เหตุผลที่ฉันไม่ยอมรับการกำกับดูแล

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

ผมให้น้ำผู้มาใหม่ที่คริสตจักรได้ปีกว่า ระหว่างทำหน้าที่ ผมก็ค่อยๆ เข้าใจหลักธรรมขึ้นบ้าง และผมก็ให้น้ำผู้มาใหม่ได้ดีขึ้น ผมรู้สึกว่า ผมพอมีประสบการณ์ในการทำหน้าที่นี้ และให้น้ำผู้มาใหม่ได้ดี แม้จะไม่มีใครช่วย เมื่อผู้มาใหม่มีปัญหาหรือเรื่องยากลำบาก ผมก็แสวงหาความจริงเพื่อช่วยแก้ไขได้ ผมเลยคิดว่า ผมรู้วิธีทำหน้าที่ให้ดีแล้ว คิดว่าผมไม่ต้องการให้ใครมาชี้นำ และไม่จำเป็นต้องให้ใครมาคอยกำกับ และตามงานของผม ผมเลย ไม่ยอมรับการกำกับดูแล และคำแนะนำของเหล่าพี่น้อง แถมไม่ให้ข้อเสนอแนะต่อสถานการณ์เฉพาะของผู้มาใหม่ที่ให้น้ำไปมากนัก ผมแค่ทำหน้าที่ตามเงื่อนไขของตัวเอง

วันหนึ่ง หัวหน้างานชื่อเฟโอลี่ ถามผมเรื่องผู้มาใหม่บางคน และได้ถามบางอย่างกับผม อย่างเช่น ผมแจ้งเรื่องการชุมนุมกับผู้มาใหม่ยังไง? ทำไมพี่น้องคนนั้นคนนี้ถึงไม่เข้าชุมนุม? ผมหมั่นสามัคคีธรรม เพื่อทำความเข้าใจปัญหาและความยากลำบากของผู้มาใหม่หรือเปล่า? พอได้ยินคำถามพวกนี้ ผมก็ต่อต้านมาก คิดว่า “เธอคิดว่าฉันทำหน้าที่แบบไร้ความรับผิดชอบหรือ?  เธอไม่ไว้ใจฉันหรือ?” ผมรู้สึกต่อต้านมาก อดไม่ได้ที่จะแสดงอุปนิสัยเสื่อมทราม และอยากเมินใส่เธอ เธอถามผมว่า ผู้มาใหม่สนใจการมาชุมนุมไหม ผมตอบส่งๆ ไปว่า “สนใจ” และไม่อธิบายอะไรเลย เธอถามว่า ผมแจ้งผู้มาใหม่เรื่องการชุมนุมยังไง ผมก็ตอบว่า ผมส่งข้อความไปบอก แต่ไม่ได้อธิบายว่าผมแจ้งยังไง พวกเขาเจอความยากลำบากอะไร และอื่นๆ แล้วเธอก็ถามว่า ผมสามัคคีธรรมความจริงแง่มุมไหนกับผู้มาใหม่ ผมตอบด้วยความรำคาญว่า ผมรู้ว่าจะสามัคคีธรรมกับพวกเขายังไง แต่ก็ไม่ได้อธิบายว่าผมพูดอะไร พวกเขาตอบกลับยังไง หรือมีคำถามอะไรไหม เธอไม่พอใจกับคำตอบของผม และอยากรู้ให้มากขึ้นว่า ผมหนุนใจและช่วยเหลือผู้มาใหม่พวกนี้หรือไม่ ผมคิดว่าเธอกำลังดูแคลนผม ราวกับผมไม่รู้วิธีทำหน้าที่ และนี่ทำให้ผมอึดอัดมาก ครั้งหนึ่ง เธอตระหนักได้ว่า ผมพูดแบบไม่คิดถึงความรู้สึกของผู้มาใหม่ เลยบอกว่า “คุณต้องคิดจากมุมของผู้มาใหม่ ถ้าคุณเป็นพวกเขา คุณจะพอใจกับคำพวกนี้ไหม? ฟังแล้วคุณอยากตอบไหม?” ผมเจ็บใจกับคำพูดของเธอ ผมบอกว่าผมเข้าใจ แต่ที่จริงก็ไม่ได้ยอมรับ ผมไม่คิดว่า วิธีที่ผมใช้พูดกับผู้มาใหม่จะเป็นปัญหา ผมพึมพำกับตัวเองว่า “ฉันรู้ว่าจะทำให้ผู้มาใหม่พวกนี้เข้าชุมนุมได้ยังไง ดังนั้น ฉันจะทำตามวิธีของตัวเอง” มีอีกครั้งหนึ่ง เธอถามว่าปกติผมสามัคคีธรรมกับผู้มาใหม่ยังไง ผมตอบว่าส่งข้อความไป เธอขอให้ผมโทรหาเหล่าผู้มาใหม่ บอกว่าการโทรนั้นตรงกว่า ทำให้เข้าใจปัญหาจริงได้ง่ายกว่า แถมช่วยสร้างสัมพันธ์ แต่ตอนนั้นผมไม่ยอมรับ และคิดว่าวิธีของผมดีกว่า ผมพอใจที่จะส่งข้อความหาผู้มาใหม่ และไม่อยากรับฟังเธอ เวลาหารือกัน ผมก็ไม่อยากพูดแล้ว ผมเลยนิ่งเงียบ หรือตอบแค่สั้นๆ ผมพบว่า ถ้ามีใครอยากพูดคุยเรื่องการให้น้ำผู้มาใหม่ของผม ผมก็จะคิดลบ และกังวลมาก ผมรู้สึกว่าพวกเขากำลังหัวเราะเยาะ ดูแคลน และคิดว่าผมไร้ค่า เป็นคนที่ไม่รู้วิธีทำหน้าที่ หรือไม่น่าไว้วางใจ ผมคิดว่า ผมทำหน้าที่ได้ดีแล้ว ผมรู้วิธีให้น้ำผู้มาใหม่ และมีวิธีตามงานในแบบตัวเอง และคิดว่าผมมีพรสวรรค์มากกว่าหัวหน้างาน ผมเลย รับคำแนะนำจากเธอไม่ได้ ถึงจะพูดตกลงไป ผมก็แทบไม่ทำตามที่รับปาก และมุ่งเน้นแต่การให้น้ำ และสามัคคีธรรมผู้มาใหม่ตามวิธีของตัวเอง

ครั้งหนึ่งตอนชุมนุม ผมได้อ่านพระวจนะ และสุดท้ายก็เข้าใจตัวเองขึ้นบ้าง พระเจ้าตรัสว่า “ผู้คนบางคนไม่ยอมรับการตัดแต่งหรือจัดการ  พวกเขารู้แน่ชัดอยู่ในหัวใจว่าสิ่งที่ผู้อื่นพูดนั้นสอดคล้องกับความจริง แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับ  ผู้คนเหล่านี้ช่างโอหังและคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอ!  และเหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาโอหัง?  เพราะหากพวกเขาไม่ยอมรับการตัดแต่งและจัดการ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่เชื่อฟัง—และหากพวกเขาไม่เชื่อฟัง พวกเขาย่อมโอหังมิใช่หรือ?  พวกเขาคิดว่าการกระทำของตนนั้นดี และไม่คิดว่าได้ทำสิ่งใดที่ผิด—ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่รู้จักตนเอง นี่คือความโอหัง(“ธรรมชาติอันโอหังคือรากเหง้าของการต้านทานพระเจ้าของมนุษย์” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “ขออย่าให้บุคคลใดคิดว่าตัวพวกเขาเองนั้นสมบูรณ์แบบ หรือโดดเด่นและประเสริฐ หรือแตกต่างจากผู้อื่นอย่างชัดแจ้ง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากอุปนิสัยโอหังและความไม่รู้เท่าทันของมนุษย์  การคิดว่าตนเองเด่นเป็นพิเศษอยู่เสมอ—นี่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง การไม่เคยสามารถยอมรับข้อบกพร่องของพวกเขา และไม่เคยสามารถเผชิญหน้าความผิดพลาดและความล้มเหลวของพวกเขา—นี่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง การไม่ยอมให้ผู้อื่นสูงส่งกว่าตนเอง หรือดีกว่าตนเอง นี่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง การไม่ยอมให้ผู้อื่นเหนือกว่าหรือแข็งแกร่งกว่าพวกเขา—นี่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง—การไม่ยอมให้ผู้อื่นมีความคิด ข้อเสนอแนะ และทัศนะที่ดีกว่าตนเอง และเมื่อพวกเขามี ก็กลายเป็นคิดลบ ไม่ปรารถนาที่จะพูด รู้สึกคับแค้นใจและหม่นหมอง และกลายเป็นอารมณ์ไม่ดี—ทั้งหมดนี้เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง  อุปนิสัยอันโอหังสามารถทำให้เจ้าปกป้องความมีหน้ามีตาของเจ้า ไม่สามารถที่จะยอมรับการชี้นำของผู้อื่น ไม่สามารถที่จะเผชิญหน้าข้อบกพร่องของเจ้าเอง และไม่สามารถที่จะยอมรับความล้มเหลวและความผิดพลาดของเจ้าเอง  ที่มากกว่านั้นก็คือเมื่อใครบางคนดีกว่าเจ้า นั่นก็สามารถทำให้ความเกลียดและความอิจฉาริษยาบังเกิดในหัวใจของเจ้า และเจ้าสามารถรู้สึกว่าถูกจำกัดควบคุมจนถึงขั้นที่เจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำหน้าที่ของเจ้า และกลายเป็นเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่  อุปนิสัยโอหังสามารถทำให้พฤติกรรมและวิธีปฏิบัติเหล่านี้บังเกิดในตัวเจ้า  หากพวกเจ้าสามารถขุดลึกลงไปในรายละเอียดทั้งหมดนี้ สัมฤทธิ์ความก้าวหน้าในเรื่องนี้ และมีความเข้าใจในรายละเอียดดังกล่าวทีละเล็กทีละน้อย และแล้วหากพวกเจ้าสามารถค่อยๆ ละทิ้งความคิดเหล่านี้ และละทิ้งมโนคติอันหลงผิด ทัศนะ และแม้แต่พฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ และไม่ถูกสิ่งเหล่านี้จำกัดควบคุม และหากในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้า พวกเจ้าสามารถหาพบที่ตั้งที่เหมาะสมสำหรับพวกเจ้า และกระทำการอย่างสอดคล้องกับหลักการ และปฏิบัติหน้าที่ที่พวกเจ้าสามารถและควรปฏิบัติ เช่นนั้นแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปพวกเจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าได้ดีขึ้น  นี่คือการเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง  หากเจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้ เจ้าย่อมจะปรากฏแก่ผู้อื่นว่ามีสภาพเหมือนของมนุษย์ และผู้คนก็จะพูดว่า ‘บุคคลเหล่านี้ประพฤติตนสอดคล้องกับที่ตั้งของพวกเขา และพวกเขากำลังทำหน้าที่ของพวกเขาในหนทางที่ตั้งมั่น  พวกเขาไม่วางใจในความเป็นธรรมชาติ ความหัวร้อน หรืออุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาในการทำหน้าที่ของพวกเขา  พวกเขากระทำการด้วยความยับยั้งชั่งใจ พวกเขามีหัวใจที่เคารพพระเจ้า พวกเขามีความรักในความจริง และพฤติกรรมกับการแสดงออกของพวกเขาก็เผยว่าพวกเขาได้ละทิ้งเนื้อหนังและการเลือกชอบทั้งหลายของพวกเขาเองไปแล้ว’  การประพฤติตนเช่นนี้ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน!  ในวาระที่ผู้อื่นกล่าวถึงข้อบกพร่องทั้งหลายของเจ้าขึ้นมา เจ้าไม่เพียงสามารถยอมรับได้ แต่ยังมองโลกในแง่ดี โดยเผชิญหน้าข้อบกพร่องและข้อด้อยของเจ้าด้วยความสุขุม  สภาวะจิตใจของเจ้าปกติมาก อิสระจากความสุดโต่งทั้งหลาย อิสระจากความเลือดร้อน  นี่มิใช่สิ่งที่เป็นการมีสภาพเหมือนมนุษย์หรอกหรือ?  มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่มีสำนึกรับรู้ที่ดี(“หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  เมื่อก่อน ผมคิดว่าผมไม่โอหัง แต่พระวจนะทำให้ผมเห็นว่าตัวเองโอหังมาก เวลาหัวหน้างานบอกวิธีที่ดีในการให้น้ำผู้มาใหม่ ผมก็ไม่ยอมรับเลย เวลาเธอถามถึงวิธีให้น้ำผู้มาใหม่ของผม ผมเอาแต่นิ่งเงียบ หรือตอบแค่สั้นๆ เพราะผมไม่อยากเสียหน้าหรือให้คนอื่นเห็นว่าผมให้น้ำผู้มาใหม่ได้ดีไม่พอ ผมอยากให้คนอื่นเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ผมทำหน้าที่ไม่ผิดพลาด และผมทำหน้าที่ได้ โดยไม่ต้องช่วยหรือคอยกำกับ ผมโอหังเกินไปจริงๆ ผมยังรู้สึกว่า ผมมีพรสวรรค์มากกว่าพี่สาวที่ดูแลงานของผม ผมรู้วิธีให้น้ำผู้มาใหม่ ผมมีวิธีของตัวเอง และมันก็ได้ผลดี ผมเลย ไม่เต็มใจยอมรับข้อเสนอแนะของเธอ ลึกๆ ผมเชื่อว่า ถ้าผมยอมรับคำแนะนำของเธอ ก็แปลว่าความสามารถของผมด้อยกว่าเธอ มันคงน่าอาย คนอื่นจะมองผมยังไง? ผมเลยทำเป็นเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะ แต่แทบไม่ทำตามเลย อุปนิสัยโอหัง กันผมให้ห่างไกลความจริง ทำให้ผมไม่ยอมรับคำแนะนำของคนอื่น และยึดติดทรรศนะของตัวเอง นี่เป็นการกบฏต่อพระเจ้า ต่อมา ผมสงบใจ และคิดถึงข้อเสนอแนะของพี่คนนี้ ผมว่าเธอมีประเด็นที่ดี และควรค่าแก่การลอง ผมเลย โทรศัพท์ไปหาผู้มาใหม่ ผมรู้สึกว่าการโทรนั้นสื่อสาร และเข้าใจปัญหาของพวกเขาได้ง่ายกว่า แถมช่วยพวกเขาได้ทันที พอนำคำแนะนำของเธอมาใช้ และเห็นว่างานให้น้ำผู้มาใหม่ของผมมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผมก็ละอายใจมาก ในประเด็นนี้ ผมได้เห็นว่า ถึงผมจะทำหน้าที่มานาน ผมก็ยังมีข้อเสียอยู่มาก หากไร้การช่วยเหลือและชี้นำจากพี่คนนี้ ผลงานของผมคงไม่กระเตื้อง ผมยังตระหนักด้วยว่า ผมไม่ได้เก่งกว่าใคร และไม่อาจทำหน้าที่ให้ดีได้ด้วยตัวเอง

วันหนึ่ง หัวหน้างานถามผมเรื่องสถานการณ์ของผู้มาใหม่คนหนึ่ง และเหตุผลที่เขาไม่มาชุมนุมหลายวันแล้ว พอผมอธิบาย เธอก็ถามคำถามอื่นอีก อยากรู้รายละเอียดวิธีทำหน้าที่ของผมเพิ่มเติม ผมรู้สึกอาย และรู้สึกต่อต้านมาก ผมไม่อยากตอบคำถามเธอเลย เพราะไม่อยากยอมรับที่เธอมากำกับและสงสัยงานของผม ผมตระหนักว่า นี่คืออุปนิสัยเสื่อมทรามของผมอีกแล้ว ผมเลยอธิษฐานถึงพระเจ้าในใจ ขอการทรงนำ ในการเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังสภาพแวดล้อมเช่นนี้ รู้ถึงความเสื่อมทรามของตัวเอง และยอมรับการกำกับและชี้นำของคนอื่น จากนั้น ผมได้อ่านพระวจนะที่ว่า “ศัตรูของพระคริสต์ห้ามผู้อื่นเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง สอบถาม หรือกำกับดูแล และการห้ามนี้ก็สำแดงให้เห็นในหลายๆ หนทาง  ทางหนึ่งคือการปฏิเสธ ชัดเจนและเรียบง่าย  ‘เลิกแทรกแซง สอบถาม และกำกับดูแลฉันเวลาฉันทำงานเสียที  งานใดๆ ที่ฉันทำย่อมเป็นความรับผิดชอบของฉัน ฉันมีแนวคิดว่าต้องทำอย่างไร และฉันไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบริหารจัดการให้ฉัน!’  นี่คือการปฏิเสธโดยตรง  ส่วนการสำแดงอีกรูปแบบหนึ่งก็คือการดูเหมือนยอมรับไว้ โดยกล่าวว่า ‘ได้เลย มาสามัคคีธรรมกันสักหน่อย และดูกันว่าควรทำงานนี้ให้เสร็จอย่างไร’ แต่เมื่อคนอื่นเริ่มตั้งคำถามและพยายามที่จะเข้าใจงานของพวกเขามากขึ้นจริงๆ หรือชี้ให้เห็นประเด็นปัญหาสองสามข้อและให้ข้อเสนอแนะอยู่สองสามอย่าง พวกเขามีท่าทีเช่นไร?  (พวกเขาไม่ยอมรับ)  ถูกต้อง—พวกเขาเอาแต่ไม่ยอมรับ พวกเขาหาข้ออ้างและข้อแก้ตัวมาปฏิเสธข้อเสนอแนะของผู้อื่น พวกเขาเปลี่ยนผิดให้เป็นถูกและเปลี่ยนถูกให้เป็นผิด แต่โดยแท้แล้วในหัวใจนั้น พวกเขารู้ว่าตนเองกำลังฝืนตรรกะ รู้ว่าพวกเขากำลังพูดจาเหลวไหล รู้ว่านี่คือการคาดเดา รู้ว่าคำพูดของพวกเขาไม่มีความเป็นจริงของสิ่งที่ผู้อื่นพูดเลย  แต่เพื่อปกป้องสถานะของพวกเขาไว้—และทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าพวกเขาผิด และผู้อื่นถูกต้อง—พวกเขาก็ยังคงเปลี่ยนสิ่งที่ถูกต้องของผู้อื่นให้กลายเป็นผิด และเปลี่ยนสิ่งที่ผิดของตนให้กลายเป็นถูกต้อง และยังคงทำเช่นนั้นต่อไป ไม่ยินยอมให้นำสิ่งต่างๆ ที่ถูกต้องและสอดคล้องกับความจริงมาใช้หรือนำมาเผยแพร่ในที่ที่ตนอยู่…เป้าประสงค์ของพวกเขาคืออะไร?  คือการหยุดยั้งผู้อื่นไม่ให้แทรกแซง สอบถาม หรือกำกับดูแล และเพื่อทำให้พี่น้องชายหญิงคิดว่าการที่พวกเขากระทำการอย่างที่พวกเขาทำนั้นมีเหตุผลสมควร ถูกต้อง สอดคล้องกับการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และเป็นไปตามหลักธรรมแห่งการกระทำสิ่งต่างๆ ให้พี่น้องชายหญิงคิดว่าในฐานะผู้นำ พวกเขาย่อมปฏิบัติตามหลักธรรม  แท้จริงแล้วมีเพียงไม่กี่คนในคริสตจักรที่เข้าใจความจริง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้วิจารณญาณ พวกเขาไม่สามารถมองเห็นศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ตามที่พวกเขาเป็นจริงๆ และย่อมถูกคนเหล่านี้หลอกให้หลงเชื่อเป็นธรรมดา(“พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่สอง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์)  “เมื่อซาตานกระทำการ มันย่อมไม่อนุญาตให้ผู้อื่นแทรกแซง  มันต้องการมีสิทธิ์ขาดในทุกสิ่งที่ทำและต้องการควบคุมทุกอย่าง และไม่มีผู้ใดอาจกำกับดูแลหรือซักไซ้ไล่เลียงอันใด  หากผู้ใดแทรกแซงหรือก้าวก่าย นี่ยิ่งไม่ยินยอมให้ทำ  ศัตรูของพระคริสต์กระทำการเช่นนี้เอง ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใด ย่อมไม่อนุญาตให้ผู้ใดสอบถาม และไม่ว่าพวกเขาจะดำเนินการอย่างไรอยู่หลังฉาก ก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดแทรกแซง  นี่คือพฤติกรรมแห่งศัตรูของพระคริสต์  พวกเขากระทำการในหนทางนี้เพราะพวกเขามีอุปนิสัยอันโอหังอย่างที่สุด ทั้งยังไร้สำนึกเป็นอย่างยิ่ง  พวกเขาไร้ซึ่งความเชื่อฟังโดยสิ้นเชิง และพวกเขาก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดมากำกับดูแลหรือตรวจทานงานของพวกเขา  นี่เป็นการกระทำของปีศาจอย่างแท้จริง ซึ่งแตกต่างจากการกระทำของบุคคลที่ปกติอย่างสิ้นเชิง  ผู้ใดก็ตามที่ทำงาน พึงต้องมีความร่วมมือจากผู้อื่น พวกเขาจำเป็นต้องมีความช่วยเหลือ ข้อเสนอแนะ และความร่วมมือของผู้อื่น และต่อให้มีใครบางคนกำกับดูแลหรือเฝ้าดูอยู่ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่เป็นสิ่งจำเป็น  หากบังเอิญเกิดความผิดพลาดในที่หนึ่ง และผู้คนที่เฝ้ามองอยู่นั้นบ่งชี้และแก้ไขได้อย่างทันท่วงที  นี่ย่อมเป็นความช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่มิใช่หรือ?  และดังนั้นเมื่อผู้คนที่ปราดเปรื่องทำสิ่งต่างๆ พวกเขาจึงชอบให้ผู้อื่นคอยกำกับดูแล สังเกตการณ์ และตั้งคำถาม  หากบังเอิญมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นและผู้คนเหล่านี้สามารถชี้ให้เห็นได้ และข้อผิดพลาดก็ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องทันที นี่ย่อมเป็นผลดีอย่างไม่คาดคิดมิใช่หรือ?  ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น  เมื่อผู้คนทนทุกข์กับภาวะบกพร่องทางพัฒนาการหรือโรคซึมเศร้า พวกเขาก็ไม่ปกติอีกต่อไป  พวกเขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกต่อไป  หากจิตใจและสำนึกของผู้คนเป็นปกติ และพวกเขาเพียงไม่ต้องการสัมพันธ์สนิทกับผู้อื่นเท่านั้น หากพวกเขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาทำ หากพวกเขาต้องการที่จะทำสิ่งนั้นอย่างลับๆ ซ่อนเร้นและเป็นส่วนตัว ดำเนินการอยู่หลังฉาก และพวกเขาไม่รับฟังสิ่งที่ผู้อื่นกล่าว เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเช่นนั้นก็คือศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ?  นี่คือศัตรูของพระคริสต์(“พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่สอง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์)  ผมรู้สึกว่า ถูกพระเจ้าพิพากษาผ่านพระวจนะ ผมตระหนักว่า ผมทำตัวตามที่พระเจ้าทรงเปิดเผย มันยากมากที่ผมจะยอมรับคำแนะนำและการกำกับจากผู้อื่นในหน้าที่ ต่อให้ผมมีความยากลำบาก ผมก็ไม่เคยเปิดโปงหรือให้ใครรู้ เพราะผมรู้สึกว่า ในเมื่อได้รับงานนี้มา ผมก็ต้องรับผิดชอบ ผมมีสิทธิ์ขาด และผมทำหน้าที่ได้ด้วยวิธีของตัวเอง ผมรู้สึกว่า ผมรู้วิธีทำหน้าที่ และไม่ต้องการให้หัวหน้างานหรือใครมาคอยดูหรือแนะนำผม ผมคิดว่าคำแนะนำของคนอื่น เป็นการกล่าวโทษว่าผมยังไม่เก่งพอ หรือเป็นการกังขาความสามารถของผม ผมเลยไม่อยากได้ยิน ตอนนี้ผมเห็นแล้วว่า นี่คือความโอหังและโง่เขลา นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ควรมีในความเป็นมนุษย์ปกติ ธรรมชาติโอหัง ทำให้ผมไม่เชื่อฟังใคร และไม่เคยยอมรับการกำกับและแนะนำจากผู้อื่น ผมอยากมีสิทธิ์ขาดเสมอ อยากให้น้ำผู้มาใหม่ตามที่ผมตั้งใจไว้ เมื่อก่อน ผมติดตามผู้มาใหม่ด้วยวิธีของตัวเอง ซึ่งคือแค่ส่งข้อความไป และแทบไม่ได้คุยกับพวกเขาเลย เวลาผู้มาใหม่บางคนไม่ตอบผมสองสามวัน ผมก็จะวางพวกเขาไว้ แล้วไปชุมนุมกับผู้มาใหม่ที่อยากสื่อสารกับผมต่อ ผลคือบางคนไม่ได้รับการให้น้ำโดยทันการณ์ ผู้มาใหม่เปราะบางมาก สามารถถอนตัวและเลิกเชื่อได้ทุกเมื่อ บางคนก็ถึงกับออกจากกลุ่มชุมนุมไปเลย ผมทำตัวเหมือนศัตรูของพระคริสต์ไมใช่หรือ? ศัตรูของพระคริสต์ไม่ชอบให้ใครมากำกับ และไม่เคยฟังคำแนะนำของใคร พวกเขาอยากควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง ทำสิ่งต่างๆ ตามวิธี หรือตามความเห็นของตัวเอง พวกเขาไม่เชื่อฟังใคร และไม่ร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อทำหน้าที่ให้ดี ผมเห็นตัวเองกำลังเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ และเกิดกลัวขึ้นมา ถ้ายังทำแบบนี้ต่อไป ผมคงถูกพระเจ้าเกลียด ชีวิตของคนที่ถูกพระเจ้าเกลียดนั้นไร้ค่าและพวกเขาคือศัตรูในสายพระเนตร ผมยังเรียนรู้จากพระวจนะว่า ทุกคนต่างมีข้อเสียและข้อบกพร่อง เราจึงต้องการคำแนะนำและการช่วยเหลือจากผู้อื่น เราต้องร่วมมือกับผู้คน เพื่อทำหน้าที่ของเราให้ดี หัวหน้างานช่วยผมด้วยการตามงานและให้ข้อเสนอแนะกับผม ผมยังเห็นว่ามันเป็นประโยชน์เมื่อนำมาใช้ แต่ผมไม่อยากยอมรับ และผมทำให้งานของคริสตจักรเสียหายเพราะเรื่องนี้ นี่คือปัญหาที่ร้ายแรงมาก

จากนั้น ผมได้อ่านพระวจนะที่ว่า “เมื่อผู้ใดก็ตามใช้เวลาสอดส่องหรือเฝ้าสังเกตเจ้าอยู่บ้าง หรือถามคำถามที่ลึกซึ้งกับเจ้า โดยลองพยายามที่จะสนทนาแบบใจแลกใจกับเจ้าและค้นหาจนพบว่าสภาวะของเจ้าเป็นเช่นใดในระหว่างเวลานี้ และแม้กระทั่งบางครั้งที่ท่าทีของพวกเขากร้าวกระด้างขึ้นเล็กน้อย และพวกเขาจัดการและตัดแต่งเจ้าเล็กน้อย และบ่มวินัยเจ้า และตำหนิเจ้า ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะพวกเขามีท่าทีที่มีมโนธรรมและรับผิดชอบต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  เจ้าไม่ควรมีความคิดหรือความรู้สึกเชิงลบต่อการนี้  หากเจ้าสามารถยอมรับการจับตามอง การเฝ้าสังเกต และการตั้งคำถามของผู้อื่น นี่ย่อมมีความหมายเช่นไร?  หมายความว่าในหัวใจของเจ้า เจ้ายอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า  หากเจ้าไม่ยอมรับการจับตามอง การเฝ้าสังเกต และการตั้งคำถามเกี่ยวกับเจ้าจากผู้อื่น—หากเจ้าปฏิเสธที่จะยอมรับทั้งหมดนี้—เจ้ามีความสามารถที่จะยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้หรือไม่?  การพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้านั้นละเอียด ลึกซึ้ง และถูกต้องแม่นยำกว่าการตั้งคำถามของผู้คน สิ่งที่พระเจ้าตรัสถามมีลักษณะเฉพาะเจาะจง เข้มงวด และลึกซึ้งกว่านี้  ดังนั้น หากเจ้าไม่สามารถยอมรับการสอดส่องของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร การกล่าวอ้างของเจ้าที่ว่าเจ้าสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้ย่อมเป็นคำพูดที่ว่างเปล่ามิใช่หรือ?  การที่เจ้าจะสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์และการตรวจสอบของพระเจ้าได้นั้น เจ้าต้องสามารถยอมรับการสอดส่องโดยพระนิเวศของพระเจ้า โดยบรรดาผู้นำและคนทำงาน และเหล่าพี่น้องชายหญิงให้ได้เสียก่อน(การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ)  “หากเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถน้อมรับการพินิจพิเคราะห์จากพระเจ้าได้โดยธรรมชาติ แต่เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับการกำกับดูแลของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรด้วย ซึ่งพึงต้องให้เจ้าอดทนและยอมรับ  หากเจ้าเห็นใครบางคนมากำกับดูแลเจ้า ตรวจทานงานของเจ้า หรือตรวจสอบตัวเจ้าโดยที่เจ้าไม่รู้ และหากเจ้าเกิดความโมโห ปฏิบัติต่อบุคคลผู้นี้ราวกับเป็นศัตรูและดูหมิ่นพวกเขา ถึงกับโจมตีและจัดการพวกเขาว่าเป็นคนทรยศ ปรารถนาที่จะให้พวกเขาหายตัวไป เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นปัญหา  นี่ต่ำทรามอย่างที่สุดมิใช่หรือ?  นี่แตกต่างอย่างไรจากมารตนหนึ่ง? นี่คือการปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรมหรือ?  หากเจ้าเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องและกระทำการในหนทางที่ถูกต้อง เจ้าจะต้องกลัวอะไรกับการมีผู้คนมาตรวจสอบเจ้า?  ในหัวใจของเจ้าย่อมมีบางสิ่งแอบแฝงอยู่  หากเจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าเจ้ามีปัญหา เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  เช่นนี้จึงสมเหตุสมผล  หากเจ้ารู้ตัวว่ามีปัญหา แต่กลับไม่ยอมให้ผู้ใดมากำกับดูแลเจ้า ตรวจทานงานของเจ้า หรือสืบค้นปัญหาของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไร้เหตุผลอย่างยิ่ง เจ้ากำลังกบฏและต้านทานพระเจ้า และในกรณีเช่นนี้ ปัญหาของเจ้าก็ยิ่งร้ายแรงมากขึ้น  หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหยั่งรู้ว่าเจ้าคือคนทำชั่วหรือเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ เช่นนั้นแล้วผลที่ตามมาก็จะยิ่งเป็นปัญหากว่าเดิม  ดังนั้นผู้ที่สามารถยอมรับการกำกับดูแล การตรวจสอบ และการตรวจทานของผู้อื่นได้ จึงเป็นผู้ที่มีเหตุผลที่สุด พวกเขามีความอดทนอดกลั้นและมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เมื่อเจ้าพบว่าตัวเจ้ากำลังทำสิ่งผิดหรือพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา หากเจ้าสามารถเปิดใจและสัมพันธ์สนิทกับผู้คนได้ นี่จะช่วยให้ผู้คนรอบตัวเจ้าเฝ้าจับตาดูเจ้า  แน่นอนว่าการยอมรับการกำกับดูแลมีความจำเป็น แต่สิ่งสำคัญคือการอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ ทบทวนตัวเจ้าเองอย่างสม่ำเสมอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เจ้าเดินอยู่บนทางที่ผิดหรือกระทำบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องลงไป หรือในยามที่เจ้ากำลังจะกระทำการอันเป็นเผด็จการและไม่ฟังเสียงใคร แล้วมีใครบางคนที่อยู่ใกล้ตัวกล่าวถึงการนั้นขึ้นมาและเตือนให้เจ้ารู้สึกตัว เจ้าก็จำเป็นต้องยอมรับการนั้นและรีบเร่งทบทวนตนเอง ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง และแก้ไขให้ถูกต้อง  นี่จะสามารถช่วยให้เจ้าไม่ก้าวเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์  หากมีใครบางคนช่วยเหลือและสะกิดเตือนเจ้าเช่นนี้ เจ้าก็กำลังได้รับการปกปักรักษาโดยไม่รู้ตัวมิใช่หรือ?  ใช่แล้ว—นั่นคือการปกปักรักษาเจ้า(“การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะทำให้ความสำคัญ และประโยชน์ของการถูกกำกับดูแลชัดเจนขึ้นมาก เมื่อก่อน ผมไม่เข้าใจประโยชน์ของมันเลย จึงทำให้ผมต่อต้านคนที่กำกับดูแลผม ผมคิดว่า พวกเขาพยายามควบคุมงานผม หรือดูถูกผม ใจผมคิดว่า ถ้ามีคนเข้ามาอยากรู้เรื่องงาน มันก็เหมือนพวกเขารู้สึกว่าผมไม่รับผิดชอบ และขาดความสามารถในงาน และไม่อาจทำหน้าที่ หรือเรื่องอื่นๆ ให้ดีได้ ผมเลยต่อต้านการถูกคนอื่นกำกับดูแลมาก แต่ผมได้เห็นจากพระวจนะว่า ความเห็นของผมนั้นผิด และไม่สอดคล้องกับความจริง ผมมีข้อเสียในงานอยู่บ้าง และต้องการความช่วยเหลือจากเหล่าพี่น้องเพื่อปรับปรุง แต่ผมไม่ยอมรับการกำกับดูแล แบบนี้ผมจะแก้ไขความผิดพลาดในงาน และทำหน้าที่ให้ดีขึ้นได้ยังไง? การที่เหล่าพี่น้องถามผมเรื่องงานนั้นสำคัญมาก เพราะพวกเขาแบกรับภาระในงาน และทำหน้าที่ของตน ผมไม่ควรมีท่าทีนิ่งเงียบและปฏิเสธ ผมควรเปิดใจบอกความยากลำบาก และสถานการณ์จริงในงานของผม นั่นจะดีต่องานของคริสตจักรมากกว่า การยอมรับการกำกับดูแล ทำให้ผมเห็นข้อบกพร่องของตัวเอง และทบทวนว่า ผมทำหน้าที่ตามหลักธรรมหรือไม่ ตอนนี้ ผมเข้าใจน้ำพระทัยแล้ว การที่คนอื่นหมั่นตรวจดูงานของผม ช่วยห้ามไม่ให้ผมหลงผิด ล้มเลิก หรือทำลายผู้มาใหม่เพราะความต้องการส่วนตัวได้ นี่คือการทรงคุ้มครองของพระเจ้าจริงๆ

ผมอ่านพระวจนะอีกบทตอนที่ว่า “เจ้าคิดว่ามีคนที่เพียบพร้อมกระนั้นหรือ?  ไม่สำคัญว่าผู้คนจะแข็งแรงเพียงใด หรือมีศักยภาพและมีความสามารถเพียงใด พวกเขายังคงไม่เพียบพร้อม  ผู้คนต้องระลึกถึงการนี้ นี่คือข้อเท็จจริง  เช่นนี้ยังเป็นท่าทีที่ผู้คนควรมีต่อข้อดีและจุดแข็ง หรือความผิดของตนเองอีกด้วย นี่คือความมีเหตุผลที่ผู้คนควรจะครองไว้  ด้วยความมีเหตุผลเช่นนี้ เจ้าจะสามารถจัดการกับจุดแข็งและจุดอ่อนของเจ้าเอง ตลอดจนจุดแข็งและจุดอ่อนเหล่านั้นของผู้อื่นได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และนี่จะทำให้เจ้าสามารถทำงานเคียงข้างกับพวกเขาได้อย่างปรองดอง  หากเจ้าเข้าใจแง่มุมนี้ของความจริงและสามารถเข้าสู่แง่มุมนี้ของความเป็นจริงแห่งความจริงได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถเข้ากันได้อย่างปรองดองกับบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า โดยดึงจุดแข็งของกันและกันมาเพื่อชดเชยจุดอ่อนใดๆ ที่เจ้ามี  ในหนทางนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใด หรือเจ้ากำลังทำสิ่งใด เจ้าจะทำสิ่งนั้นได้ดีขึ้นและมีพระพรของพระเจ้าเสมอ(บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ผมได้เข้าใจผ่านพระวจนะว่า ทุกคนมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง และโลกนี้ก็ไม่มีใครเพียบพร้อม ไม่ว่าแข็งแกร่งแค่ไหน เราก็ยังมีข้อเสีย และต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น ไม่ว่าจะมีหน้าที่อะไรในคริสตจักร ก็ไม่อาจแยกจากความช่วยเหลือและการร่วมมือกับผู้อื่นได้ เราถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก จนทำตัวตามอุปนิสัยเสื่อมทรามเสมอ เราจึงต้องการการย้ำเตือน และการกำกับดูแลจากเหล่าพี่น้อง เพื่อเลี่ยงการเบี่ยงเบนจากหลักธรรม และลดความผิดพลาดของเรา เวลาคนอื่นเข้ามาทำความเข้าใจปัญหาในงานของผม ผมควรใช้มันเป็นโอกาสในการปรับปรุงตัวเอง และเรียนรู้จากจุดแข็งของพวกเขาเพื่อชดเชยจุดอ่อนของตัวเอง สิ่งนี้จะช่วยผม และงานของคริสตจักรได้ ผมได้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผมไม่ได้เก่งกว่าใคร รวมถึงพี่สาวที่ดูแลงานผม ผมควรยอมรับการชี้นำ และคำแนะนำของคนอื่น แก้ไขความเบี่ยงเบนและข้อผิดพลาด และกล้าเปิดเผยความอ่อนแอของตัวเอง เพื่อขอความช่วยเหลือจากคนอื่น นี่คือคนที่มีเหตุผลและความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พอรู้แบบนี้ ผมก็เริ่มปล่อยวางทรรศนะที่ผิดของตัวเอง ผมเลิกรู้สึกว่า ผมให้น้ำได้โดยไม่ต้องมีใครมากำกับดูแล ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองมีข้อเสียมากมาย และไม่ได้เพียบพร้อม จากนั้น ผมก็เริ่มยอมรับคำแนะนำของพี่สาวคนนี้ และเวลาเธอมีคำถาม หรืออยากรู้ถึงสภาวะของผู้มาใหม่ในแง่ต่างๆ ผมก็พูดคุยกับเธออย่างเปิดเผย และบอกโดยละเอียด การทำแบบนี้ ทำให้ผมมีประสิทธิภาพในหน้าที่มากขึ้น

วันหนึ่ง พี่คนนี้ถามผมเรื่องสถานการณ์ของผู้มาใหม่ ผมตอบเธอไปโดยที่ไม่ได้สังเกตการณ์ และให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุผลที่ผู้มาใหม่บางคนไม่เข้าชุมนุมตามปกติ เธอเตือนผมถึงบางประเด็นที่สำคัญ และผมก็จดไปทำตาม ผมได้เห็นว่า การรับคำแนะของผู้อื่นมาเป็นเรื่องดีมาก ถึงบางครั้งที่เธอชี้ให้ผมเห็นข้อเสีย ผมจะยังยอมรับไม่ได้ทันที ผมก็เข้าใจว่าเธอมาช่วยผม ผมจึงไม่ควรคิดลบและต่อต้าน ผมต้องมาอธิษฐานและแสวงหาเฉพาะพระพักตร์ ซึ่งนั่นเป็นประโยชน์ทั้งกับผมและงานของคริสตจักร ผมมีหน้าที่ให้น้ำผู้มาใหม่ให้ดี เพื่อวางรากฐานบนหนทางที่แท้จริงให้พวกเขา และผมเต็มใจยอมรับการถูกกำกับดูแล และทำหน้าที่ให้ดีแล้วครับ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger