การทนทุกข์กับภัยพิบัติต้องเป็นสิ่งเลวร้ายหรือไม่?
วันหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ปี 2023 ฉันได้ยินมาว่าหวังห่าว พี่น้องชายในคริสตจักรของเราประสบกับอุบัติเหตุและได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลด้วยอาการโคม่า การได้ยินข่าวนี้ ทำให้หัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ พี่น้องชายท่านนี้ได้ละทิ้งทุกสิ่งและติดตามพระเจ้ามาหลายปีแล้ว ตอนที่เขาทนทุกข์ด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดร้ายแรงขณะที่กำลังทำหน้าที่ เขาก็ไม่ได้ตำหนิพระเจ้า เข้ารับการรักษาไปด้วยระหว่างที่ทำหน้าที่ของเขาอย่างสุดความสามารถ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเขาได้ยังไง? ทำไมพระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองเขา? ถ้าเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ นั่นก็จะหมายความว่าเขาจะไม่มีบั้นปลายที่ดีไม่ใช่หรือ? หลังจากนั้น ฉันก็กังวลอย่างมากในเรื่องนี้มาตลอด เรื่องนี้มักจะผุดขึ้นมาในใจ แม้แต่ตอนที่ฉันทำหน้าที่อยู่ก็ตาม ฉัันหวังว่าพระเจ้าจะทรงคุ้มครองพี่น้องชายท่านนี้ และช่วยให้เขาสามารถหลบเลี่ยงจากความตายได้ เช่นนั้นแล้ว ฉันก็จะได้เห็นว่าพระเจ้าทรงประทานพระคุณและพระพรพิเศษให้แก่คนที่ละทิ้งทุกสิ่งและติดตามพระองค์ สองสามวันต่อมา ฉันได้ยินว่าอาการของหวังห่าวยังคงอยู่ในขั้นวิกฤติ เขาอยู่ในอาการโคม่า ถึงขนาดพูดจาพึมพำเพ้อเจ้อ พอได้รู้ข่าวนี้ ฉันก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที ถ้าพี่น้องชายท่านนี้ตายไป นั่นก็จะหมายความว่าเขามองไม่เห็นบั้นปลายที่ดีเลยไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้น การละทิ้งและการสละตนของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น จะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ? ดูเหมือนว่า การละทิ้งทุกสิ่งและการทำหน้าที่ของตนไม่ได้เป็นหลักประกันถึงบั้นปลายที่ดี เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ความกังวลอย่างหนักที่ยากจะอธิบายได้ก็ผุดขึ้นในใจฉัน ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดกังวลถึงจุดจบและบั้นปลายในภายภาคหน้าของตัวเองว่า “ฉันเองก็ละทิ้งครอบครัว ล้มเลิกอาชีพการงาน และปฏิบัติหน้าที่มาหลายปีแล้วเหมือนกัน หากฉันต้องทนทุกข์กับภัยพิบัติบางอย่างและตายไปในภายภาคหน้า ฉันก็จะไม่ได้รับพระพรใดๆ เลยสิ?” เมื่อคิดไปถึงตรงนั้น ฉันก็เริ่มรู้สึกราวกับว่ามีภูเขาลูกใหญ่อยู่ในอก ทำให้ฉันหนักใจมาก ฉันไม่สามารถรวบรวมพลังใดๆ ในการทำหน้าที่ได้เป็นเวลาหลายวันต่อเนื่องกัน ฉันวางแผนไว้ว่าจะศึกษาหลักธรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องในการทำงาน แต่ฉันก็ไม่อยากทำอีกต่อไปแล้ว ฉันยังพักงานฝึกอบรมบุคลากรผู้เผยแผ่ข่าวประเสริญเอาไว้ก่อน และไม่อยากยุ่งกับงานนั้น เป็นเพราะฉันไม่แก้ไขความเบี่ยงเบนบางอย่างนี้อย่างทันท่วงที งานข่าวประเสริฐจึงได้รับผลกระทบ
ช่วงนั้น ฉันเอาแต่ถอนหายใจและรู้สึกหดหู่ใจมากอยู่ตลอด ฉันเกิดมโนคติอันหลงผิดต่อพระเจ้า และคิดว่าต่อให้ฉันทำงานหนักและสละตน ก็ไม่จำเป็นว่าฉันจะได้รับจุดจบและบั้นปลายที่ดีเสมอไป ถึงแม้ว่าภายนอกฉันกำลังทำหน้าที่อยู่ แต่ภายในหัวใจกลับมีกำแพงกั้นระหว่างฉันกับพระเจ้า ตอนอธิษฐาน ในใจฉันไม่มีอะไรที่จะพูดกับพระองค์ ต่อมาไม่นาน ฉันได้ยินมาว่าหวังห่าวฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและจะกลับมาทำหน้าที่ของเขาได้ในอีกไม่นาน การได้รับข่าวนี้ ทำให้ฉันดีใจสุดๆ หินก้อนใหญ่ที่ติดอยู่ในใจฉัน ท้ายที่สุดก็หล่นลงพื้น และอารมณ์หดหู่ของฉันก็หายไปในพริบตา การได้เห็นว่าพระเจ้าทรงคุ้มครองพี่น้องชายท่านนี้ ทำให้ฉันมีความเชื่อในพระองค์อีกครั้ง ฉันคิดกับตัวเองว่า “พระเจ้ายังคงมีพระคุณและพระพรต่อคนเหล่านั้นที่สละตนเพื่อพระองค์อย่างจริงใจ ความจริงข้อนี้สามารถเห็นได้จากกรณีของหวังห่าว” ความหวังของฉันที่จะมีบั้นปลายที่ดีกลับมาอีกครั้ง และฉันก็เริ่มผ่อนคลายและเบิกบานใจ และมีพลังในการทำหน้าที่
ต่อมา ฉันคิดทบทวนกับตัวเองว่า “ทำไมช่วงนี้สภาวะของฉันถึงได้ผันผวนมากขนาดนี้?” ในตอนที่คิดทบทวนตนเอง ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอนที่ฉันเคยอ่านมาก่อน ก็เลยหามาอ่าน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อใครคนหนึ่งเห็นใครอีกคนเผชิญกับความยากลำบาก พวกเขาย่อมค้นหาความลำบากนั้นในตัวเองทันทีด้วยการสมมุติว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาเห็นใครบางคนเผชิญความเจ็บปวดร้าว ความเจ็บป่วย ความทุกข์ลำบาก หรือความวิบัติบางประเภท พวกเขาก็พลันนึกถึงตนเองและสงสัยว่า ‘หากเกิดเรื่องนี้ขึ้นกับฉัน ฉันจะทำอย่างไร? กลายเป็นว่าผู้เชื่อก็ยังสามารถเผชิญกับสิ่งเหล่านี้และทนทุกข์ความทรมานเหล่านี้ได้ แล้วพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าประเภทไหนกันแน่? หากพระเจ้าทรงไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนคนนั้น พระองค์จะทรงปฏิบัติต่อฉันเช่นเดียวกันไหม? นี่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงพึ่งพาไม่ได้ พระองค์ทรงจัดวางสภาพแวดล้อมที่เหนือความคาดหมายเอาไว้ให้ผู้คนในทุกที่และทุกเวลา และทรงสามารถทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายได้ตลอดเวลา และในทุกรูปการณ์แวดล้อม’ พวกเขากลัวว่าหากพวกเขาไม่เชื่อ พวกเขาจะไม่ได้รับพระพร แต่หากพวกเขาเชื่อต่อไป พวกเขาก็จะเจอกับความวิบัติ ในหนทางนี้ เมื่อผู้คนอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาก็เพียงกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอวอนให้พระองค์ทรงอวยพรข้าพระองค์ด้วยเถิด’ และไม่กล้ากล่าวว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงทดสอบข้าพระองค์ บ่มวินัยข้าพระองค์ และทำตามที่พระองค์ทรงจะทำ ข้าพระองค์เต็มใจยอมรับสิ่งนั้น’—พวกเขาไม่กล้าอธิษฐานเช่นนี้ หลังประสบกับความพ่ายแพ้และความล้มเหลวเพียงไม่กี่ครั้ง ความแน่วแน่และความกล้าหาญของผู้คนก็ลดลง และพวกเขาก็มี ‘ความเข้าใจ’ ที่ต่างออกไปต่อพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ต่อการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ และต่ออธิปไตยของพระองค์ ทั้งยังเกิดสำนึกระวังตัวต่อพระเจ้าอีกด้วย ในหนทางนี้ย่อมมีกำแพง และมีความบาดหมางเกิดขึ้นระหว่างผู้คนกับพระเจ้า การที่ผู้คนมีสภาวะเหล่านี้เป็นเรื่องที่ใช้ได้หรือไม่? (ใช้ไม่ได้) แล้วสภาวะเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะพัฒนาขึ้นในตัวพวกเจ้าหรือไม่? การที่เจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเหล่านี้เกิดขึ้นหรือไม่? (เกิดขึ้น) ปัญหาเช่นนี้ควรแก้ไขอย่างไร? การไม่แสวงหาความจริงเป็นเรื่องที่ใช้ได้หรือไม่? หากเจ้าไม่เข้าใจความจริงและไม่มีความเชื่อ ก็ยากที่เจ้าจะติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง และเจ้าจะล้มลงเมื่อเผชิญความวิบัติและภัยพิบัติทั้งหลาย ไม่ว่าเกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือเกิดจากน้ำมือมนุษย์ก็ตาม” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (11)) “ทุกคนที่มาเชื่อในพระเจ้าพร้อมที่จะยอมรับพระคุณ พระพร และพระสัญญาของพระเจ้าเพียงอย่างเดียว และเต็มใจยอมรับความเมตตาและความปรานีของพระองค์เท่านั้น แต่ไม่มีใครที่กำลังรอคอยหรือเตรียมตัวยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า บททดสอบและการถลุงของพระองค์ หรือการริบสิทธิ์ของพระองค์เลย และไม่มีสักคนเดียวที่เตรียมพร้อมยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า การริบสิทธิ์ของพระองค์ หรือคำสาปแช่งของพระองค์ สัมพันธภาพระหว่างผู้คนกับพระเจ้านี้เป็นปกติหรือไม่ปกติ? (ไม่ปกติ) เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่านี่เป็นสัมพันธภาพที่ไม่ปกติ? สิ่งนี้ยังขาดพร่องในจุดใดหรือ? สิ่งที่ขาดพร่องในเรื่องนี้คือผู้คนไม่มีความจริง นี่เป็นเพราะผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันมากเกินไป เข้าใจพระเจ้าผิดอยู่เป็นนิจ และไม่แก้ไขสิ่งเหล่านี้ด้วยการแสวงหาความจริง—สิ่งนี้ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาขึ้นมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพร พวกเขาเพียงต้องการทำข้อตกลงกับพระเจ้า และเรียกร้องสิ่งทั้งหลายจากพระองค์เท่านั้น แต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง การนี้อันตรายมาก ทันทีที่พวกเขาเผชิญหน้ากับสิ่งที่ขัดต่อมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง พวกเขาก็เกิดมโนคติอันหลงผิด ความขุ่นข้องหมองใจ และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นทันที และสามารถไปไกลถึงขั้นทรยศพระองค์ได้ด้วยซ้ำ ผลที่ตามมาของเรื่องนี้ร้ายแรงหรือไม่? ผู้คนส่วนใหญ่เดินอยู่บนเส้นทางใดในการเชื่อในพระเจ้า? ถึงแม้พวกเจ้าอาจจะฟังคำเทศนามามากมายและรู้สึกว่าพวกเจ้าได้มาเข้าใจความจริงพอสมควรแล้ว ข้อเท็จจริงก็คือพวกเจ้ายังคงเดินอยู่บนเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อกินขนมปังให้อิ่มท้องเท่านั้น หากเจ้าเตรียมจิตใจให้พร้อมยอมรับการพิพากษาและการตีสอน บททดสอบและการถลุงแล้ว อีกทั้งเจ้าได้เตรียมใจที่จะทนทุกข์กับความวิบัติ ไม่ว่าในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าสละตนเพื่อพระเจ้าแค่ไหนและทำการพลีอุทิศมากเพียงใด หากเจ้าเผชิญหน้ากับบททดสอบของโยบจริงๆ และพระเจ้าทรงริบทรัพย์สมบัติของเจ้าคืนไปทั้งหมด จนถึงจุดที่เจ้ากำลังจะจบชีวิต เช่นนั้นแล้วเจ้าจะทำอย่างไร? เจ้าควรรับมือกับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอย่างไร? เจ้าควรจัดการหน้าที่ของตัวเองอย่างไร? เจ้าควรจัดการสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้าอย่างไร? เจ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องและมีท่าทีที่เหมาะสมหรือไม่? คำถามเหล่านี้ตอบได้โดยง่ายหรือไม่? นี่คือสิ่งกีดขวางใหญ่หลวงที่วางอยู่ตรงหน้าพวกเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (11)) สิ่งที่พระวจนะว่าไว้ตรงกับสภาวะของฉันเป๊ะเลย หวังห่าวได้ละทิ้งทุกสิ่งและสละตนเพื่อพระเจ้าเป็นเวลาหลายปี และเขาก็มีสำนึกต่อภาระในหน้าที่ของตนด้วย แต่เมื่อเขาต้องทนทุกข์กับหายนะใหญ่หลวงขนาดนั้นจนเกือบตายแล้ว ฉันก็คิดกับตัวเองทันทีทันใดว่า ฉันเองก็ละทิ้งและสละตนมาหลายปีแล้วเหมือนกัน และถ้าฉันเจอกับชะตากรรมแบบเดียวกับหวังห่าวเพราะการเชื่อในพระเจ้าของฉัน ต้องทนทุกข์กับภัยพิบัติแทนที่จะได้รับพระพร แล้วฉันจะทำยังไงดี? ในหัวใจฉันต่อว่าพระเจ้า โดยคิดว่า “เหตุใดพระเจ้าไม่ทรงประทานรางวัลแก่ผู้คนที่ละทิ้งและสละตน แต่กลับใจดำนำภัยพิบัติมาสู่พวกเขาแทน?” ความหลงใหลทุ่มเทที่ฉันได้สละตนเพื่อพระเจ้าที่มีก่อนหน้านั้นก็หายวับไปทันที ฉันไม่ต้องการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความเบี่ยงเบนและข้อบกพร่องในหน้าที่ของฉัน และไม่ยุ่งกับงานของตัวเองที่ต้องปลูกฝังผู้คน ฉันขัดขืนและเป็นศัตรูกับพระเจ้าอยู่ในใจ ฉันพร่ำบ่นให้พระเจ้าเมื่อหวังห่าวประสบภัยพิบัติ เพราะตั้งแต่ฉันเริ่มเชื่อในพระองค์ ฉันก็ทำอย่างนั้น(ละทิ้งทุกสิ่งและสละตน)เพื่อให้ได้รับพระพรและพระคุณ ตอนนี้ เมื่อฉันเห็นหวังห่าวทนทุกข์กับหายนะ แทนที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้หลังจากการละทิ้งและการสละตนของเขา ฉันก็ถึงกับไม่อยากทำหน้าที่ของตนขึ้นมาปุบปับ ฉันหลบเลี่ยงและกันตัวเองจากพระเจ้า ต่อต้านและเป็นศัตรูกับพระองค์ ความเชื่อในพระเจ้าของฉัน ก็เหมือนกับความเชื่อของผู้คนในศาสนา ที่มีไว้เพื่อแสวงหาอาหารพอประทังความหิว ไม่ได้มีไว้เพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง ลุล่วงในหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง หรือเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า อีกทั้งยังไม่มีความเชื่อหรือการนบนอบที่แท้จริงต่อพระเจ้าด้วย และไม่เต็มใจที่จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และยอมให้พระองค์ทรงจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการ การที่หวังห่าวเผชิญกับสภาวการณ์เหล่านี้ เผยให้เห็นเจตนารมณ์ในการได้รับพระพร และทัศนะที่ผิดพลาดในการไล่ตามเสาะหาของฉัน ถ้าฉันไม่แก้ไขปัญหาเหล่านี้ หากวันหนึ่งฉันต้องทนทุกข์กับหายนะและต้องเผชิญกับความตาย ฉันก็คงจะตำหนิ และทำสิ่งที่แข็งขืนและล่วงเกินพระเจ้า หากฉันทำสิ่งนี้จนถึงจุดที่ไม่อาจให้อภัยได้ เช่นนั้นแล้วฉันก็ต้องถูกลงโทษ พอนึกถึงเรื่องนี้ ฉันก็ค่อนข้างกลัว ฉันต้องการแสวงหาความจริงและแก้ไขปัญหาของตัวเองให้เร็วที่สุด
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งว่า “เจ้าเชื่อว่าเจ้าแตกต่าง เชื่อว่าพระเจ้าทรงแสดงความโปรดปรานต่อเจ้าเป็นพิเศษ และเชื่อว่าหากพระเจ้าทรงละทิ้งหรือกำจัดใครสักคนออกไป คนคนนั้นจะไม่ใช่เจ้า ความคิดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) เหตุใดความคิดเหล่านี้จึงไม่ถูกต้อง? (การคิดเช่นนี้ไม่เป็นจริง) คำกล่าวเหล่านี้ถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่? หรือนี่คือสิ่งที่เป็นส่วนตัวและเป็นการคาดเดามากเกินไป? ผู้คนที่มีความคิดเหล่านี้คือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? (ไม่ใช่) แล้วพวกเขาจะนบนอบพระเจ้าโดยแท้จริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขาพร้อมที่จะยอมรับการตีสอน การพิพากษา บททดสอบ และการถลุงของพระเจ้า และแม้กระทั่งคำสาปแช่งของพระองค์หรือไม่? (ไม่พร้อม) เมื่อการตีสอนและการพิพากษา บททดสอบและการถลุงของพระเจ้าเกิดขึ้นกับพวกเขาจริงๆ พวกเขาจะทำอย่างไร? พวกเขาจะเกิดมโนคติอันหลงผิดหรือพร่ำบ่นเรื่องพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาจะสามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้จากพระเจ้าและนบนอบอย่างแท้จริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) พูดได้เพียงว่า การนี้ย่อมสัมฤทธิ์ได้ยาก นี่เป็นเพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อแสวงหาพระคุณหรือเพื่อกินขนมปังให้อิ่มท้องเท่านั้น พวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงมีพระพิโรธและบารมีอีกด้วย และไม่รู้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นไม่อาจก้าวล่วงได้ พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเป็นธรรม และเมื่อเป็นเรื่องของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดก็ตาม พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือความเมตตาและความรัก แต่คือบารมีและพระพิโรธด้วยเช่นกัน ในการที่พระเจ้าทรงจัดการแต่ละบุคคล ความเมตตา ความรัก บารมี และพระพิโรธในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ย่อมไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าจะทรงไม่มีวันแสดงความเมตตาและความรักแค่กับใครบางคน และแสดงบารมีและพระพิโรธต่อคนอื่นๆ เท่านั้น พระเจ้าจะทรงไม่มีวันทำเช่นนี้ เพราะพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม และพระองค์ทรงเป็นธรรมต่อทุกคน ความเมตตา ความรัก บารมี และพระพิโรธของพระเจ้ามีไว้แด่ทุกคน พระองค์สามารถประทานพระคุณและพระพรแก่ผู้คน และสามารถประทานการคุ้มครองให้พวกเขาได้ ในขณะเดียวกันพระเจ้าก็ทรงสามารถพิพากษาและตีสอนผู้คน สาปแช่งพวกเขา และพรากทุกสิ่งที่พระองค์ประทานให้พวกเขาไปจากพวกเขาได้เช่นกัน พระเจ้าสามารถประทานให้ผู้คนได้ ทว่าพระองค์ก็ทรงสามารถเอาทุกสิ่งไปจากพวกเขาได้เช่นกัน นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า และนี่เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงต้องทำกับทุกๆ คน ดังนั้นหากเจ้าคิดว่า ‘ฉันล้ำค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ พระองค์ทรงทนตีสอนและพิพากษาฉันไม่ไหวอย่างแน่นอน และพระองค์จะไม่ทรงมีพระทัยพรากทุกสิ่งที่พระองค์ประทานให้ฉันไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะผิดหวังและเป็นทุกข์’ นี่ไม่ใช่ความคิดที่ผิดพลาดหรอกหรือ? นี่คือมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าไม่ใช่หรือ? (ใช่) เพราะฉะนั้นก่อนเจ้าจะมาเข้าใจความจริงเหล่านี้ เจ้าไม่ได้นึกถึงแต่การชื่นชมพระคุณ ความเมตตา และความรักของพระเจ้าหรอกหรือ? ผลก็คือ เจ้ามักลืมอยู่ร่ำไปว่าพระเจ้าทรงมีบารมีและพระพิโรธเช่นกัน ถึงแม้ปากของเจ้ากล่าวว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม และเจ้าก็สามารถขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าได้เมื่อพระองค์ทรงแสดงความเมตตาและความรักต่อเจ้า ทว่าเมื่อไรที่พระเจ้าทรงแสดงบารมีและพระพิโรธในการตีสอนและการพิพากษาเจ้า เจ้าก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก เจ้าคิดว่า ‘ถ้าเพียงว่าไม่มีพระเจ้าเช่นนั้นอยู่’ ‘ถ้าเพียงว่าไม่ใช่พระเจ้าที่ทรงทำเช่นนี้ ถ้าเพียงว่าพระเจ้าไม่ทรงพุ่งเป้ามาที่ฉัน ถ้าเพียงว่านี่ไม่ใช่เจตนารมณ์ของพระเจ้า ถ้าเพียงว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับคนอื่น เพราะฉันเป็นคนจิตใจดี และฉันไม่ได้ทำสิ่งที่ย่ำแย่ แถมฉันยังยอมลำบากอย่างหนักเพราะการเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี พระเจ้าทรงไม่ควรไร้ความกรุณานัก ฉันควรมีคุณสมบัติเพียงพอและมีสิทธิ์ที่จะชื่นชมความเมตตาและความรักของพระเจ้า รวมถึงพระคุณและพระพรอันอุดมของพระเจ้า พระเจ้าจะไม่ทรงพิพากษาหรือตีสอนฉัน และจะไม่ทรงมีพระทัยที่จะทำเช่นนั้นด้วย’ นี่เป็นเพียงความคิดที่ผิดและเพ้อฝันใช่หรือไม่? (ใช่) ความคิดนี้ผิดอย่างไรหรือ? สิ่งที่ผิดในความคิดนี้คือ เจ้าไม่ได้ถือว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นสมาชิกของมนุษยชาติผู้ได้รับการทรงสร้าง เจ้าหลงผิดแยกตัวเองออกจากการเป็นมนุษยชาติผู้ได้รับการทรงสร้าง และถือว่าตัวเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่อยู่ในกลุ่มหรือประเภทพิเศษ มอบสถานะพิเศษให้ตัวเอง นี่ไม่ใช่การโอหังและคิดว่าตนเองถูกหรอกหรือ? สิ่งนี้ไม่ไร้เหตุผลหรือ? นี่คือคนที่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงงั้นหรือ? (ไม่ใช่) แน่นอนว่าไม่ใช่” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (11)) ฉันคิดทบทวนตัวเอง มโนคติอันหลงผิดของฉันก็คือว่า พระเจ้าควรแสดงความกรุณาและความรักต่อบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงและเต็มใจที่จะละทิ้งและสละตนเอง พระองค์ควรประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านี้ด้วยพระคุณและพระพร ในขณะที่เมื่อพูดถึงพวกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ ตลอดจนผู้ปราศจากความเชื่อและหมู่มาร ผู้แข็งขืนและหมิ่นประมาทพระองค์ พระเจ้าควรพิพากษาและสาปแช่งพวกนั้นอย่างรุนแรง และลงโทษพวกเขาให้หนัก ดังนั้น เมื่อฉันได้ยินว่าหวังห่าวต้องทนทุกข์กับหายนะ และไม่แน่ว่าจะรอดหรือไม่ ในใจฉันก็เกิดมโนคติอันหลงผิดและเชื่อว่าพระเจ้าไม่ชอบธรรม โดยคิดว่า “หวังห่าวละทิ้งและสละตนเพื่อพระเจ้ามาก็หลายปีแล้ว เขาทำหน้าที่สำคัญๆ ในคริสตจักรอยู่เสมอ และเขาก็มีสำนึกในภาระ พระเจ้าไม่ควรปล่อยให้บุคคลแบบนั้นทนทุกข์กับหายนะ” ฉันโอหังมากและไร้เหตุผล! ฉันนึกถึงโยบผู้เพียบพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าทรงยอมให้ซาตานสร้างความเจ็บปวดให้โยบ และเขาสูญเสียทุกอย่าง เนื้อตัวมีตุ่มฝีเต็มไปหมด แต่ทว่า ท่ามกลางภัยพิบัติและความเจ็บปวดนี้ โยบยังคงยึดมั่นในความเชื่อและนบนอบต่อพระเจ้า เขาตั้งมั่นในความเชื่อของตนที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของมนุษย์ล้วนมาจากพระเจ้า พระเจ้าสามารถให้บำเหน็จแก่มนุษย์และยังลิดรอนไปได้อีกด้วย พระนามของพระองค์ควรได้รับการสรรเสริญ ต่อให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับโยบจะเป็นหายนะในสายตาของมนุษย์ แต่พระเจ้าก็ทรงใช้ภัยพิบัตินี้เพื่อทำให้ความเชื่อและการนบนอบของโยบเพียบพร้อม เปิดเผยความชอบธรรมและพระปัญญาของพระองค์ การที่หวังห่าวต้องทนทุกข์จากหายนะก็เป็นบททดสอบสำหรับเขาและครอบครัวของเขาด้วยเช่นกัน ตอนที่เขาอยู่ในภาวะแห่งความเป็นความตาย พ่อแม่ของเขาไว้วางใจว่าภัยพิบัตินี้ได้รับการอนุญาตจากพระเจ้าแล้ว และสามารถนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์โดยปราศจากการพร่ำบ่น ต่อมา เมื่อเขาหมดสติไปนานกว่า 20 วันหลังจากได้รับบาดเจ็บ เขาก็ฟื้นขึ้นมาราวปาฏิหาริย์ ฉันได้เห็นว่า อุปนิสัยชอบธรรมของพระเจ้าไม่เหมือนกับที่ฉันคิดฝันไว้ ที่จะคอยคุ้มครองผู้ที่เชื่อในพระองค์อย่างจริงใจอยู่ตลอด และไม่ปล่อยให้พวกเขาทนทุกข์กับภัยพิบัติหรือความเจ็บปวดใดๆ พระเจ้าทรงใช้ภัยพิบัติและบททดสอบต่างๆ เพื่อทำให้ความเชื่อและการนบนอบของผู้คนต่อพระองค์เพียบพร้อม พระองค์ยังทรงใช้สิ่งเหล่านี้ เพื่อทำให้ผู้คนมีประสบการณ์และเข้าใจสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระองค์อีกด้วย นี่เป็นพระคุณและพระพรพิเศษที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คน ถึงกระนั้น ฉันก็ยังตาบอด และไม่เข้าใจพระราชกิจของพระองค์ ฉันถึงกับเรียกร้องว่าพระเจ้าอย่าได้ปล่อยให้หวังห่าวทนทุกข์กับหายนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะตำหนิว่าพระองค์ไม่ชอบธรรม ฉันโอหังและโง่เขลาเกินไปจริงๆ ตามความเข้าใจในลักษณะนี้ หากฉันทนทุกข์ต่อภัยพิบัติ ฉันจะตำหนิพระเจ้า ตัดสินพระองค์ ต้านทานพระองค์ และล่วงเกินอุปนิสัยของพระองค์ ฉันตระหนักได้ว่าปัญหาของตัวเองนั้นร้ายแรงมากทีเดียว และฉันจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหานี้
ต่อมา ระหว่างการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ “ศัตรูของพระคริสต์ไม่ได้ปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าด้วยท่าทีของการยอมรับและการนบนอบ ดังนั้นแน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ได้ปฏิบัติต่อข้อกำหนดในพระวจนะของพระองค์ที่ให้มวลมนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างด้วยท่าทีของการยอมรับความจริง… เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว อะไรเป็นสาเหตุให้พวกเขาทำหน้าที่ของตน? ในหัวใจของทุกคนควรมีคำอธิบายเรื่องนี้ และภายในคำอธิบายนี้ก็ควรมีเรื่องราวเฉพาะบางอย่าง แล้วบันทึกในหัวใจของศัตรูของพระคริสต์นี้มีลักษณะอย่างไร? พวกเขาทำการคำนวณอย่างพิถีพิถัน ถูกต้องแม่นยำ เที่ยงตรง และขะมักเขม้นอย่างยิ่ง ดังนั้นบันทึกนี้จึงไม่ใช่คำอธิบายที่เลอะเลือน เมื่อพวกเขาตัดสินใจทำหน้าที่ของตน อันดับแรกพวกเขาคำนวณว่า ‘หากฉันจะทำหน้าที่ของฉันในตอนนี้ ฉันจะต้องละทิ้งความชื่นบานยินดีจากการอยู่ร่วมกับครอบครัว และฉันจะต้องละทิ้งอาชีพการงานและความสำเร็จทางโลกของฉันในอนาคต หากฉันทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปเพื่อทำหน้าที่ของฉัน ฉันจะสามารถได้อะไรบ้าง? พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า ในยุคสุดท้ายนี้ บรรดาผู้ที่สามารถพบกับพระเจ้า ผู้ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้า และผู้ที่ยังคงอยู่ได้ในท้ายที่สุดคือผู้ที่สามารถได้รับพรอันยิ่งใหญ่ ในเมื่อพระวจนะของพระเจ้ากล่าวเช่นนี้ ฉันคาดว่าพระเจ้าทรงสามารถทำและสำเร็จลุล่วงการนี้ตามพระวจนะเหล่านี้ได้ พระเจ้ายังทรงให้สัญญามากมายกับผู้คนเหล่านี้ที่สามารถทำหน้าที่ของตนและสามารถสละตนเองเพื่อพระองค์ได้ด้วย!’ จากการศึกษาพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาตีความอนุมานพระสัญญามากมายที่พระเจ้าประทานให้กับผู้คนที่ทำหน้าที่ของตนในยุคสุดท้าย และการนี้รวมทั้งความคิดฝันส่วนตนของพวกเขาและมโนคติอันหลงผิดทั้งหมดที่เกิดจากการวิเคราะห์และการพินิจพิเคราะห์พระวจนะเหล่านี้ของพวกเขาเอง ทำให้เกิดความสนใจอันลึกซึ้งและแรงผลักดันในการทำหน้าที่ของตน จากนั้นพวกเขาก็ไปอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า โดยพวกเขาให้ปฏิญาณและปฏิญญาอย่างจริงจัง กำหนดความเต็มใจของตนที่จะละทิ้งและสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระเจ้า ทุ่มเทอุทิศชีวิตนี้เพื่อพระองค์ และละทิ้งความสุขทางเนื้อหนังและความสำเร็จในอนาคตทั้งหมด แม้พวกเขาอธิษฐานในหนทางนี้และคำพูดของพวกเขาดูเหมือนถูกต้องทั้งหมด สิ่งที่พวกเขาคิดลึกลงไปแล้วเป็นที่รู้กันเฉพาะในหมู่พวกเขาและพระเจ้า คำอธิษฐานและปณิธานของพวกเขาดูเหมือนบริสุทธิ์ ราวกับว่าพวกเขาทำเช่นนี้เพียงเพื่อจะลุล่วงพระบัญชาของพระเจ้า ทำหน้าที่ของตน และตอบสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าเท่านั้น แต่ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขากำลังคิดคำนวณวิธีที่พวกเขาจะสามารถได้รับพรและสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องการผ่านทางการทำหน้าที่ของตน รวมทั้งสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อให้พระเจ้าทรงมองเห็นทั้งหมดที่พวกเขาได้จ่ายไปและทำให้พระองค์ประทับใจอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่พวกเขาได้จ่ายไปและสิ่งที่พวกเขาได้ทำไป เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงรำลึกถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำไปและประทานความสำเร็จในอนาคตและพรที่พวกเขาต้องการแก่พวกเขาในท้ายที่สุด… เจตนาของศัตรูของพระคริสต์ในการทำหน้าที่ของตนคืออะไร? คือการทำข้อตกลง ทำการแลกเปลี่ยน อาจกล่าวได้ว่านี่คือภาวะที่พวกเขากำหนดในการทำหน้าที่ กล่าวคือ ‘หากฉันทำหน้าที่ของฉัน เช่นนั้นฉันก็ต้องได้มาซึ่งพรและมีบั้นปลายที่ดี ฉันต้องได้มาซึ่งพรและประโยชน์ทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสว่าได้รับการจัดเตรียมให้กับมวลมนุษย์ หากฉันไม่สามารถได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นฉันก็จะไม่ทำหน้าที่นี้’ พวกเขามายังพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อทำหน้าที่ของตนด้วยเจตนา ความทะเยอทะยาน และความอยากดังกล่าว ดูเหมือนว่าพวกเขามีความจริงใจอยู่บ้างจริงๆ และแน่นอนว่าสำหรับบรรดาผู้ที่เป็นผู้เชื่อใหม่ และกำลังเริ่มทำหน้าที่ของตน นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นความกระตือรือร้นได้ด้วยเช่นกัน แต่ไม่มีความเชื่อหรือความจงรักภักดีที่ถ่องแท้ในการนี้ มีเพียงแค่ความกระตือรือร้นในระดับนั้นเท่านั้น นี่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นความจริงใจ เมื่อพิจารณาจากท่าทีนี้ที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อการทำหน้าที่ของตนแล้ว นี่เป็นการแลกเปลี่ยนทั้งสิ้นและเต็มไปด้วยความอยากได้ประโยชน์ของตน เช่น การได้รับพร การเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ การได้มาซึ่งมงกุฎ และการได้บำเหน็จ” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่เจ็ด)) พระเจ้าทรงเปิดโปงว่า ไม่ว่าพวกศัตรูของพระคริสต์จะทำอะไรก็ตาม พวกเขาก็จะเชื่อมโยงเข้ากับการได้รับพระพรเสมอ อีกทั้งโอกาสและโชคชะตา นี่่ก็เป็นสภาวะของฉันเหมือนกัน หลังจากเริ่มเชื่อในพระเจ้า ฉันสามารถละทิ้งและสละตนได้เล็กน้อย เพราะฉันเห็นจากพระวจนะแล้วว่า ในยุคสุดท้าย พระเจ้าจะทรงช่วยผู้คนให้รอดและพาพวกเขาไปสู่บั้นปลายที่ดี ฉันคิดว่าฉันไม่ควรพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ ก็เลยทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน เตรียมความประพฤติดีต่างๆ เพื่อให้รับพระพรในภายภาคหน้า ต่อมา สามีข่มเหงฉันและขัดขวางความเชื่อในพระเจ้าของฉัน เมื่อเลือกระหว่างพระเจ้ากับชีวิตการแต่งงานและครอบครัว ฉันก็ครุ่นคิดว่า “ถ้าฉันเลือกครอบครัว ต่อให้ฉันจะมีชีวิตที่สะดวกสบายได้ แต่ความชื่นชมยินดีทางเนื้อหนังก็เป็นเพียงของชั่วคราว ในขณะที่ผู้คนที่สละตนเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจสามารถได้รับพระพรที่ยิ่งใหญ่กว่าจากพระองค์ พระพรเหล่านี้คงอยู่ตลอดกาล และหากฉันพลาดโอกาสนี้ไป ฉันก็จะไม่ได้รับพระพรเหล่านั้นเลย” หลังจากคิดดีแล้ว ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจเลือกติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรน่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีคนจำนวนมากเสียชีวิตท่ามกลางหายนะนี้ ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าและแข็งขืนพระองค์เหล่านั้น อาจถูกทำลายด้วยหายนะครั้งใหญ่ได้ทุกเมื่อ ในขณะที่ฉันก็วุ่นอยู่กับการทำหน้าที่ของฉันทุกวัน และแม้ว่าไวรัสโคโรน่าจะแพร่กระจายไปไกลแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่ติดเชื้อ เมื่อเห็นว่าพระเจ้าทรงคุ้มครองฉัน ฉันก็เริ่มมีพลังมากขึ้นในตอนที่ทำหน้าที่ และไม่ว่าเนื้อหนังของฉันจะเหนื่อยล้าแค่ไหน ฉันก็อดทนได้ ฉันคิดว่าการทำมากขนาดนี้ หมายความว่าฉันจงรักภักดีต่อพระเจ้า และฉันจะได้รับพรของพระองค์ในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน แต่อุบัติเหตุของหวังห่าวไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของฉัน และได้เปิดโปงเจตนารมณ์ของฉัน ฉันเชื่อว่า เนื่องจากหวังห่าวละทิ้งและสละตนเพื่อพระเจ้า พระองค์จึงไม่ควรปล่อยให้เขาทนทุกข์กับภัยพิบัติ แม้ว่าเขาต้องทนทุกข์ พระเจ้าก็ควรทำให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยไปตลอดรอดฝั่ง เพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่า พระองค์จะทรงคุ้มครองและอวยพรแก่ผู้ที่สละตนเพื่อพระองค์อย่างจริงใจ ด้วยหนทางนี้ ก็รับรองได้ว่าฉันจะได้รับพระพรอย่างแน่นอนถ้าฉันละทิ้งและสละตนเป็นเวลาหลายปี แต่หลังจากผ่านไปหลายวัน ฉันก็ได้ยินว่าหวังห่าวยังอยู่ในอาการโคม่า ฉันเริ่มผิดหวังในพระเจ้า นอกจากการกล่าวโทษพระเจ้าแล้ว ฉันยังพร่ำบ่นในใจว่า นี่ไม่ยุติธรรมสำหรับหวังห่าว ฉันเสียใจด้วยซ้ำกับการละทิ้งและการสละตนของตัวเอง และไม่อยากทำหน้าที่ ในการละทิ้งและการสละตน ฉันไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของสิ่งทรงสร้าง แต่เป็นการแลกเปลี่ยนกับพระเจ้าเพื่อรับพระคุณและพระพร ฉันคิดถึงการที่เปาโลละทิ้งและสละตนเพื่อรับรางวัลและมงกุฎ เพราะอย่างนั้น ในที่สุดเขาก็พูดอย่างมั่นเหมาะว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8) ตอนนี้ ฉันเห็นแล้วว่าทัศนะของฉันในการไล่ตามเสาะหาตอนที่เชื่อในพระเจ้านั้น ก็เหมือนกับทัศนะของเปาโล ฉันไม่ได้เชื่อเพื่อที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ลุล่วงหน้าที่ของตน หรือเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า แต่ฉันกลับใช้การละทิ้งและสละตนเพื่อเรียกร้องพระพรอันดีจากพระองค์ นี่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และธุรกรรม หนทางการสละตนของฉันแบบนี้ไม่จริงใจและไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า แต่เป็นหนทางแห่งการโกงและใช้ประโยชน์จากพระองค์ ฉันมันหลอกลวงเกินไปอย่างแท้จริง เลวเกินไปแล้ว! ตอนนี้ความหายนะก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หากฉันไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกควร กลับตัวจากการไล่ตามเสาะหาผิดๆ และแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน ฉันก็คงจะต้านทานและทรยศต่อพระเจ้า ในยามที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของฉันในภายภาคหน้า และในที่สุด ฉันก็คงจะหลงทางท่ามกลางหายนะครั้งใหญ่และถูกลงโทษ
ต่อมา ฉันมักจะคิดว่า “ฉันควรปฏิบัติอย่างไร จึงจะเป็นการทำหน้าที่ของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง?” วันหนึ่ง ฉันได้เห็นพระวจนะบทตอนหนึ่งที่มอบแรงจูงใจให้ฉัน พระเจ้าตรัสว่า “ไม่ว่าคนเราปฏิบัติหน้าที่ใด นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรที่พวกเขาสามารถทำได้ เป็นสิ่งที่สวยงามและยุติธรรมที่สุดท่ามกลางมวลมนุษย์ ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ผู้คนควรที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระผู้สร้าง สิ่งมีชีวิตทรงสร้างใช้ชีวิตภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง และพวกเขายอมรับทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงควรลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันทั้งหลายของตน นี่เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ รวมทั้งถูกพระเจ้าลิขิตเอาไว้ จากการนี้จะเห็นได้ว่า การที่ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างย่อมยุติธรรม สวยงาม และสูงส่งกว่าสิ่งอื่นใดที่ทำกันระหว่างดำรงชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ ไม่มีสิ่งใดท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เปี่ยมความหมายหรือควรค่ายิ่งกว่า และไม่มีสิ่งใดนำพาความหมายและคุณค่ามาสู่ชีวิตของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง บนแผ่นดินโลก มีเพียงกลุ่มคนที่ปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างแท้จริงและจริงใจเท่านั้นที่เป็นบรรดาผู้ที่นบนอบพระผู้สร้าง กลุ่มนี้ไม่ทำตามกระแสนิยมทางโลก พวกเขานบนอบการความเป็นผู้นำและการทรงนำของพระเจ้า รับฟังพระวจนะของพระผู้สร้าง ยอมรับความจริงที่พระผู้สร้างทรงแสดง และใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระผู้สร้างเท่านั้น นี่คือคำพยานที่แท้จริงที่สุดและกังวานก้องที่สุด และเป็นคำพยานที่ดีที่สุดแห่งการเชื่อในพระเจ้า การที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างสามารถลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง สามารถทำให้พระผู้สร้างพึงพอพระทัย ย่อมเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดท่ามกลางมวลมนุษย์ และเป็นบางสิ่งที่ควรเผยแผ่ในฐานะเรื่องราวที่จะได้รับการสรรเสริญจากผู้คนทั้งหมด สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรยอมรับทุกสิ่งที่พระผู้สร้างไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาทำอย่างไม่มีเงื่อนไข สำหรับมวลมนุษย์แล้ว นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทั้งความสุขและสิทธิประโยชน์ และสำหรับบรรดาคนที่ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดสวยงามหรือควรค่าแก่การฉลองรำลึกยิ่งไปกว่านี้แล้ว—นั่นเป็นบางสิ่งที่เป็นบวก… ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เมื่อคนเรามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้าง พวกเขาควรที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน นี่คือสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมที่จะทำยิ่งนัก และพวกเขาควรลุล่วงความรับผิดชอบนี้ บนพื้นฐานที่ว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างปฏิบัติหน้าที่ของตน พระผู้สร้างได้ทรงพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นท่ามกลางมวลมนุษย์ และพระองค์ได้ทรงพระราชกิจต่อผู้คนคืบหน้าไปอีกช่วงระยะหนึ่ง แล้วพระราชกิจนั้นคืออะไร? พระองค์ทรงจัดเตรียมความจริงไว้ให้มวลมนุษย์ โดยเปิดโอกาสให้พวกเขาได้รับความจริงจากพระองค์ในยามที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ดังนั้น พวกเขาจึงมาสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าและก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต และในท้ายที่สุด พวกเขาจึงสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว บรรลุความรอดโดยบริบูรณ์ และไม่ตกอยู่ภายใต้ความทุกข์ร้อนจากซาตานอีกต่อไป นี่คือผลที่พระเจ้าจะทรงให้มวลมนุษย์สัมฤทธิ์ในท้ายที่สุดโดยการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่เจ็ด)) เมื่อตริตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ได้รับความเข้าใจขึ้นเล็กน้อยเกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ในยุคที่มวลมนุษยแสวงหาความชื่นชมยินดีในการไล่ตามกระแสทางโลก ฉันมีโอกาสได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ยอมรับการให้น้ำและจัดเตรียมพระวจนะของพระองค์ และเข้าใจความจริงมากมายที่ฉันไม่เคยเข้าใจมาก่อน เป็นพระคุณและความโปรดปรานพิเศษของพระเจ้าที่ประทานให้ฉัน เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ ที่จะทำหน้าที่ของฉันต่อพระพักต์พระผู้สร้าง เช่นเดียวกับเด็กที่ต้องทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงต่อหน้าพ่อแม่ของพวกเขา การที่ฉันลุล่วงความรับผิดชอบของฉันได้ตามพระประสงค์ของพระเจ้า เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ และเป็นสิ่งที่มีความหมายมากที่สุด เช่นเดียวกับที่โนอาห์สร้างเรือตามพระประสงค์ของพระเจ้า เป็นการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ทำตามพระบัญชาของพระองค์ให้สำเร็จ และรับรองว่าพระราชกิจของพระองค์จะก้าวหน้าไปได้อย่างราบรื่น แต่ทว่า ฉันเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจเกินไป ปล่อยให้ความกระหายอยากที่จะได้รับพระพรมีความสำคัญเหนืออื่นใด ต้องการทำธุรกรรมกับพระเจ้าเมื่อละทิ้งและสละตนไปเพียงเล็กน้อย และได้รับบั้นปลายที่ดีและรางวัลจากสวรรค์เพื่อแลกกับสิ่งที่ฉันทำไป หนทางการสละตนนี้เต็มไปด้วยผลประโยชน์และการทำธุรกรรม และพระเจ้าทรงรังเกียจและประณามหนทางนี้ ถ้าฉันเชื่อแบบนั้นไปตลอด ก็ไม่มีทางที่ฉันจะได้รับความเห็นชอบและพระพรของพระเจ้า พอรู้แบบนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกสำนึกผิดและติเตียนตัวเอง ฉันเกลียดและรังเกียจตัวเองด้วยที่ได้ไล่ตามเสาะหาแบบนั้น ฉันเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และการสละตนก็เป็นสิ่งที่ฉันควรทำ นั่นคือความรับผิดชอบของฉัน ฉันมีคุณสมบัติอะไรถึงจะเรียกร้องพระพรและรางวัลจากพระเจ้า? ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกควร และมุ่งไปที่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยการไล่ตามเสาะหาในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ไม่ว่าฉันจะได้รับพร หรือทนทุกข์กับเคราะห์ร้ายก็ตาม ฉันจะมอบทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า วางใจในการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมของพระองค์ และลุล่วงทำหน้าที่ของฉันตามพระประสงค์ของพระองค์ นี่คือรากฐานและคุณค่าของการดำเนินชีวิต หลังจากทำความเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ฉันก็ไม่กังวลหรือหวาดหวั่นเกี่ยวกับจุดจบและบั้นปลายในภายภาคหน้าอีกต่อไป ฉันรู้สึกเบาใจและโล่งใจขึ้นมาก
เมื่อก่อน ฉันกลัวการทนทุกข์กับหายนะและบททดสอบ และความทุกข์ลำบากมาโดยตลอด ฉันคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่ดี ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ถ้าใครสามารถมีความเชื่อและการนบนอบต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริงในยามที่พวกเขาทนทุกข์กับภัยพิบัติ และสามารถยึดมั่นในความจงรักภักดีและเป็นพยานต่อพระพักตร์ของพระเจ้า นี่จะทำให้พวกเขาเพียบพร้อมและมอบพระพรให้พวกเขาผ่านหายนะ เหมือนกับการที่โยบยึดมั่นในความเชื่อและนบนอบต่อพระเจ้า ระหว่างบททดสอบและภัยพิบัติ ด้วยเหตุนั้น เขาจึงได้รับความความเห็นชอบและพระพรของพระเจ้า ไม่เพียงแต่ทุกสิ่งอย่างทางวัตถุเท่านั้นที่ทวีคูณขึ้น พระเจ้ายังทรงเปิดเผยพระองค์เองแก่โยบอีกด้วย ทำให้โยบโชคดีพอที่จะได้พบพระเจ้า ดูผิวเผินปรากฏว่า การที่โยบทนทุกข์กับความหายนะในครั้งนั้น เป็นการลิดรอนอย่างไร้ความปรานี แต่อันที่จริง นี่คือการที่พระเจ้าทรงอวยพรเขา ในขณะที่ภรรยาของโยบนั้นต่างกัน พอโยบทนทุกข์กับภัยพิบัติและบททดสอบ เธอบอกให้เขาบอกปัดและปฏิเสธพระเจ้า และเธอก็กลายเป็นเครื่องหมายแห่งความอัปยศอดสู จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า เมื่อต้องเผชิญกับภัยพิบัติ ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจและไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นเพียบพร้อมไปแล้ว ในขณะที่ผู้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และต้องการแค่ได้รับพระพรเท่านั้น จะถูกเปิดเผย กล่าวโทษ และถูกขับออกไป บางคนถูกเจตนาที่จะได้รับพระพรควบคุมอยู่ ดูจากภายนอก พวกเขาสามารถละทิ้งและสละตนเล็กน้อย และไปทำกิจสำคัญในพระนิเวศของพระเจ้าได้ แต่พอพวกเขาถูกพรรคคอมมิวนิสต์จับกุมและข่มเหง ชีวิตและผลประโยชน์ของพวกเขาก็ถูกคุกคาม พวกเขาปฏิเสธและทรยศต่อพระเจ้าและกลายเป็นยูดาส สูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอดโดยสิ้นเชิง ขณะเดียวกันพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ก็ต้องทนทุกข์จากการจับกุมและการทรมานของพรรคคอมมิวนิสต์ และยังคงยึดมั่นในความเชื่อและการนบนอบต่อพระเจ้า พวกเขาให้คำมั่นว่าจะสละชีวิตของตน ก่อนที่จะกลายเป็นยูดาสและทรยศต่อพระองค์ ผู้คนเช่นนั้นมีคำพยานและได้รับพระพรผ่านทางภัยพิบัติ หลังจากทำความเข้าใจเรื่องนี้แล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ตามโอกาสแห่งความสำเร็จและบั้นปลาย ฉันก็สามารถปล่อยวางเจตนารมณ์ที่จะได้รับพระพรได้อย่างมีสติ และต้องการแค่เพียงลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าเท่านั้น การที่หวังห่าวต้องทนทุกข์จากภัยพิบัติเปิดเผยฉัน แต่นั่นก็เป็นการช่วยให้รอดและการคุ้มครองของพระเจ้าสำหรับฉันด้วย ทำให้ฉันได้มีโอกาสเตรียมตัวเองให้พร้อมกับความจริงในแง่มุมนี้ล่วงหน้า เพื่อที่จะได้ไม่ล้มเหลวและล้มลงในยามที่ต้องเผชิญกับบททดสอบ ฉันเห็นว่าการช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้านั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริง ตอนนี้ฉันเข้าใจเจตนารมณ์และความไม่บริสุทธิ์ของตนในการทำหน้าที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบ้างแล้ว ฉันยังเข้าใจด้วยว่าการไล่ตามเสาะหาและการได้รับความจริงนั้น มีคุณค่ามากกว่าพระคุณใดๆ ในปัจจุบัน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันคือ ต้องมุ่งความสนใจไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริง และเปลี่ยนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน ส่วนในท้ายที่สุดแล้ว ฉันจะได้รับพระพรหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าจะทรงจัดวางเรียบเรียง
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ