ฉันเผชิญข้อบกพร่องของตนได้อย่างสงบ
ฉันพูดติดอ่างตั้งแต่จำความได้ ปกติไม่ได้แย่มาก แต่เมื่อไรก็ตามที่มีคนอยู่เยอะ ฉันจะประหม่าแล้วเริ่มพูดติดอ่าง พอพ่อแม่เห็นว่าฉันพูดจาไม่ฉะฉาน พวกท่านก็บอกว่า “พูดช้าลงหน่อยไม่ได้หรือไง ไม่มีใครขัดลูกหรอก” คำพูดนั่นทำลายความมั่นใจในตัวเองของฉัน จนฉันไม่อยากพูดมากเกินไป อีกเลย พอเข้าโรงเรียนก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เวลาครูถามคำถามแล้วให้ฉันตอบ เพราะรู้สึกประหม่า ฉันเลยตอบคำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้วไม่ได้ และกลายเป็นว่าฉันพูดติดอ่างหนักขึ้น นั่นทำให้นักเรียนคนอื่นๆ เลียนแบบการพูดของฉัน ตอนอยู่มัธยมต้น ฉันเป็นหัวหน้าชั้น ครั้งหนึ่ง ฉันเห็นว่าอาจารย์มาแล้ว ฉันรู้สึกประหม่า แล้วพอฉันเรียกทุกคนให้ลุกขึ้น ฉันก็พูดติดอ่างอีก พอได้ยินแล้ว เพื่อนร่วมชั้นกับครูต่างพากันหัวเราะลั่น ฉันรู้สึกอายมาก จนอยากมุดดินหนีแทบตาย เพราะความรู้สึกด้อย ฉันเลยแทบไม่ได้ออกจากบ้านและแทบไม่ได้พูดจาเลย หลังจากที่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า พี่น้องก็เห็นว่าฉันมีปัญหาเรื่องการพูดติดอ่างและไม่ค่อยสามัคคีธรรมนัก พวกเขาเลยให้กำลังใจฉัน บอกว่า “อย่ากังวลเรื่องการพูดติดอ่างของคุณเลย แค่พูดช้าลงหน่อย ตราบใดที่เราเข้าใจก็ไม่เป็นไรหรอก” ด้วยกำลังใจจากพี่น้อง ฉันจึงเริ่มปฏิบัติการสามัคคีธรรม ฉันค่อยๆ คุ้นเคยกับพี่น้องมากขึ้น และเวลาพูดก็ไม่ประหม่ามากเกินไป ในตอนนั้น ฉันรู้สึกถึงสำนึกของความหลุดพ้นและอิสรภาพอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่ว่า ฉันสังเกตเห็นว่าเวลาชุมนุมและสามัคคีธรรม พี่น้องมักจะถามฉันว่า “พูดอะไรนะ? ฉันไม่เข้าใจ ช่วยพูดซ้ำอีกทีได้ไหม?” สองสามครั้งแรกฉันไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอฟังพวกเขาบอกฉันบ่อยๆ ฉันก็เริ่มกลัวว่าพวกเขาจะดูถูก กลัวว่าพวกเขาจะบอกว่าฉันโตแล้วแต่ยังพูดติดอ่างอยู่ และพูดให้ชัดยังทำไม่ได้ กลายเป็นว่าฉันประหม่ามากเวลาสามัคคีธรรม และผลก็คือฉันยิ่งพูดติดอ่างมากขึ้นกว่าเดิมอีก ฉันรู้สึกอับอายมาก และกังวลว่าพี่น้องจะคิดว่าฉันไร้ประโยชน์ เป็นคนไร้ค่าไม่มีอะไรดี ฉันก็เลยไม่อยากพูดอีกเลยเวลาไปชุมนุมหลังจากนั้น ฉันกลัวว่าพี่น้องจะบอกว่าฉันพูดไม่ชัด ว่าพวกเขาไม่เข้าใจฉัน ครั้งหนึ่ง ตอนที่เรากำลังชุมนุมกับกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้ความรู้บางอย่างและอยากสามัคคีธรรม แต่ทันทีที่นึกถึงการพูดติดอ่างของตัวเอง ฉันก็ไม่กล้าสามัคคีธรรมทั้งที่อยากจะพูดออกมา รู้สึกเหมือนฉันเป็นคนแปลกแยก พี่น้องเปล่งเสียงคำพูดออกมาได้อย่างชัดเจน แต่ฉันล่ะ? ฉันพูดให้ชัดยังทำไม่ได้ พระเจ้าจะยังต้องการคนแบบนี้อีกหรือ? ฉันเริ่มอยากพูดน้อยลงเรื่อยๆ ระหว่างการชุมนุม ในอดีต ฉันได้รับแสงสว่างจากการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า แต่ตอนนี้ฉันสามัคคีธรรมถึงเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ การชุมนุมแต่ละครั้งดำเนินไปช้ามาก และฉันไม่ได้รับประโยชน์หรือความชื่นชมยินดีจากการชุมนุมเหล่านั้นเลย การชุมนุมแต่ละครั้งรู้สึกเหมือนฉันกำลังยืนอยู่บนตะแลงแกงในลานประหารชีวิต ระหว่างชุมนุม ฉันไม่สามัคคีธรรมเว้นแต่จำเป็นต้องทำ และถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ฉันก็จะฝืนใจสามัคคีธรรมแค่นิดหน่อย ฉันรู้สึกกดขี่และเจ็บปวดอย่างมาก ถึงกับบ่นและเข้าใจพระเจ้าผิด คิดว่า “ทำไมคนอื่นถึงพูดได้ชัดเจนและคล่องนัก ขณะที่ฉันไม่ใช่แค่พูดไม่คล่อง แต่ยังพูดติดอ่างด้วย? ฉันจะพูดคล่องเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ ได้ยังไง เพื่อให้คนอื่นไม่ล้อเลียนฉัน”
ต่อมาในการเลือกตั้งคริสตจักร พี่น้องเลือกฉันเป็นผู้นำ ฉันคิดกับตัวเองว่า “ถ้าฉันทำหน้าที่เป็นผู้นำ ฉันจะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากขึ้น นั่นจะหมายความว่าพี่น้องจะรู้เรื่องปัญหาการพูดติดอ่างของฉันมากขึ้นไม่ใช่เหรอ? ช่างเถอะ ฉันทำไม่ได้ ฉันไม่อยากทำตัวเองขายหน้าอยู่เรื่อยๆ” ด้วยเหตุนี้ฉันจึงปฏิเสธหน้าที่นั้นไป ต่อมา ผู้นำของฉันสามัคคีธรรมกับฉัน และสุดท้ายฉันก็ตอบตกลงอย่างจำใจ ยังไงก็ตาม เป็นเพราะการพูดติดอ่างของฉัน ทำให้มักจะรู้สึกเหมือนว่าฉันด้อยกว่าพี่น้อง และฉันมีชีวิตอยู่ในความคิดลบ ไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ ทุกวันฉันรู้สึกเอื่อยเฉื่อยยังกับสลอธ ฉันรวบรวมพลังงานระหว่างการชุมนุมไม่ได้เลย และไม่เต็มใจสามัคคีธรรม บางครั้งเมื่อพี่น้องประสบกับความลำบากยากเย็น ในใจฉันเข้าใจว่าพวกเขาควรแก้ไขปัญหายังไง แต่ฉันกลัวว่าจะพูดติดอ่างแล้วพวกเขาจะดูถูก ฉันก็เลยไม่อยากสามัคคีธรรม ฉันแค่เล่าปัญหาให้พี่น้องหญิงที่ฉันร่วมงานด้วยฟังแล้วให้เธอไปแก้ปัญหานั้น พี่น้องหญิงคนหนึ่งเห็นว่าฉันไม่ได้สามัคคีธรรมในการชุมนุม จึงถามฉันว่าเป็นอะไรไป ฉันก็เล่าให้เธอฟังถึงสภาวะที่ฉันรู้สึกด้อยเพราะการพูดติดอ่าง พี่น้องหญิงคนนี้ให้กำลังใจฉัน โดยบอกว่า “ทุกคนมีข้อบกพร่อง แต่นั่นไม่กระทบต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเรา การพูดติดอ่างของคุณเกิดจากความกังวลใจ เวลาคุณพูดก็พึ่งพาพระเจ้าให้มากขึ้น และอย่าวิตก ถ้าพูดช้าลงอีกหน่อย พี่น้องก็เข้าใจได้” ได้ยินคำพูดของพี่น้องหญิงคนนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย พระเจ้าทรงใช้พี่น้องหญิงคนนี้มาช่วยฉัน และฉันก็ไม่ควรเอาแต่คิดลบเพราะการพูดติดอ่าง ฉันเต็มใจพลิกกลับสภาวะของฉันและเผชิญกับข้อบกพร่องอย่างถูกควร
ต่อมา มีพี่น้องหญิงคนอื่นๆ ร่วมสามัคคีธรรมกับฉันด้วย ฉันตระหนักว่าที่ฉันรู้สึกกังวลเวลามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ก็เพราะกลัวคนอื่นจะบอกว่าฉันสามัคคีธรรมไม่ดี เหตุนี้ล้วนเป็นเพราะฉันใส่ใจกับการเสียหน้ามากเกินไป ฉันนำสภาวะของฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้วอธิษฐาน ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้เข้าใจปัญหานี้ของตัวเอง วันหนึ่ง ระหว่างการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “แทนที่จะสำรวจค้นหาความจริง ผู้คนส่วนใหญ่มีวาระซ่อนเร้นอันหยุมหยิมของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ หน้าตาของพวกเขาเอง และตำแหน่งแห่งที่หรือจุดยืนที่พวกเขามีในจิตใจของผู้อื่นล้วนมีความสำคัญอย่างใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา เหล่านี้เป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาทะนุถนอม พวกเขาเกาะติดสิ่งเหล่านี้ไว้แน่นหนาและถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นชีวิตของพวกเขา และการที่พระเจ้าทรงมีทัศนะหรือปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไรนั้นมีความสำคัญเป็นอันดับรอง ในชั่วขณะนี้พวกเขาเพิกเฉยต่อการนั้น ในชั่วขณะนี้พวกเขาเพียงพิจารณาว่าพวกเขาเป็นเจ้านายของกลุ่มหรือไม่ ว่าผู้อื่นเคารพยกย่องพวกเขาหรือไม่ และคำพูดของพวกเขามีน้ำหนักหรือไม่ ความกังวลอันดับแรกของพวกเขาอยู่ที่การครอบครองตำแหน่งนั้น เมื่อพวกเขาอยู่ในกลุ่ม ผู้คนเกือบจะทั้งหมดมองหาฐานะประเภทนี้ โอกาสเหมาะประเภทนี้ เมื่อพวกเขามีความสามารถพิเศษสูง แน่นอนว่าพวกเขาต้องการที่จะเป็นจ่าฝูง หากพวกเขามีความสามารถปานกลาง พวกเขาก็จะยังคงต้องการครองตำแหน่งที่สูงกว่าในกลุ่มอยู่ดี และหากพวกเขาครองตำแหน่งที่ต่ำในกลุ่ม มีขีดความสามารถและความสามารถโดยเฉลี่ย พวกเขาก็จะต้องการให้ผู้อื่นเคารพยกย่องพวกเขาเช่นกัน พวกเขาจะไม่ต้องการให้ผู้อื่นดูแคลนพวกเขา หน้าตาและศักดิ์ศรีของพวกเขาคือสิ่งที่พวกเขายอมไม่ได้ กล่าวคือ พวกเขาจำเป็นที่จะต้องยึดเกาะสิ่งเหล่านี้เอาไว้ พวกเขาไม่อาจมีความซื่อสัตย์สุจริตและไม่อาจครองทั้งความเห็นชอบและความยอมรับของพระเจ้าได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเสียความเคารพนับถือ สถานะ หรือความเชื่อมั่นที่พวกเขาเพียรพยายามให้ได้มาในหมู่ผู้อื่นไปได้โดยเด็ดขาด—ซึ่งเป็นอุปนิสัยของซาตาน แต่ผู้คนไม่ตระหนักรู้ถึงการนี้ เป็นความเชื่อของพวกเขานั่นเองว่าพวกเขาต้องเกาะติดอยู่กับหน้าตาอันกระจิริดนี้ไปจนถึงปลายทาง พวกเขาไม่ตระหนักรู้ว่า มีเพียงเมื่อปล่อยมือและละวางสิ่งที่ไร้ประโยชน์และผิวเผินเหล่านี้อย่างสิ้นเชิงเท่านั้น พวกเขาจึงจะกลายเป็นคนที่แท้จริง หากคนคนหนึ่งปกป้องสิ่งเหล่านี้ที่ควรละทิ้งไปเสียว่าเป็นชีวิต พวกเขาก็ย่อมสูญเสียชีวิตไปแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าเสี่ยงที่จะสูญเสียอะไรบ้าง ดังนั้นแล้ว เมื่อพวกเขากระทำการ พวกเขาจึงยื้อยุดบางสิ่งเอาไว้อยู่เสมอ พวกเขาพยายามอยู่เสมอที่จะปกป้องหน้าตาและสถานะของพวกเขาเอง พวกเขาให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านี้เป็นอันดับแรก โดยพูดเพียงเพื่อจุดหมายปลายทางของพวกเขาเอง เพื่อการแก้ต่างอันจอมปลอมให้ตัวพวกเขาเองเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำเป็นไปเพื่อตัวพวกเขาเอง พวกเขารีบรุดไปยังสิ่งใดก็ตามที่สาดแสง เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น อันที่จริงแล้ว สิ่งนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลย แต่พวกเขาไม่เคยต้องการที่จะถูกทิ้งไว้หลังฉาก พวกเขากลัวอยู่เสมอว่าผู้คนอื่นๆ จะดูแคลนพวกเขา พวกเขาเต็มไปด้วยความกลัวอยู่เสมอว่าผู้คนอื่นๆ จะพูดว่าพวกเขาไม่มีตัวตน ว่าพวกเขาไร้ความสามารถที่จะทำสิ่งอันใดได้ ว่าพวกเขาไม่มีทักษะ ทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาชี้นำหรอกหรือ? เมื่อเจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งทั้งหลายอย่างเช่นหน้าตาและสถานะไปได้ เจ้าก็จะผ่อนคลายขึ้นและเป็นอิสระขึ้นมาก เจ้าจะก้าวเท้าไปบนเส้นทางของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่สำหรับหลายคนแล้ว นี่ไม่ง่ายที่จะสัมฤทธิ์ ตัวอย่างเช่นเมื่อมีกล้องปรากฏให้เห็น พวกเขาแย่งกันไปอยู่ด้านหน้า พวกเขาชอบให้มีหน้าของตัวเองติดในกล้อง ยิ่งออกสื่อมากเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น พวกเขากลัวว่าจะไม่ได้เป็นข่าวมากพอ และจะจ่ายทุกราคาเพื่อโอกาสที่จะได้ออกสื่อ แล้วทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาชี้นำหรอกหรือ? เหล่านี้คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขา ดังนั้น เจ้าจึงได้เป็นข่าว—แล้วอย่างไรต่อเล่า? ผู้คนคิดกับเจ้าอย่างสูงส่ง—แล้วอย่างไรเล่า? พวกเขาชื่นชูเจ้า—แล้วอย่างไร? มีสิ่งใดบ้างในการนี้ที่พิสูจน์ว่าเจ้ามีความเป็นจริงความจริง? ไม่มีสิ่งใดในการนี้ที่มีคุณค่าเลย เมื่อเจ้าสามารถเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้—เมื่อเจ้ากลายเป็นไม่แยแสสิ่งเหล่านี้และไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญอีกต่อไป เมื่อหน้าตา ความถือดี สถานะ และความเลื่อมใสจากผู้คนไม่ได้ควบคุมความคิดและพฤติกรรมของเจ้าอีกต่อไป และยิ่งไม่ได้ควบคุมวิธีที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—เมื่อนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็จะมีประสิทธิผลมากขึ้นทุกทีและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นทุกที” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พอได้เห็นสิ่งที่พระเจ้าเปิดโปง ฉันก็เข้าใจว่า ไม่ว่าคนเราจะมีขีดความสามารถแค่ไหน ต่างก็ต้องการมีที่ในหัวใจของคนอื่น และไม่อยากโดนคนอื่นดูถูก แม้ฉันจะมีปัญหาพูดติดอ่าง แต่ฉันก็ไม่อยากให้ใครดูถูกฉัน เนื่องจากฉันพูดไม่ชัด พอพี่น้องถามระหว่างสามัคคีธรรมว่าฉันพูดอะไร ฉันคิดว่าพวกเขาดูถูกฉัน เหตุนี้ทำให้ฉันรู้สึกด้อย แล้วถึงกับกลายเป็นคนคิดลบจนไม่อยากทำหน้าที่ของตัวเองอีกต่อไป ฉันใส่ใจกับการเสียหน้ามาก! ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กก็ได้รับการอบรมจากพ่อแม่และการศึกษาในโรงเรียน ถึงพิษเยี่ยงซาตานที่ว่า “มนุษย์ต้องมีความภูมิใจ ก็เหมือนกับต้นไม้ที่ต้องมีเปลือกไม้” และ “มนุษย์อยู่ที่ใดก็ทิ้งชื่อของเขาไว้ที่นั่นฉันใด ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องของมันที่นั่นฉันนั้น” ซึ่งได้หยั่งรากลงในหัวใจของฉัน คำพูดพวกนี้ทำให้ฉันเชื่ออย่างผิดๆ ว่าคนเราต้องปกป้องความภูมิใจของตัวเองและไม่ปล่อยให้คนอื่นเหยียบย่ำ พอฉันมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาก็หัวเราะเยาะฉันเพราะฉันพูดติดอ่าง เพื่อไม่ให้คนอื่นดูถูก ฉันเลยไม่ออกจากบ้านหรือไม่พูด เว้นแต่จำเป็น ถึงพูด ฉันก็จะพูดแค่สองสามประโยค หรือยิ้มกับพยักหน้า ถ้าฉันเริ่มพูดติดอ่างตอนมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้อง ฉันก็จะสงสัยอยู่ในใจว่า “พวกเขาจะคิดยังไงกับฉัน? พวกเขาจะพูดถึงฉันยังไง?” ฉันคิดเสมอว่าทุกคนดูถูกฉัน และใช้ชีวิตไปกับเจ็บปวดและรู้สึกกดขี่อย่างมาก เมื่อกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ได้รับความสามารถในการจับใจความและความเข้าใจขึ้นบ้าง แต่ฉันกลัวว่าเวลาสามัคคีธรรมจะพูดติดอ่างแล้วพี่น้องจะดูถูก ฉันเลยไม่สามัคคีธรรม อีกทั้งยังเรียกร้องให้พระเจ้ากำจัดปัญหาการพูดติดอ่างของฉันอย่างไม่มีเหตุผลอีกด้วย และถึงกับใช้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง เมื่อพี่น้องเผชิญกับความลำบากยากเย็น ฉันไม่ได้สามัคคีธรรมและช่วยพวกเขาแก้ไข ฉันไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ ฉันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ฉันเป็นศัตรูและเป็นกบฏต่อพระเจ้า ถึงคนอื่นจะยกย่องฉัน และฉันก็ได้ชื่นชมกับชื่อเสียงที่รุ่งโรจน์ แล้วจะเป็นยังไงต่อ? มันจะไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของฉัน และมีแต่จะทำให้กังวลว่าสิ่งต่างๆ ส่งผลต่อเกียรติของฉันยังไง และผลักดันฉันให้ห่างไกลจากพระเจ้า สุดท้ายพระเจ้าก็จะทรงรังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดฉัน พอตระหนักว่าการปกป้องความภูมิใจของฉันจะทำให้ตัวเองเสียหายร้ายแรง ฉันก็ไม่คิดว่าพี่น้องจะคิดยังไงกับฉันอีกแล้ว ฉันคิดแค่การทำหน้าที่ของฉันให้ดี
วันหนึ่ง ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีปัญหาบางอย่างที่ผู้คนไม่สามารถแก้ไขได้ ตัวอย่างเช่น ในยามที่พูดคุยกับผู้อื่น เจ้าอาจจะเกิดอาการประหม่าอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเจ้าเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหลาย เจ้าอาจจะมีแนวคิดและมุมมองของตัวเจ้าเองแต่ไม่สามารถสื่อสารออกมาได้อย่างชัดเจน เจ้ารู้สึกกังวลเป็นพิเศษเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย เจ้าปากสั่นพลางพูดตะกุกตะกัก พวกเจ้าบางคนอาจจะถึงกับพูดติดอ่างเสียด้วยซ้ำ และสำหรับคนอื่นๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้าม เจ้าก็ยิ่งแสดงออกให้ชัดเจนได้น้อยลงกว่าเดิม ไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไรหรือทำอย่างไร สถานการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่เอาชนะได้โดยง่ายใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) อย่างน้อยในระยะสั้นนี่ย่อมไม่ใช่ประเด็นปัญหาที่เจ้าจะเอาชนะได้ง่าย เพราะสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของคุณสมบัติโดยธรรมชาติของเจ้า หากหลังจากฝึกฝนมาแล้วหลายเดือนเจ้ายังคงประหม่า ความประหม่านั้นย่อมแปรเปลี่ยนเป็นความกดดัน ซึ่งส่งผลในทางลบต่อเจ้าด้วยการทำให้เจ้ากลัวที่จะพูด กลัวที่จะพบเจอผู้คน เข้าร่วมชุมนุม หรือเทศนา และความกลัวเหล่านี้เองที่สามารถทำให้เจ้าพ่ายแพ้ได้… เว้นเสียแต่เผชิญกับวาระโอกาสที่สำคัญ ด้วยเหตุนี้ หากเจ้าสามารถเอาชนะข้อบกพร่องและข้อตำหนินี้ได้ในเวลาอันสั้น ก็ทำเช่นนั้นเถิด หากนี่เป็นสิ่งที่ยากจะเอาชนะ เช่นนั้นแล้วก็อย่าใส่ใจ อย่าดิ้นรนพยายาม และอย่าท้าทายตนเอง แน่นอนว่าหากเจ้าไม่สามารถเอาชนะสิ่งนี้ได้ เจ้าก็ไม่ควรคิดลบ ต่อให้ชั่วชีวิตนี้เจ้าจะไม่มีวันเอาชนะสิ่งนี้ได้เลย พระเจ้าก็จะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้า เพราะนี่ไม่ใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า ความวิตกกังวลเมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณชนของเจ้า ความประหม่าและความหวาดกลัวของเจ้า การสำแดงเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีมาโดยกำเนิดหรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังจากสภาพแวดล้อมในชีวิต อย่างมากที่สุดนี่ก็เป็นข้อบกพร่อง เป็นข้อตำหนิในความเป็นมนุษย์ของเจ้า หากในระยะยาวหรือแม้กระทั่งในช่วงชีวิตนี้เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อบกพร่องและข้อตำหนินี้ได้ ก็อย่าจมจ่อมอยู่กับสิ่งเหล่านี้ อย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้บีบคั้นเจ้า และเจ้าก็ไม่ควรเริ่มคิดลบเพราะสิ่งเหล่านี้ เนื่องด้วยนี่ไม่ใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า การพยายามเปลี่ยนแปลงหรือดิ้นรนเพื่อสิ่งนี้นั้นไม่มีประโยชน์ หากเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อบกพร่องและข้อตำหนิเหล่านี้ได้ เช่นนั้นก็จงยอมรับ ปล่อยให้มีอยู่ และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้อง เพราะเจ้าสามารถอยู่ร่วมกับข้อบกพร่องและข้อตำหนิเหล่านี้ได้ การที่เจ้ามีข้อบกพร่องและข้อตำหนิเหล่านี้อยู่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการติดตามพระเจ้าและการทำหน้าที่ของเจ้า ตราบเท่าที่เจ้าสามารถยอมรับความจริงและทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถได้ เจ้าก็ยังสามารถได้รับการช่วยให้รอด เพราะข้อบกพร่องและข้อตำหนิเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลต่อการยอมรับความจริงของเจ้า และไม่ได้ส่งผลต่อความรอดของเจ้า ด้วยเหตุนั้น เจ้าจึงไม่ควรถูกข้อบกพร่องหรือข้อตำหนิบางอย่างในความเป็นมนุษย์ของเจ้าบีบคั้นอยู่เป็นนิจ อีกทั้งไม่ควรเกิดความคิดลบและท้อแท้ หรือแม้กระทั่งละทิ้งหน้าที่ของตนและล้มเลิกการไล่ตามเสาะหาความจริงจนพลาดโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอดอยู่ร่ำไปด้วยเหตุผลเดียวกัน นี่เป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าอย่างสิ้นเชิง เพราะนั่นย่อมเป็นสิ่งที่คนโง่เขลาและไม่รู้ความจะกระทำ” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง II, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) ฉันเป็นเหมือนกับที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้เลย ตลอดชีวิตของฉัน จากปัญหาการพูดติดอ่าง ทำให้ฉันวิตกทุกครั้งที่อยู่ท่ามกลางคนจำนวนมาก ซึ่งทำให้ฉันพูดติดอ่างหนักขึ้นไปอีก เมื่อมีคนดูถูก ก็ทำให้ฉันเสียความมั่นใจ และฉันก็อยากเปลี่ยนการพูดติดอ่างด้วยวิธีของตัวเอง แต่สิ่งต่างๆ ไม่เป็นดังหวัง ส่งผลให้ฉันคิดลบมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถึงกับไม่อยากทำหน้าที่ของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ฉันยังบ่นด้วยว่าพระเจ้าไม่ช่วยฉันแก้ไขปัญหาการพูดติดอ่าง ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ว่าการพูดติดอ่างของฉันเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่เกิด และไม่ใช่ว่าแค่ฉันอยากเอาชนะก็จะชนะได้ การพูดติดอ่างไม่ใช่เรื่องน่ากังวล ไม่ใช่อุปนิสัยเสื่อมทรามและไม่ส่งผลกระทบต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของฉัน เป็นแค่ข้อบกพร่องที่ฉันมี และตราบใดที่ฉันพิจารณาอย่างถูกต้องก็ไม่เป็นไร ถ้าพี่น้องไม่เข้าใจคำพูดและคำแนะนำของฉัน ฉันก็ควรเผชิญกับเรื่องนี้อย่างสงบ และพูดคำพูดอีกครั้งหรือพูดช้าลง การพูดติดอ่างไม่ควรทำให้ฉันคิดลบจนไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง สรุปคือ คนเราไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับข้อบกพร่องของตัวเอง ถ้าเอาชนะได้ก็ควรทำ ถ้าทำไม่ได้ ก็ควรเผชิญปัญหาอย่างสงบ สามัคคีธรรมต่อไป และทำหน้าที่ของตัวเองในหนทางที่ควรทำ ไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดด้วยการพูดติดอ่าง ในอดีต ฉันพิจารณาปัญหาการพูดติดอ่างของตัวเองอย่างถูกต้องไม่ได้ ฉันเชื่อว่าการพูดติดอ่างของฉันหมายถึงฉันนั้นไม่ได้เรื่องและรกโลก ฉันทำหน้าที่ของตัวเองไม่ได้ และพระเจ้าไม่ต้องการคนแบบฉัน แต่ตลอดเวลานี้ คริสตจักรไม่เคยลิดรอนสิทธิ์ในการทำหน้าที่ของฉันเพราะการพูดติดอ่าง เป็นฉันเองที่พิจารณาข้อบกพร่องนี้อย่างถูกต้องไม่ได้ เอาตัวเองเข้าไปขัดแย้งด้วยตลอด พอฉันเอาชนะไม่ได้ ฉันก็กลายเป็นคนคิดลบและบ่น ที่จริง ตอนที่ฉันไม่ตั้งใจเปลี่ยนการพูดติดอ่าง และพูดช้าลงอีกนิด พี่น้องก็เข้าใจฉันได้ และฉันก็ทำหน้าที่ได้ตามปกติ ไม่เหมือนที่คิดไว้สักนิด ที่ว่าฉันทำหน้าที่ไม่ได้เพราะพูดติดอ่าง ตลอดทั้งชีวิต ฉันได้รับผลกระทบจากปัญหาการพูดติดอ่างมาตลอด เพื่อนร่วมชั้นหัวเราะเยาะ และพ่อแม่ก็ไม่ชอบฉัน ทั้งหมดที่ฉันได้รับมีเพียงการเพิกเฉยกับการเลือกปฏิบัติ และฉันก็ใช้ชีวิตอยู่กับความมั่นใจในตัวเองที่ต่ำมาก แต่ว่า หลังจากที่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า พระองค์ทรงใช้พี่น้องมาช่วยและให้กำลังใจฉัน และใช้พระวจนะของพระองค์นำฉันเวลาคิดลบและเจ็บปวด ช่วยให้ฉันหลุดพ้นจากความคิดลบนี้ ตอนนี้ฉันเข้าใจลึกซึ้งจากประสบการณ์แล้วว่าพระเจ้าคือผู้ที่ทรงรักมนุษย์มากที่สุด แต่ฉันมักจะบ่นและเข้าใจพระเจ้าผิด ฉันเป็นหนี้บุญคุณพระองค์มาก เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ฉันก็มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “พระเจ้า! จากพระวจนะของพระองค์ ข้าพระองค์เข้าใจ ว่าการมีข้อบกพร่องนั้นไม่น่ากังวล และไม่ได้หมายความว่าข้าพระองค์ทำหน้าที่ของตัวเองไม่ได้ ข้าพระองค์ยินดีที่จะพิจารณาข้อบกพร่องของตัวเองด้วยจิตใจที่สงบ นบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์ให้ดี และตอบสนองพระองค์”
วันหนึ่ง ระหว่างการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณของฉัน ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน “ผู้คนควรปล่อยวางมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าเหล่านี้ หากกล่าวโดยเฉพาะเจาะจง ผู้คนควรปฏิบัติเรื่องนี้อย่างไร? จงอย่าไล่ตามไขว่คว้าความสามารถพิเศษหรือพรสวรรค์อันสูงส่ง และอย่าไล่ตามไขว่คว้าการเปลี่ยนแปลงขีดความสามารถหรือสัญชาตญาณของตัวเจ้าเอง แต่ในทางกลับกัน จงทำหน้าที่ของเจ้าตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และทำแต่ละสิ่งที่พระเจ้าทรงร้องขอภายใต้ขีดความสามารถ ความสามารถ สัญชาตญาณ และอื่นๆ ที่เจ้ามี พระเจ้าไม่ทรงเรียกร้องสิ่งที่เกินความสามารถหรือขีดความสามารถของเจ้า—และเจ้าก็ไม่ควรสร้างความลำบากให้ตนเองด้วยเช่นกัน เจ้าควรทำสุดความสามารถตามสิ่งที่เจ้ารู้และสิ่งที่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้ รวมถึงปฏิบัติตามสิ่งที่ภาวะของตัวเจ้าเองอนุญาต” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง II, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) “หากเหตุผลของความเป็นมนุษย์ของเจ้านั้นปกติ เจ้าก็ควรเผชิญหน้ากับข้อบกพร่องและข้อตำหนิของตนด้วยท่าทีที่ถูกต้อง เจ้าควรรับรู้และยอมรับสิ่งเหล่านี้ นี่คือสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับเจ้า การยอมรับข้อบกพร่องและข้อตำหนิเหล่านี้ไม่ได้หมายถึงการถูกสิ่งเหล่านี้บีบคั้น และไม่ได้หมายถึงการคิดลบเป็นประจำเพราะสิ่งเหล่านี้ แต่กลับหมายถึงการไม่ถูกบีบคั้นจากสิ่งเหล่านี้ การตระหนักรู้ว่าเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งในหมู่มวลมนุษย์อันเสื่อมทรามที่มีข้อบกพร่องและข้อตำหนิของตัวเอง ไม่มีสิ่งใดให้โอ้อวดเลย พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ยกชูให้ผู้คนทำหน้าที่ของพวกเขา พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะทรงพระราชกิจพระวจนะและพระชนม์ชีพของพระองค์ภายในตัวพวกเขา อำนวยให้พวกเขาสัมฤทธิ์ความรอดและหลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตาน การนี้ล้วนเป็นเพราะพระเจ้าทรงยกชูผู้คนโดยแท้จริง ทุกๆ คนต่างมีข้อบกพร่องและข้อตำหนิ เจ้าควรอนุญาตให้ข้อบกพร่องและข้อตำหนิทั้งหลายอยู่เคียงไปกับเจ้า ไม่หลีกเลี่ยงและปกปิดสิ่งเหล่านั้น อีกทั้งไม่รู้สึกทุกข์ใจอยู่ข้างในบ่อยครั้ง หรือถึงกับรู้สึกด้อยอยู่เสมอ เจ้าไม่ได้ด้อย หากเจ้าสามารถทำหน้าที่ของตนอย่างสุดหัวใจ สุดกำลัง สุดจิตใจ และสุดความสามารถ อีกทั้งมีหัวใจที่จริงใจ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมล้ำค่าดั่งทองคำเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หากเจ้าไม่สามารถยอมลำบากและขาดพร่องความจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตน เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เจ้ามีคุณสมบัติตามธรรมชาติที่ดีกว่าคนทั่วไป เจ้าก็ไม่ใช่คนที่ล้ำค่าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าไม่ได้มีค่าไปกว่าเม็ดทรายเสียด้วยซ้ำ” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง II, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ทุกอย่างก็ชัดเจน แต่ละคนมีข้อบกพร่องและมลทิน การมีข้อบกพร่องไม่ใช่ปัญหา และเราควรเรียนรู้ที่จะปล่อยไปและพิจารณาอย่างถูกต้อง ปัญหาการพูดติดอ่างของฉันถูกพระเจ้าลิขิตมาแล้ว และฉันไม่จำเป็นต้องทำให้สิ่งต่างๆ ยุ่งยากกับตัวเองโดยการพยายามเปลี่ยนเรื่องนี้อยู่ตลอด แค่มีจิตใจที่บริสุทธิ์และซื่อสัตย์ และทุ่มเททุกอย่างในการทำหน้าที่ให้ดีก็เพียงพอสำหรับฉันแล้ว เมื่อก่อนฉันกลัวตลอดว่าถ้าฉันติดอ่างเวลาพูด พี่น้องจะดูถูกฉัน ฉันเลยอยากกำจัดปัญหาการพูดติดอ่างนี้ ตอนนี้ฉันต้องนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพิจารณาถึงข้อบกพร่องของตัวเองอย่างถูกต้อง ฉันนึกถึงประสบการณ์ของพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ฉันเคยได้ยิน ปัญหาการพูดติดอ่างของเธอหนักกว่าที่ฉันเป็น เพราะเธอติดอ่างตลอดเวลาที่พูด และสิ่งที่เธอพูดก็เข้าใจยากมาก ในตอนนั้น มีคริสตจักรแห่งหนึ่งถูกพรรคคอมมิวนิสต์จับกุม และงานทั้งหมดของพวกเขาก็หยุดชะงัก บรรดาพี่น้องชายหญิงไม่กล้าไปที่นั่น แต่พี่น้องหญิงคนนี้ก้าวออกมาแล้วอาสาไปช่วยเกื้อหนุนคริสตจักรนั้น บางคนคิดว่า “ถ้าเธอพูดให้ชัดยังทำไม่ได้ แล้วเธอจะเกื้อหนุนพวกเขาได้จริงเหรอ?” แต่ว่า พี่น้องหญิงคนนี้ไม่โดนการพูดติดอ่างของเธอจำกัด พอเธอไปถึงคริสตจักรแล้ว เธอก็ให้ผู้นำมาสรุปสถานการณ์ให้เธอฟัง เธอเห็นว่าพี่น้องทุกคนใช้ชีวิตอย่างขลาดกลัว และเธอก็สามัคคีธรรมกับพวกเขาทีละคน พอเห็นว่าพี่น้องหญิงคนนี้พูดไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร ผู้นำจึงเริ่มเข้าร่วมการสามัคคีธรรม พอพี่น้องหญิงคนนี้ตรวจสอบและกำกับดูแลการทำงานอย่างละเอียด เหล่าผู้นำและคนทำงานก็เริ่มมีสำนึกถึงภาระ และพี่น้องก็เริ่มทำหน้าที่ตามปกติ แม้พี่น้องหญิงคนนี้จะพูดติดอ่าง แต่เธอก็ไม่ถูกจำกัดด้วยเรื่องนี้ และสามารถบรรลุผลในหน้าที่ของตนได้ ฉันควรเป็นเหมือนพี่น้องหญิงคนนี้และทำหน้าที่ของฉันด้วยใจจริง ด้วยวิธีนี้จะได้รับการนำจากพระเจ้าง่ายกว่า หลังจากเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ฉันก็รู้ว่าไม่ต้องกลัวว่าฉันมีข้อบกพร่อง สิ่งที่สำคัญคือการเผชิญหน้ากับข้อบกพร่องอย่างถูกต้อง และทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถตามที่ฉันจะทำให้สำเร็จได้ด้วยขีดความสามารถของตัวเอง
ปัจจุบัน เวลาฉันดำเนินงานและสามัคคีธรรมกับพี่น้องเพื่อแก้ไขสภาวะของพวกเขา ฉันก็ไม่ถูกจำกัดด้วยการพูดติดอ่างอีกต่อไป ไม่ว่าฉันจะค้นพบปัญหาของใคร ฉันก็ตัดแต่งพวกเขาเมื่อควรทำ และสามัคคีธรรมเพื่อช่วยเหลือพวกเขาเมื่อเหมาะสม ขณะสามัคคีธรรม ฉันพบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาพวกเขาตามประสบการณ์ของฉันเอง สามัคคีธรรมในเรื่องต่างๆ ที่ฉันเข้าใจจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้า บางครั้ง ฉันรู้สึกวิตก และเริ่มพูดติดอ่าง ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าในใจ ขอให้พระองค์ทรงนำฉันไม่ให้ถูกความภูมิใจในตัวเองจำกัดไว้ จากนั้นฉันก็พูดช้าลงเพื่อให้พี่น้องเข้าใจ และดำเนินงานไปได้อย่างชัดเจน เวลาที่พี่น้องสังเกตว่าฉันพูดติดอ่าง พวกเขาไม่ดูถูกฉันอย่างที่ฉันคิดไว้ พวกเขายังบอกด้วยว่าพบเส้นทางเล็กๆ น้อยๆ จากการสามัคคีธรรมของฉัน บางครั้ง เวลาที่ผู้นำระดับสูงตรวจดูงานของฉัน ฉันรู้สึกประหม่าแล้วเริ่มพูดติดอ่าง ฉันก็เผชิญกับมลทินนี้อย่างสงบ และความประหม่าเวลาพูดก็หายไป
ตลอดหลายปีมานี้ ฉันมีปัญหาการพูดติดอ่างมาตลอด ฉันรู้สึกด้อยและรู้สึกกดขี่อย่างเหลือเชื่อ ตลอดการเดินทางนี้ ฉันเข้าใจลึกซึ้ง ว่าพระเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับว่าใครดูเป็นนักพูดที่ดีหรือไม่ สิ่งที่พระองค์ต้องการคือให้เรามีจิตใจที่บริสุทธิ์และซื่อสัตย์ ไม่ว่าภายนอกคนเราจะมีข้อบกพร่องใด ตราบใดที่พวกเขาทุ่มเทเต็มที่ในการปฏิบัติหน้าที่ได้ พวกเขาก็สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า ดังที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า “ทุกๆ คนต่างมีข้อบกพร่องและข้อตำหนิ เจ้าควรอนุญาตให้ข้อบกพร่องและข้อตำหนิทั้งหลายอยู่เคียงไปกับเจ้า ไม่หลีกเลี่ยงและปกปิดสิ่งเหล่านั้น อีกทั้งไม่รู้สึกทุกข์ใจอยู่ข้างในบ่อยครั้ง หรือถึงกับรู้สึกด้อยอยู่เสมอ เจ้าไม่ได้ด้อย หากเจ้าสามารถทำหน้าที่ของตนอย่างสุดหัวใจ สุดกำลัง สุดจิตใจ และสุดความสามารถ อีกทั้งมีหัวใจที่จริงใจ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมล้ำค่าดั่งทองคำเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง II, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3))
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ