ฉันจะไม่คร่ำครวญเรื่องชะตากรรมของตัวเองอีกต่อไป

วันที่ 07 เดือน 10 ปี 2024

ฉันเกิดมาในครอบครัวชาวนาธรรมดาๆ และพ่อแม่ของฉันก็พึ่งพาการปลูกพืชผักเพื่อยังชีพ มีครัวเรือนที่มีฐานะดีอยู่ในหมู่บ้านของเรา พวกเขามีบ้านหลังใหญ่และสวยงาม เด็กๆ ก็มักจะใส่เสื้อผ้าใหม่ๆ และกินอาหารดีๆ ฉันรู้สึกอิจฉาพวกเขามาก คิดว่าฉันต้องเรียนให้เก่ง เข้ามหาวิทยาลัยที่ดีในวันข้างหน้า และหางานดีๆ ทำ ด้วยหนทางนั้น ฉันจะโดดเด่นจากฝูงชน และคนอื่นๆ ก็จะยกย่องและอิจฉาฉัน แต่ทว่า ตอนเรียนมัธยมปลายปีแรก ฉันก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) เป็นโรคภูมิต้านทานตนเองรูมาติกที่รักษาไม่หาย ต้องกินยาไปตลอดชีวิต ในตอนนั้นฉันรู้สึกหดหู่ใจมาก และไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงได้ป่วยเป็นโรคนี้ ฉันทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการเรียน ผลการเรียนของฉันมักจะอยู่ในกลุ่มที่ดีที่สุดของห้อง และคิดว่าหากฉันเข้ามหาวิทยาลัยชั้นเลิศได้ ฉันจะสามารถขีดเขียนชะตากรรมของตัวเองขึ้นมาใหม่ได้ แต่ไม่คาดคิดว่า ยี่สิบวันก่อนสอบเกาเข่า ฉันก็มีไข้สูงไม่ลดเลย และต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำข้อสอบ สุดท้ายแล้ว ฉันก็ไม่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยชั้นเลิศได้ และเข้าได้แค่วิทยาลัยอาชีวศึกษาธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ฉันก็ไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรม หลังจากเข้าเรียนในวิทยาลัยนั้นแล้ว ฉันก็สมัครเรียนเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่แล้ว หลังจากเรียนได้เพียงครึ่งปี อาการป่วยของฉันก็แย่ลง ฉันมีไข้ต่ำอยู่บ่อยๆ ข้อมือและข้อต่อตามขาก็บวมและปวด แม้แต่การขึ้นบันไดก็ยังลำบาก มีหลายครั้งที่ฉันถึงกับถือกระติกน้ำร้อนไปไหนมาไหนไม่ได้เลย ในท้ายที่สุด ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลาออกจากวิทยาลัยและกลับไปอยู่บ้าน เพื่อนคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันมีสุขภาพดี และกำลังเล่าเรียนเพื่อสานฝันของตน ฉันอดไม่ได้ที่จะมองขึ้นไปบนสวรรค์แล้วถอนหายใจ คิดว่า “ทำไมโชคชะตาถึงไม่ยุติธรรมกับฉันได้ขนาดนี้? ทำไมฉันถึงต้องเผชิญกับเรื่องที่ยากลำบากแบบนี้ด้วย” ฉันมักจะกล่าวโทษทุกคนและทุกสิ่ง บางครั้งฉันก็คิดถึงเรื่องตายเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อเห็นพ่อแม่ยุ่งวุ่นวายเพื่อฉัน ฉันก็ไม่มีใจที่จะทำตามความคิดพวกนั้น สิ่งที่ฉันทำได้ก็แค่นับวันนับคืนที่ผ่านไปอย่างหมดหนทาง

ต่อมา ฉันยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สุขภาพของฉันก็ฟื้นดีขึ้นมาก และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ผู้นำจัดแจงให้ฉันผลิตวิดีโอ ตอนนั้นฉันกระตือรือร้นมาก และศึกษาการผลิตวิดีโออย่างแข็งขัน ต่อมา ฉันได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ดูแล ทำให้ฉันมีความสุขอย่างยิ่ง กลายเป็นว่าฉันกระตือรือร้นมากขึ้นไปอีกเวลาทำหน้าที่ ถึงจะมีไข้ต่ำๆ อยู่บ้าง แต่ฉันก็ยังทำหน้าที่ต่อไปอย่างไม่ลดละ ต่อมา เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ด้านสุขภาพของฉันแล้ว ผู้นำก็จัดแจงให้ฉันกลับไปอยู่บ้านและทำหน้าที่เท่าที่ทำได้ ฉันรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ดูเหมือนว่าฉันคงไม่มีวันมีโอกาสได้รับการเตรียมพร้อมสู่ตำแหน่ง และฉันก็คิดว่า “ทั้งหมดนี่ก็ไม่ใช่เพราะโรคร้ายนี้หรอกเหรอ? ฉันต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้ายจริงๆ” หลังจากนั้น ฉันก็ได้มาทำหน้าที่ด้านงานเขียนในคริสตจักร ฉันมักจะคิดว่า “แค่ทำหน้าที่ด้านงานเขียน งั้นฉันก็ไม่สามารถโดดเด่นหรือเป็นจุดสนใจได้เลยสิ” ฉันหดหู่ใจเอามากๆ พอได้เห็นว่าผู้นำมักจะไปชุมนุมในสถานที่ต่างๆ เพื่อสามัคคีธรรมตามพระวจนะของพระเจ้าและแก้ไขปัญหา ดูน่าประทับใจและประสบความสำเร็จมากทีเดียว ฉันคิดกับตัวเองว่า “ถ้าฉันสามารถเข้าใจความจริงมากขึ้นอีกสักหน่อย และแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสภาวะของพี่น้องได้ บางทีทุกคนก็อาจจะเลือกฉันเป็นผู้นำเหมือนกัน” ดังนั้น ทุกครั้งที่ไปชุมนุม ฉันก็จะให้ความสนใจกับสภาวะของพี่น้อง พอกลับมาบ้าน ฉันก็จะหาพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอน แล้วก็ไปสามัคคีธรรมพระวจนะเหล่านี้กับพี่น้องเหล่านั้นในการชุมนุมครั้งถัดไป เมื่อเห็นว่าทุกคนฟังการสามัคคีธรรมของฉันอย่างตั้งใจ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฉันมีความสุขมาก ในตอนที่ทุกอย่างกำลังเข้ารูปเข้ารอย ฉันก็พาจักรยานล้มระหว่างเดินทางไปชุมนุม ฉันเจ็บขามากจนเดินไม่ได้ และต้องอยู่บ้านเพื่อพักฟื้น ฉันสับสนมาก คิดว่า “ช่วงนี้ฉันกระตือรือร้นในการทำหน้าที่มาก แล้วจู่ๆ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับฉันได้ยังไง? ทำไมฉันถึงโชคไม่ดีขนาดนี้นะ” สิ่งที่ทำให้ฉันเสียใจยิ่งกว่านั้นก็คือ คริสตจักรกำลังจะมีการเลือกตั้งในไม่อีกไม่นาน ฉันคิดว่าฉันจะได้รับเลือก แต่ผู้นำบอกกับฉันว่า “ผู้นำมีหน้าที่ต้องดูแลงานทั้งหมดในคริสตจักร ดูจากที่คุณมีสุขภาพไม่ดี ฉันเกรงว่าคุณจะเหนื่อยล้า การทำหน้าที่ด้านงานเขียนต่อไปจะเป็นการดีกว่าสำหรับคุณนะ” เมื่อฟังผู้นำแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นเป็นอ่างเทราดใส่ฉัน และหัวใจของฉันก็เย็นชา ดูเหมือนว่าไม่มีทางที่ฉันจะได้เป็นผู้นำเลย ต่อมา เวลาไปชุมนุมฉันก็ไม่มีความกระตือรือร้นเหมือนเมื่อก่อน ฉันไม่อยากจะใช้ความพยายามเพื่อตริตรองปัญหาของพี่น้อง เฉินฟาง ซึ่งเป็นผู้นำคนใหม่ที่ได้รับเลือกในเวลานั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน และฉันก็อิจฉาเธอจริงๆ เธอมีสุขภาพแข็งแรงก็เลยได้รับเลือกให้เป็นผู้นำได้ ในขณะที่ฉันทำได้แค่ทำหน้าที่ด้านงานเขียนเล็กๆ น้อยๆ ฉันพร่ำบ่นอยู่ในใจ คิดว่า “ฉันอยากจะสละตนเพื่อพระเจ้าอย่างแข็งขัน แต่ทำไมฉันถึงได้มีร่างกายที่อ่อนแอขนาดนี้? ใจฉันพร้อมแต่ไร้พละกำลัง ฉันเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้ายจริงๆ” ฉันคิดขณะที่กำลังผิดหวังว่า “ถึงแม้ฉันจะเป็นผู้นำไม่ได้ แต่ถ้าฉันประสบความสำเร็จในหน้าที่ด้านงานเขียนได้ พวกพี่น้องก็จะยังยกย่องฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ?” ด้วยความคิดนี้ ฉันจึงตรวจสอบต้นฉบับอย่างกระตือรือร้น แต่พอถึงสิ้นปี ฉันก็เจ็บขามากจนเดินไม่ได้ ปรากฏว่าฉันเป็นโรคหัวกระดูกสะโพกขาดเลือด หลังจากนั้นไม่นาน มีการจับกุมเกิดขึ้นที่คริสตจักร และฉันไม่สามารถออกไปติดต่อกับพี่น้องได้ ฉันรู้สึกหดหู่ใจอย่างที่สุด คิดว่า “ฉันได้รับชะตากรรมที่เลวร้ายแบบนี้ได้ยังไง? เมื่อก่อน ฉันต้องการพึ่งพาการเรียนเพื่อเปลี่ยนชะตากรรม แต่นั่นก็ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ นึกว่าพอมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ฉันจะสามารถมีชะตากรรมที่ดีได้ แต่สิ่งต่างๆ ก็ยังไม่ราบรื่นสำหรับฉัน ตอนนี้ฉันก็มาป่วยหนัก และไม่สามารถทำหน้าที่ได้เนื่องจากสภาวการณ์ที่อันตราย คงไม่มีวันที่ฉันจะได้เจิดจรัสเลย ชะตากรรมของฉันคือการต้องทนทุกข์ทรมาน!” ฉันน้ำตานองหน้าอยู่ทั้งวัน ไม่รู้ว่าควรจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงดี ในตอนนั้น ฉันก็คิดขึ้นว่าฉันเขียนบทความได้ แต่ทันทีที่คิดถึงชะตากรรมของตัวเอง และคิดว่าการไล่ตามเสาะหาทั้งหมดของฉันนั้นจะไร้ประโยชน์ ฉันก็ไม่มีอารมณ์จะเขียนอีกต่อไป และอยู่ในสภาวะหดหู่ทั้งวัน

วันหนึ่ง พี่น้องหญิงบ้านใกล้เรือนเคียงคนหนึ่งได้นำพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอนมาให้ฉัน ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามาก และอธิษฐานถึงพระองค์ “ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณสำหรับความกรุณาของพระองค์ ในช่วงเวลานี้ ข้าพระองค์ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะหดหู่ ข้าพระองค์คิดว่าชะตากรรมของตัวเองเลวร้าย ก็เลยไม่ได้แสวงหาความจริงหรือเรียนรู้บทเรียน ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เป็นกบฏมากจริงๆ!” ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน และได้รับความเข้าใจในสภาวะของตัวเองขึ้นมาบ้าง  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แน่นอนว่ามูลเหตุของการเกิดภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของความหดหู่ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละคน  ภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของคนเรามีอยู่อย่างหนึ่งที่อาจเกิดจากการเชื่อในชะตากรรมที่เลวร้ายของตนเองอยู่ตลอดเวลา  นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  ตอนที่พวกเขาอายุยังน้อย พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในชนบทหรือในภูมิภาคที่ขัดสน ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้มั่งมี และนอกจากเครื่องเรือนเรียบง่ายไม่กี่ชิ้น พวกเขาก็ไม่มีอะไรที่มีมูลค่ามากนัก  บางทีพวกเขาอาจมีเสื้อผ้าอยู่หนึ่งหรือสองชุดที่พวกเขาจำต้องใส่แม้จะขาดบ้างก็ตาม และโดยปกติแล้วพวกเขาก็ไม่เคยได้กินอาหารคุณภาพดีๆ เลย ต้องรอวันปีใหม่หรือวันหยุดเทศกาลจึงจะได้กินเนื้อสัตว์  บางครั้งพวกเขาก็อดมื้อกินมื้อและไม่มีเสื้อผ้ามากพอที่จะสวมใส่ให้อบอุ่น การมีเนื้อชามโตเต็มชามให้กินจึงเป็นการฝันกลางวัน แม้กระทั่งจะหาผลไม้มากินสักชิ้นยังยาก  เมื่อใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ พวกเขาจึงรู้สึกต่างจากคนอื่นที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ มีพ่อแม่ที่มีเงินทอง กินอะไรก็ได้ที่อยากกินและสวมอะไรก็ได้ที่อยากสวม มีทุกสิ่งที่ตนต้องการในทันใด และรอบรู้ในเรื่องต่างๆ  พวกเขาย่อมจะคิดว่า ‘คนเหล่านั้นมีชะตากรรมที่ดีขนาดนั้น  แล้วทำไมชะตากรรมของฉันถึงแย่ขนาดนี้?’  พวกเขาอยากเป็นที่สะดุดตาของผู้คนและอยากเปลี่ยนโชคชะตาของตนอยู่เสมอ  อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนโชคชะตาของคนเรานั้นไม่ง่ายนัก  เมื่อคนเราเกิดมาในสถานการณ์ดังกล่าว แม้พวกเขาจะพยายาม แต่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนได้มากแค่ไหน และจะสามารถทำให้ชะตากรรมของตนดีขึ้นได้มากเพียงใด?  เมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาถูกอุปสรรคขวางกั้นทั่วทุกแห่งในสังคมที่ตนผ่านเข้าไป พวกเขาถูกกลั่นแกล้งในทุกที่ที่ไป และดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเสมอว่าตนช่างโชคร้ายเหลือเกิน  พวกเขาคิดว่า ‘ทำไมฉันถึงโชคไม่ดีอย่างนี้?  ทำไมฉันถึงเจอคนใจร้ายอยู่เรื่อย?  ตอนฉันเป็นเด็ก ชีวิตช่างทุกข์ยาก และมันเป็นแบบนั้นจริงๆ  ถึงตอนนี้ฉันโตแล้ว ชีวิตก็ยังย่ำแย่อยู่อีก  ฉันอยากแสดงให้ดูอยู่เสมอว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง แต่ก็ไม่เคยสบโอกาส  ถ้าฉันไม่มีวันมีโอกาส ก็ให้เป็นเช่นนั้นเถิด  ฉันแค่อยากขยันทำงานและหาเงินให้มากพอที่จะมีชีวิตที่ดี  ทำไมเรื่องแค่นี้ฉันยังทำไม่ได้?  การมีชีวิตที่ดียากเย็นถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?  ฉันไม่จำเป็นต้องมีชีวิตที่ดีกว่าคนอื่น  อย่างน้อยฉันก็อยากใช้ชีวิตอย่างคนในเมืองใหญ่ ไม่ถูกผู้คนดูแคลน และไม่เป็นพลเมืองชั้นสองหรือชั้นสาม  อย่างน้อยเวลาผู้คนจะเรียกฉัน พวกเขาก็จะไม่ตะโกนว่า “นี่เธอ มานี่!”  อย่างน้อยพวกเขาก็จะเรียกชื่อฉันและพูดจาให้เกียรติฉัน  แต่ฉันไม่อาจได้รับแม้แต่การพูดจาให้เกียรติกัน  ทำไมชะตากรรมของฉันถึงโหดร้ายอย่างนี้?  เมื่อไรชะตากรรมแบบนี้ถึงจะสิ้นสุด?’  เมื่อคนแบบนี้ไม่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาย่อมคิดว่าชะตากรรมของตนโหดร้าย  พอพวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าและเริ่มมองเห็นว่านี่คือหนทางที่แท้จริง เมื่อนั้นพวกเขาจึงคิดว่า ‘ความทุกข์ทั้งหมดก่อนหน้านี้คุ้มค่าแล้ว  ทั้งหมดนั้นคือการจัดวางเรียบเรียงและดำเนินการของพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงทำไว้ดีแล้ว  ถ้าฉันไม่ได้ทนทุกข์อย่างนั้น ฉันก็คงจะไม่มาเชื่อในพระเจ้า  ตอนนี้เมื่อฉันเชื่อในพระเจ้าแล้ว ถ้าฉันสามารถยอมรับความจริง เช่นนั้นแล้วชะตากรรมของฉันก็ควรที่จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น  คราวนี้ฉันก็จะสามารถมีชีวิตที่เท่าเทียมกับพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร ผู้คนย่อมเรียกฉันว่า “พี่” หรือ “น้อง” และพูดจาให้เกียรติฉัน  ตอนนี้ฉันได้ลิ้มรสความรู้สึกของการที่ผู้อื่นให้เกียรติฉันแล้ว’  ดูเหมือนว่าโชคชะตาของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ทนทุกข์อีกต่อไป ไม่ได้มีชะตากรรมที่ไม่ดีอีกต่อไป  ทันทีที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ตั้งปณิธานว่าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าให้ดี พวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์ยากและงานหนัก สามารถสู้ทนได้มากกว่าผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด และพากเพียรที่จะได้รับความเห็นชอบและความยกย่องนับถือจากผู้คนส่วนใหญ่  พวกเขาคิดว่าตนอาจได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ผู้ดูแล หรือผู้นำทีมด้วยซ้ำ และเมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะให้เกียรติบรรพชนและครอบครัวของตนอยู่มิใช่หรือ?  เมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนแล้วมิใช่หรือ?  อย่างไรก็ดี ความเป็นจริงไม่ค่อยจะเป็นไปตามความปรารถนาของพวกเขาสักเท่าใด พวกเขาจึงท้อใจและคิดว่า ‘ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี เข้ากับพี่น้องชายหญิงได้ดียิ่ง แต่ทำไมพอถึงเวลาเลือกผู้นำ ผู้ดูแล หรือผู้นำกลุ่มทีไร กลับไม่เคยเป็นทีของฉันเลย?  เพราะฉันดูธรรมดามาก หรือเพราะผลงานของฉันไม่ดีพอกระนั้นหรือ ถึงไม่มีใครสังเกตเห็นฉัน?  ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ฉันอาจมีความหวังอยู่บ้าง และถึงจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำกลุ่ม ฉันก็ย่อมจะมีความสุข  ฉันเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นมากมายที่จะตอบแทนพระเจ้า แต่ทุกครั้งที่มีการออกเสียง สุดท้ายฉันกลับได้แต่ความผิดหวัง ถูกมองข้ามในทุกเรื่อง  นี่เกิดอะไรขึ้น?  เป็นไปได้ไหมว่าแท้จริงแล้วฉันเป็นได้แค่คนที่มีความสามารถงั้นๆ คนธรรมดาทั่วไปที่ทั้งชีวิตไม่มีความโดดเด่น?  พอย้อนกลับไปมองวัยเด็กของตัวเอง วัยหนุ่มสาว และช่วงวัยกลางคน เส้นทางที่ฉันย่ำเดินมานี้ก็ต่ำต้อยมาตลอด ฉันไม่ได้ทำอะไรที่ควรแก่การจดจำเลย  ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีความทะเยอทะยาน หรือว่าไร้ขีดความสามารถ และไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้พยายามมากพอหรือสู้ทนความทุกข์ยากไม่ได้  ฉันมีความตั้งใจแน่วแน่และมีเป้าหมาย และสามารถพูดได้ด้วยซ้ำว่าฉันมีความทะเยอทะยาน  ดังนั้น ทำไมฉันถึงไม่เคยเป็นที่สะดุดตาของผู้คนเลย?  พอวิเคราะห์จนถึงที่สุดแล้ว ฉันก็แค่มีชะตากรรมที่ไม่ดี ถูกลิขิตให้ทนทุกข์ และพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ไว้ให้ฉันแบบนี้’  ยิ่งพวกเขาวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าชะตากรรมของตนนั้นแย่ลงทุกที… ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็อ้างว่าเป็นเพราะชะตากรรมของตนนั้นไม่ดี พวกเขาใช้ความพยายามกับแนวคิดเรื่องการมีชะตากรรมที่ไม่ดีนี้อย่างต่อเนื่อง พากเพียรที่จะทำความเข้าใจและรู้ซึ้งในเรื่องนี้ให้มากขึ้น และระหว่างที่พวกเขาเฝ้าครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ ภาวะอารมณ์ของพวกเขาก็ยิ่งหดหู่มากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดเล็กน้อย พวกเขาก็คิดว่า ‘แล้วกัน ฉันจะทำหน้าที่ให้ดีได้อย่างไรในเมื่อชะตากรรมของฉันแย่อย่างนี้?’  ในการชุมนุม พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมให้ฟังและพวกเขาก็เฝ้าคิดเรื่องต่างๆ กลับไปกลับมา แต่ก็ไม่เข้าใจและคิดไปว่า ‘โธ่ ฉันจะเข้าใจเรื่องต่างๆ ได้อย่างไรในเมื่อชะตากรรมของฉันไม่ดีอย่างนี้?’  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นใครสักคนพูดจาดีกว่าตน ชี้แจงความเข้าใจที่มีได้ชัดเจนและกระจ่างกว่าตน พวกเขาก็รู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเดิม  เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนที่สามารถสู้ทนความทุกข์ยากและจ่ายราคาได้ ใครบางคนที่เห็นผลของการปฏิบัติหน้าที่ของตน ได้รับความเห็นชอบจากพี่น้องชายหญิงและได้เลื่อนตำแหน่ง หัวใจของพวกเขาก็รู้สึกเป็นทุกข์  เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนได้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกหดหู่มากขึ้นอีก และแม้ในยามที่พวกเขาเห็นใครสักคนร้องเพลงและเต้นรำเก่งกว่าตน และรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าคนคนนั้น พวกเขาก็หดหู่  ไม่ว่าผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาพบเจอจะเป็นเช่นใด หรือพวกเขาจะเผชิญสถานการณ์อะไรก็ตาม พวกเขาก็ตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นด้วยภาวะอารมณ์ที่หดหู่เช่นนี้เสมอ  แม้ในยามที่พวกเขาเห็นใครบางคนสวมเสื้อผ้าที่ดูดีกว่าของตนนิด หรือมีทรงผมที่ดูดีกว่าหน่อย พวกเขาก็รู้สึกเศร้าอยู่เสมอ แล้วความอิจฉาและริษยาก็บังเกิดในหัวใจของพวกเขาจนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็กลับไปหาภาวะอารมณ์ที่หดหู่นั้น(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2))  “เพราะพวกเขาเชื่ออยู่เสมอว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ตกอยู่ในความสิ้นหวัง ดำรงชีวิตอย่างไร้ซึ่งจุดประสงค์ที่แท้จริงอันใด เอาแต่กินกับนอน และรอคอยความตายเท่านั้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยิ่งไม่สนใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่สนใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี บรรลุความรอด และข้อกำหนดอื่นๆ ในทำนองเดียวกันของพระเจ้า และถึงกับผลักไสและปฏิเสธสิ่งเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขาถือว่าชะตากรรมที่ไม่ดีของตนเป็นเหตุผลและมูลฐานของการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และถือว่าการไม่สามารถบรรลุความรอดเป็นเรื่องธรรมดา  พวกเขาไม่ชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของตนในสถานการณ์ที่ตนเผชิญ อันเป็นการทำความรู้จักและแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน แต่กลับใช้ทัศนะของตนเองเรื่องการมีชะตากรรมที่ไม่ดีมาเป็นคำตอบให้ทุกคน ทุกเหตุการณ์ และทุกสิ่งที่พวกเขาพบเจอและมีประสบการณ์ ส่งผลให้พวกเขายิ่งตกอยู่ในภาวะอารมณ์ที่หดหู่มากขึ้นไปอีก(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2))  สิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดโปงนั้นตรงกับสภาวะของฉันเป๊ะ ฉันคิดอยู่ตลอดว่าฉันมีชะตากรรมที่แย่และโหดร้าย และด้วยเหตุนี้ ฉันจึงมักใช้ชีวิตอยู่ในอารมณ์หดหู่ เมื่อตอนยังเด็ก ก็เห็นว่าตัวเองเกิดมาในครอบครัวธรรมดาๆ เลยอยากพึ่งพาการเรียนเพื่อเปลี่ยนชะตากรรม แต่น่าเสียดาย ที่เรียนมัธยมปลายปีแรกฉันก็ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองซะแล้ว ตอนที่อาการป่วยของฉันกำเริบก่อนสอบเกาเข่า ฉันก็ไม่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยชั้นเลิศได้ ต่อมา ฉันก็ต้องลาออกจากวิทยาลัยและกลับมาบ้านเพราะปัญหาสุขภาพที่รุนแรง เมื่อเห็นว่าฉันไม่มีทางพึ่งพาความรู้เพื่อเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเองได้แล้ว ฉันรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างมาก และมักจะพร่ำบ่นว่าชะตากรรมช่างไม่ยุติธรรมกับฉันเลย พอได้มาเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ปฏิบัติหน้าที่อยู่เบื้องหลังในด้านงานเขียนอย่างไม่เต็มใจอยู่ตลอด และอยากได้รับเลือกให้เป็นผู้นำจึงแก้ปัญหาสภาวะของพี่น้องอย่างแข็งขัน แต่ว่าพอพิจารณาถึงสถานการณ์ด้านสุขภาพของฉันแล้ว พี่น้องก็ไม่เลือกฉัน ฉันรู้สึกเหมือนต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งขึ้นอีก และฉันก็ไม่กระตือรือร้นในการชุมนุมเหมือนเมื่อก่อนอีกเลย ด้วยสถานการณ์ของฉัน คริสตจักรจึงจัดแจงให้ฉันอยู่ที่บ้านของครอบครัวอุปถัมภ์และตรวจสอบต้นฉบับ ฉันยังอยากจะประสบความสำเร็จบ้างและทำให้คนอื่นยกย่อง แต่สุขภาพของฉันก็แย่ลงอย่างกะทันหัน และโรคหัวกระดูกสะโพกขาดเลือดก็ทำให้ฉันไม่สามารถออกไปทำหน้าที่ได้ กลายเป็นว่าฉันยิ่งหดหู่มากขึ้นไปอีก ฉันคิดว่าฉันไม่เคยทำอะไรได้อย่างราบรื่นเลย และคิดว่าเป็นชะตากรรมของตัวเองที่ต้องทนทุกข์ ฉันมีชีวิตอยู่ในอารมณ์หดหู่และเลิกหวังกับตัวเอง ไม่อยากไล่ตามเสาะหาความจริงอีกต่อไป และถึงกับไม่อยากเขียนบทความอีกแล้ว ฉันเชื่อว่าฉันถูกหยิบยื่นชะตากรรมอันเลวร้ายให้ และคงจะไม่มีประโยชน์ที่จะไล่ตามเสาะหาต่อไป ทรรศนะของฉันต่อสิ่งต่างๆ ก็เหมือนกับทรรศนะของคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเหล่านั้น เมื่อต้องเผชิญกับเคราะห์ร้ายฉันก็สรุปว่าชะตากรรมของฉันไม่ดีและต้องการต่อสู้กับชะตากรรมในทุกอย่างที่ทำลงไป พอต่อสู้แล้วแพ้ ฉันก็พร่ำบ่นว่าฉันต้องเผชิญชะตากรรมที่เลวร้าย ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่ไม่มีการนบนอบต่อพระองค์อย่างแท้จริง ฉันไม่รู้จักแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของตัวเอง ใช้ชีวิตอยู่แต่ในสภาวะหดหู่และกล่าวโทษพระเจ้า ฉันเรียกตัวเองว่าเป็นผู้มีความเชื่อในพระเจ้าได้ยังไงกัน?

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกสองบทตอน และได้เรียนรู้ว่าไม่มีชะตากรรมใดดีหรือเลวร้าย  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าว่าชะตากรรมของคนคนหนึ่งจะเป็นอย่างไร จะดีหรือไม่ดีนั้น ไม่ควรมองหรือประเมินด้วยสายตาของมนุษย์หรือสายตาของหมอดู และไม่ประเมินโดยดูว่าคนคนนั้นมีความมั่งคั่งและความรุ่งโรจน์ในชีวิตของตนมากเท่าใด หรือมีประสบการณ์เป็นความทุกข์มากเท่าใด หรือประสบความสำเร็จเพียงใดในการไล่ตามไขว่คว้าโอกาสในอนาคต ชื่อเสียง และโชคลาภ  แต่นี่คือความผิดพลาดอันร้ายแรงซึ่งเกิดจากผู้ที่บอกว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี ทั้งยังเป็นวิธีที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ประเมินชะตากรรมของตนอีกด้วย  ผู้คนส่วนใหญ่ประเมินชะตากรรมของตนเองอย่างไร?  ผู้คนทางโลกประเมินอย่างไรว่าชะตากรรมของคนคนหนึ่งนั้นดีหรือไม่ดี?  โดยหลักแล้วพวกเขาดูว่าชีวิตของคนคนนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่นหรือไม่ มั่งคั่งและรุ่งโรจน์ได้หรือไม่ สามารถมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่เหนือกว่าคนอื่นหรือไม่ ชั่วชีวิตของพวกเขานั้นทนทุกข์เท่าใดและสุขสำราญเพียงใด มีอายุยืนยาวเพียงใด มีอาชีพการงานอะไร ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยการตรากตรำหรือสะดวกสบายและง่ายดาย—พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้และอื่นๆ มาประเมินว่าชะตากรรมของคนคนหนึ่งดีหรือไม่ดี  พวกเจ้าก็ประเมินแบบนี้ด้วยมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าส่วนใหญ่เผชิญบางสิ่งที่ตนไม่ชอบ เมื่อมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก หรือไม่สามารถสุขสำราญกับวิถีชีวิตที่ล้ำเลิศกว่าได้ พวกเจ้าก็จะคิดว่าตนเองมีชะตากรรมที่ไม่ดีเช่นกัน และพวกเจ้าก็จะจมอยู่ในความหดหู่(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2))  “พระเจ้าทรงลิขิตชะตากรรมของผู้คนล่วงหน้าไว้นานแล้ว และทั้งหมดก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้  ‘ชะตากรรมที่ดี’ และ ‘ชะตากรรมที่ไม่ดี’ นี้ย่อมแตกต่างกันไปตามผู้คนแต่ละคน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม และขึ้นอยู่กับว่าผู้คนรู้สึกอย่างไรและไล่ตามเสาะหาอะไร  นั่นคือสาเหตุที่ชะตากรรมของคนเราไม่ใช่ทั้งดีและไม่ดี  เจ้าอาจมีชีวิตที่ยากลำบากมาก แต่เจ้าก็อาจจะคิดว่า ‘ฉันไม่ได้อยากใช้ชีวิตหรูหรา  ฉันมีความสุขกับการมีพอกินและมีเสื้อผ้าพอสวมใส่เท่านั้น  ทุกคนย่อมทนทุกข์ในช่วงชีวิตของตน  ผู้คนทางโลกบอกว่า “หากฝนไม่ตก คุณก็ไม่อาจมองเห็นสายรุ้งได้” ดังนั้นความทุกข์จึงมีคุณค่า  นี่ไม่ได้แย่อะไรนัก และชะตากรรมของฉันก็ไม่เลว  สวรรค์เบื้องบนประทานความเจ็บปวดบางอย่าง บททดสอบบางข้อ และความทุกข์ร้อนแก่ฉัน  นั่นก็เพราะพระองค์ทรงมองฉันในทางที่ดี  นี่เป็นชะตากรรมที่ดี!’  บางคนคิดว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่ดี ความทุกข์หมายความว่าพวกเขามีชะตากรรมที่ไม่ดี มีแต่ชีวิตที่ไร้ทุกข์ ชีวิตที่สะดวกสบายและราบรื่นเท่านั้นที่หมายความว่าพวกเขามีชะตากรรมที่ดี  ผู้ไม่มีความเชื่อเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น ‘เรื่องของความคิดเห็น’  แล้วผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามองเรื่องของ ‘ชะตากรรม’ นี้อย่างไร?  พวกเราพูดถึงการมี ‘ชะตากรรมที่ดี’ หรือ ‘ชะตากรรมที่ไม่ดี’ กันหรือไม่?  (ไม่)  พวกเราไม่พูดเรื่องอย่างนี้กัน  สมมุติว่าเจ้ามีชะตากรรมที่ดีเพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นถ้าเจ้าไม่เดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้องในการเชื่อของเจ้า ถ้าเจ้าถูกลงโทษ ถูกเปิดโปงและกำจัดออกไป เช่นนั้นแล้วนั่นหมายความว่าเจ้ามีชะตากรรมที่ดีหรือชะตากรรมที่ไม่ดี?  ถ้าเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า ก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะถูกเปิดโปงหรือถูกกำจัดออกไป  พวกผู้ไม่มีความเชื่อและผู้คนในศาสนาไม่พูดถึงการเปิดโปงผู้คนหรือใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คนกัน และพวกเขาก็ไม่พูดถึงการที่ผู้คนถูกเอาตัวออกไปหรือถูกกำจัดออกไป  นี่ควรที่จะหมายความว่าเมื่อผู้คนสามารถเชื่อในพระเจ้า พวกเขาย่อมมีชะตากรรมที่ดี แต่ถ้าพวกเขาถูกลงโทษในท้ายที่สุด นั่นก็หมายความว่าพวกเขามีชะตากรรมที่ไม่ดีกระนั้นหรือ?  เมื่อครู่ชะตากรรมของพวกเขายังดีอยู่เลย จู่ๆ กลับไม่ดีเสียแล้ว—เป็นอย่างไหนกันแน่?  ไม่ว่าใครบางคนจะมีชะตากรรมที่ดีหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถตัดสินกันได้ ผู้คนไม่สามารถตัดสินเรื่องนี้ได้  ทั้งหมดนี้มีพระเจ้าเป็นผู้ดำเนินการและทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมการย่อมดีงาม  เพียงแต่ว่าวิถีแห่งชะตากรรมของคนแต่ละคน หรือสภาพแวดล้อมของพวกเขา รวมทั้งผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งที่พวกเขาเผชิญ เส้นทางชีวิตที่พวกเขามีประสบการณ์ด้วยในชีวิตของตน ล้วนแตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้แตกต่างกันเป็นคนๆ ไป  สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของแต่ละคนและสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตมานั้น ทั้งสองอย่างคือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมการให้แก่พวกเขา และแตกต่างกันทั้งสิ้น  สิ่งที่แต่ละคนมีประสบการณ์ในช่วงชีวิตของตนนั้นล้วนแตกต่างกัน  ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชะตากรรมที่ดีหรือชะตากรรมที่ไม่ดี—พระเจ้าทรงจัดเตรียมทั้งหมดนี้ และทั้งหมดนี้ล้วนเสร็จสิ้นเพราะพระเจ้า  ถ้าพวกเราพิจารณาเรื่องนี้ตามมุมมองที่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำก็ย่อมดีงามและถูกต้อง นั่นเป็นเพียงสิ่งที่มาจากมุมองตามความชื่นชอบ ความรู้สึก และการเลือกของผู้คน บางคนก็เลือกที่จะใช้ชีวิตที่สุขสบาย เลือกที่จะมีชื่อเสียงและโชคลาภ เป็นที่นับหน้าถือตา มีความเจริญรุ่งเรืองในโลก และประสบความสำเร็จ  พวกเขาเชื่อว่านี่หมายความว่าพวกเขามีชะตากรรมที่ดี ส่วนชีวิตที่ธรรมดาสามัญและไม่ประสบความสำเร็จ ใช้ชีวิตอยู่ที่ฐานล่างของสังคมตลอดเวลานั้นคือชะตากรรมที่ไม่ดี  สิ่งต่างๆ ดูจะเป็นเช่นนี้ตามมุมมองของผู้ไม่มีความเชื่อและผู้คนทางโลกที่ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทั้งหลายทางโลกและเสาะแสวงที่จะใช้ชีวิตอยู่ในโลก และแนวคิดเรื่องชะตากรรมที่ดีและชะตากรรมที่ไม่ดีก็เกิดขึ้นในลักษณะนี้  แนวคิดเรื่องชะตากรรมที่ดีและชะตากรรมที่ไม่ดีเกิดขึ้นเพียงเพราะความเข้าใจอันคับแคบและการรับรู้อันตื้นเขินที่มนุษย์มีต่อชะตากรรมเท่านั้น รวมทั้งการที่ผู้คนตัดสินว่าพวกเขาควรสู้ทนความทุกข์ทางกายมากเท่าใด พวกเขาควรได้รับความสุขสำราญ ชื่อเสียงและโชคลาภมากเท่าใด เป็นต้น  อันที่จริง ถ้าพวกเรามองเรื่องนี้ตามมุมมองของการจัดแจงเตรียมการและอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือชะตากรรมของมนุษย์ ย่อมไม่มีการตีความเรื่องชะตากรรมที่ดีหรือชะตากรรมที่ไม่ดีดังกล่าว  นี่ย่อมถูกต้องมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเจ้ามองชะตากรรมของมนุษย์ตามมุมมองแห่งอธิปไตยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำย่อมดีงาม และเป็นสิ่งที่แต่ละคนต้องการ  นี่เป็นเพราะเหตุและผลมีบทบาทต่อชีวิตในอดีตและในปัจจุบัน พระเจ้าทรงลิขิตชีวิตเหล่านั้นไว้ล่วงหน้า พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชีวิตเหล่านั้น และพระเจ้าก็ทรงวางแผนและจัดเตรียมชีวิตเหล่านั้น—มวลมนุษย์ไม่มีทางเลือก  ถ้าพวกเรามองเรื่องนี้ตามมุมมองนี้ ผู้คนก็ไม่ควรตัดสินชะตากรรมของตนเองว่าดีหรือไม่ดีใช่หรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2))  หลังจากได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันก็ตระหนักได้ในที่สุดว่า จากมุมมองของพระเจ้าแล้ว ไม่มีชะตากรรมใดดีหรือเลวร้าย ทุกสิ่งที่พระเจ้าทำย่อมเป็นสิ่งดี พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของแต่ละคน มาตรฐานของผู้คนในการตัดสินว่าชะตากรรมของตนจะดีหรือเลวร้ายนั้น ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาทนทุกข์มามากเพียงใดในชีวิต พวกเขาได้ชื่นชมในเกียรติและความมั่งคั่งมากเพียงใด และประสบความสำเร็จในการไล่ตามชื่อเสียง ผลประโยชน์ และโอกาสแห่งความสำเร็จในภายหน้ามากเพียงใด นี่มาจากมุมมองของความชอบทางเนื้อหนังของมนุษย์ และไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าแต่อย่างใด นี่คือสิ่งที่ฉันเชื่อ ฉันคิดว่าคนเหล่านั้นที่มีสุขภาพดีที่สามารถบรรลุในชื่อเสียงและผลประโยชน์ และได้ชื่นชมในเกียรติยศและความมั่งคั่งเป็นผู้ที่มีชะตากรรมดี ส่วนคนเหล่านั้นที่มีโรคภัยไข้เจ็บ อยู่อย่างยากจน และใช้ทั้งชีวิตอยู่อย่างคนธรรมดาสามัญโดยไม่มีใครยกย่อง เป็นผู้ที่มีชะตากรรมเลวร้าย ดังนั้ั้น เนื่องจากฉันมีโรคภัยไข้เจ็บอยู่ตลอด และเพราะต้องการจะไล่ตามชื่อเสียง ผลประโยชน์ และโอกาสแห่งความสำเร็จในภายหน้า แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย ฉันจึงคิดว่าตัวเองมีชะตากรรมที่เลวร้าย ทรรศนะของฉันต่อสิ่งต่างๆ ก็เหมือนกับทรรศนะของผู้ไม่มีความเชื่อ เป็นทรรศนะของผู้ไม่เชื่อ บางคนมีสุขภาพดี และใช้ทั้งชีวิตดิ้นรนไม่หยุดหย่อนเพื่อเงินทอง ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ถึงพวกเขาจะได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา แต่พวกเขาก็ไม่รู้คุณค่าหรือความหมายของการมีชีวิตอยู่ บางคนอยู่อย่างรู้สึกกลวงเปล่าไปวันๆ ขณะที่บางคนก็แสวงหาสิ่งปลุกเร้าทุกรูปแบบ บางคนจมอยู่กับการปรนเปรอตัวเอง ขณะที่บางคนเลือกที่จะจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย คนเหล่านี้มีชะตากรรมที่ยิ่งใหญ่หรือเปล่า? พวกเขามีความสุขและปีติยินดีจริงหรือ? ฉันคิดว่าถึงแม้พี่น้องบางคนจะมาจากครอบครัวธรรมดาสามัญ และไม่ได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นผู้นำหรือผู้ดูแลในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงทำหน้าที่ของตนและเข้าใจความจริงบางอย่าง บางคนถึงกับเขียนบทความการเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า ชะตากรรมของพวกเขาไม่เลวเลย ถึงแม้ฉันจะทรมานจากการเจ็บไข้ แต่ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าเพราะเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ และหัวใจของฉันก็ไม่กล้าที่จะหลบเลี่ยงพระองค์ นอกจากนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฉันได้เรียนรู้ความจริงบางอย่างผ่านหน้าที่ด้านงานเขียน ทั้งหมดนี้เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของฉัน อีกทั้งธรรมชาติของฉันก็โอหังมากและความอยากได้อยากมีในชื่อเสียงและสถานะของฉันก็แรงกล้า การไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเพื่อไปทำหน้าที่อันมีชื่อเสียงเหล่านั้น จึงเป็นหนทางของพระเจ้าในการคุ้มครองฉัน สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ถ้าฉันไม่ป่วยเป็นโรคนี้ ฉันก็จะทุ่มสุดใจไปกับการไล่ตามเงินทอง ชื่อเสียง และผลประโยชน์ในโลกอย่างแน่นอน ฉันคงจะอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน ทนทุกข์กับภัยและอุบายของมัน และถูกมันครอบงำจนหมดสิ้น แล้วฉันก็คงจะไม่ได้รับความรอดของพระเจ้าในยุคสุดท้าย อันที่จริงฉันได้รับอะไรมากมายจากการเจ็บป่วยนี้ แต่ฉันกลับพร่ำบ่นตลอดว่าตัวเองต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้าย พระพรอยู่รอบตัวฉันตลอดช่วงเวลานี้ และฉันก็ไม่รู้เลย! ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “ผู้คนบางคนเริ่มที่จะเชื่อในพระเจ้าเพราะโรคภัยไข้เจ็บ  โรคภัยไข้เจ็บนี้คือพระคุณของพระเจ้าที่ให้แก่เจ้า หากปราศจากมันแล้ว เจ้าก็คงจะไม่เชื่อในพระเจ้า และหากเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คงจะไม่ได้มาไกลถึงเพียงนี้—และด้วยเหตุนี้เอง แม้แต่พระคุณนี้ก็เป็นความรักของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น)  ตอนนี้ฉันมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านี้โดยตรงแล้ว ฉันจะไม่พร่ำบ่นอีกต่อไปแล้วว่า ฉันมีชะตากรรมที่เลวร้ายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ

ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม “พวกเจ้าเข้าใจหรือยังว่าความคิดและทัศนะของผู้คนที่มักกล่าวอยู่เสมอว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดีนั้นถูกหรือผิด?  (ผิด)  ชัดเจนว่าผู้คนเหล่านี้มีประสบการณ์กับภาวะอารมณ์ที่หดหู่ก็เพราะมัวจมปลักอยู่กับความสุดโต่ง… พวกเขามองประเด็นปัญหาและผู้คนจากจุดยืนที่สุดโต่งและไม่ถูกต้องนี้ อันเป็นการดำรงชีวิต มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการภายใต้ผลกระทบและอิทธิพลจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า  ท้ายที่สุดไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร พวกเขาก็ดูจะเหนื่อยล้าจนไม่สามารถปลุกเร้าให้ตนเองมีความกระตือรือร้นในการเชื่อในพระเจ้าและในการไล่ตามเสาะหาความจริง  ไม่ว่าจะเลือกดำเนินชีวิตของตนอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่เป็นบวกหรือแข็งขันได้ และแม้จะเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี พวกเขาก็ไม่เคยมุ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยหัวใจและดวงจิตทั้งดวง หรือมุ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เป็นที่น่าพอใจ จึงแน่นอนว่าพวกเขายิ่งไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงหรือปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เมื่อวิเคราะห์รอบด้านแล้ว นี่เป็นเพราะพวกเขาคิดอยู่เสมอว่าตนนั้นมีชะตากรรมที่ไม่ดี และนี่ก็พาให้พวกเขามีภาวะอารมณ์ที่หดหู่มาก  พวกเขาท้อแท้อย่างสิ้นเชิง หมดพลัง เหมือนซากศพเดินได้ ไร้ชีวิตชีวา ไม่มีพฤติกรรมที่เป็นบวกหรือมองโลกในแง่ดีให้เห็น และยิ่งไม่มีความมุ่งมั่นหรือความทรหดอดทนที่จะอุทิศความจงรักภักดีที่พวกเขาควรอุทิศต่อหน้าที่ ความรับผิดชอบ และภาระผูกพันของตน  ตรงกันข้ามพวกเขากลับฝืนดิ้นรนไปวันๆ ด้วยท่าทีที่สุกเอาเผากิน ผ่านพ้นแต่ละวันไปอย่างไร้จุดหมาย เลอะเลือน และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำตัวสะเปะสะปะไปอีกนานเท่าใด  ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากบอกตัวเองว่า ‘เอาเถอะ ฉันก็จะสะเปะสะปะไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ทำได้แล้วกัน!  ถ้าวันหนึ่งฉันไปต่อไม่ไหวอีกแล้ว และคริสตจักรก็อยากจะไล่และกำจัดฉันออกไป เช่นนั้นพวกเขาก็ควรที่จะกำจัดฉันออกไปเสียเลย  นี่เป็นเพราะฉันมีชะตากรรมที่ไม่ดี!’  เจ้าดูเถิด แม้กระทั่งสิ่งที่พวกเขาพูดออกมาก็หมดอาลัยขนาดนี้  ภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้ไม่ได้เป็นเพียงอารมณ์ธรรมดา แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือมันมีผลกระทบที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อความคิดอ่าน หัวใจ และการไล่ตามเสาะหาของผู้คน  ถ้าเจ้าไม่สามารถแก้ไขภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของเจ้าให้กลับมาดีได้อย่างทันท่วงทีและโดยเร็ว ไม่เพียงอารมณ์เช่นนี้จะส่งผลต่อชีวิตของเจ้าไปชั่วชีวิตเท่านั้น แต่จะทำลายชีวิตของเจ้าและพาเจ้าไปหาความตายอีกด้วย  ต่อให้เจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็จะไม่สามารถได้รับความจริงและบรรลุความรอด แล้วในที่สุดเจ้าก็จะพินาศ  นั่นคือสาเหตุที่ผู้ที่เชื่อว่าชะตากรรมของตนไม่ดีควรตื่นขึ้นมาเสียเดี๋ยวนี้ การตรวจตราอยู่เสมอว่าชะตากรรมของตนดีหรือไม่ดี การไล่ตามไขว่คว้าชะตากรรมบางอย่างอยู่เสมอ วิตกกังวลเรื่องชะตากรรมของตนอยู่เสมอ—ย่อมไม่ใช่เรื่องดี  การที่เจ้าให้ความสำคัญกับชะตากรรมของตนเองอยู่ตลอดเวลา พอเจ้าเผชิญกับเรื่องรบกวนหรือความผิดหวังเล็กๆ น้อยๆ หรือมีความล้มเหลว เรื่องติดขัด หรือความลำบากใจผ่านเข้ามา เจ้าก็รีบเชื่อว่านั่นเป็นเพราะชะตากรรมที่ไม่ดีและความโชคร้ายของเจ้าเอง  ดังนั้น เจ้าจึงย้ำเตือนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเจ้ามีชะตากรรมที่ไม่ดี เจ้าไม่ได้มีชะตากรรมที่ดีเหมือนคนอื่น และเจ้าก็จมดิ่งอยู่ในความหดหู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของความหดหู่รายล้อม พันธนาการ และเกาะกุมเอาไว้จนไม่อาจหลบหนีได้  นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวและอันตรายมากหากเกิดขึ้น  แม้ภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้จะไม่ทำให้เจ้าโอหังหรือหลอกลวงมากขึ้น หรือทำให้เจ้าเผยความเลว หรือความดื้อแพ่ง หรืออุปนิสัยอื่นๆ ที่เสื่อมทรามทำนองนั้นออกมา แม้ภาวะอารมณ์นี้จะไม่ถึงขั้นที่จะทำให้เจ้าเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาและท้าทายพระเจ้า หรือเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและละเมิดหลักธรรมความจริง หรือทำให้เจ้าลงมือขัดขวางและก่อกวน หรือทำความชั่ว แต่ในแง่ของแก่นแท้แล้ว ภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้คือการสำแดงอันร้ายแรงที่สุดถึงความไม่พอใจที่ผู้คนมีต่อความเป็นจริง  โดยแก่นแท้แล้ว การสำแดงความไม่พอใจต่อความเป็นจริงนี้ก็คือความไม่พอใจในอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  แล้วการไม่พอใจในอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าย่อมมีผลเช่นใดตามมา?  แน่นอนว่าผลสืบเนื่องย่อมร้ายแรงมากและอย่างน้อยก็จะทำให้เจ้าท้าทายและกบฏต่อพระเจ้า พาให้เจ้าไม่สามารถยอมรับถ้อยดำรัสและการจัดเตรียมของพระเจ้า ไม่สามารถเข้าใจและไม่เต็มใจที่จะฟังหลักคำสอน คำเตือนสติ คำเตือนใจ และการย้ำเตือนของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2))  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตระหนักว่า ผลที่ตามมาจากการจมอยู่กับความหดหู่และอารมณ์ที่เป็นลบจากการมองโลกในแง่ร้ายอยู่ตลอดนั้นรุนแรงมาก ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้คนไม่สามารถพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนได้อย่างถูกต้องเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขาไม่สนใจที่จะทำหน้าที่และไล่ตามเสาะหาความจริงอีกด้วย และในที่สุดพวกเขาก็สูญเสียโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอดไป ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นก็คือ อารมณ์หดหู่ประเภทนี้คือความไม่พอใจต่อความเป็นจริงและต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า แก่นแท้อย่างหนึ่งของอารมณ์นี้ก็คือการพร่ำบ่นพระเจ้าและการกบฏต่อพระองค์อยู่เงียบๆ  ธรรมชาติของสิ่งนี้ร้ายแรงมาก! คะแนนเกาเข่าของฉันย่ำแย่ก็เป็นเพราะอาการเจ็บป่วยกำเริบ และที่ฉันต้องลาออกจากวิทยาลัยกลับมาอยู่บ้านก็เป็นเพราะอาการเจ็บป่วยของฉัน ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเจ็บปวดอย่างมาก และกล่าวโทษทุกคนและทุกสิ่ง หลังจากเชื่อในพระเจ้า การเจ็บป่วยก็ทำให้ฉันไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งและการเตรียมพร้อมสู่ตำแหน่ง และฉันคิดมาตลอดว่าฉันต้องเจอกับชะตากรรมอันเลวร้าย จึงกล่าวโทษพระเจ้าที่มอบร่างกายนี้ให้ฉัน แถมฉันยังทำหน้าที่อย่างขอไปที ไม่มีความอยากที่จะร่วมมืออย่างกระตือรือรั้นอีกด้วย ฉันติดอยู่ในทรรศนะผิดๆ ที่ว่าฉันมีชะตากรรมที่เลวร้ายตลอดเวลา แล้วก็รู้สึกหดหู่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ พร่ำบ่นและเข้าใจพระเจ้าผิดอยู่เสมอ ถ้าฉันไม่หันกลับ ในท้ายที่สุด ฉันก็มีแต่จะสูญเสียโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอดเพราะการต่อต้านพระเจ้า ความคิดและทรรศนะที่ผิดพลาดแบบนี้เป็นพิษอย่างยิ่ง มันทำให้ผู้คนเผชิญเรื่องที่เกิดกับตนโดยปราศจากท่าทีนบนอบ และท้ายที่สุด พวกเขาก็มีแต่จะถูกซาตานหลอกและทำร้ายเท่านั้น เมื่อตระหนักได้อย่างนี้แล้ว ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์พร่ำบ่นอยู่เสมอว่าตัวเองต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้ายและใช้ชีวิตอยู่ในอารมณ์หดหู่ที่เป็นลบนี้ นี่เป็นการกบฏต่อพระองค์อย่างเงียบๆ ข้าพระองค์กำลังต้านทานพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ต่อไป ได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด”

หลังจากนี้ ฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าและเรียนรู้วิธีการพิจารณาชะตากรรมของตัวเองอย่างถูกต้อง  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนควรมีท่าทีต่อชะตากรรมอย่างไร?  เจ้าควรคล้อยตามการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง แข็งขันและบากบั่นที่จะแสวงหาจุดประสงค์และความหมายของพระผู้สร้างในการที่พระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้ สัมฤทธิ์การเข้าใจความจริง ทำตามบทบาทหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้าในชีวิตนี้ ลุล่วงหน้าที่ ความรับผิดชอบ และภาระผูกพันของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และทำให้ชีวิตของเจ้ามีความหมายมากขึ้น มีคุณค่ามากขึ้น จนกระทั่งพระผู้สร้างพอพระทัยในตัวเจ้าและทรงจดจำเจ้าเอาไว้  แน่นอนว่าสิ่งที่ยิ่งดีงามขึ้นไปอีกย่อมจะเป็นการบรรลุความรอดผ่านทางการแสวงหาและความบากบั่นพยายามของเจ้าเอง—นี่ย่อมจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด  ไม่ว่าจะอย่างไร ในเรื่องของชะตากรรมนั้น ท่าทีที่เหมาะสมที่สุดที่มวลมนุษย์ทรงสร้างควรมี ไม่ใช่ท่าทีของการตัดสินและให้คำจำกัดความตามใจชอบ หรือใช้วิธีการอันสุดโต่งมาจัดการ  แน่นอนว่าผู้คนยิ่งไม่ควรพยายามต้านทาน เลือกสรร หรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตน แต่ควรใช้หัวใจมาทำความเข้าใจชะตากรรมของตน แสวงหา สำรวจ และคล้อยตามชะตากรรมนั้นก่อนที่จะเผชิญหน้าชะตากรรมในทางที่เป็นบวก  ท้ายที่สุดแล้วในสภาพแวดล้อมของการดำรงชีวิตและในการเดินทางของชีวิตที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้เจ้า เจ้าก็ควรแสวงหาหนทางแห่งการประพฤติปฏิบัติตามที่พระเจ้าทรงสอนเจ้า แสวงหาเส้นทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เจ้าเดิน และมีประสบการณ์กับชะตากรรมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้าในลักษณะนี้ แล้วในที่สุดเจ้าก็จะได้รับพร  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับชะตากรรมที่พระผู้สร้างทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้าในลักษณะนี้ สิ่งที่เจ้าจะมาตระหนักรู้ไม่ได้มีเพียงความเศร้า ความเสียใจ น้ำตา ความเจ็บปวด ความคับข้องใจ และความล้มเหลวเท่านั้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเจ้าจะมีประสบการณ์กับความชื่นบาน สันติสุข และความชูใจ ตลอดจนความรู้แจ้งและความกระจ่างในความจริงที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเจ้าหลงทางบนเส้นทางชีวิตของเจ้า เมื่อเจ้าเผชิญหน้าความคับข้องใจและความล้มเหลว และเจ้าต้องตัดสินใจเลือก เจ้าย่อมจะมีประสบการณ์กับการนำทางของพระผู้สร้าง และท้ายที่สุดเจ้าก็จะเกิดความเข้าใจ ได้รับประสบการณ์และการตระหนักรู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะมีชีวิตที่มีความหมายมากที่สุด  และแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันหลงทางในชีวิตอีก เจ้าจะไม่มีวันตกอยู่ในสภาวะที่กระวนกระวายตลอดเวลาอีก และแน่นอนว่าเจ้าจะไม่มีวันพร่ำบ่นอีกว่ามีชะตากรรมที่ไม่ดี และยิ่งจะไม่จมอยู่ในภาวะอารมณ์ที่หดหู่เพราะรู้สึกว่าชะตากรรมของตนไม่ดี  ถ้าเจ้ามีท่าทีเช่นนี้และใช้วิธีการนี้มาเผชิญหน้าชะตากรรมที่พระผู้สร้างจัดเตรียมเอาไว้ให้เจ้า เช่นนั้นแล้ว ไม่เพียงความเป็นมนุษย์ของเจ้าจะเป็นปกติมากขึ้นเท่านั้น เจ้าเองก็จะเริ่มมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ มีการคิด ทัศนะ และหลักธรรมว่าด้วยวิธีการมองสิ่งทั้งหลายตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติด้วยเช่นกัน แต่แน่นอนว่าเจ้าจะมีทัศนะและความเข้าใจในเรื่องความหมายของชีวิตอย่างที่ผู้ไม่มีความเชื่อจะไม่มีวันมีอีกด้วย(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2))  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงได้เข้าใจว่า ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดการเตรียมการชะตากรรมไว้ให้เราอย่างไร เราก็ควรนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์เสมอ นี่คือเหตุผลที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี ไม่ว่าชะตากรรมของเราจะเป็นแบบไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ ลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความหมาย ดังเช่นโยบ ตอนแรกที่พระเจ้าทรงอวยพรเขาด้วยฝูงสัตว์เต็มภูเขา ทรัพย์สินอันมั่งคั่ง และลูกๆ ที่หน้าตาดี ผู้คนก็คิดว่าเขามีชะตากรรมที่ดี แต่โยบไม่ได้มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความชื่นบานยินดี และสนใจแต่เพียงการเดินไปตามเส้นทางแห่งความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้น ต่อมา เขาต้องเผชิญกับบททดสอบ ทรัพย์สินทั้งหมดของเขาหายไปภายในคืนเดียว ลูกๆ ของเขาก็เสียชีวิต อีกทั้งร่างกายของเขาก็ยังเต็มไปด้วยฝีร้าย ในสายตาของผู้คน เขาได้พบกับโชคร้ายครั้งใหญ่ แต่โยบไม่ได้มองสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาด้วยมุมมองของมนุษย์ อีกทั้งยังไม่กบฏและขัดขืน แต่เขากลับยอมรับสิ่งต่างๆ จากพระเจ้า แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า และสรรเสริญพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ตั้งมั่นในคำพยานของตนได้ในที่สุด พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์ต่อโยบ และโยบก็ได้เห็นพระองค์ จิตใจของเขาสงบสุขและชื่นบานยินดี และในที่สุด โยบก็สิ้นชีวิตด้วยอายุขัยที่ยืนยาว แต่ว่าเมื่อพูดถึงชะตากรรมของฉันแล้ว ฉันก็อยากจะเปลี่ยนแปลงและต่อสู้เพื่อเป็นอิสระจากมันมาโดยตลอด ฉันไม่ได้แสวงหาอย่างแข็งขันหรือเผชิญกับมันด้วยความคิดบวก และด้วยเหตุนี้ ฉันจึงใช้ชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวดเหลือทน ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “อะไรหรือคือสาเหตุของความเจ็บปวดนี้?  มันเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า หรือเพราะบุคคลหนึ่งเกิดมาโชคร้าย?  เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกทั้งสองอย่าง โดยพื้นฐานแล้ว มันเกิดจากเส้นทางที่ผู้คนเลือกเดิน วิธีที่พวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตของพวกเขา(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)  ฉันตระหนักว่าฉันเจ็บปวดอย่างมาก เพราะเส้นทางการไล่ตามเสาะหาของฉันมีปัญหา ก่อนจะได้มาเชื่อในพระเจ้า ฉันอยากจะพึ่งพาความรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเอง ฉันไล่ตามความโดดเด่นจากฝูงชนและการใช้ชีวิตสะดวกสบายและมั่งคั่ง หลังจากเชื่อในพระเจ้าแล้ว ฉันก็ยังคงไล่ตามชื่อเสียงและสถานะในหน้าที่ของตน ต้องการให้คนอื่นยกย่องเทิดทูน เมื่อการเจ็บป่วยทำให้ฉันไม่สมหวังดังที่ปรารถนา ฉันก็พร่ำบ่นว่าตัวเองต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้าย และใช้ชีวิตอยู่ในอารมณ์หดหู่ ความอยากได้อยากมีในชื่อเสียงและสถานะของฉันนั้นแรงกล้า ฉันอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่า “ชะตากรรมของคนเราดีจริงเหรอ และการใช้ชีวิตจะมีคุณค่าเพียงเพราะได้รับชื่อเสียงและสถานะจริงเหรอ?” ฉันนึกถึงการที่คริสตจักรเปิดเผยและกำจัดคนออกไปเป็นจำนวนมาก แม้ว่าบางคนจะได้รับการเลื่อนขั้นให้ทำหน้าที่ผู้นำแล้ว แต่พวกเขาบางคนก็ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง กลับไล่ตามชื่อเสียงและสถานะหัวชนฝา อีกทั้งยกย่องและเป็นพยานให้ตนเองในหมู่พี่น้อง พวกเขาไม่ยอมรับการตัดแต่ง และในที่สุดพวกเขาก็ถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไป ฉันได้เห็นว่า หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ทำหน้าที่ของตนอย่างมีเหตุมีผล ถึงพวกเขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งและการเตรียมพร้อมสู่หน้าที่ ทำให้หลายคนยกย่องพวกเขา แต่พวกเขาก็จะไม่ได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า และจะถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไปในที่สุด ฉันนึกถึงตอนแรกที่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้าซึ่งก็มาจากการเจ็บป่วยของฉัน ฉันชื่นชมยินดีกับการจัดเตรียมพระวจนะของพระเจ้าและได้เข้าใจความจริงบางอย่าง เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันล้มป่วยและใช้ชีวิตในอยู่ในความคิดลบ พระเจ้าก็ทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อให้ความรู้แจ้งและนำฉัน และช่วยให้ฉันดำเนินชีวิตต่อไป พระเจ้าให้ฉันมามากแล้วจริงๆ แต่ว่า ฉันกลับไม่คิดที่จะตอบแทนความรักของพระองค์และยึดมั่นต่อหน้าที่ของตนอย่างมีเหตุมีผล สิ่งเดียวที่ฉันโหยหาคือชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง และฉันก็ไม่จริงใจต่อพระเจ้า ฉันเป็นกบฏมากจริงๆ! ฉันอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาด้วยความสำนึกผิด และอธิษฐานต่อพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ช่างเป็นกบฏยิ่งนัก ไล่ตามชื่อเสียงกับสถานะมาตลอด และไม่ได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง ข้าพระองค์ไม่คู่ควรกับการเลือกของพระองค์โดยแท้ ข้าแต่พระเจ้า สิ่งเดียวที่ข้าพระองค์ต้องการคือเชื่อในพระองค์อย่างถูกควรและนบนอบพระองค์ ทำหน้าที่ของตนอย่างมีเหตุมีผล” เมื่อเข้าใจขนาดนี้แล้ว ฉันก็ไม่รู้สึกหดหู่อีกต่อไป

ในช่วงนั้นฉันไม่สามารถติดต่อกับเหล่าพี่น้องได้ ดังนั้นฉันจึงตั้งหน้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวันไม่ลดละ อธิษฐานถึงพระองค์และใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น และฝึกเขียนบทเทศน์ บางครั้งสุขภาพของฉันก็แย่ลงเล็กน้อย และปวดตามข้อมากจนไม่สามารถขยับหรือลุกขึ้นยืนได้ ฉันเริ่มรู้สึกเศร้าโศกเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว โดยเฉพาะตอนที่เห็นวีดีโอพี่น้องร้องเพลง เต้นรำ และสรรเสริญพระเจ้า ฉันอิจฉามาก คิดว่า “พี่น้องเหล่านั้นแข็งแรงดี สามารถร้องเพลง เต้นรำ และสรรเสริญพระเจ้าได้ ต้องดีมากแน่ๆ! ฉันสิ แม้แต่จะยืนยังทำไม่ได้” ฉันตระหนักได้ว่าสภาวะของตัวเองไม่ถูกต้อง แล้วฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าในใจ ขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองหัวใจของฉัน ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “การทำหน้าที่ก็ไม่เป็นแบบเดียวกัน  มีร่างกายหนึ่งร่าง  แต่ละร่างทำหน้าที่ของเขา แต่ละร่างอยู่ในสถานที่ของเขาและกำลังทำสุดความสามารถของเขา—เพราะแต่ละประกายไฟที่อยู่ตรงนั้นมีความสว่างหนึ่งวาบ—และกำลังแสวงหาความเป็นผู้ใหญ่ในชีวิต  เช่นนั้นแล้วเราจึงจะพึงพอใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 21)  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการหน้าที่ที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละคน พี่น้องเหล่านั้นร้องเพลง เต้นรำ และสรรเสริญพระเจ้า และฉันก็ทำหน้าที่ด้านงานเขียนและเป็นพยานให้พระองค์ แต่ละหน้าที่มีการทำงานของตัวเอง ตราบใดที่เราทำอย่างสุดความสามารถ พระเจ้าก็จะทรงเห็นชอบในงานของเรา หลังจากคิดแบบนี้ หัวใจของฉันก็รู้สึกเป็นอิสระมากขึ้น ตอนนี้ฉันไม่เชื่อว่าตัวเองต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้ายอีกต่อไปแล้ว ฉันเพียงต้องการที่จะนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกควร และทำหน้าที่ของฉันให้ดี ที่ฉันสามารถหลุดพ้นจากทรรศนะผิดๆ ที่ว่าฉันมีชะตากรรมที่เลวร้ายมาได้ ก็ล้วนแต่มาจากการนำของพระวจนะ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ภาระของความหน้าซื่อใจคด

โดย ซู หว่าน, ประเทศจีน ในเดือนสิงหาคมปี 2020 ฉันถูกปลดจากตำแหน่งผู้นำเพราะว่า ฉันไล่ตามสถานะและขาดความเชี่ยวชาญ ในเวลานั้น...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger