้าสืบทอดอัตลักษณ์หรือสถานะทางสังคมเช่นใดมาจากครอบครัวของเจ้า ต่อให้อัตลักษณ์ที่ตกทอดมาถึงเจ้าทำให้เจ้ารู้สึกเหนือกว่าและมีเกียรติ สิ่งนี้ก็ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง หรือถ้าทำให้เจ้ารู้สึกละอาย ด้อยกว่า และไม่ค่อยยอมรับนับถือตนเอง นี่ก็จะไม่ส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่? (ใช่) นี่จะไม่ส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าแม้แต่น้อย และจะไม่ส่งผลต่ออัตลักษณ์ของเจ้าที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ในทางตรงกันข้าม ไม่ว่าเจ้าจะสืบทอดอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมเช่นใดมาจากครอบครัวของเจ้า ตามมุมมองของพระเจ้าแล้ว ทุกคนมีโอกาสเหมือนกันที่จะได้รับการช่วยให้รอด ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตนและไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยสถานะและอัตลักษณ์ที่เหมือนกัน อัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัว ไม่ว่าจะมีเกียรติหรือน่าละอาย ก็ไม่ได้กำหนดความเป็นมนุษย์ของเจ้า และไม่ได้กำหนดเส้นทางที่เจ้าเดิน อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าให้ความสำคัญกับมันมาก และมองว่าอัตลักษณ์คือส่วนสำคัญในชีวิตและตัวตนของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะยึดอัตลักษณ์นั้นไว้มั่น ไม่มีวันปล่อยมือ และภาคภูมิใจในอัตลักษณ์นั้นๆ ถ้าอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวนั้นสูงส่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมองว่านั่นเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง แต่ถ้าอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวนั้นต่ำต้อย เจ้าก็จะมองว่าเป็นเรื่องน่าละอาย ไม่ว่าอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวจะสูงส่ง เกรียงไกร หรือน่าละอาย นั่นก็เป็นเพียงความเข้าใจส่วนตัวของเจ้า และผลจากการมองเรื่องนี้ตามมุมมองของความเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทรามของเจ้าเท่านั้น นี่เป็นเพียงความรู้สึก การรับรู้ และความเข้าใจของเจ้าเองเท่านั้น ซึ่งไม่ตรงตามความจริงและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง นี่ไม่ใช่ต้นทุนให้เจ้าใช้ไล่ตามเสาะหาความจริง และแน่นอนว่าไม่ใช่อุปสรรคขัดขวางการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า ถ้าสถานะทางสังคมของเจ้าสูงส่งและได้รับการยกชู นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสถานะนั้นคือต้นทุนสำหรับความรอดของเจ้า ถ้าสถานะทางสังคมของเจ้าต่ำต้อยและไร้ความสำคัญ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสถานะคืออุปสรรคขัดขวางการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า และยิ่งไม่ใช่อุปสรรคขัดขวางการไล่ตามเสาะหาความรอดของเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (12)) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันตระหนักได้ว่า สถานะทางครอบครัวและสังคมไม่เกี่ยวอะไรกับการที่คนจะเชื่อในพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และได้รับความรอด นอกจากนี้ การเผยแผ่ข่าวประเสริฐก็ไม่เกี่ยวข้องกับสถานะและตำแหน่งของคน แต่เกี่ยวข้องกับท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตน เช่นเดียวกัน ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถสามัคคีธรรมเรื่องการเป็นพยานให้กับพระราชกิจของพระเจ้าอย่างชัดเจนในขณะที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐได้หรือไม่ และผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐจะเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่ เพราะมีแต่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นแกะของพระเจ้า และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถได้ยินและเข้าใจพระสุรเสียงของพระองค์ ฉันนึกถึงพี่น้องชายที่อยู่ในหนังข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นบาทหลวงคาทอลิกที่มีสถานะและตำแหน่งค่อนข้างสูง เมื่อพี่น้องหญิงชายทั้งหลายเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้แก่เขา เขาไม่ได้มองที่สถานะและตำแหน่งของพวกเขาว่าเป็นยังไง แต่เมื่อได้ยินพระวจนะของพระเจ้าเขาก็เต็มใจที่จะแสวงหาและสืบค้น เขาตกลงใจว่านั่นคือพระสุรเสียงของพระเจ้าและยอมรับ ฉันพบว่าสิ่งที่ผู้เชื่ออย่างจริงใจต้องการได้ยินคือพระวจนะของพระเจ้าและความจริง เหตุผลที่ฉันมักจะรู้สึกว่าถูกจำกัดด้วยสถานะและตำแหน่งที่ต่ำต้อยของตัวเอง ก็เป็นเพราะว่าฉันไม่มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจ และฉันไม่ได้มองสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระองค์ เมื่อมาถึงจุดนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และการเผยแผ่ข่าวประเสริฐก็ถือเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของฉัน ไม่ว่าสถานะและตำแหน่งของผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐจะสูงหรือต่ำ พวกเขาล้วนเป็นคนที่ถูกทำให้เสื่อมทรามและต้องการความรอดจากพระเจ้า ความรับผิดชอบของฉันคือเป็นพยานในสิ่งที่พระเจ้าตรัสและทรงทำ ส่วนพวกเขาจะยอมรับหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเป็นแกะของพระเจ้าหรือไม่ หากพวกเขาเป็นแกะของพระองค์ พวกเขาก็จะได้ยินและเข้าใจพระสุรเสียงของพระเจ้าได้โดยธรรมชาติ
ในเดือนสิงหาคมปี 2023 พี่น้องหญิงคนหนึ่งขอให้ฉันเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ พอฉันรู้ว่าครอบครัวของผู้รับข่าวประเสริฐคนนี้มั่งคั่งและมีอิทธิพล และสมาชิกครอบครัวคนหนึ่งของเธอเป็นข้าราชการทหาร ความคิดแรกของฉันคือสถานะและตำแหน่งของตัวเองต่ำต้อย เราต่างชั้นกันมากเกินไป และฉันก็ไม่สามารถร่วมมือด้วยได้ ถ้าเธอดูถูกฉันและไม่เต็มใจฟังฉันเป็นพยานล่ะ จะเป็นยังไง? พอนึกถึงความรู้สึกเวลาที่โดนเยาะเย้ยและดูถูกแล้ว ฉันก็ไม่อยากติดต่อไปหาคนเหล่านั้นที่มีสถานะสูงเลยจริงๆ แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “แล้วพระเจ้าทรงคำนึงถึงภูมิหลังทางครอบครัวของใครบางคน สถานะทางสังคม และการศึกษาที่พวกเขาได้รับ รวมทั้งความมั่งคั่งที่พวกเขามีในสังคมอย่างไร? หากเจ้าไม่มองสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าและไม่สามารถยืนอยู่ข้างเดียวกันกับพระเจ้ารวมทั้งยอมรับสิ่งทั้งหลายจากพระเจ้า เช่นนั้นหนทางที่เจ้ามองสิ่งทั้งหลายย่อมจะห่างไกลสุดกู่จากสิ่งที่พระเจ้าตั้งพระทัยอย่างแน่นอน” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เจ็ด: พวกเขาเลว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (ภาคที่หนึ่ง)) ฉันตระหนักว่าฉันยังคงรู้สึกถูกจำกัดด้วยสถานะและตำแหน่ง และฉันควรมองเรื่องต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าสถานะและตำแหน่งของผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐจะสูงเพียงใด ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเราล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหมือนกันหมด และเราทุกคนต่างก็ต้องการความรอดจากพระองค์ ฉันแค่ต้องพึ่งพาพระเจ้าและให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ส่วนผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐจะยอมรับข่าวประเสริฐหรือไม่นั้น นั่นก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พอคิดได้แบบนี้ ฉันก็ไม่รู้สึกถูกจำกัดอีกต่อไป ต่อมา พอฉันได้ไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้แก่ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐท่านนี้แล้ว ฉันรู้สึกสงบสุขมาก แค่คิดว่าจะเอาชนะใจเธอได้ยังไง ไม่นึกว่าเธอจะต้อนรับขับสู้เราอย่างดีมาก ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้เธอฟัง สามัคคีธรรมเรื่องการเป็นพยานในพระราชกิจของพระองค์ในยุคสุดท้าย เธอฟังแล้วก็สามารถเข้าใจได้ ตอนที่ฉันร่วมสามัคคีธรรมเป็นครั้งที่สี่ เธอพูดว่า “พี่สาว ฉันชอบฟังการประกาศของคุณ คุณมาที่บ้านฉันได้ทุกวันเลย ถ้าจะพาคนมาชุมนุมก็มาที่ชั้นห้าบ้านฉันนะ เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปดูรอบๆ” พอได้เห็นว่าเธอไม่เพียงแต่ไม่ทำตัวหมางเมินใส่ฉันเท่านั้น แต่ยังเต็มใจที่จะสืบค้นพระราชกิจของพระเจ้าอีกด้วย ฉันก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก ฉันได้เห็นว่าผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจนั้น ได้ยินพระวจนะของพระองค์และความจริง และที่เราต้องทำก็เพียงแค่สามัคคีธรรมและเป็นพยานให้พระราชกิจของพระเจ้าอย่างชัดเจนเท่านั้น เพื่อให้สัมฤทธิ์ผล หากพวกเขาเป็นแกะของพระเจ้า พวกเขาก็จะได้ยินและเข้าใจพระสุรเสียงของพระองค์ และสามารถมาเฉพาะพระพักต์ของพระองค์ได้ ไม่สำคัญว่าสถานะและตำแหน่งทางสังคมของพวกเขาจะเป็นยังไง ต่อมา เวลาที่ฉันได้พบกับผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐที่มีสถานะและตำแหน่งสูงขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ตามพระวจนะและหลักธรรมของพระเจ้า ฉันก็ประเมินว่าพวกเขาเป็นคนที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ได้หรือไม่ หากพวกเขาเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ ฉันก็ร่วมมือด้วยอย่างสุดจิตสุดใจ สามัคคีธรรมและเป็นพยานเรื่องพระราชกิจของพระเจ้า ฉันไม่รู้สึกถูกจำกัดด้วยสถานะและตำแหน่งอีกต่อไป และฉันก็รู้สึกโล่งใจ ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ