เบื้องหลังการไม่แสดงจุดยืนคืออะไร?

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

โดย เคลลี, ประเทศเกาหลีใต้

สักระยะหนึ่งก่อนหน้านี้ ฉันไม่มีประสิทธิภาพในการทำหน้าที่อย่างมาก  ทุกครั้งที่ทำโครงการวิดีโอ ฉันจะปรับแก้งานหลายครั้งเป็นประจำ  การทำเช่นนี้ส่งผลต่อความคืบหน้าโดยรวมของงานอย่างร้ายแรง  ตอนแรกฉันนึกว่าเป็นเพราะฉันไม่มีความคิดเห็นของตนเอง—ทุกครั้งที่พี่น้องชายหญิงเสนอแนะให้แก้ไขอะไรบางอย่าง ฉันไม่ได้ประเมินตามหลักธรรมว่าจำเป็นไหม และเอาแต่เปลี่ยนแปลงตามที่พวกเขาเสนอมา  ข้อเสนอแนะบางอย่างไม่ได้สมเหตุสมผลนัก ส่งผลให้มีการแก้ไขตลอดเวลา  ต่อมาพอถูกตัดแต่งและทบทวนตัวเองตามสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็น ฉันถึงตระหนักว่าเบื้องหลังความไม่แน่วแน่ของฉันคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตาน และเจตนาอันน่าดูหมิ่น

นั่นเป็นเรื่องเมื่อหลายเดือนก่อน  ตอนนั้นมีพี่น้องชายหญิงบางคนที่โอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ ยืนกรานที่จะทำตามมุมมองของตัวเองตลอดเวลา และไม่สามารถยอมรับข้อเสนอแนะจากคนอื่น ซึ่งกระทบความคืบหน้าของงานอย่างร้ายแรง  ผู้นำของพวกเราได้สามัคคีธรรมเพื่อเปิดโปงพวกเขาหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและถูกปลด  เมื่อเห็นพวกเขาถูกปลด ฉันก็แอบเตือนตัวเองว่า “เมื่อพี่น้องชายหญิงเสนอแนะอะไรกับฉันในวันข้างหน้า ฉันจะยืนกรานที่จะทำตามมุมมองของตัวเองไม่ได้”  หลังจากนั้น เวลาที่ทุกคนเสนอแนะให้แก้วิดีโอ ฉันจึงทำตามแทบจะทุกครั้ง ถึงบางครั้งจะเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนจริงๆ ก็ตาม  ที่จริงฉันก็คิดว่าข้อเสนอแนะเหล่านั้นบางอย่างก็ไม่สอดคล้องกับหลักธรรม และบางครั้งก็เป็นเรื่องเล็กน้อยเอามากๆ แต่ฉันห่วงว่า “ถ้าฉันไม่ยอมแก้งาน หัวหน้างานและพี่น้องชายหญิงจะคิดอย่างไรกับฉันนะ?  พวกเขาจะคิดว่าฉันโอหังและรับคำแนะนำของคนอื่นไม่ได้หรือเปล่า?  ถ้าฉันทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดีว่าฉันยอมรับความจริงไม่ได้ แบบนั้นฉันย่อมจะถูกปลดในเร็ววัน  อีกอย่างฉันก็ไม่มั่นใจในความเห็นของตัวเองเสียทีเดียว  ถ้าเกิดฉันคิดผิด และไม่เปลี่ยนสิ่งที่จำเป็นต้องเปลี่ยน ถ้าปัญหานั้นถูกพบเจอหลังจากที่เผยแพร่วิดีโอทางออนไลน์แล้ว แบบนั้นก็ย่อมเป็นฉันสิที่ต้องรับผิดชอบ”  พอคิดเรื่องนี้แล้ว ฉันเลยยอมรับทุกข้อเสนอแนะและแก้งานใหม่เพื่อให้ตัวเองปลอดภัย  บางครั้งเรื่องเดียวกันก็มีข้อเสนอแนะที่แตกต่างกัน ดังนั้นฉันจึงทำไว้หลายแบบ แล้วขอให้หัวหน้างานตัดสินใจว่าแบบไหนดีที่สุด หรือระหว่างที่ทีมของพวกเราหารือเรื่องงานกัน ฉันก็จะยกประเด็นดังกล่าวมาคุยกับพี่น้องชายหญิงให้พวกเราตัดสินใจขั้นสุดท้ายร่วมกัน  ฉันคิดเอาว่า “หัวหน้างานและพี่น้องส่วนใหญ่ตัดสินใจแบบนี้  นี่เป็นความเห็นของคนหมู่มาก จึงไม่น่าจะมีปัญหาหนักหนาอะไร  นี่เป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุด  ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดในวันข้างหน้า ก็ย่อมจะไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉันคนเดียว”  บางครั้งฉันได้รับข้อเสนอแนะมากมาย และไม่แน่ใจว่าจะแก้ไขงานอย่างไร ฉันจึงไปหาหัวหน้างานให้เธอช่วยตัดสินใจว่าจะเลือกทิศทางไหนดี  บางครั้งฉันรับฟังคำแนะนำมากเกินไป จนสุดท้ายตัวเองก็ไม่รู้ว่าควรจะใช้เอฟเฟกต์แบบไหน ซึ่งทำให้การทำหน้าที่ขาดประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก  ในการหารือเรื่องงาน การที่ฉันขอให้พี่น้องชายหญิงช่วยตัดสินใจอยู่เรื่อยก็ดึงเวลาในการทำหน้าที่ของพวกเขามา และส่งผลให้งานโดยรวมเดินหน้าช้าลง

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันกำลังทำภาพฉากหลังของวิดีโออยู่  ภาพนั้นต้องสะท้อนให้เห็นสภาวะที่ทุกข์ทนของผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในบาป ฉันจึงทำรูปเป็นโทนมืด มีแสงส่องจากด้านหลังภาพ  พี่น้องชายหญิงบางคนคิดว่ารูปนั้นมืดเกินไปและไม่ดึงดูดใด จึงเสนอให้ฉันเพิ่มความสว่างอีกนิด แล้วเพิ่มแสงและเงาเข้าไปบ้าง  ฉันลังเลกับข้อเสนอแนะเหล่านี้  ถ้ามองตามหัวข้อ การทำให้ภาพสว่างเกินไปย่อมไม่สอดคล้องกับบรรยากาศในภาพรวมของผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืด และการเพิ่มความสว่างก็จะละเมิดกฎเชิงวัตถุวิสัย ฉันจึงมองว่าข้อเสนอแนะไม่สมเหตุสมผล  แต่แล้วฉันก็คิดว่าในเมื่อมีหลายคนให้ข้อเสนอแนะแบบนี้มา ถ้าฉันไม่ทำตามและส่งผลกระทบต่อเอฟเฟกต์ของวิดีโอหลังเผยแพร่ทางออนไลน์ไปแล้ว นั่นก็จะกลายเป็นความรับผิดชอบของฉัน  ขณะที่อึกอักกับเรื่องนี้อยู่ ฉันก็เห็นว่าผู้นำเห็นด้วยกับการแก้ไขนั้น ฉันเลยเริ่มประนีประนอม  ถ้าฉันบอกไปว่าตัวเองมีมุมมองอย่างไร และไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข ทุกคนจะคิดว่าฉันยืนกรานที่จะทำตามมุมมองของตัวเองไหม?  พวกเขาจะคิดไหมว่าฉันกำลังให้ข้ออ้างที่จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงงานเพราะว่ามันลำบาก?  เพราะอย่างนั้นฉันเลยตัดสินใจปรับแก้ให้จบไป  ถ้ามีปัญหาขึ้นมา ก็จะไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉันคนเดียวเพราะฉันเปลี่ยนตามข้อเสนอแนะของทุกคน  ฉันรู้สึกชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เหมาะสม แต่ก็ใช้เวลามากมายปรับแก้พื้นหลังทั้งหมดให้อยู่ดี  พอทำเสร็จฉันก็ตกใจมากที่หัวหน้างานประเมินรูปนี้ตามหลักธรรมที่เกี่ยวข้องและผลลัพธ์ตามจริงหลังการแก้งาน โดยบอกว่ามันไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรม และฉันต้องเปลี่ยนภาพกลับไปเป็นแบบเดิม  เธอยังบอกด้วยว่าพักนี้ฉันเฉื่อยชาในหน้าที่ ฉันไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอแนะของคนอื่น ขัดขวางความคืบหน้าของงาน และเธอขอให้ฉันทบทวนตัวเอง  ฉันสงบใจไม่ได้อยู่นาน เศร้าและรู้สึกผิดเอามากๆ  ฉันใช้เวลาปรับแก้รูปนั้นนานมาก และตอนนี้กลับต้องเปลี่ยนกลับ ซึ่งดึงให้งานช้าลงจริง  ฉันตระหนักว่าในช่วงนี้ ทุกครั้งที่เจอข้อเสนอแนะต่างๆ อันที่จริงฉันก็มีความคิดเห็นของตัวเองอยู่ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นบอกว่าฉันโอหัง ฉันจึงไม่พูดความคิดเห็นเหล่านั้นออกมา  เวลาไม่แน่ใจว่าจะจัดการปัญหาอย่างไร ฉันก็ไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง ฉันแค่รอคอยให้คนอื่นตัดสินชี้ขาด ทำอะไรตามคำสั่งของคนอื่นเสมอ  การทำหน้าที่แบบนี้เฉื่อยชาเกินไปจริงๆ และทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า  ฉันจึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานขอพระองค์ทรงนำฉันในการทบทวนและรู้จักตัวเอง

ในการแสวงหาและใคร่ครวญนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ผู้ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าต้องเป็นผู้คนที่มีภาระเป็นงานของคริสตจักร รับผิดชอบ ค้ำจุนหลักธรรมความจริง สามารถทนทุกข์และยอมลำบากได้  หากคนใดไม่มีสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่เหมาะที่จะปฏิบัติหน้าที่ และไม่อยู่ในภาวะที่จะปฏิบัติหน้าที่  มีผู้คนมากมายกลัวที่จะรับผิดชอบการปฏิบัติหน้าที่  ความกลัวของพวกเขาสำแดงให้เห็นในสามหนทางหลัก  หนทางแรกคือพวกเขาเลือกหน้าที่ที่ไม่พึงต้องรับผิดชอบ  หากผู้นำคริสตจักรจัดการเตรียมการให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่อย่างหนึ่ง พวกเขาย่อมถามก่อนว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบอะไรในหน้าที่นั้นหรือไม่ หากใช่ พวกเขาก็ไม่ยอมรับหน้าที่นั้น  หากไม่ต้องให้พวกเขาแบกรับความรับผิดชอบและไม่ต้องรับผิดชอบอะไร พวกเขาก็ยอมรับหน้าที่นั้นไว้อย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ยังคงต้องดูว่างานนั้นเหน็ดเหนื่อยหรือยุ่งยากหรือไม่ และแม้พวกเขาจะยอมรับหน้าที่ไว้อย่างไม่เต็มใจแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ไร้แรงจูงใจที่จะปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดี เลือกที่จะสุกเอาเผากินอยู่ดี  การพักผ่อน ไร้ซึ่งงานหนัก และไม่มีความยากลำบากทางกาย—นี่คือหลักการของพวกเขา  หนทางที่สองคือเมื่อมีความลำบากยากเย็นบังเกิดกับพวกเขาหรือพวกเขาเผชิญปัญหา สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือรายงานผู้นำและให้ผู้นำรับมือและแก้ไขเรื่องนั้น โดยหวังว่าพวกเขาจะยังคงสบายต่อไป  พวกเขาไม่ใส่ใจว่าผู้นำจะรับมือประเด็นปัญหาอย่างไรและไม่สนใจเรื่องนี้—ตราบใดที่พวกเขาไม่ต้องรับผิดชอบด้วยตนเอง ตราบนั้นทุกอย่างก็ดีแล้วสำหรับพวกเขา  การปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้เป็นการจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือไม่?  นี่เรียกว่าการโยนกลอง การละทิ้งหน้าที่ การเล่นตุกติก  มีแต่ลมปากทั้งสิ้น พวกเขาไม่ทำสิ่งใดที่เป็นจริง  พวกเขาบอกตนเองว่า ‘ถ้าฉันต้องแก้ไขเรื่องนี้ แล้วลงเอยด้วยการทำผิดพลาดขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้น?  เมื่อพวกเขาตรวจสอบว่าใครผิด พวกเขาจะไม่จัดการฉันหรอกหรือ?  ความรับผิดชอบจะไม่ตกเป็นของฉันก่อนเพื่อนหรอกหรือ?’  นี่คือสิ่งที่พวกเขากังวล  แต่เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่ง?  ทุกคนย่อมทำผิด  หากบุคคลที่มีเจตนาถูกต้องนั้นขาดพร่องประสบการณ์และไม่เคยจัดการเรื่องบางอย่างมาก่อน แต่พวกเขาทำดีที่สุดแล้ว นั่นย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่สายพระเนตรของพระเจ้า  เจ้าต้องเชื่อว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสรรพสิ่งและหัวใจของมนุษย์  หากคนเราไม่เชื่อแม้แต่สิ่งนี้ พวกเขาย่อมเป็นผู้ไม่เชื่อมิใช่หรือ?  การที่คนเช่นนี้ปฏิบัติหน้าที่จะมีนัยสำคัญอะไรได้?  แท้จริงแล้วไม่สำคัญมิใช่หรือว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่นี้หรือไม่?  พวกเขากลัวการรับผิดชอบและบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ  เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น สิ่งแรกที่พวกเขาทำไม่ใช่การพยายามคิดหาทางจัดการปัญหา แต่สิ่งแรกที่พวกเขาทำกลับเป็นการเรียกหาและแจ้งผู้นำ  แน่นอนว่าบางคนก็พยายามจัดการปัญหาด้วยตัวเองพลางแจ้งผู้นำไปด้วย แต่บางคนไม่ทำเช่นนี้ และสิ่งแรกที่พวกเขาทำก็คือการเรียกหาผู้นำ และหลังจากเรียกหาแล้ว พวกเขาก็แค่รออยู่เฉยๆ รอคอยคำสั่ง  พอผู้นำสั่งให้พวกเขาก้าวหนึ่งก้าว พวกเขาก็ก้าวหนึ่งก้าว ถ้าผู้นำบอกให้ทำอะไรสักอย่าง พวกเขาก็ทำอย่างนั้น  ถ้าผู้นำไม่พูดหรือสั่งอะไร พวกเขาก็ไม่ทำอะไรและเอาแต่ผัดวันประกันพรุ่ง  เมื่อไม่มีใครกระตุ้นพวกเขาหรือกำกับดูแลพวกเขา พวกเขาก็ไม่ทำงานอะไรเลย  จงบอกเราเถิดว่าคนแบบนี้กำลังทำหน้าที่อยู่หรือไม่?  ต่อให้พวกเขากำลังออกแรงทำงาน พวกเขาก็ไม่มีความจงรักภักดี!  ยังมีอีกหนทางหนึ่งที่เป็นการสำแดงความกลัวที่จะต้องรับผิดชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลให้เห็น  เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้คนบางคนทำงานที่ผิวเผินเรียบง่ายเพียงเล็กน้อย งานที่ไม่พ่วงเอาการต้องรับผิดชอบมาด้วย  ส่วนงานที่นำความลำบากยากเย็นและการต้องรับผิดชอบมาให้นั้น พวกเขาโยนให้ผู้อื่นทำ และหากบางสิ่งเกิดผิดพลาด พวกเขาก็โยนความผิดไปให้ผู้คนเหล่านั้น และทำให้ตัวเองไม่เดือดร้อน  เมื่อผู้นำคริสตจักรเห็นว่าผู้คนเหล่านั้นขาดความรับผิดชอบ พวกเขาก็ให้ความช่วยเหลืออย่างอดทน หรือตัดแต่งผู้คนเหล่านั้น เพื่อให้คนเหล่านั้นสามารถรับผิดชอบได้  แต่คนเหล่านั้นก็ไม่อยากรับผิดชอบอยู่ดี และคิดไปว่า ‘หน้าที่นี้ทำยาก  เวลามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา ฉันก็จะต้องรับผิดชอบ ฉันอาจถึงกับถูกปลดและกำจัดออกไป และนั่นย่อมจะเป็นการจบสิ้นสำหรับฉัน’  นี่คือท่าทีแบบใด?  หากพวกเขาไม่มีสำนึกรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้อย่างไร?  ผู้ที่ไม่สละตนเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริงย่อมไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อันใดได้ดี และผู้ที่กลัวการรับผิดชอบมีแต่จะทำให้สิ่งทั้งหลายล่าช้าเท่านั้นเมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน  ผู้คนเช่นนี้ไว้ใจหรือพึ่งพาไม่ได้ พวกเขาทำหน้าที่ของตนเพียงเพื่อหาอาหารใส่ปากท้องของตนเท่านั้น  ‘ขอทาน’ เยี่ยงนี้ควรถูกกำจัดออกไปหรือไม่?  พวกเขาควรถูกขับออกไป  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ต้องการผู้คนเช่นนี้(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง))  พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นสภาวะของฉัน  ฉันนึกย้อนไปถึงการทำหน้าที่ในช่วงนั้น  เวลาได้รับข้อเสนอแนะมากมายขนาดนั้น ฉันตระหนักว่าบางข้อก็ไม่ถูกต้องเหมาะสม  การแก้ไขงานบางครั้งขัดต่อหลักธรรม และบางครั้งก็ไม่จำเป็น  แต่ฉันกลัวว่าถ้าฉันไม่ฟังคำแนะนำของทุกคน แล้วเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา ฉันจะต้องรับผิดชอบคนเดียว  ฉันยังกลัวด้วยว่าการยึดติดอยู่กับมุมมองของตัวเองจะทำให้คนอื่นรู้สึกแย่ว่าฉันโอหังและคิดว่าตัวเองชอบธรรม ฉันเลยทำตามความคิดเห็นของทุกคน ปรับเปลี่ยนทุกอย่างตามที่คนอื่นเสนอแนะ ฉันถึงกับแก้ไขซ้ำๆ และทำไว้หลายๆ แบบ แล้วรอให้หัวหน้างานกับพี่น้องชายหญิงตัดสินใจ  ฉันไม่เคยแสวงหาหลักธรรมความจริงหรือตัดสินใจเองเพราะกลัวการรับผิด  ฉันคิดว่าการทำแบบนี้ปลอดภัยกว่า เพราะเมื่อเป็นการตัดสินใจของทั้งกลุ่ม ก็ย่อมมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาน้อยลง และถึงจะมีปัญหา ฉันก็ไม่ต้องรับผิดคนเดียว  ดูภายนอก ฉันวุ่นอยู่กับหน้าที่เสมอ แต่ที่จริงฉันกำลังคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองในทุกเรื่อง และกำลังคิดว่าจะปกป้องตัวเองและเลี่ยงความรับผิดชอบได้อย่างไร  เช่นนี้ฉันกำลังใช้เล่ห์เหลี่ยมอยู่ไม่ใช่หรือ?  การทำหน้าที่แบบนี้เป็นเพียงการใช้ความพยายามของตนและทำสิ่งที่มีคนบอกให้ทำ  ฉันไม่เคยขยันหมั่นเพียรหรือรับผิดชอบอะไรในหน้าที่  ฉันไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรเลย และไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์อย่างสิ้นเชิงจริงๆ  คนที่ทำหน้าที่อย่างจริงใจย่อมคิดถึงผลประโยชน์ของคริสตจักรในทุกสิ่ง และเมื่อเผชิญเรื่องราวที่ตนไม่สามารถเข้าใจได้ พวกเขาย่อมแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า แสวงหาหลักธรรมความจริง และมีหัวใจที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าเวลาที่ทำหน้าที่ของตน  แต่ฉันล่ะ?  ฉันไม่จริงใจและไม่ใส่ใจหน้าที่ของตัวเองอย่างสิ้นเชิง  ฉันเป็นเหมือนลูกจ้างที่แค่รอคำสั่งว่าจะให้ทำอะไร  ฉันไม่เคยพยายามแก้ปัญหาด้วยความจริง  เพราะทำหน้าที่แบบนี้ ฉันจึงไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าหรือความจริง  ฉันแค่สักแต่ทำไปอย่างผิวเผินพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ถึงระดับของคนออกแรงทำงานด้วยซ้ำ

ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนที่ว่า “สิ่งใดคือมาตรฐานที่ใช้ตัดสินการกระทำและพฤติกรรมของคนว่าดีหรือชั่ว?  คือการที่ว่าในความนึกคิด สิ่งที่พวกเขาเผยออกมา และการกระทำทั้งหลายของพวกเขานั้น พวกเขามีคำพยานของการนำความจริงไปปฏิบัติและใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงหรือไม่  หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงนี้หรือใช้ชีวิตตามนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือคนทำชั่วอย่างไม่ต้องสงสัย  พระเจ้าทรงมองคนทำชั่วว่าอย่างไร?  สำหรับพระเจ้าแล้ว ความคิดและการกระทำภายนอกของเจ้าไม่ได้เป็นคำพยานให้พระองค์ และไม่ได้ทำให้ซาตานอดสูและปราชัย แต่กลับนำความอับอายมาให้พระองค์ และเต็มไปด้วยเครื่องหมายของการทำให้พระองค์เสื่อมเสียพระเกียรติเพราะเจ้า  เจ้าไม่ได้กำลังเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า เจ้าไม่ได้สละตนเองเพื่อพระเจ้า และเจ้าก็ไม่ได้กำลังลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้ามีต่อพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้ากลับกำลังกระทำเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเจ้าเอง  ความหมายของ ‘เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง’ คือสิ่งใด?  หากจะกล่าวให้แน่ชัด นี่หมายถึงเพื่อซาตาน  เพราะฉะนั้น ในตอนสุดท้าย พระเจ้าจะตรัสว่า ‘เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’  ในสายพระเนตรของพระเจ้า การกระทำของเจ้าจะไม่ถูกมองว่าเป็นการทำดี ทั้งหมดจะถูกพิจารณาว่าเป็นการทำชั่ว  การกระทำของเจ้าไม่เพียงไม่สามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าเท่านั้น—แต่จะถูกกล่าวโทษอีกด้วย  คนเราหวังจะได้รับสิ่งใดจากการเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้า?  สุดท้ายแล้วการเชื่อเช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงเข้าใจว่าพระองค์ทรงเฝ้าสังเกตหัวใจของทุกคน  พระองค์ไม่ได้ทรงดูว่าพวกเราทำงานกันมากขนาดไหน หรือทนฝ่าความทุกข์กันมากขนาดไหน  แต่พระองค์ทรงมองว่าเจตนาของผู้คนในการทำหน้าที่ของตนนั้นเป็นไปเพื่อพระเจ้าหรือเพื่อตัวเอง และพวกเขามีคำพยานของการปฏิบัติความจริงในหน้าที่ของตนหรือไม่  ถ้าคนเราทำหน้าที่เพียงเพื่อสนองความพอใจของตนเอง นี่ก็คือความเลวในสายพระเนตรของพระเจ้า และพระเจ้าทรงรังเกียจสิ่งนี้  โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงมองเห็นว่าความคิดของตัวเองระหว่างที่ทำหน้าที่นั้นเป็นไปเพื่อตัวฉันเอง  ฉันจะแก้ไขอะไรๆ ที่ไม่สำคัญเพื่อเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ว่าจะใช้เวลานานขนาดไหน และถึงกับยอมแก้รูปซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่ใส่ใจว่านั่นจะทำให้งานเสร็จช้าลง ฉันฝืนใจตัวเองเพื่อแก้ไขรูปตามข้อเสนอแนะที่ฉันรู้อย่างชัดเจนว่าไม่ถูกต้องเหมาะสม ผลก็คือคุณภาพของวิดีโอทั้งหลายลดลง  ฉันทำให้งานมีอันต้องล่าช้า แต่ไม่เคยเป็นกังวลหรือรู้สึกถึงความเร่งด่วนเลย แล้วฉันก็ไม่ได้พยายามที่จะเพิ่มประสิทธิผลด้วยการแสวงหาหลักธรรมความจริง  สิ่งเดียวที่ฉันทำในหน้าที่คือทำตามกระบวนการและสักแต่ทำให้เสร็จไป และคิดเอาว่าตราบใดที่ฉันแก้เสร็จและทุกคนเห็นชอบ นั่นย่อมใช้ได้  พฤติกรรมที่ขาดความรับผิดชอบของฉันไม่ใช่การทำหน้าที่แต่อย่างใด และไม่ได้เพิ่มพูนความประพฤติอันดี  นั่นคือความเลว  ฉันขัดขวางงานของคริสตจักรซ้ำๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง  ฉันทำตัวเป็นแค่ผู้รับใช้ของซาตานเท่านั้น และทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก!  พอคิดเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา  ฉันรีบอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันในการเปลี่ยนแปลงท่าทีที่ฉันมีต่อหน้าที่

หลังจากนั้น เวลาที่เจอข้อเสนอแนะสารพัดอย่างในหน้าที่ของตัวเอง ฉันจะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสียก่อนเพื่ออธิษฐานและแสวงหา วิเคราะห์ว่าการแก้ไขที่เสนอแนะกันมานั้นอย่างไหนจำเป็น อย่างไหนไม่จำเป็น และพิจารณาว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพให้ตัวเองสร้างสรรค์ผลงานที่ดีขึ้นได้อย่างไร  สำหรับการแก้ไขที่ไม่จำเป็น ฉันก็จะเสนอความคิดเห็นของตนตามหลักธรรมที่ฉันเข้าใจ แสวงหาและสามัคคีธรรมกับทุกคน และลงมติให้เห็นเอกฉันท์  การปฏิบัติเช่นนี้ทำให้ฉันพอจะมีประสิทธิภาพในการทำหน้าที่เพิ่มขึ้นบ้าง  ฉันคิดว่าตัวเองมีความเปลี่ยนแปลงและการเข้าสู่ในแง่นี้บ้างแล้ว แต่เมื่อเผชิญสิ่งต่างๆ ที่อาจพ่วงความรับผิดชอบมาด้วย ฉันก็หวนกลับไปทำแบบเดิม

มีครั้งหนึ่งฉันใส่ขอบมืดๆ ลงไปในวิดีโอ และทุกคนก็มีความคิดเห็นต่างกันไปเกี่ยวกับรายละเอียดบางอย่างในภาพ  หลังจากหารือและสัมพันธ์สนิทกัน พวกเราก็ยังคงตัดสินใจไม่ได้ว่าจะปรับแต่งอย่างไร และติดอยู่ตรงจุดนั้นนานพอสมควร  ที่จริงแล้วฉันรู้ว่าสำหรับงานที่ใส่ขอบดำแบบนี้ ตราบใดที่ดูดีและเนื้อหาในภาพไม่ละเมิดความเป็นจริงเชิงวัตถุวิสัย ก็ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรายละเอียด  แต่เมื่อได้ฟังข้อเสนอแนะที่แตกต่างกันมากมาย ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร “ถ้าฉันเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ตามแนวคิดของตัวเอง เกิดมีปัญหาหลังอัปโหลดวิดีโอไปแล้วจะเป็นอย่างไร?  ถึงตอนนั้นก็จะกลายเป็นความรับผิดชอบของฉัน”  ฉันกลัวจะต้องรับผิดชอบที่ทำพลาด จึงทำไว้หลายๆ แบบตามข้อเสนอแนะของทุกคนอีก และรอทุกคนตัดสินชี้ขาดให้ฉัน  อย่างไรก็ตาม สุดท้ายก็ไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจนกับฉัน  ขณะที่เฝ้ามองวันเวลาล่วงเลยไป ฉันก็เริ่มร้อนใจมาก  ฉันกำลังถ่วงเวลาให้งานวิดีโอช้าลงอีกแล้วใช่ไหม?  ฉันถามตัวเองว่า “ทำไมการตัดสินใจถึงยากนัก?  ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนถูกมัดมือไว้และแก้ไม่ออก?”  ดังนั้นฉันจึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหา และขอให้พระเจ้าทรงนำฉันในการทบทวนและรู้จักตัวเอง

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เจ้าต้องเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เจ้าต้องมีสำนึกรับผิดชอบเมื่อเจ้าเผชิญหน้าปัญหา และเจ้าต้องพยายามทำทุกวิถีทางที่ทำได้เพื่อแสวงหาความจริงมาแก้ปัญหา  แน่นอนว่าเจ้าต้องไม่เป็นคนคิดคดทรยศ  หากเจ้าสนใจแต่จะบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบและไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเมื่อเกิดปัญหาขึ้น เจ้าก็จะถูกกล่าวโทษเพราะพฤติกรรมเยี่ยงนี้แม้แต่ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ นับประสาอะไรกับในพระนิเวศของพระเจ้า!  นี่ย่อมถูกพระเจ้ากล่าวโทษและสาปแช่ง และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรย่อมดูหมิ่นและไม่ยอมรับพฤติกรรมเช่นนี้  พระเจ้าทรงรักผู้คนที่ซื่อสัตย์ แต่ทรงเกลียดชังผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและกลับกลอก  หากเจ้าเป็นคนที่คิดคดทรยศและพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยม พระเจ้าย่อมจะทรงชังเจ้ามิใช่หรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าจะปล่อยให้เจ้าพ้นผิดได้โดยง่ายกระนั้นหรือ?  ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องรับผิดชอบ  พระเจ้าโปรดผู้คนที่ซื่อสัตย์และไม่โปรดผู้คนที่คิดคดทรยศ  ทุกคนควรเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน เลิกสับสนและเลิกทำสิ่งที่เขลา  ความไม่รู้เท่าทันชั่วครู่ชั่วยามนั้นสามารถอภัยให้ได้ แต่การไม่ยอมรับความจริงเลยเป็นเพียงความดื้อรั้น  บุคคลที่ซื่อสัตย์ย่อมจะสามารถรับผิดชอบ  พวกเขาไม่คำนึงถึงผลกำไรและขาดทุนของตนเอง พวกเขาพิทักษ์งานและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น  พวกเขาใจดีมีเมตตาและมีหัวใจที่ซื่อสัตย์เหมือนน้ำใสในชามที่มองปราดเดียวคนเราก็สามารถเห็นก้นชามได้  และยังมีความโปร่งใสในการกระทำของพวกเขาอีกด้วย  บุคคลที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมักจะเล่นเล่ห์เหลี่ยมอยู่เสมอ อำพรางสิ่งทั้งหลายตลอดเวลา ปกปิด และห่อหุ้มตนเองอย่างมิดชิดเสียจนไม่มีผู้ใดสามารถมองพวกเขาออก  ผู้คนไม่สามารถรู้ทันความคิดในใจตนได้ แต่พระเจ้าสามารถพินิจพิเคราะห์สิ่งที่อยู่ลึกที่สุดในหัวใจของพวกเขา  ถ้าพระเจ้าทรงเห็นว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ เป็นคนกลับกลอก—ไม่เคยยอมรับความจริง หลอกลวงพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยมอบหัวใจของตนให้แก่พระองค์—เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะไม่ชอบพวกเขา พระองค์จะทรงชังและทอดทิ้งพวกเขา  ผู้ที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อ พูดจาให้คนคล้อยตามเก่งและมีไหวพริบ พวกเขาเป็นคนแบบใด?  พวกเจ้าชัดเจนในเรื่องนี้หรือไม่?  แก่นแท้ของพวกเขาคือสิ่งใด?  อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาล้วนหลักแหลมเป็นพิเศษ ทุกคนเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและคิดคดทรยศอย่างยิ่ง พวกเขาล้วนเป็นหมู่มารและเหล่าซาตานโดยแท้  เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะทรงช่วยคนเยี่ยงนี้ให้รอด?  พระเจ้าไม่ทรงชังสิ่งใดยิ่งกว่าพวกมารอีกแล้ว—พวกคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและคิดคดทรยศ  พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยคนแบบนี้ให้รอดโดยเด็ดขาด ดังนั้นก็แน่นอนว่าพวกเจ้าต้องไม่เป็นคนแบบนี้  ผู้ที่มีไหวพริบและพิจารณาทุกแง่ทุกมุมเวลาตนพูดจา ไหลลื่นและเหลี่ยมจัด คอยดูทิศทางลมเวลาจัดการเรื่องต่างๆ—เราบอกเจ้าเลยว่าพระเจ้าทรงเกลียดคนเหล่านี้ที่สุด ผู้คนแบบนี้พ้นวิสัยที่จะช่วยให้รอด  เมื่อผู้คนเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและคิดคดทรยศ ไม่ว่าวาจาของพวกเขาจะฟังดูดีเพียงใด ก็เป็นวาจาเยี่ยงมารที่คอยหลอกลวงผู้คนอยู่ดี  ยิ่งคำพูดของพวกเขาฟังดูดี พวกเขาก็ยิ่งเป็นหมู่มารและเหล่าซาตาน  เหล่านี้คือผู้คนชนิดที่พระเจ้าทรงดูหมิ่นที่สุดโดยแท้  พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง พูดจาคล่องแคล่ว และมักจะโกหก จะสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่?  พวกเขาจะสามารถได้รับความกระจ่างและความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่สามารถ  พระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นใดต่อผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและคิดคดทรยศ?  พระองค์ทรงรังเกียจเดียดฉันท์ ทรงเมินและไม่ใส่พระทัยในตัวพวกเขา ทรงถือว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกับสัตว์ทั้งหลาย  ในสายพระเนตรของพระเจ้า คนพวกนี้เพียงสวมหนังมนุษย์เท่านั้น ตามแก่นแท้ของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็คือพวกเดียวกับซาตานและหมู่มาร พวกเขาคือซากศพเดินได้ และพระเจ้าจะไม่มีวันช่วยพวกเขาให้รอด(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8))  พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นสภาวะของฉัน ฉันลังเลเสมอเวลาเจอข้อเสนอแนะต่างๆ กลัวที่จะต้องรับผิดชอบข้อผิดพลาดทั้งหลาย และพยายามปกป้องตัวเองอยู่เสมอ เพราะฉันถูกพิษของซาตาน เช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “ผู้คนที่มีไหวพริบนั้น เก่งในการปกป้องตัวเอง ด้วยการแค่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น” และ “กฎหมายไม่อาจบังคับใช้ได้ในยามที่ทุกคนเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย” คอยควบคุมเอาไว้  เมื่อเผชิญข้อเสนอแนะของคนอื่น ถึงฉันจะมีความเห็นในส่วนของตัวเอง แต่ฉันก็ไม่พูดออกมาและไม่ได้แสวงหาให้ทันการณ์  บางครั้งเมื่อฉันพบว่าข้อเสนอแนะของคนอื่นไม่ถูกต้องเหมาะสม ฉันก็ยังคงยืนกรานที่จะทำตามข้อเสนอแนะเหล่านั้นเพื่อปกป้องตัวเอง  แบบนี้ถ้ามีปัญหาขึ้นมา ปัญหาเหล่านั้นย่อมจะไม่กลายเป็นความรับผิดชอบของฉัน และฉันก็จะไม่ถูกตัดแต่ง  มองจากภายนอก ฉันดูเหมือนพร้อมที่จะยอมรับคำแนะนำของคนอื่น และดูเหมือนว่าฉันรับและนำข้อเสนอแนะไปปรับใช้ได้ ซึ่งเป็นการนำเสนอภาพลวงตาว่าฉันไม่ได้โอหังและสามารถยอมรับความจริง  แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังสิ่งนี้คือเจตนาที่น่าดูหมิ่นของฉัน  ฉันนึกย้อนไปถึงว่าที่ผ่านมาฉันทำตัวอย่างไร และแต่ละครั้งที่อาจจะต้องรับผิดชอบอะไรสักอย่าง ฉันปกป้องตัวเองอย่างไร  บางครั้งเวลาคนอื่นมีปัญหาและมาขอคำแนะนำ ฉันก็จะวิเคราะห์ความคิดและความเห็นของพวกเขาเสียก่อน และถ้าความคิดความเห็นเหล่านี้ตรงกับที่ฉันคาดคิดไว้ ฉันก็จะใช้เป็นหลักการพื้นฐานและเพิ่มคำแนะนำของตัวเองลงไป แต่ถ้าพวกเขาเห็นต่างจากฉัน ฉันก็จะไม่อยากแบ่งปันความคิดเห็นของตัวเอง เพราะกลัวว่าถ้าฉันคิดผิดและเกิดปัญหาขึ้น ฉันจะต้องรับผิดชอบ ฉันจึงได้แต่พูดจาคลุมเครือและขอไปที  เมื่อใช้ชีวิตตามปรัชญาชีวิตพวกนี้ของซาตาน ฉันก็กลายเป็นคนฉลาดแกมโกงและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเหลือเกิน ฉันไม่เคยนำเสนอมุมมองของตัวเองได้อย่างชัดเจน ไม่มีหลักธรรมหรือจุดยืน ฉันพูดและทำในแบบที่ทำให้ผู้คนสับสน และทำให้ความเห็นของฉันเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก  ฉันถึงกับคิดว่าการทำเช่นนี้หลักแหลม ฉันจะได้ไม่ต้องแบกรับผลที่ตามมา  ฉันจะไม่ถูกตัดแต่งหรือถูกปลด  ฉันไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังใช้เล่ห์เหลี่ยมและวางกลอุบายกับพระเจ้าและพี่น้องชายหญิง ไม่รู้ตัวว่าฉันกำลังทำให้พระเจ้าทรงเกลียดและรังเกียจฉัน  พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนเช่นนี้ให้รอด  ฉันอาจจะหลอกพี่น้องชายหญิงได้ แต่พระเจ้าก็ทรงเฝ้าสังเกตหัวใจของฉัน  ถ้าฉันยังหลอกลวงพระเจ้าอยู่เช่นนี้ต่อไป ไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง สักแต่ทำให้เสร็จไป และไม่มุ่งเน้นการแสวงหาหลักธรรมความจริง สุดท้ายฉันจะไม่มีวันได้รับความจริงใดๆ และฉันก็ย่อมจะถูกขับออกไปอยู่ดี  ฉันมองเห็นว่าฉันหลักแหลมเสียจนทำร้ายตัวเอง  ฉันช่างไม่รู้เท่าทันโดยแท้!  มีเพียงเมื่อตระหนักเช่นนี้ ฉันถึงเริ่มรู้สึกกลัว  ฉันอยากจะกลับใจกับพระเจ้าจริงๆ  ฉันจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้

ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกสองบทตอน ความว่า “ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่อันใด เจ้าก็ต้องจับหลักธรรมให้ได้ และสามารถปฏิบัติความจริง  เช่นนั้นเจ้าจึงจะมีหลักธรรม  หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจบางสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง หากเจ้าไม่แน่ใจว่าวิธีทำที่เหมาะสมเป็นเช่นใด เจ้าก็ควรแสวงหาและสามัคคีธรรมเพื่อหาฉันทามติ  เมื่อเจ้าระบุได้แล้วว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง ก็จงทำดังนั้น  อย่ายอมให้ข้อบังคับใดๆ ตีกรอบเจ้าเอาไว้ อย่ารอช้า อย่าคอย และอย่าเป็นผู้สังเกตการณ์ที่นิ่งเฉย  หากเจ้าเป็นผู้สังเกตการณ์ที่นิ่งเฉยอยู่เสมอและไม่เคยมีความคิดเห็นของตนเอง ถ้าเจ้ารอจนผู้อื่นตัดสินใจก่อนจึงค่อยลงมือทำอยู่เสมอ และถ้าเจ้าเอาแต่แกล้งถ่วงเวลาและรอคอยในยามที่ยังไม่มีใครตัดสินใจ ผลสืบเนื่องย่อมจะเป็นเช่นใด?  งานทุกชิ้นจะชะงักอยู่กับที่ และไม่มีสิ่งใดสำเร็จเสร็จสิ้น  เจ้าควรเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริง หรืออย่างน้อยก็สามารถกระทำการตามมโนธรรมและเหตุผลของตนได้  ตราบใดที่เจ้าสามารถมองทะลุจนเห็นหนทางที่เหมาะสมในการทำบางสิ่ง และผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดเช่นกันว่าวิธีการนั้นใช้ได้ ตราบนั้นเจ้าก็ควรปฏิบัติตามนั้น  จงอย่ากลัวการรับผิดชอบ หรือการล่วงเกินผู้อื่น หรือกลัวที่จะแบกรับผลสืบเนื่อง  หากมีคนที่ไม่ทำสิ่งใดจริง คิดคำนวณอยู่เสมอ กลัวการรับผิดชอบ และไม่กล้ายึดมั่นในหลักธรรมเวลาที่พวกเขากระทำการ เช่นนั้นแล้ว นี่ก็แสดงว่าพวกเขากลับกลอกและหลอกลวงเกินไป และเก็บงำกลอุบายที่มีเหลี่ยมคูเอาไว้มากเกินไป  การอยากชื่นชมพระคุณและพรจากพระเจ้า แต่กลับไม่ทำสิ่งใดจริงนั้น ช่างไร้คุณธรรมนัก  ไม่มีใครที่พระเจ้าทรงรังเกียจยิ่งกว่าผู้คนที่เจ้าเล่ห์และหลอกลวงเช่นนี้อีกแล้ว  ไม่ว่าเจ้าจะกำลังคิดสิ่งใดอยู่ก็ตาม ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติตามความจริง ไม่มีความจงรักภักดี ด่างพร้อยไปด้วยสิ่งปลอมปนที่มาจากตัวเจ้าเอง และมีความคิดอ่านและแนวคิดของตนเองอยู่เสมอ พระเจ้าย่อมจะทรงพินิจพิเคราะห์และรู้ถึงสิ่งทั้งปวงนี้  เจ้านึกว่าพระเจ้าไม่ทรงรู้กระนั้นหรือ?  ถ้าคิดเช่นนั้น เจ้าก็เบาปัญญานัก!  และหากเจ้าไม่กลับใจทันที เจ้าก็จะไม่มีพระราชกิจของพระเจ้า(การสามัคคีธรรมของพระเจ้า)  “อะไรคือลักษณะการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์?  อันดับแรก ไม่มีความสงสัยในวจนะของพระเจ้า  นั่นเป็นหนึ่งในลักษณะการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์  นอกจากนี้ ลักษณะการแสดงออกที่สำคัญที่สุดคือการแสวงหาและการปฏิบัติความจริงในทุกเรื่อง—นี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง  เจ้าบอกว่าเจ้าซื่อสัตย์ แต่เจ้ามักผลักพระวจนะให้ไปอยู่เบื้องหลังจิตใจของเจ้าเสมอแล้วก็ทำทุกอย่างตามที่เจ้าต้องการ  นั่นคือการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  เจ้ากล่าวว่า ‘แม้ขีดความสามารถของฉันจะต่ำ แต่ฉันมีหัวใจที่ซื่อสัตย์’  และเมื่อหน้าที่หนึ่งตกอยู่กับเจ้า เจ้าก็กลัวการทนทุกข์และการแบกรับความรับผิดชอบถ้าหากเจ้าทำหน้าที่นั้นได้ไม่ดี ดังนั้นเจ้าจึงหาข้อแก้ตัวเพื่อละเลยหน้าที่ของเจ้าหรือเสนอแนะให้ผู้อื่นทำหน้าที่นั้นแทน  นี่เป็นการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์ใช่หรือไม่?  ชัดเจนว่าไม่ใช่  เช่นนั้นแล้ว บุคคลที่ซื่อสัตย์ควรประพฤติตัวอย่างไร?  พวกเขาควรนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า จงรักภักดีต่อหน้าที่ที่พวกเขาสมควรปฏิบัติ และเพียรพยายามที่จะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  การนี้แสดงออกได้หลายหนทาง หนทางหนึ่งคือการยอมรับหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของเจ้า ไม่ทำอย่างไม่เต็มใจ และไม่ออกอุบายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง  เหล่านั้นคือการแสดงออกของความซื่อสัตย์  อีกหนทางหนึ่งคือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของเจ้า ทำสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องเหมาะสม และทุ่มเทหัวใจและความรักของเจ้าลงไปหน้าที่ของเจ้าเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  สิ่งเหล่านี้คือลักษณะการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์ควรมีระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของตน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันมองเห็นว่าพระเจ้าทรงรักผู้คนที่ซื่อสัตย์  ถึงพวกเราจะรู้ไม่เท่าทันและมีขีดความสามารถต่ำก็ไม่สำคัญ  กุญแจสำคัญคือการมีหัวใจที่ซื่อสัตย์และถูกต้อง ไม่อำพรางตน พูดสิ่งที่คิดออกมาอย่างเปิดเผย แสวงหาและสามัคคีธรรมกับคนอื่นถึงเรื่องที่พวกเราไม่เข้าใจ กระทำการตามหลักธรรมและให้เป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักร และจงรักภักดีต่อหน้าที่ของตน  เมื่อทำดังนี้ พระเจ้าจะพอพระทัย  พระเจ้าทรงสังเกตดูหัวใจของผู้คน  ถ้าพวกเราพยายามอย่างสุดความสามารถของตนเองแล้ว ถึงบางครั้งจะทำพลาดเพราะมีขีดความสามารถต่ำ หรือเพราะไม่เข้าใจความจริง แต่ก็ยังมีบทเรียนให้พวกเราได้เรียนรู้  ตราบใดที่พวกเรายอมรับความจริงได้ แสวงหาความจริงได้ และสรุปปัญหาได้ทันการณ์ เมื่อเวลาผ่านไป พวกเราจะเบี่ยงเบนน้อยลงเรื่อยๆ ค่อยๆ เข้าใจหลักธรรม และทำหน้าที่ของตนได้ดี  คริสตจักรไม่กล่าวโทษผู้คน และไม่ได้ให้พวกเขาต้องรับผิดชอบเพราะความผิดครั้งเดียว  พอเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกโล่งใจขึ้นอีกมาก

ภายหลังฉันเปิดใจและสามัคคีธรรมกับพี่น้องหญิงคนหนึ่งเกี่ยวกับสภาวะของฉันในช่วงนี้ และเธอก็ช่วยเหลือฉันด้วยความใจเย็นอย่างยิ่ง  ด้วยการสามัคคีธรรมและแสวงหาความจริงร่วมกัน ฉันจึงได้เปลี่ยนมุมมองผิดๆ ที่เคยมีมาตลอด  ก่อนหน้านั้นฉันกังวลอยู่เสมอว่าถ้าไม่ฟังคำแนะนำของคนอื่น แถมยังนำเสนอมุมมองและความเห็นที่ต่างออกไป พวกเขาจะคิดว่าฉันโอหังและไม่ยอมรับความจริง  ที่จริงแล้วนั่นเป็นเพราะฉันมองความแตกต่างระหว่างความโอหังกับการค้ำจุนหลักธรรมไม่ออก  การค้ำจุนหลักธรรมหมายถึงการกำหนดพิจารณาการปฏิบัติทั้งหลายที่เป็นไปตามหลักธรรมและปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรผ่านทางการแสวงหาความจริง และเมื่อมีคนคัดค้านหรือหยิบยกประเด็นต่างๆ ขึ้นมาก็ค้ำจุนการปฏิบัติเหล่านั้นต่อไปได้ และไม่ยอมประนีประนอม  แม้ภายนอกจะดูคล้ายความโอหังอยู่บ้าง แต่นี่คือการค้ำจุนความจริงและเป็นเรื่องที่ดี  ความโอหังคือการรู้สึกว่าตนล้ำเลิศกว่าคนอื่น เชื่อว่าความเห็นและแนวคิดของตนถูกต้อง เมื่อคนอื่นนำเสนอมุมมองที่ต่างออกไป คนเรากลับดันทุรังที่จะทำตามวิธีของตนเองโดยไม่แสวงหาหรือใคร่ครวญ เอาแต่ทำสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ และยืนกรานว่าสิ่งที่ผิดนั้นถูก  ความคิดเห็นเหล่านี้คือสิ่งที่พวกเขาตัดสินเอาเองทั้งสิ้น และไม่มีพื้นฐานทางหลักธรรม  กระนั้นพวกเขาก็เรียกร้องให้คนอื่นฟังตนและทำอย่างที่ตนบอก  นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เป็นการสำแดงความโอหังออกมา  ฉันนึกถึงพี่น้องชายหญิงที่ถูกปลดไปก่อนหน้านี้  บางคนยืนกรานว่ามุมมองของพวกเขาถูกต้อง ไม่จริงจังกับข้อเสนอแนะของพี่น้องชายหญิง ไม่แสวงหาหรือใคร่ครวญ พยายามพิสูจน์ว่าตนถูกอยู่เสมอ และไม่เต็มใจที่จะแก้ไขและทำให้ดีขึ้น  สิ่งที่พวกเขายืนกรานว่าจะทำนั้นไม่เคยสอดคล้องกับหลักธรรม เป็นแค่ความคิดและความชอบส่วนตัวของพวกเขาเอง  นี่คือการสำแดงความโอหังออกมาให้เห็น  ถ้าคนเราสามารถใช้หลักธรรมมาประเมินและกำหนดได้ว่าข้อเสนอแนะของคนอื่นไม่ถูกต้องเหมาะสม และนำเสนอมุมมองของตัวเองได้ นี่ไม่ใช่ความโอหัง แต่เป็นการจริงจังกับสิ่งต่างๆ และรับผิดชอบงานอย่างมีมโนธรรม  เวลาที่คนเราไม่เข้าใจปัญหาหนึ่งๆ อย่างถ่องแท้  การแสดงมุมมองของตนออกมาในระหว่างที่แสวงหาและสามัคคีธรรมร่วมกับผู้อื่นย่อมไม่ใช่การยืนกรานที่จะทำสิ่งที่ตนต้องการอย่างโอหัง แต่เป็นการแสวงหาหลักธรรมก่อนที่จะลงมือทำ  พอเข้าใจความจริงจากแง่มุมนี้ ฉันก็รู้สึกโล่งใจมากทีเดียว

ในเวลาต่อมา เมื่อฉันได้รับข้อเสนอแนะมากมายในการทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันจะอธิษฐานขอความสงบใจจากพระเจ้า แสวงหาหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้อง และประเมินว่าตามหลักธรรมแล้วการแก้ไขนั้นจำเป็นหรือไม่  ฉันยังเริ่มสัมพันธ์สนิทและนำเอาแนวคิดของตนเองมาหารือกับทุกคนด้วย  มีอยู่ครั้งหนึ่ง พอฉันทำภาพพื้นหลังของวิดีโอเสร็จ ผู้นำก็บอกว่าสีไม่เหมาะสม และแนะนำให้ฉันเปลี่ยน  ฉันคิดว่า “ถ้าฉันเปลี่ยนสีตามข้อเสนอแนะนี้ ก็จะกลายเป็นการแก้ไขจริงจังที่จะทำให้การอัปโหลดวิดีโอล่าช้าแน่ๆ  นี่ไม่ใช่เรื่องของหลักธรรมจริงๆ เป็นแค่ความชอบส่วนตัว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน  แต่ถ้าฉันไม่เปลี่ยน ผู้นำจะรู้สึกว่าฉันโอหัง คิดว่าตนเองชอบธรรม และยอมรับข้อเสนอแนะของคนอื่นไม่ได้หรือเปล่า?”  พอเริ่มลังเลอีก ฉันก็อธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงนำฉันในการปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักธรรม  หลังอธิษฐาน ฉันพบสิ่งที่ใช้อ้างอิงได้ แล้วจากนั้นจึงร่วมแสวงหาหลักธรรมที่เกี่ยวข้องพร้อมกับผู้นำและหัวหน้างาน  ฉันยังแลกเปลี่ยนความเข้าใจและมุมมองของตัวเองอีกด้วย  ผู้นำและหัวหน้างานเห็นด้วยกับมุมมองของฉัน และไม่นานวิดีโอก็ได้เผยแพร่ทางออนไลน์  ฉันรู้สึกมีความสุขและมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง

พอคิดย้อนไปถึงประสบการณ์ในช่วงนั้น ฉันก็ตระหนักว่าฉันเอาความกังวลสารพัดชนิดมามัดมือตัวเองในการทำหน้าที่ก็เพื่อปกป้องตัวเองและเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ  การใช้ชีวิตแบบนั้นเหน็ดเหนื่อย และฉันก็ไม่มีประสิทธิภาพมากนัก  แต่พอเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง ปัญหาก็แก้ไขได้ง่าย และหน้าที่ของฉันก็ง่ายขึ้นและผ่อนคลายลงมาก  ฉันได้มีประสบการณ์อย่างแท้จริงว่าในการใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาของซาตานนั้น ฉันได้แต่กลับกลายเป็นคนฉลาดแกมโกงและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงยิ่งขึ้นทุกที ไม่คู่ควรที่ผู้คนจะไว้วางใจ และไม่เป็นที่ยินดีของพระเจ้า  มีเพียงการปฏิบัติความจริงและลุล่วงหน้าที่ของคนเราตามหลักธรรมความจริงเท่านั้นที่คนเราจะได้รับพรจากพระเจ้า  มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะรู้สึกหนักแน่นมั่นคงและเปิดกว้าง ได้พบความชื่นบานและสันติสุขในหัวใจของตน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ใครบอกว่าอุปนิสัยที่หยิ่งยโสไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

โดย จ้าวฝาน ประเทศจีน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ พวกเขาต้องก้าวผ่านการพิพากษากับการตีสอน...

จงอย่าให้เสน่หามาบังจิตใจเรา

โดย ซิน จิ้ง, ประเทศจีน ย้อนไปมิถุนายนปี 2015 ฉันไปทำหน้าที่มัคนายกข่าวประเสริฐที่คริสตจักร ผู้หญิงชื่อหลี่เจี๋ยอยู่ในทีมให้น้ำ...

มองหาอิสรภาพจากสถานะ

โดย ต่งเอิน ประเทศฝรั่งเศส ฉันมาเป็นผู้นำคริสตจักรในปี 2019 ฉันทำตามใจ และไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ และไม่ได้จัดวางคนให้เหมาะสมกันงาน...

ฉันหยุดพูดโกหกอย่างไร

โดย มารีเนศ, ฝรั่งเศส ก่อนฉันจะยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันจะโกหกและประจบผู้คนโดยไม่ไตร่ตรอง เพราะกลัวว่าถ้าบอกความจริง...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger