ฉันไม่โดนจำกัดด้วยการกระทำผิดอีกต่อไป
วันหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ปี 2006 จู่ๆ ฉันก็ถูกจับกุมขณะเดินทางไปประชุมกับเพื่อนร่วมงาน คืนนั้นฉันถูกนำตัวไปยังสถานที่ลับเพื่อสอบปากคำ...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ฉันโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน พวกสิ่งจำเป็นพื้นฐานไม่เคยมีพอ แม่ของฉันมักจะต้องขอข้าวจากเพื่อนบ้านมาให้เรากิน เสื้อผ้าหลายตัวที่ฉันใส่ก็มีรอยปะ ฉันมักจะถูกรังแกและเลือกปฏิบัติอยู่บ่อยๆ เด็กคนอื่นจะบอกว่าฉันมาจากบ้านที่ยากจน ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรม และคิดว่าฉันต้องมีชะตากรรมที่เลวร้ายจึงไม่ได้เกิดมาในบ้านที่ร่ำรวย เวลาไปโรงเรียนฉันก็ตั้งใจเรียนมาก คิดว่า “ถ้าเรียนให้หนักตอนนี้ ฉันก็จะสอบติดมหาลัยและได้ทำงานที่ดี แล้วโชคร้ายของฉันก็จะเปลี่ยน ฉันจะได้ใช้ชีวิตอย่างชนชั้นสูงแน่?” ฉันจะอ่านหนังสือยันดึกดื่น จนในที่สุดฉันก็ได้อยู่อันดับต้นๆ ของห้อง ฉันคิดว่านี่อาจเป็นตั๋วที่ทำให้ฉันมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ในช่วงมัธยมต้น ฉันถูกวินัจฉัยว่าสายตาสั้นขั้นรุนแรง รวมถึงเป็นต้อกระจก สายตาขี้เกียจ และสายตาเอียงด้วย ฉันไม่สามารถดูแลตัวเองได้และต้องออกจากโรงเรียน ตอนนั้นฉันเสียใจมาก และคิดว่าชีวิตนี้จบแล้ว ชะตากรรมของฉันถูกกำหนดไว้แล้ว ฉันพร่ำบ่นถึงความไม่เป็นธรรมของสวรรค์อยู่ในใจและคิดว่าตัวเองโชคร้าย นั่นทำให้ฉันจมอยู่ในความหดหู่
หลังจากยอมรับพระราชกิจยุคแห่งสุดท้ายของพระเจ้า และเห็นผู้นำของเราจัดการชุมนุมที่ตัวเขาสามัคคีธรรมความจริงเพื่อช่วยแก้ไขปัญหา ฉันก็เกิดอิจฉาและคิดในใจว่า “คงจะเป็นเรื่องที่มีเกียรติน่าดู ถ้าวันหนึ่งฉันสามารถได้เป็นผู้นำหรือมัคนายก แก้ไขปัญหาของพี่น้องชายหญิง ได้รับการนับถือและแรงสนับสนุนจากพวกเขา” ฉันเลยพยายามอ่านพระวจนะให้มากกว่าเดิม ยอมรับงานทุกอย่างที่คริสตจักรมอบหมาย และสู้ทนกับงานที่ลำบากยากเย็น หวังว่าวันหนึ่งฉันก็จะได้เป็นผู้นำหรือมัคนายกเหมือนกัน แต่หลายปีผ่านไป ฉันก็ยังไม่ถูกเลือกในตำแหน่งไหนเลย พี่สาวคนหนึ่งที่ยอมรับพระราชกิจในระยะนี้พร้อมกับฉันถูกเลือกเป็นผู้นำหลังจากเข้าสู่ความเชื่อได้ไม่นาน พอเห็นพี่สาวคนนี้สามัคคีธรรมพระวจนะในการชุมนุมเพื่อแก้ไขปัญหา ฉันคิดในใจว่า “พวกเรายอมรับพระราชกิจช่วงระยะนี้พร้อมกัน แถมเข้าพระนิเวศมาไม่นานเธอก็ได้ทำหน้าที่ผู้นำแล้ว อีกทั้งยังได้รับความเคารพนับถือและการสนับสนุนจากคนอื่นๆ ส่วนฉันเอง ไม่ว่าพยายามอย่างหนักแค่ไหน ฉันก็ยังไม่ได้เป็นผู้นำ ฉะนั้น ฉันเดาว่าฉันคงมีชะตากรรมที่เลวร้าย” บางครั้งเวลาที่ข้อเสนอแนะของฉันไม่ถูกนำไปใช้ ฉันก็จะคิดกับตัวเองว่า “ไหนๆ ฉันก็ไม่มีวันได้เป็นผู้นำอยู่แล้ว ฉันก็แค่ทำตามคนกลุ่มเล็กๆ นี้ไป ไม่ว่าจะในหน้าที่การงานของฉันหรือในพระนิเวศ ฉันก็ถูกลิขิตให้ทนทุกข์ และจะไม่มีวันโดดเด่นได้เลยในชีวิตนี้” พอสรุปได้แบบนี้ ฉันก็กระตือรือร้นที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าและไล่ตามความจริงน้อยลงเรื่อยๆ
ต่อมา ผู้นำเห็นว่าฉันมีความสามารถด้านวรรณกรรม และให้ฉันไปทำหน้าที่เกี่ยวกับต้นฉบับให้ลุล่วง ฉันมีความสุขจนอธิบายไม่ถูก คิดว่าในที่สุดฉันก็มีโอกาสทำตัวให้โดดเด่น ฉันทำงานจนเกินเวลาและเกิดผลลัพธ์ที่ดีบางอย่างในหน้าที่ ผ่านไปไม่นานฉันก็ได้เลื่อนขั้น ฉันมีความสุขมาก และยิ่งมีแรงจูงใจในหน้าที่มากกว่าเดิม แต่แล้วฉันก็เกิดปัญหาเรื่องกระดูกคอและอาการก็เริ่มแย่ลง ฉันจึงก็ไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม ฉันถูกบังคับให้กลับไปอยู่คริสตจักรเดิม และทำหน้าที่ที่ทำได้ ฉันรู้สึกหดหู่จริงๆ ว่า “ปัญหากระดูกคอที่เป็นรักษายาก และกำเริบได้ถ้าฉันใช้ร่างกายหนักเกินไป พอมีปัญหานี้ การที่ฉันจะทำตัวให้โดดเด่นก็ยากจริงๆ ชะตากำหนดให้ฉันไม่สามารถทำหน้าที่สำคัญให้ลุล่วงได้ ฉันช่างมีชะตากรรมที่เลวร้าย ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เลย ฉันต้องเกิดมาดวงไม่ดีแน่ เพราะฉันเป็นคนที่โชคร้ายเหลือเกิน!” พอคิดแบบนี้ฉันก็กลายคนเป็นคิดลบและเกียจคร้านในหน้าที่ จนถึงกับตีกรอบตัวเอง คิดว่าโอกาสในอนาคตของฉันมืดมน ต่อมา ฉันมาทบทวนตัวเองเฉพาะพระพักตร์ว่า ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าตัวเองมีชะตากรรมที่เลวร้ายและใช้ชีวิตด้วยความทุกข์ใจเช่นนี้อยู่ตลอด? ขณะแสวงหาฉันก็บังเอิญเจอพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ทำให้ฉันเข้าใจสภาวะของตัวเองเชิงลึก
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของคนเรามีอยู่อย่างหนึ่งที่อาจเกิดจากการเชื่อในชะตากรรมที่เลวร้ายของตนเองอยู่ตลอดเวลา นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งมิใช่หรือ? (ใช่) ตอนที่พวกเขาอายุยังน้อย พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในชนบทหรือในภูมิภาคที่ขัดสน ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้มั่งมี และนอกจากเครื่องเรือนเรียบง่ายไม่กี่ชิ้น พวกเขาก็ไม่มีอะไรที่มีมูลค่ามากนัก บางทีพวกเขาอาจมีเสื้อผ้าอยู่หนึ่งหรือสองชุดที่พวกเขาจำต้องใส่แม้จะขาดบ้างก็ตาม และโดยปกติแล้วพวกเขาก็ไม่เคยได้กินอาหารคุณภาพดีๆ เลย ต้องรอวันปีใหม่หรือวันหยุดเทศกาลจึงจะได้กินเนื้อสัตว์ บางครั้งพวกเขาก็อดมื้อกินมื้อและไม่มีเสื้อผ้ามากพอที่จะสวมใส่ให้อบอุ่น การมีเนื้อชามโตเต็มชามให้กินจึงเป็นการฝันกลางวัน แม้กระทั่งจะหาผลไม้มากินสักชิ้นยังยาก เมื่อใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ พวกเขาจึงรู้สึกต่างจากคนอื่นที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ มีพ่อแม่ที่มีเงินทอง กินอะไรก็ได้ที่อยากกินและสวมอะไรก็ได้ที่อยากสวม มีทุกสิ่งที่ตนต้องการในทันใด และรอบรู้ในเรื่องต่างๆ พวกเขาย่อมจะคิดว่า ‘คนเหล่านั้นมีชะตากรรมที่ดีขนาดนั้น แล้วทำไมชะตากรรมของฉันถึงแย่ขนาดนี้?’ พวกเขาอยากเป็นที่สะดุดตาของผู้คนและอยากเปลี่ยนโชคชะตาของตนอยู่เสมอ อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนโชคชะตาของคนเรานั้นไม่ง่ายนัก เมื่อคนเราเกิดมาในสถานการณ์ดังกล่าว แม้พวกเขาจะพยายาม แต่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนได้มากแค่ไหน และจะสามารถทำให้ชะตากรรมของตนดีขึ้นได้มากเพียงใด? เมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาถูกอุปสรรคขวางกั้นทั่วทุกแห่งในสังคมที่ตนผ่านเข้าไป พวกเขาถูกกลั่นแกล้งในทุกที่ที่ไป และดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเสมอว่าตนช่างโชคร้ายเหลือเกิน พวกเขาคิดว่า ‘ทำไมฉันถึงโชคไม่ดีอย่างนี้? ทำไมฉันถึงเจอคนใจร้ายอยู่เรื่อย? ตอนฉันเป็นเด็ก ชีวิตช่างทุกข์ยาก และมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ถึงตอนนี้ฉันโตแล้ว ชีวิตก็ยังย่ำแย่อยู่อีก ฉันอยากแสดงให้ดูอยู่เสมอว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง แต่ก็ไม่เคยสบโอกาส ถ้าฉันไม่มีวันมีโอกาส ก็ให้เป็นเช่นนั้นเถิด ฉันแค่อยากขยันทำงานและหาเงินให้มากพอที่จะมีชีวิตที่ดี ทำไมเรื่องแค่นี้ฉันยังทำไม่ได้? การมีชีวิตที่ดียากเย็นถึงขนาดนี้ได้อย่างไร? ฉันไม่จำเป็นต้องมีชีวิตที่ดีกว่าคนอื่น อย่างน้อยฉันก็อยากใช้ชีวิตอย่างคนในเมืองใหญ่ ไม่ถูกผู้คนดูแคลน และไม่เป็นพลเมืองชั้นสองหรือชั้นสาม อย่างน้อยเวลาผู้คนจะเรียกฉัน พวกเขาก็จะไม่ตะโกนว่า “นี่เธอ มานี่!” อย่างน้อยพวกเขาก็จะเรียกชื่อฉันและพูดจาให้เกียรติฉัน แต่ฉันไม่อาจได้รับแม้แต่การพูดจาให้เกียรติกัน ทำไมชะตากรรมของฉันถึงโหดร้ายอย่างนี้? เมื่อไรชะตากรรมแบบนี้ถึงจะสิ้นสุด?’ เมื่อคนแบบนี้ไม่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาย่อมคิดว่าชะตากรรมของตนโหดร้าย พอพวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าและเริ่มมองเห็นว่านี่คือหนทางที่แท้จริง เมื่อนั้นพวกเขาจึงคิดว่า ‘ความทุกข์ทั้งหมดก่อนหน้านี้คุ้มค่าแล้ว ทั้งหมดนั้นคือการจัดวางเรียบเรียงและดำเนินการของพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงทำไว้ดีแล้ว ถ้าฉันไม่ได้ทนทุกข์อย่างนั้น ฉันก็คงจะไม่มาเชื่อในพระเจ้า ตอนนี้เมื่อฉันเชื่อในพระเจ้าแล้ว ถ้าฉันสามารถยอมรับความจริง เช่นนั้นแล้วชะตากรรมของฉันก็ควรที่จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น คราวนี้ฉันก็จะสามารถมีชีวิตที่เท่าเทียมกับพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร ผู้คนย่อมเรียกฉันว่า “พี่” หรือ “น้อง” และพูดจาให้เกียรติฉัน ตอนนี้ฉันได้ลิ้มรสความรู้สึกของการที่ผู้อื่นให้เกียรติฉันแล้ว’ ดูเหมือนว่าโชคชะตาของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ทนทุกข์อีกต่อไป ไม่ได้มีชะตากรรมที่ไม่ดีอีกต่อไป ทันทีที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ตั้งปณิธานว่าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าให้ดี พวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์ยากและงานหนัก สามารถสู้ทนได้มากกว่าผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด และพากเพียรที่จะได้รับความเห็นชอบและความยกย่องนับถือจากผู้คนส่วนใหญ่ พวกเขาคิดว่าตนอาจได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ผู้ดูแล หรือผู้นำทีมด้วยซ้ำ และเมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะให้เกียรติบรรพชนและครอบครัวของตนอยู่มิใช่หรือ? เมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนแล้วมิใช่หรือ? อย่างไรก็ดี ความเป็นจริงไม่ค่อยจะเป็นไปตามความปรารถนาของพวกเขาสักเท่าใด พวกเขาจึงท้อใจและคิดว่า ‘ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี เข้ากับพี่น้องชายหญิงได้ดียิ่ง แต่ทำไมพอถึงเวลาเลือกผู้นำ ผู้ดูแล หรือผู้นำกลุ่มทีไร กลับไม่เคยเป็นทีของฉันเลย? เพราะฉันดูธรรมดามาก หรือเพราะผลงานของฉันไม่ดีพอกระนั้นหรือ ถึงไม่มีใครสังเกตเห็นฉัน? ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ฉันอาจมีความหวังอยู่บ้าง และถึงจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำกลุ่ม ฉันก็ย่อมจะมีความสุข ฉันเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นมากมายที่จะตอบแทนพระเจ้า แต่ทุกครั้งที่มีการออกเสียง สุดท้ายฉันกลับได้แต่ความผิดหวัง ถูกมองข้ามในทุกเรื่อง นี่เกิดอะไรขึ้น? เป็นไปได้ไหมว่าแท้จริงแล้วฉันเป็นได้แค่คนที่มีความสามารถงั้นๆ คนธรรมดาทั่วไปที่ทั้งชีวิตไม่มีความโดดเด่น? พอย้อนกลับไปมองวัยเด็กของตัวเอง วัยหนุ่มสาว และช่วงวัยกลางคน เส้นทางที่ฉันย่ำเดินมานี้ก็ต่ำต้อยมาตลอด ฉันไม่ได้ทำอะไรที่ควรแก่การจดจำเลย ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีความทะเยอทะยาน หรือว่าไร้ขีดความสามารถ และไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้พยายามมากพอหรือสู้ทนความทุกข์ยากไม่ได้ ฉันมีความตั้งใจแน่วแน่และมีเป้าหมาย และสามารถพูดได้ด้วยซ้ำว่าฉันมีความทะเยอทะยาน ดังนั้น ทำไมฉันถึงไม่เคยเป็นที่สะดุดตาของผู้คนเลย? พอวิเคราะห์จนถึงที่สุดแล้ว ฉันก็แค่มีชะตากรรมที่ไม่ดี ถูกลิขิตให้ทนทุกข์ และพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ไว้ให้ฉันแบบนี้’ ยิ่งพวกเขาวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าชะตากรรมของตนนั้นแย่ลงทุกที ปกติแล้วระหว่างที่พวกเขาทำหน้าที่ ถ้าพวกเขาเสนอแนะหรือแสดงทัศนะบางอย่าง และได้รับถ้อยคำหักล้างอยู่เสมอ ไม่มีใครรับฟังหรือจริงจังกับพวกเขา พวกเขาก็ยิ่งหดหู่มากขึ้น และคิดไปว่า ‘ชะตากรรมของฉันแย่เอามากๆ! ทุกกลุ่มที่ฉันอยู่ด้วยมีคนใจร้ายคอยขวางทางก้าวหน้าและกดขี่ฉันอยู่เสมอ ไม่มีใครเคยฟังฉันอย่างจริงจังและฉันก็ไม่เคยโดดเด่นขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณารอบด้านแล้ว ก็กลับมาที่จุดนี้คือฉันแค่มีชะตากรรมที่ไม่ดี!’ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็อ้างว่าเป็นเพราะชะตากรรมของตนนั้นไม่ดี พวกเขาใช้ความพยายามกับแนวคิดเรื่องการมีชะตากรรมที่ไม่ดีนี้อย่างต่อเนื่อง พากเพียรที่จะทำความเข้าใจและรู้ซึ้งในเรื่องนี้ให้มากขึ้น และระหว่างที่พวกเขาเฝ้าครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ ภาวะอารมณ์ของพวกเขาก็ยิ่งหดหู่มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดเล็กน้อย พวกเขาก็คิดว่า ‘แล้วกัน ฉันจะทำหน้าที่ให้ดีได้อย่างไรในเมื่อชะตากรรมของฉันแย่อย่างนี้?’ ในการชุมนุม พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมให้ฟังและพวกเขาก็เฝ้าคิดเรื่องต่างๆ กลับไปกลับมา แต่ก็ไม่เข้าใจและคิดไปว่า ‘โธ่ ฉันจะเข้าใจเรื่องต่างๆ ได้อย่างไรในเมื่อชะตากรรมของฉันไม่ดีอย่างนี้?’ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นใครสักคนพูดจาดีกว่าตน ชี้แจงความเข้าใจที่มีได้ชัดเจนและกระจ่างกว่าตน พวกเขาก็รู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเดิม เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนที่สามารถสู้ทนความทุกข์ยากและจ่ายราคาได้ ใครบางคนที่เห็นผลของการปฏิบัติหน้าที่ของตน ได้รับความเห็นชอบจากพี่น้องชายหญิงและได้เลื่อนตำแหน่ง หัวใจของพวกเขาก็รู้สึกเป็นทุกข์ เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนได้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกหดหู่มากขึ้นอีก และแม้ในยามที่พวกเขาเห็นใครสักคนร้องเพลงและเต้นรำเก่งกว่าตน และรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าคนคนนั้น พวกเขาก็หดหู่ ไม่ว่าผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาพบเจอจะเป็นเช่นใด หรือพวกเขาจะเผชิญสถานการณ์อะไรก็ตาม พวกเขาก็ตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นด้วยภาวะอารมณ์ที่หดหู่เช่นนี้เสมอ แม้ในยามที่พวกเขาเห็นใครบางคนสวมเสื้อผ้าที่ดูดีกว่าของตนนิด หรือมีทรงผมที่ดูดีกว่าหน่อย พวกเขาก็รู้สึกเศร้าอยู่เสมอ แล้วความอิจฉาและริษยาก็บังเกิดในหัวใจของพวกเขาจนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็กลับไปหาภาวะอารมณ์ที่หดหู่นั้น พวกเขาให้เหตุผลว่าอะไร? พวกเขาคิดไปว่า ‘นี่เป็นเพราะชะตากรรมของฉันไม่ดีไม่ใช่หรือ? ถ้าหน้าตาฉันดูดีกว่านี้หน่อย ถ้าฉันดูภูมิฐานอย่างพวกเขา ถ้าฉันสูงและมีรูปร่างดี มีเสื้อผ้าดีๆ และมีเงินมากๆ มีพ่อแม่ที่ดี เช่นนั้นแล้วสิ่งต่างๆ ย่อมจะต่างออกไปจากที่เป็นอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นแล้วผู้คนก็จะยกย่องนับถือฉัน พากันอิจฉาและริษยาฉันไม่ใช่หรือ? ท้ายที่สุดแล้วชะตากรรมของฉันไม่ดีและฉันก็โทษใครไม่ได้ในเรื่องนี้ เมื่อมีชะตากรรมที่ไม่ดี ก็ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่คาดหวัง ฉันไม่สามารถเดินไปไหนๆ ได้โดยไม่สะดุดอะไรล้ม นี่ก็เพราะชะตากรรมที่ไม่ดีของฉันเท่านั้น และฉันก็ทำอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้’ ในทำนองเดียวกัน เวลาพวกเขาถูกตัดแต่ง หรือเวลาพี่น้องชายหญิงตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์พวกเขา หรือให้ข้อเสนอแนะแก่พวกเขา พวกเขาก็ตอบสนองด้วยภาวะอารมณ์ที่หดหู่ อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบางสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาหรือเรื่องของทุกสิ่งรอบตัวพวกเขา พวกเขาก็ตอบสนองด้วยความคิดอ่าน ทัศนะ ท่าที และจุดยืนที่เป็นลบอยู่เสมอ ซึ่งเกิดจากภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของพวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) พระวจนะเปิดเผยสถานการณ์ของฉันได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อก่อนฉันคิดว่าการใช้ชีวิตอย่างชนชั้นสูง และได้รับความเคารพนับถือและการสนับสนุนจากคนอื่นหมายความว่าคนเรามีชะตากรรมที่ดี ขณะที่การมาจากครอบครัวยากจน ใช้ชีวิตที่อดอยาก ต่ำต้อย และไม่เป็นที่นับถือจากผู้อื่นแปลว่ามีชะตากรรมที่เลวร้าย ฉันเติบโตมาท่ามกลางความยากจน และไม่เคยมีสิ่งจำเป็นพื้นฐานเพียงพอ ฉันไม่เป็นที่นับถือของคนอื่น แถมยังโดนดูถูก และเลือกปฏิบัติ ฉันเลยคิดอยู่บ่อยๆ ว่าฉันมีชะตากรรมที่เลวร้าย การมาจากภูมิหลังแบบนี้ทำให้ฉันแน่วแน่ที่จะเรียนให้หนักเพื่อเปลี่ยนชะตากรรม และใช้ชีวิตแบบชนชั้นสูง แต่แล้วในช่วงมัธยมต้น ฉันก็ตรวจพบว่ามีอาการสายตาสั้นรุนแรงและถูกบังคับให้หยุดเรียน ฉันจึงคิดว่าฉันหมดหวังที่จะทำฝันให้เป็นจริงแล้ว และรู้สึกผิดหวังมาก หลังจากเข้าสู่ความเชื่อ ฉันก็ไม่พอใจที่เป็นแค่ผู้เชื่อธรรมดา และพยายามที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน ฉันคิดว่าการได้มาซึ่งสถานะจะทำให้ได้รับความนับถือและการสนับสนุนจากทุกคน การมีสถานะและชื่อเสียงหมายความว่าฉันมีชะตากรรมที่ดี ฉันทำงานหนักและพยายามทำเป้าหมายให้ลุล่วง แต่ผ่านไปสองสามปี ฉันก็ยังไม่ได้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน พอพี่สาวที่ยอมรับพระราชกิจช่วงระยะนี้พร้อมฉันได้เป็นผู้นำอย่างรวดเร็ว ฉันก็ยิ่งปักใจเชื่อว่าชะตากรรมของฉันเลวร้าย บางครั้งเวลาที่ข้อเสนอแนะของฉันไม่ถูกนำไปใช้ และฉันไม่ได้รับความนับถือจากผู้อื่น ฉันก็จะไม่กล้าแสดงทรรศนะอีก และจะปิดกั้นตัวเอง สาปแช่งชะตากรรมเลวร้ายของตัวเองอยู่เงียบๆ ต่อมาพอถูกเลื่อนขั้นให้ไปทำหน้าที่ด้านต้นฉบับ ฉันก็มีความสุขจริงๆ แต่แล้วฉันก็เกิดมีปัญหากระดูกคอที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำหน้าที่ จึงถูกบีบให้กลับไปอยู่คริสตจักรเดิม และทำหน้าที่ที่ทำได้ ฉันรู้สึกแย่กับโชคชะตาของตัวเองมาก และรู้สึกว่าสุดท้ายฉันก็มีแต่ชะตากรรมที่เลวร้าย ฉันคิดว่าฉันจะไม่มีโอกาสได้ทำตัวโดดเด่นอีก คิดว่าฉันจะไม่มีวันได้เลื่อนขั้น หรือทำหน้าที่สำคัญ จะไม่เป็นที่นับถือหรือได้รับการสนับสนุนจากคนอื่น ดังนั้น ฉันเลยรู้สึกหดหู่และหย่อนยานในหน้าที่ ทำพอให้พ้นตัว ให้ผ่านไปวันๆ ฉันเห็นว่าฉันเอาแต่แสวงหาสถานะ การสนับสนุนและความนับถือจากคนอื่นในทุกแง่มุม เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ฉันก็จะพร่ำบ่นว่าชะตากรรมของฉันไม่ดี เสียความกระตือรือร้นในหน้าที่ หยุดแบ่งปันทัศนะในการชุมนุมอย่างแข็งขัน ไม่อาจยอมรับสถานการณ์ที่เผชิญจากพระเจ้าและทบทวนตัวเองได้ ผลก็คือการเข้าสู่ชีวิตของฉันหยุดชะงัก สภาวะที่คิดลบของฉันคือการประท้วงพระเจ้าเงียบๆ ไม่ใช่เหรอ? ตลอดหลายปีที่เชื่อมา ฉันพูดอยู่เสมอว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทุกวันเป็นผลจากการจัดวางเรียบเรียงและเตรียมการของพระเจ้า แต่เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นอย่างที่ต้องการ ฉันก็ไม่นบนอบและไม่วางใจอธิปไตยของพระเจ้า ทรรศนะเหล่านี้เป็นทรรศนะของผู้ปราศจากความเชื่อไม่ใช่เหรอ?
ต่อมา ฉันก็เฝ้าแสวงหาว่าทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าชะตากรรมของฉันเลวร้ายอยู่เรื่อย? เกิดอะไรขึ้นกับทรรศนะของฉัน? จากนั้น ฉันก็บังเอิญเจอพระวจนะสองบทตอนนี้ “การจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าว่าชะตากรรมของคนคนหนึ่งจะเป็นอย่างไร จะดีหรือไม่ดีนั้น ไม่ควรมองหรือประเมินด้วยสายตาของมนุษย์หรือสายตาของหมอดู และไม่ประเมินโดยดูว่าคนคนนั้นมีความมั่งคั่งและความรุ่งโรจน์ในชีวิตของตนมากเท่าใด หรือมีประสบการณ์เป็นความทุกข์มากเท่าใด หรือประสบความสำเร็จเพียงใดในการไล่ตามไขว่คว้าโอกาสในอนาคต ชื่อเสียง และโชคลาภ แต่นี่คือความผิดพลาดอันร้ายแรงซึ่งเกิดจากผู้ที่บอกว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี ทั้งยังเป็นวิธีที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ประเมินชะตากรรมของตนอีกด้วย ผู้คนส่วนใหญ่ประเมินชะตากรรมของตนเองอย่างไร? ผู้คนทางโลกประเมินอย่างไรว่าชะตากรรมของคนคนหนึ่งนั้นดีหรือไม่ดี? โดยหลักแล้วพวกเขาดูว่าชีวิตของคนคนนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่นหรือไม่ มั่งคั่งและรุ่งโรจน์ได้หรือไม่ สามารถมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่เหนือกว่าคนอื่นหรือไม่ ชั่วชีวิตของพวกเขานั้นทนทุกข์เท่าใดและสุขสำราญเพียงใด มีอายุยืนยาวเพียงใด มีอาชีพการงานอะไร ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยการตรากตรำหรือสะดวกสบายและง่ายดาย—พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้และอื่นๆ มาประเมินว่าชะตากรรมของคนคนหนึ่งดีหรือไม่ดี พวกเจ้าก็ประเมินแบบนี้ด้วยมิใช่หรือ? (ใช่) ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าส่วนใหญ่เผชิญบางสิ่งที่ตนไม่ชอบ เมื่อมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก หรือไม่สามารถสุขสำราญกับวิถีชีวิตที่ล้ำเลิศกว่าได้ พวกเจ้าก็จะคิดว่าตนเองมีชะตากรรมที่ไม่ดีเช่นกัน และพวกเจ้าก็จะจมอยู่ในความหดหู่” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) “พระเจ้าทรงลิขิตชะตากรรมของผู้คนล่วงหน้าไว้นานแล้ว และทั้งหมดก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ‘ชะตากรรมที่ดี’ และ ‘ชะตากรรมที่ไม่ดี’ นี้ย่อมแตกต่างกันไปตามผู้คนแต่ละคน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม และขึ้นอยู่กับว่าผู้คนรู้สึกอย่างไรและไล่ตามเสาะหาอะไร นั่นคือสาเหตุที่ชะตากรรมของคนเราไม่ใช่ทั้งดีและไม่ดี เจ้าอาจมีชีวิตที่ยากลำบากมาก แต่เจ้าก็อาจจะคิดว่า ‘ฉันไม่ได้อยากใช้ชีวิตหรูหรา ฉันมีความสุขกับการมีพอกินและมีเสื้อผ้าพอสวมใส่เท่านั้น ทุกคนย่อมทนทุกข์ในช่วงชีวิตของตน ผู้คนทางโลกบอกว่า “หากฝนไม่ตก คุณก็ไม่อาจมองเห็นสายรุ้งได้” ดังนั้นความทุกข์จึงมีคุณค่า นี่ไม่ได้แย่อะไรนัก และชะตากรรมของฉันก็ไม่เลว สวรรค์เบื้องบนประทานความเจ็บปวดบางอย่าง บททดสอบบางข้อ และความทุกข์ร้อนแก่ฉัน นั่นก็เพราะพระองค์ทรงมองฉันในทางที่ดี นี่เป็นชะตากรรมที่ดี!’ บางคนคิดว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่ดี ความทุกข์หมายความว่าพวกเขามีชะตากรรมที่ไม่ดี มีแต่ชีวิตที่ไร้ทุกข์ ชีวิตที่สะดวกสบายและราบรื่นเท่านั้นที่หมายความว่าพวกเขามีชะตากรรมที่ดี ผู้ไม่มีความเชื่อเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น ‘เรื่องของความคิดเห็น’ แล้วผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามองเรื่องของ ‘ชะตากรรม’ นี้อย่างไร? พวกเราพูดถึงการมี ‘ชะตากรรมที่ดี’ หรือ ‘ชะตากรรมที่ไม่ดี’ กันหรือไม่? (ไม่) พวกเราไม่พูดเรื่องอย่างนี้กัน สมมุติว่าเจ้ามีชะตากรรมที่ดีเพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นถ้าเจ้าไม่เดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้องในการเชื่อของเจ้า ถ้าเจ้าถูกลงโทษ ถูกเปิดโปงและกำจัดออกไป เช่นนั้นแล้วนั่นหมายความว่าเจ้ามีชะตากรรมที่ดีหรือชะตากรรมที่ไม่ดี? ถ้าเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า ก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะถูกเปิดโปงหรือถูกกำจัดออกไป พวกผู้ไม่มีความเชื่อและผู้คนในศาสนาไม่พูดถึงการเปิดโปงผู้คนหรือใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คนกัน และพวกเขาก็ไม่พูดถึงการที่ผู้คนถูกเอาตัวออกไปหรือถูกกำจัดออกไป นี่ควรที่จะหมายความว่าเมื่อผู้คนสามารถเชื่อในพระเจ้า พวกเขาย่อมมีชะตากรรมที่ดี แต่ถ้าพวกเขาถูกลงโทษในท้ายที่สุด นั่นก็หมายความว่าพวกเขามีชะตากรรมที่ไม่ดีกระนั้นหรือ? เมื่อครู่ชะตากรรมของพวกเขายังดีอยู่เลย จู่ๆ กลับไม่ดีเสียแล้ว—เป็นอย่างไหนกันแน่? ไม่ว่าใครบางคนจะมีชะตากรรมที่ดีหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถตัดสินกันได้ ผู้คนไม่สามารถตัดสินเรื่องนี้ได้ ทั้งหมดนี้มีพระเจ้าเป็นผู้ดำเนินการและทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมการย่อมดีงาม เพียงแต่ว่าวิถีแห่งชะตากรรมของคนแต่ละคน หรือสภาพแวดล้อมของพวกเขา รวมทั้งผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งที่พวกเขาเผชิญ เส้นทางชีวิตที่พวกเขามีประสบการณ์ด้วยในชีวิตของตน ล้วนแตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้แตกต่างกันเป็นคนๆ ไป สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของแต่ละคนและสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตมานั้น ทั้งสองอย่างคือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมการให้แก่พวกเขา และแตกต่างกันทั้งสิ้น สิ่งที่แต่ละคนมีประสบการณ์ในช่วงชีวิตของตนนั้นล้วนแตกต่างกัน ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชะตากรรมที่ดีหรือชะตากรรมที่ไม่ดี—พระเจ้าทรงจัดเตรียมทั้งหมดนี้ และทั้งหมดนี้ล้วนเสร็จสิ้นเพราะพระเจ้า ถ้าพวกเราพิจารณาเรื่องนี้ตามมุมมองที่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำก็ย่อมดีงามและถูกต้อง นั่นเป็นเพียงสิ่งที่มาจากมุมองตามความชื่นชอบ ความรู้สึก และการเลือกของผู้คน บางคนก็เลือกที่จะใช้ชีวิตที่สุขสบาย เลือกที่จะมีชื่อเสียงและโชคลาภ เป็นที่นับหน้าถือตา มีความเจริญรุ่งเรืองในโลก และประสบความสำเร็จ พวกเขาเชื่อว่านี่หมายความว่าพวกเขามีชะตากรรมที่ดี ส่วนชีวิตที่ธรรมดาสามัญและไม่ประสบความสำเร็จ ใช้ชีวิตอยู่ที่ฐานล่างของสังคมตลอดเวลานั้นคือชะตากรรมที่ไม่ดี สิ่งต่างๆ ดูจะเป็นเช่นนี้ตามมุมมองของผู้ไม่มีความเชื่อและผู้คนทางโลกที่ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทั้งหลายทางโลกและเสาะแสวงที่จะใช้ชีวิตอยู่ในโลก และแนวคิดเรื่องชะตากรรมที่ดีและชะตากรรมที่ไม่ดีก็เกิดขึ้นในลักษณะนี้ แนวคิดเรื่องชะตากรรมที่ดีและชะตากรรมที่ไม่ดีเกิดขึ้นเพียงเพราะความเข้าใจอันคับแคบและการรับรู้อันตื้นเขินที่มนุษย์มีต่อชะตากรรมเท่านั้น รวมทั้งการที่ผู้คนตัดสินว่าพวกเขาควรสู้ทนความทุกข์ทางกายมากเท่าใด พวกเขาควรได้รับความสุขสำราญ ชื่อเสียงและโชคลาภมากเท่าใด เป็นต้น อันที่จริง ถ้าพวกเรามองเรื่องนี้ตามมุมมองของการจัดแจงเตรียมการและอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือชะตากรรมของมนุษย์ ย่อมไม่มีการตีความเรื่องชะตากรรมที่ดีหรือชะตากรรมที่ไม่ดีดังกล่าว นี่ย่อมถูกต้องมิใช่หรือ? (ใช่) ถ้าเจ้ามองชะตากรรมของมนุษย์ตามมุมมองแห่งอธิปไตยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำย่อมดีงาม และเป็นสิ่งที่แต่ละคนต้องการ นี่เป็นเพราะเหตุและผลมีบทบาทต่อชีวิตในอดีตและในปัจจุบัน พระเจ้าทรงลิขิตชีวิตเหล่านั้นไว้ล่วงหน้า พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชีวิตเหล่านั้น และพระเจ้าก็ทรงวางแผนและจัดเตรียมชีวิตเหล่านั้น—มวลมนุษย์ไม่มีทางเลือก ถ้าพวกเรามองเรื่องนี้ตามมุมมองนี้ ผู้คนก็ไม่ควรตัดสินชะตากรรมของตนเองว่าดีหรือไม่ดีใช่หรือไม่?” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) พระวจนะชี้ให้เห็นถึงความไร้สาระของมุมมองเรื่องชะตากรรมที่ “ดี” และ “ร้าย” ของผู้คนได้อย่างเฉียบคม ผู้คนตัดสินชะตากรรมของตัวเองโดยดูว่าชีวิตของตนราบรื่นหรือไม่ มีสถานะและความร่ำรวยหรือไม่ มีชื่อเสียงและโชคลาภหรือไม่ การกำหนดตามความชอบส่วนตนเป็นทรรศนะของผู้ไม่เชื่อและไม่สอดคล้องกับความจริง เมื่อมีพระเจ้า ย่อมไม่มีชะตากรรมที่ดีหรือร้ายเช่นนั้น พระเจ้าทรงกำหนดชะตากรรมของผู้คนตามชีวิตชาติก่อนและชาตินี้ของพวกเขา ชะตากรรมของพวกเขาถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าและถูกจัดการโดยพระเจ้า ฉันตระหนักว่าทรรศนะของฉันไม่ต่างอะไรจากผู้ไม่เชื่อ ทั้งชีวิตฉันเสาะหาความมั่งคั่งและสถานะ เพื่อที่จะโดดเด่น ได้รับชื่อเสียงและโชคลาภ ฉันคิดว่าการเป็นที่นับถือและได้รับการสนับสนุนเป็นเครื่องหมายของชะตากรรมที่ดี ส่วนชีวิตทั่วไปและไม่โดดเด่นของฉัน การใช้ชีวิตท่ามกลางความยากจน และไม่อาจเป็นที่นับถือ หรือเป็นที่สนใจนั้น เห็นชัดว่าเป็นชะตากรรมที่เลวร้าย จากนั้นฉันก็เห็นว่า ทรรศนะของฉันผิดพลาดและได้มาจากซาตาน นี่เป็นความเข้าใจที่แสนจำกัดเรื่องชะตากรรมซึ่งมาจากผู้ไม่เชื่อ ฉันตระหนักว่า บรรดาคนที่มีชื่อเสียงและรวยมาก อาจมีเกียรติ ความรุ่งโรจน์ ความนับถือและการสนับสนุนจากผู้อื่น และดูเหมือนมีชะตากรรมที่ดี แต่พวกเขากลับว่างเปล่าทางวิญญาณ ทนทุกข์ รู้สึกว่าชีวิตช่างน่าเบื่อ บางคนถึงกับลงเอยด้วยการเสพยาหรือฆ่าตัวตาย เมื่อมีอำนาจพวกเขาก็ใจกล้าขึ้น บางคนก็สร้างปัญหา ทำชั่ว และทำผิดกฎหมาย ลงเอยด้วยการติดคุก และทำลายชื่อเสียงตัวเอง คนแบบนั้นมีชะตากรรมที่ดีจริงเหรอ? ฉันเห็นว่าชะตากรรมของคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเพลินเพลินอยู่กับความมั่งคั่งและความรุ่งโรจน์หรือไม่ ก้าวผ่านความทุกข์มามากแค่ไหน พระเจ้าทรงกำหนดและจัดการเตรียมการว่าใครจะรวยหรือจนแค่ไหน พระเจ้าทรงกำหนดชีวิตเราล่วงหน้าตามสิ่งที่จำเป็นสำหรับเรา และการจัดการของพระองค์ก็ดีทั้งนั้น เมื่อมีพระเจ้าก็ย่อมไม่มีชะตากรรมที่ดีหรือร้ายเช่นนั้น สำหรับฉันเอง ถึงจะเติบโตมาท่ามกลางความยากจน ก้าวผ่านความยากลำบากและความพ่ายแพ้ และความทุกข์มาค่อนข้างมาก ทุกประสบการณ์ของฉันก็ทำให้ฉันมีความแน่วแน่ในการเผชิญความทุกข์มากขึ้น นี่เป็นความสามารถที่มีค่าอย่างเหลือเชื่อของฉันในชีวิต มากกว่านั้นคือ ตัวฉันมีความอยากได้อยากมีชื่อเสียงและสถานะมากเกินไป ถ้าฉันได้เข้ามหาวิทยาลัย มีโชคลาภชื่อเสียง ฉันคงจะถูกพัดพาไปในกระแสชั่วนั้นแน่ ฉันจะได้มาเฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้างแล้วได้รับความรอดของพระเจ้าไหม? พระเจ้ายังทรงกำหนดล่วงหน้าไว้ว่า ฉันจะไม่ถูกเลือกเป็นผู้นำ ฉันมีความสามารถบางอย่างในการทำความเข้าใจพระวจนะ และสามารถระบุชี้ปัญหาบางอย่างในตัวพี่น้องชายหญิงได้ แต่ฉันไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น และไม่สามารถรับมือกับงานที่เยอะกว่านี้ได้ ผู้นำต้องรับมือกับงานมากมาย และถ้าปัญหาไม่ถูกจัดการให้ดีก็จะส่งผลเสียต่องานของคริสตจักร ตอนนี้ฉันได้ทำหน้าที่ที่ฉันสามารถทำได้ให้ลุล่วง สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อฉันและต่องานของคริสตจักร ฉันได้เห็นเจตนาที่ตั้งใจจริงเบื้องหลังสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงให้ฉัน ฉันเคยใช้ชีวิตด้วยทรรศนะที่ไร้สาระพวกนี้ ปรารถนาจะใช้ชีวิตอย่างชนชั้นสูง เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่ฉันต้องการและปรารถนา ฉันก็จะพร่ำบ่นเรื่องชะตากรรมที่เลวร้ายของตัวเอง จมดิ่งในความหดหู่ และกบฏต่อพระเจ้า ในฐานะผู้เชื่อ ฉันไม่ได้ทำตามพระวจนะ แต่กลับยึดถือทรรศนะผิดๆ ของผู้ไม่เชื่อ ฉันกบฏและต่อต้านพระเจ้า! พอตระหนักเรื่องนี้ได้ ฉันก็ค่อนข้างรู้สึกแย่กับสิ่งที่ทำไป เลยมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่เข้าใจความจริงและยังไม่นบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ข้าพระองค์โอหังและไร้เหตุผลจริงๆ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะแก้ไขทรรศนะที่ไร้สาระของตนเอง นบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ และไม่ต่อต้านพระองค์อีก”
ต่อมา ฉันบังเอิญเจอพระวจนะอีกสองบทตอนที่ทำให้ฉันเข้าใจผลที่แสนอันตรายจากอารมณ์ในทางลบขึ้นบ้าง พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “แม้ผู้คนที่คิดว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดีเหล่านี้จะเชื่อในพระเจ้า และสามารถปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ สละตนและติดตามพระเจ้าได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างเป็นอิสระ เสรี และผ่อนคลายเช่นกัน ทำไมพวกเขาถึงทำดังนี้ไม่ได้? เพราะภายในตัวพวกเขานั้นเก็บงำความนึกคิดและทัศนะมากมายที่สุดโต่งและผิดปกติ ซึ่งก่อให้เกิดภาวะอารมณ์ที่สุดโต่งในตัวพวกเขา ภาวะอารมณ์ที่สุดโต่งเหล่านี้ทำให้วิธีการที่พวกเขาใช้ตัดสินสิ่งต่างๆ วิธีคิด และทัศนะที่พวกเขามีต่อสิ่งทั้งหลาย ก่อเกิดขึ้นมาจากจุดยืนที่สุดโต่ง ไม่ถูกต้อง และบิดเบี้ยว พวกเขามองประเด็นปัญหาและผู้คนจากจุดยืนที่สุดโต่งและไม่ถูกต้องนี้ อันเป็นการดำรงชีวิต มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการภายใต้ผลกระทบและอิทธิพลจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร พวกเขาก็ดูจะเหนื่อยล้าจนไม่สามารถปลุกเร้าให้ตนเองมีความกระตือรือร้นในการเชื่อในพระเจ้าและในการไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าจะเลือกดำเนินชีวิตของตนอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่เป็นบวกหรือแข็งขันได้ และแม้จะเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี พวกเขาก็ไม่เคยมุ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยหัวใจและดวงจิตทั้งดวง หรือมุ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เป็นที่น่าพอใจ จึงแน่นอนว่าพวกเขายิ่งไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงหรือปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เมื่อวิเคราะห์รอบด้านแล้ว นี่เป็นเพราะพวกเขาคิดอยู่เสมอว่าตนนั้นมีชะตากรรมที่ไม่ดี และนี่ก็พาให้พวกเขามีภาวะอารมณ์ที่หดหู่มาก พวกเขาท้อแท้อย่างสิ้นเชิง หมดพลัง เหมือนซากศพเดินได้ ไร้ชีวิตชีวา ไม่มีพฤติกรรมที่เป็นบวกหรือมองโลกในแง่ดีให้เห็น และยิ่งไม่มีความมุ่งมั่นหรือความทรหดอดทนที่จะอุทิศความจงรักภักดีที่พวกเขาควรอุทิศต่อหน้าที่ ความรับผิดชอบ และภาระผูกพันของตน ตรงกันข้ามพวกเขากลับฝืนดิ้นรนไปวันๆ ด้วยท่าทีที่สุกเอาเผากิน ผ่านพ้นแต่ละวันไปอย่างไร้จุดหมาย เลอะเลือน และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำตัวสะเปะสะปะไปอีกนานเท่าใด ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากบอกตัวเองว่า ‘เอาเถอะ ฉันก็จะสะเปะสะปะไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ทำได้แล้วกัน! ถ้าวันหนึ่งฉันไปต่อไม่ไหวอีกแล้ว และคริสตจักรก็อยากจะไล่และกำจัดฉันออกไป เช่นนั้นพวกเขาก็ควรที่จะกำจัดฉันออกไปเสียเลย นี่เป็นเพราะฉันมีชะตากรรมที่ไม่ดี!’ เจ้าดูเถิด แม้กระทั่งสิ่งที่พวกเขาพูดออกมาก็หมดอาลัยขนาดนี้ ภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้ไม่ได้เป็นเพียงอารมณ์ธรรมดา แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือมันมีผลกระทบที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อความคิดอ่าน หัวใจ และการไล่ตามเสาะหาของผู้คน ถ้าเจ้าไม่สามารถแก้ไขภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของเจ้าให้กลับมาดีได้อย่างทันท่วงทีและโดยเร็ว ไม่เพียงอารมณ์เช่นนี้จะส่งผลต่อชีวิตของเจ้าไปชั่วชีวิตเท่านั้น แต่จะทำลายชีวิตของเจ้าและพาเจ้าไปหาความตายอีกด้วย ต่อให้เจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็จะไม่สามารถได้รับความจริงและบรรลุความรอด แล้วในที่สุดเจ้าก็จะพินาศ” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) “ความหดหู่แบบนี้ไม่ใช่ความเป็นกบฏธรรมดาหรือชั่วขณะ หรือเป็นการพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาชั่วครั้งชั่วคราว และยิ่งไม่ใช่การพรั่งพรูสภาวะที่เสื่อมทรามออกมา แต่เป็นการต้านทานพระเจ้าอย่างเงียบๆ เป็นการต้านทานชะตากรรมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้พวกเขาอย่างเงียบๆ ด้วยความไม่พอใจ แม้นี่อาจจะเป็นภาวะอารมณ์เชิงลบทั่วๆ ไป แต่ผลที่เกิดขึ้นกับผู้คนกลับร้ายแรงกว่าผลที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม นี่ไม่เพียงขัดขวางเจ้าไม่ให้ใช้ท่าทีที่เป็นบวกและถูกต้องต่อหน้าที่ที่เจ้าพึงปฏิบัติ ต่อชีวิตประจำวันและการเดินทางในชีวิตของเจ้าเองเท่านั้น แต่ที่ยิ่งร้ายแรงกว่าก็คือสามารถทำให้เจ้าพินาศเพราะความหดหู่ได้อีกด้วย” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) ผ่านพระวจนะ ฉันได้เห็นว่าถ้าใครคิดว่าตนเองมีชะตากรรมที่เลวร้าย เวลาพวกเขาเชื่อในพระเจ้า ทำหน้าที่ให้ลุล่วง ปฏิบัติต่อผู้คนหรือสิ่งต่างๆ ที่เจอ ด้วยทรรศนะที่ผิดพลาดและสุดโต่ง พวกเขาย่อมมีแนวโน้มจะร่วงสู่ความคิดลบและความหดหู่ กลายเป็นทำหน้าที่อย่างมึนงง ทำพอเป็นพิธี ไม่ใส่ใจ และไม่อยากก้าวหน้า การจมอยู่ในความหดหู่สามารถนำไปสู่ความตกต่ำเสื่อมถอยได้ สุดท้ายผลก็คือการทำลายโอกาสในความรอด ฉันเห็นว่าถ้าฉันไม่ทิ้งทรรศนะนี้ ผลที่ตามมาจะเลวร้ายอย่างยิ่ง! ฉันนึกถึงการที่ฉันใช้ชีวิตด้วยแนวคิดของการมีชะตากรรมเลวร้าย ตอนที่ฉันต้องเลิกเรียนเพราะปัญหาดวงตา ความฝันที่จะเสาะหาชื่อเสียงและโชคลาภก็พังทลาย และฉันจะไม่สามารถใช้ชีวิตที่ร่ำรวยและเป็นที่นับถือได้ ฉันเลยทนทุกข์สาหัสและสูญสิ้นความหวังในชีวิต หลังจากมาเป็นผู้เชื่อและทำหน้าที่ ฉันก็ยังแสวงหาสถานะสูงๆ และเมื่อฉันไม่ได้เลื่อนขั้น ไม่ถูกเลือกเป็นผู้นำ ฉันก็ไม่ทบทวนข้อบกพร่องของตัวเอง ไม่ได้มารู้จักตัวเอง แต่กลับพร่ำบ่นโชคชะตาอันเลวร้ายของตัวเองไปเรื่อยๆ และใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่เป็นลบ ไม่เต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริง ต่อมา พอฉันเกิดปัญหาที่กระดูกส่วนคอ ฉันก็คิดว่า ฉันจะไม่สามารถโดดเด่นได้ในอนาคต ฉันเลยหย่อนยานในหน้าที่ ยอมอยู่ในความล้มเหลว และค่อยๆ ออกห่างจากพระเจ้า ฉันเห็นว่าการมีทรรศนะเรื่องการมีชะตากรรมที่ดีหรือร้ายได้ผูกมัดตีตรวนฉันไว้อย่างแน่นหนา จนฉันไม่อาจนบนอบอธิปไตยและการทรงจัดการเตรียมการ และทำตัวต่อต้านยิ่งกว่าเดิม ฉันนึกถึงผู้ไม่เชื่อที่พูดเสมอว่าชะตากรรมของพวกเขาเลวร้ายแค่ไหน เพราะพวกเขายากจนและไร้อำนาจ อยู่ในชนชั้นล่างของสังคม ไม่ได้รับความนับถือจากผู้อื่น ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งอยู่บ่อยๆ พวกเขาจึงทำทุกทางเพื่อเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเอง แต่เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่หวัง พวกเขาก็คิดที่จะจบชีวิต ผู้ไม่เชื่อคนอื่นๆ ขยันเรียนอยู่หลายปี แต่ก็ไม่อาจได้รับสถานะหรือความมั่งคั่ง แล้วคิดว่าตัวเองมีชะตากรรมที่เลวร้าย บางคนถึงกับจะกลายเป็นซึมเศร้าและเสียสติอย่างรุนแรง ฉันเห็นว่าเมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริงและใช้ชีวิตด้วยทรรศนะที่ไร้สาระ เมื่อพวกเขาไม่ปฏิบัติต่อตัวเองอย่างเหมาะสม และไม่มองผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้อง สุดท้ายก็นำพวกเขาให้จมอยู่ในความหดหู่ มุมมองเหล่านี้มาจากซาตาน ซาตานใช้ทรรศนะที่ไร้สาระเหล่านี้หลอกลวงและทำร้ายผู้คน เป็นเหตุให้พวกเขาซึมเศร้า เสียสติ ไม่ไล่ตามความจริง และสุดท้ายก็ถูกกำจัดออกไป การเข้าใจทั้งหมดนั้น ทำให้ฉันตระหนักว่า ฉันไม่อาจมองสิ่งต่างๆ ด้วยทรรศนะของการมีชะตากรรมที่ดีหรือเลวร้ายได้อีกต่อไป ขืนยังทำแบบนั้นฉันคงจะฆ่าตัวเอง ฉันเลยมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ทุกสถานการณ์ที่ทรงจัดวางเรียบเรียงให้ข้าพระองค์นั้นทรงทำไปด้วยเจตนารมณ์ที่ตั้งใจจริง และข้าพระองค์จะนบนอบ ข้าพระองค์จะแก้ไขความเสื่อมทรามของตัวเองขณะทำหน้าที่ และพยายามทำหน้าที่ให้ดีขึ้น”
ขณะแสวงหา ฉันก็บังเอิญเจอพระวจนะบทตอนนี้ “ผู้คนควรมีท่าทีต่อชะตากรรมอย่างไร? เจ้าควรคล้อยตามการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง แข็งขันและบากบั่นที่จะแสวงหาจุดประสงค์และความหมายของพระผู้สร้างในการที่พระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้ สัมฤทธิ์การเข้าใจความจริง ทำตามบทบาทหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้าในชีวิตนี้ ลุล่วงหน้าที่ ความรับผิดชอบ และภาระผูกพันของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และทำให้ชีวิตของเจ้ามีความหมายมากขึ้น มีคุณค่ามากขึ้น จนกระทั่งพระผู้สร้างพอพระทัยในตัวเจ้าและทรงจดจำเจ้าเอาไว้ แน่นอนว่าสิ่งที่ยิ่งดีงามขึ้นไปอีกย่อมจะเป็นการบรรลุความรอดผ่านทางการแสวงหาและความบากบั่นพยายามของเจ้าเอง—นี่ย่อมจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะอย่างไร ในเรื่องของชะตากรรมนั้น ท่าทีที่เหมาะสมที่สุดที่มวลมนุษย์ทรงสร้างควรมี ไม่ใช่ท่าทีของการตัดสินและให้คำจำกัดความตามใจชอบ หรือใช้วิธีการอันสุดโต่งมาจัดการ แน่นอนว่าผู้คนยิ่งไม่ควรพยายามต้านทาน เลือกสรร หรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตน แต่ควรใช้หัวใจมาทำความเข้าใจชะตากรรมของตน แสวงหา สำรวจ และคล้อยตามชะตากรรมนั้นก่อนที่จะเผชิญหน้าชะตากรรมในทางที่เป็นบวก ท้ายที่สุดแล้วในสภาพแวดล้อมของการดำรงชีวิตและในการเดินทางของชีวิตที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้เจ้า เจ้าก็ควรแสวงหาหนทางแห่งการประพฤติปฏิบัติตามที่พระเจ้าทรงสอนเจ้า แสวงหาเส้นทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เจ้าเดิน และมีประสบการณ์กับชะตากรรมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้าในลักษณะนี้ แล้วในที่สุดเจ้าก็จะได้รับพร เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับชะตากรรมที่พระผู้สร้างทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้าในลักษณะนี้ สิ่งที่เจ้าจะมาตระหนักรู้ไม่ได้มีเพียงความเศร้า ความเสียใจ น้ำตา ความเจ็บปวด ความคับข้องใจ และความล้มเหลวเท่านั้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเจ้าจะมีประสบการณ์กับความชื่นบาน สันติสุข และความชูใจ ตลอดจนความรู้แจ้งและความกระจ่างในความจริงที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเจ้าหลงทางบนเส้นทางชีวิตของเจ้า เมื่อเจ้าเผชิญหน้าความคับข้องใจและความล้มเหลว และเจ้าต้องตัดสินใจเลือก เจ้าย่อมจะมีประสบการณ์กับการนำทางของพระผู้สร้าง และท้ายที่สุดเจ้าก็จะเกิดความเข้าใจ ได้รับประสบการณ์และการตระหนักรู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะมีชีวิตที่มีความหมายมากที่สุด” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) ผ่านพระวจนะ ฉันได้เข้าใจน้ำพระทัย และเห็นว่าพระทัยของพระเจ้าเปี่ยมเมตตาแค่ไหน แม้เราจะเผชิญความลำบากยากเย็นและความผิดหวังในชีวิตก็ไม่ได้หมายความว่า เราควรพยายามต่อต้านหรือเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเอง กลับกัน เราต้องนบนอบสิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ล่วงหน้า เรียนรู้จากผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย ที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงให้เราได้รับความจริง เมื่อนั้นเราถึงจะพบสันติสุขและความชูใจที่แท้จริง ฉันนึกถึงการที่ฉันไม่ได้รับเลือกเป็นผู้นำเพราะการทรงอนุญาต ฉันไม่ได้มีทักษะการทำงานที่ดี และเหมาะที่จะทำหน้าที่เดียวมากกว่า เหมาะจะเป็นผู้ติดตามธรรมดา นั่นเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับฉัน ตอนนี้ คริสตจักรมอบหมายให้ฉันทำหน้าที่ให้น้ำ ผ่านหน้าที่นี้ ฉันได้อ่านพระวจนะมากมายเรื่องการรู้จักพระราชกิจของพระองค์ ได้เข้าใจหลักธรรมบางอย่างเรื่องของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและการหยั่งรู้ผู้คน ฉันได้รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองขึ้นบ้าง และตอนนี้ฉันก็สามารถนบนอบสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงให้ฉันได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์จริงและล้ำค่าที่สุดในความร่ำรวยทั้งหมด ฉันรู้แล้วว่า ทั้งชีวิตของเราได้รับการจัดเตรียมและลิขิตโดยพระเจ้า มีเพียงการนบนอบ ไล่ตามเสาะหาและได้รับความจริงในทุกสถานการณ์ สัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย และได้รับความรอดเท่านั้นที่จะทำให้เรามีชะตากรรมที่ดีจริงๆ ได้ หลังจากนั้นฉันก็ปฏิบัติตัวตามพระวจนะ ทำหน้าที่ให้ลุล่วงด้วยความภักดีและอุทิศตน รวมถึงทบทวนตัวเอง และเรียนรู้จากความพลาดพลั้งและล้มเหลว การปฏิบัติในทางนี้นำสันติสุขและความชื่นบานยินดีมาสู่ฉัน
ช่วงนี้ผู้นำได้ขอให้เราแนะนำพี่น้องที่มีความสามารถพิเศษ ฉันคิดกับตัวเองว่า “การได้เลื่อนขั้นคงจะเป็นนาทีที่น่าภูมิใจ ฉันมีส่วนช่วยเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรได้ คนอื่นจะต้องอิจฉาและนับถือฉันแน่ถ้าได้ยินว่าฉันได้เลื่อนขั้น” แต่ผู้นำพูดกับฉันว่า เพราะการป่วยของฉัน ฉันเลยไม่เหมาะจะทำหน้าที่ที่ต้องออกข้างนอก ฉันรู้สึกหดหู่นิดหน่อย และบ่นกับตัวเองว่า “พี่น้องทุกคนดูสุขภาพดี พวกเขาสามารถเลื่อนขั้นได้ และมีโอกาสปฏิบัติมากกว่า ส่วนฉันได้แค่อยู่บ้าน และไม่มีโอกาสที่จะโดดเด่นหรือได้รับความรุ่งโรจน์ ชะตากรรมฉันช่างเลวร้าย” พอความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นมา ฉันก็ตระหนักว่าฉันใช้ชีวิตในสภาวะย่ำแย่อีกแล้ว ฉันเลยมาเฉพาะพระพักตร์เพื่ออธิษฐานและแสวงหา ฉันเห็นพระวจนะเหล่านี้ “พระเจ้าไม่ได้ทรงลิขิตสถานะขึ้นมาให้แก่ผู้คน พระเจ้าทรงจัดเตรียมความจริง หนทาง และชีวิตให้ผู้คน และในท้ายที่สุดแล้วก็ทรงทำให้พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ยอมรับได้ เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเล็กๆ และไร้นัยสำคัญของพระเจ้า—ไม่ใช่ใครบางคนที่มีสถานะและความมีเกียรติในสังคมและเป็นที่เคารพของผู้คนหลายพันคน และดังนั้น ไม่ว่าจะมองจากมุมมองใด การไล่ตามไขว่คว้าสถานะก็คือทางตัน ไม่ว่าคำแก้ตัวของเจ้าสำหรับการไล่ตามไขว่คว้าสถานะจะสมเหตุสมผลเพียงใด เส้นทางนี้ก็ยังคงเป็นเส้นทางที่ผิด และไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าพยายามหนักเพียงใดหรือว่าเจ้าจ่ายราคามากเพียงใด หากเจ้าพึงปรารถนาสถานะ พระเจ้าก็จะไม่ประทานสถานะแก่เจ้า หากพระเจ้าไม่ประทานสถานะ เจ้าย่อมจะล้มเหลวในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะ และหากเจ้ายังคงต่อสู้อยู่เรื่อยไป ก็ย่อมจะมีจุดจบเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือเจ้าย่อมจะเผยตัวและถูกกำจัดออกไป และเจ้าจะพบทางตัน เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ใช่หรือไม่?” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม)) “พระนิเวศของพระเจ้าได้กำจัดศัตรูของพระคริสต์กับคนชั่วออกไปมากมาย และหลังจากที่ได้เห็นความล้มเหลวของพวกศัตรูของพระคริสต์ คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงบางคนก็ทบทวนเส้นทางที่ผู้คนพวกนั้นเดิน รวมทั้งทบทวนและทำความรู้จักตนเองด้วย เมื่อทำเช่นนี้พวกเขาจึงเกิดความเข้าใจในเจตนารมณ์ของพระเจ้า ตั้งใจแน่วแน่ที่จะเป็นผู้ติดตามธรรมดาทั่วไป มุ่งไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของตนให้ดี ต่อให้พระเจ้าตรัสว่าพวกเขาเป็นคนปรนนิบัติหรือเป็นคนต่ำต้อยไร้ความสำคัญก็ตาม ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขา พวกเขาก็จะพยายามเป็นคนต่ำต้อย และเป็นผู้ติดตามตัวเล็กๆ ไร้ความสำคัญในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้ซึ่งสุดท้ายแล้วจะถูกเรียกว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า ผู้คนเช่นนี้เป็นคนดีและเป็นคนที่พระเจ้าทรงให้ความเห็นชอบ” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม)) ฉันตระหนักผ่านพระวจนะว่า มนุษย์เป็นเพียงสิ่งทรงสร้างตัวจ้อยและไม่สลักสำคัญซึ่งสถานะจริง ในฐานะของคนที่มีสำนึก ฉันควรทำตัวสัมพันธ์กับชีวิตจริงและยึดมั่นในที่ของตัวเอง แสวงหาที่จะได้รับความจริง และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต เพราะนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงยกย่อง ถ้าฉันเสาะหาชื่อเสียงและสถานะอยู่ตลอด สุดท้ายฉันจะถูกพระเจ้ากำจัดออกไป ฉันนึกถึงคนที่ฉันเคยเคารพและเลื่อมใสว่าเป็นคนมีชะตากรรมที่ดีอย่างจ้าวซเว๋ คู่ทำงานคนก่อนของฉัน เธอเป็นนักพูดที่เก่งและมีพรสวรรค์ และถูกเลื่อนขั้นให้ไปทำตำแหน่งสำคัญ แต่ตอนทำหน้าที่เธอมักแสวงหาชื่อเสียงและสถานะเสมอ ซึ่งการนี้ขัดขวางงานของคริสตจักรอย่างร้ายแรง พอถูกเปลี่ยนตัวเธอก็ไม่กลับใจ และถูกขับไล่เพราะทำชั่วทุกรูปแบบ ความล้มเหลวของเธอช่วยเตือนให้ฉันเห็นว่า เมื่อผู้คนไม่ไล่ตามความจริงและพยายามเพื่อชื่อเสียงและสถานะเสมอ พวกเขาจะถูกเปิดโปงและกำจัดออกไป เพราะฉันทำหน้าที่ที่ต้องออกไปข้างนอกไม่ได้เนื่องจากภาวะที่เป็น ฉันจึงเริ่มพร่ำบ่นกับตัวเอง นี่คือการที่ความปรารถนาต่อชื่อเสียงและสถานะของฉันโผล่ขึ้นมาอีก ฉันคิดว่าการออกไปทำหน้าที่จะทำให้ฉันโดดเด่นได้ และนี่หมายถึงฉันมีชะตากรรมที่ดี ฉันยังแสวงหาชื่อเสียงและสถานะ และเดินบนเส้นทางที่ต่อต้านพระเจ้า การที่ฉันได้มีชีวิตอยู่ในฐานะสิ่งทรงสร้างคือน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ว่าจะออกไปข้างนอกหรืออยู่บ้าน ฉันก็สามารถทำหน้าที่ให้ลุล่วง ไล่ตามเสาะหาความจริงและความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยได้เสมอ ฉันรู้ว่าฉันควรนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและตั้งใจทำหน้าที่ให้ลุล่วง มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่ทำให้ฉันเบาใจได้
ประสบการณ์นี้ทำให้ฉันรู้ถึงทรรศนะที่ผิดพลาดบางอย่างของตัวเอง และได้เห็นว่าการที่ฉันพร่ำบ่นชะตากรรมของตัวเองที่คิดว่าเลวร้ายนั้นเป็นการกบฏต่อพระเจ้า และไม่ยอมนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ หากเป็นเช่นนั้นต่อไปฉันจะเสียโอกาสในความรอด นับจากนี้ ฉันมุ่งมั่นที่ละวางทรรศนะที่ผิดของตัวเอง นบนอบ และทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วงไปด้วยดีค่ะ
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
วันหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ปี 2006 จู่ๆ ฉันก็ถูกจับกุมขณะเดินทางไปประชุมกับเพื่อนร่วมงาน คืนนั้นฉันถูกนำตัวไปยังสถานที่ลับเพื่อสอบปากคำ...
โดย ถง ซิ่น, เกาหลีใต้ เมื่อช่วงต้นปี ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำทีมให้น้ำ รับผิดชอบงานให้น้ำของหลายทีม ตอนนั้น ฉันคิดว่า...
โดย เคียน่า ยูเครน หน้าร้อนปี 2020 ค่ะ ตอนนั้น ฉันกับน้องสาวชื่ออัลบีน่า บังเอิญเจอวิดีโอชื่อ การตื่นรู้จากฝัน...
โดย เฉิงนั่ว ประเทศจีน วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2020 ผู้นำคนหนึ่งได้เข้าร่วมการชุมนุมทีมของพวกเรา และแล้วหลังจากการชุมนุมสิ้นสุดลง...