หน้าที่ทั้งหลายไม่มีชนชั้น
ก่อนเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันชินกับการถูกครูชมเชย ฉันต้องการเป็นจุดสนใจเสมอ และรื่นรมย์กับการถูกยกย่อง เดือนพฤษภาคมปี 2020 ฉันยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันกินดื่มพระวจนะอย่างแข็งขัน เข้าร่วมการชุมนุม และระหว่างการชุมนุม ฉันจะสามัคคีธรรมความเข้าใจของฉันเป็นคนแรกเสมอ พี่น้องชายหญิงชมเชยการสามัคคีธรรมของฉันเสมอ ฉันรู้สึกดีมาก ฉันคิดว่าฉันมีขีดความสามารถที่ดี และมีความเข้าใจดีกว่าคนอื่น มีครั้งหนึ่ง หัวหน้างานบอกฉันว่าเธอจะฝึกฉันให้เป็นเจ้าภาพการชุมนุมกลุ่ม ฉันดีใจเหลือเกิน จากคนตั้งมากมาย หัวหน้างานได้เลือกฉัน ฉันรู้สึกว่าฉันมีขีดความสามารถ และแตกต่างจากคนอื่น หลังจากนั้น ฉันเริ่มทำตัวเป็นผู้จัดในการชุมนุมกลุ่ม พี่น้องชายหญิงล้วนเอาอกเอาใจฉันมาก และนับถือฉัน ฉันยังปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาระหว่างการชุมนุมด้วย ถามถึงสภาวะและความยากลำบากของพวกเขา และส่งพระวจนะให้พวกเขา ถ้าฉันสังเกตว่ามีคนไม่สามัคคีธรรมหรือเข้าร่วมชุมนุม ฉันจะกระตุ้นพวกเขาเป็นการส่วนตัว ฉันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพี่น้องชายหญิง และเมื่อไรที่เราคุยกัน พวกเขามีความสุขมากเสมอ ฉันคิดว่าฉันเหมาะสมจะให้น้ำผู้มาใหม่และเป็นมัคนายกให้น้ำได้ด้วยซ้ำ ฉันต้องการตำแหน่งที่สูงขึ้นเพื่อที่จะได้ตรวจสอบงานของผู้นำกลุ่มคนอื่น แบบนั้นฉันจะได้รับความนับถือ และยกย่องยิ่งขึ้นอีก แต่ฉันประหลาดใจมากเมื่อ วันหนึ่ง ผู้นำคนหนึ่งบอกฉันว่า ฉันเหมาะจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐที่สุด เธอจึงอยากให้ฉันมุ่งเน้นที่งานข่าวประเสริฐ แต่ตอนนั้นฉันตื่นเต้นไม่ออกเลย ฉันคิดว่า “ฉันเป็นคนให้น้ำ ฉันรู้จักงานให้น้ำดีทุกแง่มุม ทำไมคุณไม่ปล่อยให้ฉันให้น้ำต่อล่ะ? ทำไมจะให้ฉันไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐ? ในฐานะคนให้น้ำ ฉันใช้พรสวรรค์ของตัวเองได้เต็มที่ แต่ถ้าฉันต้องเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ฉันจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ในการขอให้ผู้คนสืบค้นหนทางที่แท้จริงเพื่อมาฟังการเทศนา ใครๆ ก็สามารถทำหน้าที่ง่ายๆ แบบนั้นได้ แล้วฉันจะทำให้ตัวเองโดดเด่นได้ยังไง? อีกอย่าง ตอนนี้ฉันเป็นผู้นำกลุ่ม ถ้าพวกเขาย้ายฉันไปแบ่งปันข่าวประเสริฐ ฉันก็จะเป็นแค่ผู้แบ่งปันข่าวประเสริฐ แล้วใครจะนับถือฉันล่ะ?” ฉันรู้สึกสลดทีเดียว และไม่อยากทำหน้าที่ในฐานะผู้แบ่งปันข่าวประเสริฐให้ลุล่วง ฉันไม่อาจข่มใจตัวเองให้นบนอบได้ แต่ในตอนนั้น ฉันไม่ตระหนักเรื่องนี้และแค่รู้สึกสับสน วันหนึ่ง ฉันถามผู้นำว่า “ทำไมถึงให้ฉันแบ่งปันข่าวประเสริฐล่ะคะ? ทำไมฉันให้น้ำผู้มาใหม่ต่อไปไม่ได้? ฉันรับมือทั้งสองหน้าที่พร้อมกันได้ ฉันจัดเวลาเพื่อทำทั้งหมดได้นะคะ” ผู้นำพูดว่า “คุณเป็นคนช่างพูด และมีพรสวรรค์ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ คุณเหมาะจะทำงานนี้มากกว่า” พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็ทำได้แค่พยายามยอมรับมัน แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าจะไม่มีใครนับถือฉันในกลุ่มข่าวประเสริฐ ฉันรู้สึกหดหู่และเศร้าใจ ฉันทำงานเป็นคนให้น้ำมานานมาก ทำงานของฉันได้ผลมาก และคนอื่นก็ยกย่องฉัน ถ้าฉันถูกย้ายไปแบ่งปันข่าวประเสริฐ ฉันจะเสียทั้งหมดนั้นไป ถ้าฉันไม่มีประสิทธิผลในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ ผู้นำจะคิดกับฉันยังไง? ฉันรู้สึกหดหู่จริงๆ และไม่มีแรงจูงใจจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เมื่อฉันชวนให้คนมาฟังคำเทศนา ฉันก็ทำอย่างไม่ตั้งใจและไม่ทุ่มเทเต็มที่ ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่พูดคุยกับพี่น้องชายหญิงและพูดติดตลก โดยหวังว่าจะผลักไสความรู้สึกเชิงลบทั้งหมดออกไป ฉันยังนึกสงสัยบ่อยๆ ด้วยว่าเมื่อไรฉันจะได้กลับไปให้น้ำผู้มาใหม่ ผลก็คือ ฉันไร้ผลงานหลังแบ่งปันข่าวประเสริฐอยู่หนึ่งเดือน ตอนนั้นเองที่ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อาจนบนอบต่อสถานการณ์นี้และคอยแต่ต้องการกลับไปให้น้ำ ขอทรงนำให้ข้าพระองค์เข้าใจพระเจตนาเพื่อที่ข้าพระองค์จะนบนอบได้ด้วยเถิด”
หลังจากนั้น ฉันอ่านพระวจนะบทตอนนี้ “อะไรคือท่าทีที่เจ้าควรมีต่อหน้าที่ของเจ้า ท่าทีที่สามารถเรียกได้ว่าถูกต้องและเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า? ประการแรก เจ้าไม่สามารถพินิจพิเคราะห์ได้ว่าหน้าที่นั้นจัดการเตรียมการโดยใคร หน้าที่นั้นมอบหมายโดยผู้นำระดับใด—เจ้าควรยอมรับหน้าที่นั้นจากพระเจ้า เจ้าไม่สามารถวิเคราะห์สิ่งนี้ เจ้าควรยอมรับหน้าที่จากพระเจ้า นี่คือเงื่อนไข ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าจะเป็นสิ่งใด จงอย่าเลือกปฏิบัติระหว่างสูงและต่ำ สมมุติว่าเจ้าพูดว่า ‘แม้ว่ากิจนี้จะเป็นพระบัญชาจากพระเจ้าและงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่หากฉันทำกิจนี้ ผู้คนอาจจะดูแคลนฉัน คนอื่นได้ทำงานที่ปล่อยให้พวกเขาโดดเด่น ฉันได้รับมอบกิจนี้ ซึ่งไม่ได้เปิดโอกาสให้ฉันโดดเด่น แต่กลับทำให้ฉันต้องทุ่มเทอยู่หลังฉาก นี่ไม่เป็นธรรม! ฉันจะไม่ทำหน้าที่นี้ หน้าที่ของฉันต้องเป็นหน้าที่ที่ทำให้ฉันโดดเด่นต่อหน้าคนอื่น และเปิดโอกาสให้ฉันได้สร้างชื่อให้ตัวฉันเอง—และต่อให้ฉันไม่ได้สร้างชื่อให้ตัวฉันเองหรือโดดเด่น ฉันก็ยังคงจำเป็นที่จะต้องได้รับประโยชน์จากหน้าที่นั้นและรู้สึกสุขสบายทางกาย’ นี่เป็นท่าทีที่ยอมรับได้อยู่หรือ? การเลือกมากคือการไม่ยอมรับสิ่งที่มาจากพระเจ้า มันคือการตัดสินใจเลือกไปตามการเลือกชอบของเจ้าเอง นี่ไม่ใช่การยอมรับหน้าที่ของเจ้า มันคือการปฏิเสธหน้าที่ของเจ้า เป็นการสำแดงความเป็นกบฏของเจ้า การเลือกมากเช่นนั้นเจือปนไปด้วยการเลือกชอบและความอยากได้อยากมีแบบปัจเจกบุคคลของเจ้า เมื่อเจ้าพิจารณาถึงผลประโยชน์ของเจ้าเอง ความมีหน้ามีตาของเจ้า และอื่นๆ ท่าทีของเจ้าต่อหน้าที่ของเจ้าจึงไม่นบนอบ” (“อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังจากอ่านบทตอนนี้ ฉันก็ทบทวนการกระทำของฉัน ฉันเลือกเอาตามความชอบพอในหน้าที่ ในงานให้น้ำ ฉันนำพรสวรรค์มาใช้ได้ ฉันเป็นผู้นำกลุ่ม คอยดูแลคนอื่นๆ ฉันได้ผลลัพธ์ที่ดีในการให้น้ำผู้มาใหม่ และคนอื่นๆ ล้วนเคารพยกย่องฉัน ฉันจึงมีความสุขเสมอ ต่อให้ฉันมีงานต้องทำมากมาย ฉันก็ไม่เคยพร่ำบ่น แต่พอผู้นำมอบหมายให้ฉันแบ่งปันข่าวประเสริฐ ฉันก็รู้สึกว่าฉันเพียงแค่ชวนให้คนมาฟังคำเทศนา เป็นงานที่ใครก็ทำได้ และฉันสูญเสียตำแหน่งในฐานะผู้นำกลุ่ม ไม่มีใครนับถือฉันอีกแล้ว ฉันรู้สึกไม่มีความสุข พร่ำบ่นกับตัวเองและพยายามโต้เถียงกับพระเจ้า ถึงแม้ว่าฉันจะยอมไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ฉันก็ไม่รู้สึกมีแรงจูงใจที่จะทำเลย ฉันเลือกที่จะพูดคุยกับคนอื่น แทนที่จะคิดว่าจะทำหน้าที่ของฉันให้ดีขึ้นได้ยังไง ผลก็คือ ฉันไม่มีผลงานอะไรตลอดการแบ่งปันข่าวประเสริฐทั้งเดือน ฉันให้ความสำคัญกับความมีหน้ามีตาและสถานะในหน้าที่ ถ้าเป็นสิ่งที่ฉันชอบและให้ความมีหน้ามีตาและสถานะแก่ฉัน ฉันก็มีแนวโน้มจะนบนอบ แต่ถ้าฉันไม่ชอบ และมันไม่เสริมชื่อและสถานะของฉัน ฉันจะรู้สึกซึมเศร้าและตำหนิพระเจ้า ฉันไม่ได้นบนอบอย่างแท้จริง ฉันตัดสินใจว่าจะเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่โดยดูจากว่าหน้าที่นั้นทำให้ฉันโดดเด่นและให้สถานะแก่ฉันหรือไม่ ฉันไม่มีท่าทีที่จริงใจในหน้าที่ ถ้าฉันยังคงไล่ตามสถานะแบบนี้ต่อไป ต่อให้ฉันทำงานมากมาย ปฏิบัติหน้าที่ของฉันได้ดี และได้รับความนับถือจากพี่น้องชายหญิง จะมีประโยชน์อะไร ถ้าพระเจ้าไม่ชอบ และระลึกถึงสิ่งที่ฉันได้ทำไป? พอตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็พร้อมจะเปลี่ยนท่าทีต่อหน้าที่ของฉัน ฉันจะเลิกห่วงว่าคนอื่นคิดกับฉันยังไง และมุ่งเน้นที่การทำงานให้ดี
หลังจากนั้น ฉันก็ทุ่มเทแบ่งปันข่าวประเสริฐ ไม่นานต่อมา บางคนที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงยอมรับงานของพระเจ้า ผู้นำพูดว่าฉันทำงานได้ยอดเยี่ยม และฉันรู้สึกมีความสุขมาก ฉันไม่ได้อยู่กับกลุ่มข่าวประเสริฐนานนัก แต่ฉันก็ทำได้ดีกว่าคนอื่นๆ แล้ว ฉันถึงกับได้รับคำชื่นชมจากผู้นำ ฉันมีศักยภาพมากมายจริงๆ! ฉันเริ่มคิดว่าการแบ่งปันข่าวประเสริฐก็ไม่ได้แย่นัก ฉันอาจจะสามารถนำพรสวรรค์มาใช้ที่นั่น และมีคนนับถือฉันยิ่งขึ้นอีกก็ได้ หลังจากนั้น ฉันทำงานหนักขึ้นอีกในการแบ่งปันข่าวประเสริฐและสัมฤทธิ์ผลที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เดือนมีนาคมปี 2021 ฉันได้เลื่อนขั้นเป็นผู้นำคริสตจักร ฉันตื่นเต้นมาก และขอบคุณพระเจ้า ในหน้าที่นี้ ฉันจะนำพี่น้องชายหญิงทุกคนในคริสตจักร และรับผิดชอบดูแลโครงการงานทั้งหมด นี่เป็นโอกาสดีที่จะทำตัวเองให้โดดเด่น ฉันต้องทุ่มเททำหน้าที่นี้ให้เต็มที่ ในช่วงนั้น ฉันทำงานอย่างขันแข็ง ฉันส่งข้อความไปถามทุกคนถึงปัญหาที่พวกเขามีในหน้าที่เสมอ ถ้าฉันสังเกตว่าใครประสบปัญหาในการทำงาน ฉันก็จะให้คำแนะนำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ฉันยังคอยตรวจสอบแต่ละโครงการบ่อยๆ และบ่มเพาะพี่น้องชายหญิงที่มีขีดความสามารถที่ดีด้วย การดูแลพี่น้องชายหญิงทำให้ฉันรู้สึกเหมือนพี่ใหญ่ พวกเขาล้วนพึ่งพาฉันจริงๆ และเต็มใจมากที่จะเปิดใจกับฉันเกี่ยวปัญหาของพวกเขา พี่น้องหญิงคนหนึ่งถึงกับชื่นชมฉันที่หาบทตอนในพระวจนะมาแก้ไขปัญหาของเธอได้อย่างรวดเร็ว การได้รับความเคารพนับถือจากพวกเขา ทำให้ฉันสุขใจมาก และยิ่งทำงานหนักขึ้นอีก
ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากนั้น ผู้คนยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และคริสตจักรแยกออก แต่ทว่าครั้งนี้ ฉันได้รับเลือกเป็นมัคนายก ไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ฉันผิดหวังจริงๆ บทบาทผู้นำเป็นตำแหน่งที่สูงกว่ามัคนายก และคุณได้รับความเคารพผ่านตำแหน่งนี้ได้มากกว่า ฉันเป็นผู้นำที่ดีได้ ทำไมฉันถึงไม่ได้รับเลือก? เมื่อผู้นำคนใหม่ให้ฉันทำงานบางอย่าง ฉันก็ไม่อยากตอบรับ ฉันรู้สึกแย่มาก และทำใจนบนอบต่อสภาพแวดล้อมนั้นได้ลำบากยากเย็น แต่แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะซึ่งกล่าวว่า “ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า แน่นอนที่สุดว่า เจ้าไม่สามารถทำไปตามการเลือกชอบส่วนตัวของเจ้า โดยการแค่ทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าประสงค์จะทำ สิ่งใดก็ตามที่เจ้ามีความสุขที่จะทำ หรือสิ่งใดก็ตามที่คงจะทำให้เจ้าดูดี นี่คือการกระทำตามเจตจำนงของคนเราเอง หากเจ้าพึ่งพาความชอบส่วนตัวของเจ้าเองในการปฏิบัติหน้าที่ คิดไปว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ และว่านี่คือสิ่งที่จะทำให้พระเจ้าเบิกบาน และหากเจ้าบังคับให้พระเจ้าเลือกชอบตามความชอบส่วนตัวของเจ้าหรือปฏิบัติตามความชอบส่วนตนราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง ถือปฏิบัติตามความชอบส่วนตัวราวกับเป็นหลักธรรมของความจริง เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นความผิดพลาดมิใช่หรือ? นี่ไม่ใช่การทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในหนทางนี้จะไม่เป็นที่จดจำของพระเจ้า” (“โดยการแสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ดี” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ผ่านพระวจนะบทตอนนี้ ฉันตระหนักว่าการไม่ได้รับเลือกเป็นผู้นำคือวิธีที่พระเจ้าทรงใช้ทดสอบฉัน เพื่อดูว่าฉันสามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบต่อพระองค์ได้หรือไม่ ถ้าฉันไม่นบนอบต่อพระเจ้าเพราะหน้าที่ไม่ใช่ที่ฉันชอบ พระเจ้าจะไม่ทรงยกย่องฉัน ดังนั้นต่อให้ฉันยอมรับทั้งหมดนี้ได้ยาก ฉันก็รู้ว่าฉันต้องนบนอบ สองเดือนต่อมา ฉันได้รับมอบหมายให้ไปแบ่งปันข่าวประเสริฐที่อีกคริสตจักรอีกครั้ง ผู้นำมอบหมายงานให้ฉันมากมาย และถามความคิดเห็นของฉันบ่อยๆ เวลาหารือเรื่องงาน เธอถึงกับพูดว่าฉันเหมาะสมกับหน้าที่นี้มาก ฉันคิดว่า “ผู้นำมอบหมายงานทั้งหมดนี้ให้ฉันเพราะเธอเชื่อใจฉัน ฉันจะทำให้เธอผิดหวังไม่ได้ ฉันต้องพิสูจน์ว่าฉันมีขีดความสามารถที่ดีและมีความสามารถ” ในเวลานั้น ฉันตระหนักว่าฉันกำลังไล่ตามความมีหน้ามีตาและสถานะอีกครั้ง ฉันรู้สึกหดหู่และคิดลบจริงๆ ฉันคิดไม่ตกว่าทำไมฉันถึงทำตัวแบบนี้เสมอเลย ที่มาของอุปนิสัยเสื่อมทรามของฉันคืออะไร? ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อแสวงหา ต่อมา ฉันพบพระวจนะบทตอนนี้ “ผู้คนบางคนชื่นชูเปาโลมากเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาชอบที่จะออกไปข้างนอกและกล่าวสุนทรพจน์และทำงาน พวกเขาชอบที่จะเข้าร่วมการชุมนุมและเทศนา พวกเขาชอบให้ผู้คนฟังพวกเขา เคารพบูชาพวกเขา และกังวลสนใจพวกเขาเป็นหลัก พวกเขาชอบที่จะมีสถานะในจิตใจของผู้อื่น และพวกเขาซาบซึ้งเมื่อผู้อื่นให้คุณค่าภาพลักษณ์ที่พวกเขานำเสนอ พวกเราลองมาวิเคราะห์ธรรมชาติของพวกเขาจากพฤติกรรมเหล่านี้กันว่า สิ่งใดหรือที่เป็นธรรมชาติของพวกเขา? หากพวกเขาประพฤติเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วมันก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาโอหังและทะนงตน พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกเขาแสวงหาสถานะที่สูงส่งกว่าและปรารถนาที่จะมีสิทธิอำนาจเหนือผู้อื่น ที่จะครองพวกเขา และที่จะมีสถานะในจิตใจของพวกเขา นี่คือภาพลักษณ์ดั้งเดิมของซาตาน แง่มุมที่โดดเด่นของธรรมชาติของพวกเขาก็คือความโอหังและความทะนงตน ความไม่เต็มใจที่จะนมัสการพระเจ้า และความปรารถนาที่จะได้รับการเคารพบูชาจากผู้อื่น พฤติกรรมเช่นนั้นสามารถให้ทรรศนะที่ชัดเจนมากแก่เจ้าในเรื่องธรรมชาติของพวกเขา” (“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “ความทะนุถนอมที่พวกศัตรูของพระคริสต์มีต่อสถานะและเกียรติยศนั้นไปไกลเกินกว่าความทะนุถนอมอย่างเดียวกันของผู้คนปกติ และเป็นบางสิ่งที่อยู่ภายในอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกเขา นั่นไม่ใช่ความสนใจชั่วคราวหรือผลกระทบชั่วครู่ชั่วยามจากสิ่งรอบตัวของพวกเขา—นั่นเป็นบางสิ่งภายในชีวิตของพวกเขา กระดูกของพวกเขา และดังนั้นนั่นจึงเป็นแก่นแท้ของพวกเขา นี่กล่าวได้ว่าในทุกสิ่งทุกอย่างที่ศัตรูของพระคริสต์ทำ การคิดพิจารณาอย่างแรกของพวกเขาก็คือสถานะและเกียรติยศของพวกเขาเอง ไม่ใช่อะไรอื่น สำหรับศัตรูของพระคริสต์ สถานะและเกียรติยศคือชีวิตของพวกเขา และเป็นเป้าหมายชั่วชีวิตของพวกเขา ในทั้งหมดที่พวกเขาทำ การคิดพิจารณาอย่างแรกของพวกเขาคือ ‘จะเกิดอะไรขึ้นกับสถานะของฉัน? แล้วกับเกียรติยศของฉันล่ะ? การทำเช่นนี้จะให้เกียรติยศแก่ฉันหรือไม่? นั่นจะยกระดับสถานะของฉันในจิตใจของผู้คนหรือไม่?’ นั่นคือสิ่งแรกที่พวกเขาคิดถึง ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่มากพอว่าพวกเขามีอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์ หาไม่แล้วพวกเขาย่อมจะไม่คำนึงถึงปัญหาเหล่านี้ อาจกล่าวได้ว่าสำหรับศัตรูของพระคริสต์ สถานะและเกียรติยศไม่ใช่ข้อพึงประสงค์เพิ่มเติมบางอย่าง นับประสาอะไรที่จะเป็นบางสิ่งที่นอกเหนือซึ่งพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ สิ่งเหล่านี้อยู่ในกระดูกของพวกเขา ในเลือดของพวกเขา สิ่งเหล่านี้มีมาแต่กำเนิดสำหรับพวกเขา พวกศัตรูของพระคริสต์นั้นมิใช่ไม่แยแสต่อการที่พวกเขาครองสถานะและเกียรติยศหรือไม่ นี่ไม่ใช่ท่าทีของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว อะไรคือท่าทีของพวกเขา? สถานะและเกียรติยศเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของพวกเขา กับสภาวะในแต่ละวันของพวกเขา กับสิ่งที่พวกเขาเพียรพยายามเพื่อให้ได้มาเป็นประจำทุกวัน และดังนั้นแล้ว สำหรับศัตรูของพระคริสต์ สถานะและเกียรติยศจึงเป็นชีวิตของพวกเขา ไม่สำคัญว่าพวกเขาดำรงชีวิตอยู่อย่างไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำงานอะไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาเพียรพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใด เป้าหมายของพวกเขาคือสิ่งใด ทิศทางชีวิตของพวกเขาคืออะไร ทั้งหมดนั่นวนเวียนอยู่กับการมีความมีหน้ามีตาที่ดีและฐานะทางสังคมที่สูงส่ง และจุดมุ่งหมายนี้ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่สามารถละวางจุดมุ่งหมายนี้ได้เลย นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของพวกศัตรูของพระคริสต์ และแก่นแท้ของพวกเขา” (“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สาม)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) ฉันตระหนักผ่านพระวจนะว่า ศัตรูของพระคริสต์ทะนุถนอมความมีหน้ามีตาและสถานะมากกว่าคนปกติมาก มันคือแง่มุมที่แท้จริงของการดำรงอยู่ของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาทำอะไร ความสนใจหลักก็คือชื่อเสียงและสถานะเสมอ และคนอื่นเคารพนับถือพวกเขาหรือไม่ พวกเขาต้องการที่ในหัวใจผู้คน เพื่อควบคุมและครอบงำเหนือพวกเขา นี่ก็เนื่องจากแก่นแท้ศัตรูของพระคริสต์ของพวกเขา ฉันทบทวนว่าฉันอยากได้ชื่อเสียงและสถานะมากแค่ไหน ก่อนที่ฉันจะเชื่อในพระเจ้า ฉันจะแสวงหาความนับถือจากคนอื่น แสวงหาที่ในหัวใจพวกเขาเสมอ และแม้แต่หลังจากฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ยังแสวงหาการเคารพนับถือเหมือนเมื่อก่อน ฉันชอบจัดการชุมนุม สามัคคีธรรมและได้รับความชื่นชมจากผู้อื่น ฉันเพลิดเพลินกับความรู้สึกว่าได้รับการยกย่อง ตอนที่ฉันเปลี่ยนจากการเป็นผู้นำมาเป็นมัคนายก ฉันค่อนข้างจำใจ ฉันรู้สึกว่าฉันสูญเสียชื่อเสียงและสถานะไป และกังวลว่าคนอื่นจะดูแคลนฉัน เมื่อฉันถูกมอบหมายใหม่ให้ไปอีกคริสตจักรหนึ่งเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐ ฉันอยากพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเคารพอีกครั้ง การไล่ตามของฉันไม่ต่างจากเปาโลเลย เปาโลชอบกล่าวคำปราศรัย เขาเพลิดเพลินกับการถูกห้อมล้อม ได้รับความเคารพนับถือ เขาอยากมีที่ในหัวใจของผู้คน และเรียกตัวเองว่าพระคริสต์ในท้ายที่สุด เขามีธรรมชาติโอหังอย่างป่าเถื่อน ขณะทำหน้าที่ของฉัน ทั้งหมดที่ฉันคิดถึงคือการได้รับความเคารพนับถือจากคนอื่น ฉันอยากสูงส่งในหัวใจของผู้คน ฉันโอหังอย่างป่าเถื่อนอะไรเช่นนี้! ฉันกำลังต่อต้านพระเจ้า! แม้ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระองค์ ฉันทำหน้าที่เพื่อชื่อเสียงและสถานะเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย ฉันได้ก้าวลงบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์แล้ว ฉันอยู่ในอันตรายจริงๆ! ฉันตระหนักว่าพระเจ้ากำลังทรงคุ้มครองฉันโดยไม่ให้ฉันได้รับเลือกในฐานะผู้นำ ถ้าพระเจ้าไม่ได้ออกแบบสถานการณ์นี้เพื่อเปิดโปงฉัน ฉันจะไม่มีวันตระหนักว่าฉันโอหังแค่ไหน และสถานการณ์เสี่ยงภัยแค่ไหน ฉันรู้สึกหวาดกลัว อีกทั้งรู้สึกผิดและสลดใจโดยการไล่ตามที่ไม่เหมาะสมของฉัน ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์เดินทางผิด แสวงหาความมีหน้ามีตาและสถานะ และข้าพระองค์รู้สึกแย่มาก ขอบคุณที่เปิดโปงข้าพระองค์ด้วยพระวจนะ ข้าพระองค์จะไม่แสวงหาความมีหน้ามีตาและสถานะอีกต่อไป และจะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระองค์ ไม่ว่าใครอื่นจะคิดกับข้าพระองค์ยังไง ข้าพระองค์จะลุล่วงหน้าที่ให้ดีที่สุดที่ทำได้”
ต่อมา ฉันเผอิญเจอพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง “ในฐานะสิ่งทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า มนุษย์ควรพยายามปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า และพยายามรักพระเจ้าโดยไม่สร้างตัวเลือกอื่น เพราะพระเจ้าทรงคู่ควรกับความรักของมนุษย์ บรรดาผู้ที่พยายามรักพระเจ้าไม่ควรแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวใดๆ หรือแสวงหาสิ่งซึ่งพวกเขาถวิลหาเป็นการส่วนตัว นี่คือวิถีทางที่ถูกต้องที่สุดของการไล่ตามเสาะหา หากสิ่งที่เจ้าแสวงหาคือความจริง หากสิ่งที่เจ้านำไปปฏิบัติคือความจริง และหากสิ่งที่เจ้าบรรลุคือการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า เช่นนั้นแล้วเส้นทางที่เจ้าย่ำเท้าก็เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง หากสิ่งที่เจ้าแสวงหาคือพรของเนื้อหนัง และสิ่งที่เจ้านำไปปฏิบัติคือความจริงแห่งมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง และหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า และเจ้าไม่เชื่อฟังพระเจ้าในเนื้อหนังเลย และเจ้ายังคงใช้ชีวิตในความคลุมเครือ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าแสวงหาก็จะนำเจ้าไปสู่นรกอย่างแน่นอน เพราะเส้นทางที่เจ้าเดินนั้นคือเส้นทางแห่งความล้มเหลว การที่เจ้าจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหรือถูกขับออกไปนั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของเจ้าเอง ซึ่งก็เป็นการกล่าวอีกด้วยว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) พระวจนะบทตอนนี้เป็นประโยชน์ต่อฉันมาก ฉันตระหนักว่า ฉันควรแสวงหาความจริง และการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย นั่นคือเส้นทางที่ถูกต้อง การไล่ตามความมีหน้ามีตาและสถานะเป็นเส้นทางสู่ความล้มเหลว ก่อนนั้น ฉันไล่ตามความมีหน้ามีตาและสถานะเสมอ ตอนที่ฉันให้น้ำผู้มาใหม่ ฉันได้รับการยกย่องสรรเสริญ และต่อมาได้เลื่อนขั้นเป็นผู้นำ สถานะของฉันสูงขึ้นในสายตาคนอื่น แต่ฉันก็เกิดความโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันเห็นว่าตัวเองสูงส่งมาก และไม่มีความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย ถ้าฉันไล่ตามเสาะหาในทางนี้ต่อไป สุดท้ายฉันจะถูกขับออก ฉันเหมือนเปาโล ที่ได้รับคนมากมายจากการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ จดหมายหลายฉบับของเขาพบได้ในพระคัมภีร์ และเขาได้รับการยกย่องสรรเสริญในโลกศาสนา แต่เปาโลไม่เข้าใจตัวเองเลย ไม่เคยเปลี่ยนอุปนิสัยเสื่อมทรามของเขา และถูกขับออกลงสู่นรก ฉันตระหนักว่าด้านที่สำคัญที่สุดของความเชื่อคือการเดินบนเส้นทางของการไล่ตามความจริง ไม่อย่างนั้น ไม่ช้าก็เร็วฉันจะต้องเสียใจ
ต่อมา ขณะชมวิดีโอคำพยานประสบการณ์ ฉันเห็นพระวจนะบทตอนต่อไปนี้ “หากเจ้าปรารถนาจะอุทิศตนในทุกสิ่งที่ทำเพื่อให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถที่จะทำแค่ปฏิบัติหน้าที่หนึ่งอย่างเท่านั้น เจ้าต้องยอมรับพระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้แก่เจ้า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสอดคล้องกับรสนิยมของเจ้าและตกอยู่ภายในผลประโยชน์ของเจ้าหรือไม่ก็ตาม หรือเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าไม่ชื่นชมหรือไม่เคยทำมาก่อน หรือเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ลำบากยากเย็น เจ้าควรจะยอมรับและนบนอบสิ่งนั้น ไม่เพียงแค่เจ้าต้องยอมรับสิ่งนั้นเท่านั้น แต่เจ้าต้องร่วมมืออย่างมั่นใจ เรียนรู้สิ่งนั้น และมีประสบการณ์กับสิ่งนั้น และบรรลุการเข้าสู่ ต่อให้เจ้าทนทุกข์ ไม่โดดเด่น ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม และถูกขับออกจากกลุ่ม เจ้าก็ยังคงต้องกระทำการเฝ้าเดี่ยวของเจ้า เจ้าต้องถือว่านั่นเป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้ลุล่วงของเจ้า ไม่ใช่เป็นกิจธุระส่วนตัว ผู้คนควรเข้าใจหน้าที่ของพวกเขาอย่างไร? ว่าเป็นบางสิ่งที่พระผู้สร้าง—พระเจ้า—ประทานให้พวกเขาทำ หน้าที่ของผู้คนเกิดขึ้นมาในลักษณะนี้ พระบัญชาที่พระเจ้ามีให้เจ้านั้นคือหน้าที่ของเจ้า และสวรรค์ได้ลิขิตไว้และแผ่นดินโลกก็ยอมรับรู้ว่าให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่พระเจ้าทรงขอ” (“โดยการซื่อสัตย์เท่านั้นคนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเหมือนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันต้องจำไว้ว่า หน้าที่ของฉันคือพระบัญชา ไม่สำคัญว่าผู้คนจะยกย่องฉันหรือไม่ ฉันต้องอุทิศชีวิตเพื่อทำภารกิจให้เสร็จสิ้น ไม่ใช่เพื่อเป็นที่ยกย่องสรรเสริญของคนอื่น ในอดีต ฉันไม่ยอมรับว่าหน้าที่ฉันมาจากพระเจ้า เลือกเอาตามความชอบส่วนตัวเสมอ ฉันจัดลำดับหน้าที่ว่าสำคัญหรือไม่สำคัญ สูงกว่าหรือต่ำกว่า ฉันทำหน้าที่ที่เปิดโอกาสให้ฉันโดดเด่นอย่างกระตือรือร้นและแข็งขัน และมีท่าที ตำหนิ คิดลบ ต่อต้าน และไม่ยอมรับหน้าที่ที่ไม่ ฉันตระหนักว่าฉันไม่อาจช่างเลือกเมื่อเป็นเรื่องหน้าที่ หรือเลือกตามความชอบพอของตนเอง ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ที่เป็นจุดสนใจ หรือทำอยู่ในฉากหลัง ก็ล้วนเป็นงานของคริสตจักรทุกด้าน และล้วนเป็นพระบัญชาของพระเจ้า ไม่มีความแตกต่างของชนชั้น ในสายพระเนตร ทุกหน้าที่ล้วนเหมือนกัน พระเจ้าทรงให้ความสามารถและการทำงานที่ต่างกันแก่เรา และมอบหมายหน้าที่ที่ต่างกันให้เราตามความสามารถเหล่านั้น ฉันอาจจะมีพรสวรรค์บางอย่างที่คนอื่นไม่มี แต่พวกเขาก็มีพรสวรรค์ที่ฉันไม่มีเช่นกัน ฉันควรนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และลุล่วงบทบาทของตัวเอง ดังนั้น ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์ไม่อยากทำหน้าที่ตามความชอบพออีกต่อไป ต่อให้ข้าพระองค์ไม่อาจทำให้ตัวเองโดดเด่น ข้าพระองค์ก็ยังพร้อมจะทุ่มเททำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย”
มีวันหนึ่ง เรากำลังชุมนุม และฉันหวังว่าผู้นำจะให้ฉันเป็นผู้จัดงาน แต่พอฉันไปถึงการชุมนุม ฉันก็เห็นว่าพี่น้องหญิงอีกคนหนึ่งกำลังเป็นเจ้าภาพ ฉันคิดว่า “ฉันเคยเป็นผู้นำของพี่น้องหญิงคนนี้ แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นผู้นำกลุ่มของฉัน อีกอย่าง ฉันเคยเป็นผู้จัดการชุมนุมเสมอ ตอนนี้ฉันไม่ใช่ และไม่อาจโดดเด่นได้ พี่น้องชายหญิงจะดูถูกดูแคลนฉันไหม?” ฉันรู้สึกละอายใจและอับอายมาก ฉันอยากเพิกเฉยข้อความของกลุ่ม และแค่ไปร่วมการชุมนุมกลุ่มอื่น แต่แล้วฉันก็ตระหนักว่าฉันมีท่าทีที่ผิด และดังนั้นฉันจึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้ทำหน้าที่ได้ดี หลังอธิษฐาน ฉันรู้สึกค่อนข้างสงบ ฉันควรมุ่งเน้นที่การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี และเลิกกังวลเรื่องการทำให้ตัวเองโดดเด่น พอตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็สามารถปล่อยวางความหมกมุ่นของฉันได้ ต่อมา ฉันเปิดใจกับทุกคนถึงประสบการณ์ของฉันในช่วงนั้น และสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่ฉันได้รับจากการมีประสบการณ์การพิพากษาของพระวจนะ และพระวจนะได้เปลี่ยนแปลงฉันยังไง ฉันรู้สึกสุขใจ และปลดเปลื้องมาก ตอนนี้ ฉันยังเป็นแค่ผู้แบ่งปันข่าวประเสริฐทั่วไป แต่ฉันไม่สนลำดับชั้นของหน้าที่ตัวเองอีกต่อไป ต่อให้ฉันไม่ได้เป็นผู้นำกลุ่ม มัคนายก หรือผู้นำคริสตจักรแล้ว ฉันก็ยังเต็มใจจะทำหน้าที่ของฉันต่อไป พระวจนะเปลี่ยนแปลงฉันค่ะ
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ