หลังแผ่นดินไหว
ฉันยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2019 ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระองค์เยอะมาก และทุกครั้งที่อ่าน ฉันรู้สึกเหมือนพระเจ้ากำลังตรัสกับฉันอยู่ตรงหน้า มันบำรุงเลี้ยงเป็นอย่างมาก และฉันเพลิดเพลินกับมันจริงๆ เป็นความรู้สึกที่ฉันไม่เคยมีมาก่อน ฉันเรียนรู้ผ่านการสามัคคีธรรม ว่าขณะมีชีวิต เราควรมีความเชื่อ อ่านพระวจนะ และทำหน้าที่ของสิ่งทรงสร้าง ถึงพ่อจะต่อต้านความเชื่อของฉัน และอารมณ์เสียใส่ฉันบ่อยๆ ฉันก็เข้าชุมนุมต่อไป เพราะฉันรู้ว่านั่นเป็นทางเดียวที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้ดีขึ้น ก่อนจะได้อ่านพระวจนะ ชีวิตของฉันว่างเปล่ามาก นั่นคือสิ่งที่เติมเต็มฉันและมอบทิศทางในชีวิตให้ฉัน ฉันรู้ว่าการชุมนุมและอ่านพระวจนะสำคัญกับฉันอย่างยิ่ง
แต่จากนั้นไม่นาน ฉันก็เจอกับการทดลอง เพื่อนบ้านขอให้ฉันทำงานเป็นพนักงานร้านค้าที่เธอทำงานอยู่ โดยบอกว่าฉันสามารถหารายได้ได้มากกว่า 500 เปโซต่อวัน เธอบอกว่าแน่ใจว่าพวกเขาจะจ้างฉันแน่ ฉันว่ามันฟังดูเป็นรายได้ที่ดีค่ะ ถ้ามีเงินนั้นก็จะซื้อหาสิ่งของที่ต้องการได้ แล้วก็จะช่วยพ่อแม่ได้ด้วย แต่ถ้าฉันรับงานนั้น ก็อาจเข้าร่วมการชุมนุมตามปกติไม่ได้ แต่ฉันก็ยังอยากได้เงิน และฉันก็ลังเลที่จะปล่อยโอกาสหลุดลอยไป สุดท้ายแล้วฉันก็เอาชนะการทดลองนั้นไม่ได้ ฉันรับงานค่ะ ฉันเซ็นสัญญาหนึ่งเดือนเท่านั้น คิดว่าหลังจากนั้นก็จะเข้าร่วมการชุมนุมได้ตามปกติ ในระหว่างนั้นก็จะพยายามเต็มที่ที่จะเข้าร่วมต่อไป แต่ว่าสิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคาดไว้ ฉันไม่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมอย่างที่หวังไว้ได้ ฉันใช้โทรศัพท์มือถือในที่ทำงานไม่ได้ กว่าจะเลิกงานก็หกโมงเย็น ฉันต้องเดินทางไกล พอกลับถึงบ้านก็เหนื่อยหมดแรงแล้ว ฉันไม่มีพลังงานเลยค่ะ ถ้าฉันไม่กลับบ้านตรงเวลา ก็จะเข้าร่วมไม่ทัน พอผ่านไป ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังออกห่างจากพระเจ้า รู้สึกกลัวและไม่สบายใจเหลือที่จะกล่าว ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันรู้สึกเศร้ามากๆ อยู่ตลอดเวลา ฉันพยายามยิ้มเข้าไว้ แต่ข้างในฉันกำลังเจ็บอยู่ รู้สึกเหมือนแสงสว่างทั้งหมดในชีวิตได้หายไป บางครั้งฉันก็รู้สึกถึงความมืดมิด และเริ่มร้องไห้ ฉันคิดถึงการไปชุมนุมจริงๆ ค่ะ เวลาที่ไม่มีลูกค้าเลย ฉันจะเขียนพระวจนะของพระเจ้าที่ฉันจำได้ลงสมุด อ่านและไตร่ตรองตอนที่ทำได้ ฉันรู้สึกได้ถึงความช่วยเหลือและการนำของพระเจ้า ฉันมองปฏิทินอยู่ตลอด นับถอยหลังวันที่เหลือในสัญญา ฉันอยากจบกับงานนั้นเร็วๆ แล้วเริ่มชุมนุมอีกครั้ง
วันหนึ่ง ฉันเข้าเฟซบุ๊ค และเห็นพระวจนะสองบทตอนที่พี่คนหนึ่งส่งให้ “ความวิบัติทุกลักษณะจะบังเกิดขึ้นตามติดกันมา ประชาชาติและสถานที่ทั้งหมดจะประสบหายนะ นั่นคือ ภัยพิบัติ การกันดารอาหาร น้ำท่วม ภัยแล้ง และแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง ความวิบัติเหล่านี้ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นเพียงแค่หนึ่งหรือสองที่เท่านั้น อีกทั้งความวิบัติเหล่านี้จะไม่จบลงภายในหนึ่งหรือสองวัน ในทางกลับกัน ความวิบัติเหล่านี้จะขยายไปทั่วเป็นบริเวณที่กว้างขึ้นทุกที และกลายเป็นรุนแรงมากขึ้นทุกที ในช่วงระหว่างเวลานี้ ทุกรูปแบบของภัยพิบัติจากแมลงจะเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า และปรากฏการณ์คนกินเนื้อคนจะบังเกิดขึ้นทุกที่ นี่คือการพิพากษาของเราต่อประชาชาติและกลุ่มประชาชนทั้งหมด” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 65) “ความปรานีของเรานั้นแสดงออกต่อบรรดาผู้ที่รักเราและปฏิเสธตัวพวกเขาเอง ในขณะเดียวกัน การลงโทษที่ได้ไปเยือนคนเลว ก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงอุปนิสัยที่ชอบธรรมของเราอย่างชัดเจน และยิ่งไปกว่านั้นคือ พิสูจน์คำพยานแห่งความโกรธเคืองของเรา เมื่อความวิบัติมาเยือน ทุกคนที่ต่อต้านเราจะวิปโยคร่ำไห้ในขณะที่พวกเขาตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของการกันดารอาหารและภัยพิบัติ บรรดาผู้ที่ได้กระทำความเลวในทุกลักษณะ เว้นแต่ผู้ที่ได้ติดตามเรามาเป็นเวลาหลายปี จะไม่มีทางหลบพ้นการชำระชดใช้ให้กับบาปของตน พวกเขาอีกเช่นกัน ที่จะดิ่งพรวดลงสู่ความวิบัติ ในแบบที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นกันในตลอดระยะเวลาหลายล้านปี และพวกเขาจะดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งความอกสั่นขวัญผวาและหวาดกลัวตลอดเวลา และบรรดาผู้ติดตามของเราทั้งหลายที่ได้แสดงความจงรักภักดีต่อเราจะชื่นบานและปรบมือให้กับอิทธิฤทธิ์ของเรา พวกเขาจะผ่านประสบการณ์กับความพอใจอันเกินพรรณนา และดำรงชีวิตท่ามกลางความชื่นบานยินดีอย่างที่เราไม่เคยมอบให้มวลมนุษย์ เพราะเราถนอมความล้ำค่าของความประพฤติที่ดีงามของมนุษย์และชิงชังความประพฤติชั่วของพวกเขา ตั้งแต่เมื่อเราเริ่มต้นนำทางมวลมนุษย์ เรามุ่งหวังอย่างใจจดใจจ่อมาตลอดว่าจะได้รับผู้คนสักกลุ่มที่มีจิตใจเดียวกับเรา ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้ที่ไม่ได้มีจิตใจเดียวกับเรานั้น เราก็ไม่เคยลืม เราเกลียดพวกเขาในหัวใจของเราเสมอ รอคอยโอกาสที่จะนำพาการลงทัณฑ์อันสาสมมาสู่พวกเขา อันเป็นสิ่งซึ่งเราจะเพลิดเพลินที่ได้เห็น บัดนี้วันของเราได้มาถึงแล้วในที่สุด และเราไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไปแล้ว!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า) ฉันสัมผัสได้ถึงความแท้จริงของพระวจนะ และกลัวมาก ฉันเห็นได้ว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสกำลังลุล่วง ที่มินดาเนา มีภัยพิบัติเกิดขึ้นเรื่อยๆ ภูเขาไฟระเบิด เฮอริเคน แผ่นดินไหว โรคระบาด และทั่วโลกก็เป็นแบบนั้น แต่ฉันตัดสินใจที่จะหาเงินและออกห่างจากพระเจ้า ฉันกลัวว่าพระเจ้าจะไม่คุ้มครองฉันจากภัยพิบัติ และฉันจะเสียชีวิต ดังนั้น ฉันจึงอธิษฐาน “พระเจ้า โปรดยกโทษให้ข้าพระองค์ที่เลือกเงินแทนพระองค์ ข้าฯ รู้ว่าข้าฯ ทำการขัดกับน้ำพระทัย แต่ข้าฯ อยากกลับใจ” ฉันบอกตัวเองว่ามันยังไม่สายที่จะกลับใจ ฉันยังมีโอกาสกลับไปที่การชุมนุม ฉันตั้งตาคอยให้สัญญาหมดไวๆ จะได้รับหน้าที่ได้อีกครั้ง
ฉันจำได้ว่ารู้สึกวิตกมากในวันที่ 15 ธันวาคม 2019 ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง ฉันอยากกลับบ้านและออกไปจากห้าง ไม่ใช่ทำงานต่อไป จากนั้นเพื่อนร่วมงานก็ขอให้ฉันไปห้องน้ำเป็นเพื่อน จากนั้นไม่กี่นาที ตอนที่เรากำลังเดินกลับเข้าห้าง พื้นดินก็เริ่มเอียงซวนเซ ฉันเห็นผู้คนพากันวิ่งออกมาจากห้าง บางคนก็กลัวจนตัวแข็ง สิ่งของต่างๆ เริ่มหล่นจากชั้นวางของทุกจุด โชคดีที่เราอยู่ตรงทางออกพอดี ก็เลยออกจากอาคารได้โดยเร็ว ฉันตัวสั่นหนักมาก รู้สึกเหมือนอยู่ในเปล และไปถึงที่ปลอดภัยได้ยาก พอคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องทั้งหมด ฉันบังเอิญเดินออกจากห้างเพื่อไปห้องน้ำก่อนเกิดเหตุ และที่ห้องน้ำก็มีคนเยอะ เราก็เลยต้องรอข้างนอกกันสักพัก แผ่นดินไหวเริ่มขึ้นทันทีที่ฉันกลับเข้าไปข้างใน จังหวะมันพอดีมาก การคุ้มครองของพระเจ้าช่วยฉันให้พ้นภัย ดังนั้นฉันจึงซาบซึ้งมาก ไม่ใช่เพราะฉันรอดมาได้ แต่เพราะฉันเห็นความรักของพระเจ้า ทรงอยู่กับฉัน ทรงช่วยฉันให้รอดจากแผ่นดินไหวนั้น ฉันร้องเรียกพระเจ้าจากใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ทรงช่วย!” ความคิดมากมายแล่นผ่านใจฉัน ตอนยืนอยู่ข้างนอก ฉันรู้ว่าฉันหาเงินได้บ้าง แต่ฉันรู้สึกอารมณ์ไม่ดีและหม่นหมอง เงินไม่สำคัญ ไม่มีประโยชน์เลยเวลาเกิดแผ่นดินไหว การมาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์และรับความรอดของพระเจ้าสิที่สำคัญ ฉันอยากกลับบ้านและเข้าร่วมการชุมนุมมากๆ ฉันอยากเล่าให้พี่น้องชายหญิงฟัง ว่าพระเจ้าทรงนำฉันออกห่างจากภัยพิบัติยังไง ว่าฉันได้ประจักษ์ความรักและกิจการของพระองค์ยังไง
ระหว่างทางกลับบ้านวันนั้น ฉันนึกสงสัยว่า ทำไมพระเจ้ายังทรงคุ้มครองฉันแม้ฉันจะออกห่างจากพระองค์ ฉันเปิดแอปของคริสตจักรและเห็นพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ “ความรักของพระเจ้านั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริง กล่าวคือ โดยผ่านทางพระคุณของพระเจ้า มนุษย์หลีกพ้นความวิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า และตลอดเวลานั้นพระเจ้าทรงแสดงความยอมผ่อนปรนซ้ำแล้วซ้ำอีกสำหรับความอ่อนแอของมนุษย์ การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าเปิดโอกาสให้มนุษย์ค่อยๆ มารู้จักความเสื่อมทรามและแก่นแท้เยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ สิ่งซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียม ความรู้แจ้งของพระองค์เกี่ยวกับมนุษย์ และการทรงนำของพระองค์ทั้งหมดเปิดโอกาสให้มวลมนุษย์รู้จักแก่นแท้ของความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ และรู้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงสิ่งที่ผู้คนต้องการ ถนนเส้นที่พวกเขาควรใช้ รู้ว่าพวกเขาใช้ชีวิตเพื่ออะไร รู้ถึงคุณค่าและความหมายของชีวิตของพวกเขา และวิธีเดินไปบนถนนข้างหน้า สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำไม่สามารถแยกจากพระประสงค์ดั้งเดิมหนึ่งประการของพระองค์ได้ เช่นนั้นแล้วอะไรหรือคือพระประสงค์นี้? เหตุใดหรือพระเจ้าจึงทรงใช้วิธีการเหล่านี้ดำเนินพระราชกิจของพระองค์กับมนุษย์? พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใด? อีกนัยหนึ่ง พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะเห็นสิ่งใดในมนุษย์? พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับอะไรจากมนุษย์? สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะเห็นก็คือการที่หัวใจของมนุษย์สามารถฟื้นคืนได้ วิธีการเหล่านี้ที่พระองค์ทรงใช้ในการทรงพระราชกิจกับมนุษย์นั้นเป็นความพยายามต่อเนื่องเพื่อปลุกหัวใจของมนุษย์ เพื่อปลุกจิตวิญญาณของมนุษย์ เพื่อทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจว่าพวกเขามาจากที่ไหน ใครกำลังนำ เกื้อหนุน และจัดเตรียมให้พวกเขา และใครได้อนุญาตให้มนุษย์มีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน วิธีการเหล่านี้เป็นวิถีทางเพื่อทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจว่าใครคือพระผู้สร้าง พวกเขาควรนมัสการใคร ถนนประเภทใดที่พวกเขาควรเดิน และในหนทางใดที่มนุษย์ควรมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกมันเป็นวิถีทางที่จะค่อยๆ ฟื้นคืนหัวใจของมนุษย์ เพื่อที่มนุษย์จะได้รู้จักพระหทัยของพระเจ้า เข้าใจพระหทัยของพระเจ้า และจับใจความได้ถึงการทรงดูแลอันยิ่งใหญ่และความคิดที่อยู่เบื้องหลังพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมนุษย์ให้รอด เมื่อหัวใจของมนุษย์ฟื้นคืน มนุษย์ไม่ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันต่ำทรามและเสื่อมทรามอีกต่อไป แต่กลับปรารถนาจะไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เมื่อหัวใจของมนุษย์ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น มนุษย์ก็ย่อมสามารถฉีกตัวออกจากซาตานได้อย่างสิ้นเชิง พวกเขาจะไม่ถูกซาตานทำอันตรายอีกต่อไป ไม่ถูกควบคุมหรือถูกมันหลอกอีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มนุษย์สามารถให้ความร่วมมืออย่างเป็นเชิงรุกในพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์เพื่อทำให้พระเจ้าสมดังพระทัย ด้วยเหตุนี้จึงบรรลุถึงความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว นี่คือจุดประสงค์ดั้งเดิมของพระราชกิจของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) บทตอนนี้สะเทือนใจฉันมากค่ะ ฉันได้เห็นความรักและความปรานีของพระเจ้า ฉันเลิกชุมนุมและเลิกทำหน้าที่เพื่อความสุขทางเนื้อหนัง จึงคิดว่าพระเจ้าคงไม่ช่วยฉัน แต่ทรงปกป้องฉันจากแผ่นดินไหวครั้งนั้นไว้ได้อย่างปาฏิหาริย์ แทนที่จะทอดทิ้งฉัน พระเจ้าทรงต้องการให้ฉันตื่นขึ้น หยุดโลภอยากได้เงิน กลับมาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ ไล่ตามความจริง ทำหน้าที่ ฉันรู้สึกโชคดีมากค่ะ ฉันต้องไม่เสียโอกาสนั้นจากพระเจ้าไป แต่ฉันต้องกลับใจ ทิ้งความเพลิดเพลินทางเนื้อหนัง กลับไปทำหน้าที่สิ่งทรงสร้างในคริสตจักร
หลังจากหมดสัญญาในเดือนธันวาฯ ฉันทุ่มเทเวลาและพลังงานเกือบทั้งหมดในหน้าที่ เวลาประสบปัญหา ฉันรู้สึกถึงความอ่อนแออยู่บ้าง และบางครั้งก็เหนื่อยมากๆ แต่แล้วฉันก็คิดเสมอว่าพระเจ้าคุ้มครองฉันจากแผ่นดินไหวยังไง ต่อให้เจอความยากลำบากมากมายเพียงใด ฉันก็รู้ว่าต้องทำงานหนักและทำหน้าที่เพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า ฉันคิดว่านั่นเป็นวิธีเดียว ที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ยากของภัยพิบัติและมีบั้นปลายที่ดี ต่อมาวันหนึ่ง ฉันได้ดูคำพยานชื่อ “สิ่งจูงใจของฉันต่อพระพรถูกเปิดเผยโดยผ่านทางโรคภัยไข้เจ็บ” เป็นวิดีโอของพี่ชายคนหนึ่ง เป็นผู้เชื่อมานาน ทุ่มเทมาก ทำงานหนัก ทำหน้าที่ จนกระทั่งเขาป่วยร้ายแรง เขาทุกข์ระทมและถึงกับกล่าวโทษพระเจ้า เขารู้สึกเหมือนเขาได้ให้อะไรไปมาก ดังนั้นก็ไม่ควรป่วยขนาดนี้ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าไม่ให้พรและคุ้มครองเขา หลังจากอ่านพระวจนะแล้วเขาก็ตระหนักว่า เขาไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อแสวงหาความจริงและเชื่อฟังพระเจ้า แต่เพื่อได้รับพรและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ประสบการณ์ของเขา ทำให้ฉันเห็นว่าแรงจูงใจในหน้าที่ของฉันอาจด่างพร้อยด้วย เพราะฉันหวังอยู่เสมอว่าพระเจ้าจะทรงช่วยให้รอดจากภัยพิบัติ ฉันกลัวว่าฉันอาจกำลังพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า เหมือนเขา คืนนั้นฉันถามตัวเอง หน้าที่ของฉันคือเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย หรือเพื่อได้รับพระคุณ? ฉันนึกถึงการคุ้มครองที่ได้รับตอนแผ่นดินไหว และความหวาดกลัวที่รู้สึกหลังเหตุการณ์นั้น ฉันกลัวว่าในอนาคตฉันจะตกสู่ภัยพิบัติ ดังนั้น ที่ฉันอยากกลับไปทำหน้าที่ ก็แค่หวังว่าพระเจ้าจะทรงช่วยฉันให้รอดจากภัยพิบัติ ฉันมีแรงจูงใจและทัศนคติแบบเดียวกับพี่ชายในวิดีโอ เขาเจอกับความเจ็บป่วย และฉันเจอกับแผ่นดินไหว การพลีอุทิศของฉันไม่ใช่เพื่อนบนอบต่อพระเจ้า ทำให้ทรงพอพระทัย แต่เป็นไปเพียงเพื่อให้พระองค์คุ้มครองฉันจากภัยพิบัติ เพื่อที่ฉันจะได้มีบั้นปลายที่ดีและเข้าสู่ราชอาณาจักร คืนนั้นฉันรู้สึกแย่มากๆ ฉันยอมรับไม่ได้จริงๆ ที่ตัวเองแค่ทำหน้าที่ไป เพื่อแลกกับพรของพระเจ้า ฉันอยากจริงใจในหน้าที่ แต่ความเป็นจริงคือความเชื่อของฉันเป็นไปเพื่อประโยชน์ตัวเอง ฉันไม่มีหัวใจที่เคารพ ไม่เชื่อฟังและนมัสการพระเจ้าในฐานะพระผู้สร้างของเรา
ต่อมา ฉันได้แสวงหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพบบทตอนหนึ่งจากพระเจ้า “กิจการของเรามีมากกว่าจำนวนของเม็ดทรายบนชายหาด และปัญญาของเราเหนือกว่าบุตรชายทั้งหมดของซาโลมอน กระนั้นผู้คนก็เพียงคิดว่าเราเป็นแพทย์ที่ไม่มีความสำคัญและเป็นครูที่ไม่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของมนุษย์เท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้รักษาพวกเขาเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้ใช้ฤทธานุภาพของเราขับวิญญาณสกปรกออกจากร่างของพวกเขาเท่านั้น และผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงแค่ว่าพวกเขาอาจจะได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดีจากเรา ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อเรียกร้องทรัพย์สมบัติทางวัตถุจากเราให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตนี้อย่างสันติสุขและเพื่อที่จะอยู่อย่างปลอดภัยคลายกังวลในโลกที่จะมาถึง ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์จากนรกและเพื่อได้รับพรจากสวรรค์ ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อสิ่งชูใจชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ได้พยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใดในโลกที่จะมาถึง เมื่อเราได้ปล่อยความโกรธเคืองต่อมนุษย์ของเราออกมาและได้ยึดเอาความชื่นบานยินดีและสันติสุขที่พวกเขาเคยมีไป มนุษย์ก็กลับคลางแคลงใจ เมื่อเราได้ให้ความทุกข์จากนรกแก่มนุษย์และได้เอาพรจากสวรรค์กลับคืน ความละอายของมนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ เมื่อมนุษย์ได้ขอให้เรารักษาเขา แต่เราไม่ได้ให้ความสนใจและรู้สึกชิงชังต่อเขา มนุษย์ได้ออกห่างจากเราเพื่อแสวงหาวิธีการของยาและวิทยาคมอันชั่วร้ายแทน เมื่อเราได้เอาทุกอย่างที่มนุษย์เรียกร้องจากเรากลับไป ทุกคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ เราจึงบอกว่ามนุษย์มีความเชื่อในเราเพราะเราให้พระคุณมากเกินไป และมีมากเกินไปที่จะได้รับ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?) พระวจนะเปิดเผยสภาวะของฉันได้ตรงมาก ความเชื่อของฉันเป็นเพียงการสำราญในพระคุณ ให้พระองค์ช่วยฉันให้รอดจากภัยพิบัติ หลังจากเหตุแผ่นดินไหว ฉันละทิ้งความต้องการเงินและความบันเทิง และกลับมาทำหน้าที่ แต่ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน ฉันก็เพียงพยายามให้พระเจ้าช่วยให้รอด ให้พ้นจากภัยพิบัติ ฉันอยากใช้โอกาสทำหน้าที่แลกกับพรแห่งราชอาณาจักร ฉันทำหน้าที่เพียงเพื่อผลประโยชน์ตน—ทำข้อตกลงกับพระเจ้า ฉันรู้สึกละอายและรู้สึกผิดมากเมื่อเห็นแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัว และทัศนะผิดๆ ของตัวฉัน ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า “พระเจ้า ข้าพระองค์เสื่อมทรามนัก ความพยายามทั้งหมดของข้าฯ คือการแลกเปลี่ยน ข้าฯ โกงพระองค์ พระเจ้า ข้าฯ รู้สึกขอบคุณที่ทรงเปิดโปงความเสื่อมทราม ให้ข้าฯ รู้จักตน ข้าฯ ไม่อยากทำหน้าที่เพียงแค่เพื่อพรอีกต่อไป ข้าฯ อยากทำให้ทรงพอพระทัย”
ต่อมาไม่นาน พี่สาวคนหนึ่งส่งพระวจนะของพระเจ้ามาให้ ซึ่งช่วยให้ฉันเข้าใจว่าในการไล่ตาม ฉันทำผิดตรงไหน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ในความเชื่อที่พวกเจ้ามีในพระเจ้า บัดนี้พวกเจ้าทั้งหมดกำลังเดินอยู่บนเส้นทางใด? หากเจ้าไม่แสวงหาชีวิต และการเข้าใจตัวเจ้าเอง และความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เหมือนที่เปโตรทำ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่ได้กำลังเดินอยู่บนเส้นทางของเปโตร ในวันเหล่านี้ ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะแบบนี้ กล่าวคือ ‘เพื่อที่จะได้รับพร เราต้องสละตัวเองเพื่อพระเจ้าและจ่ายราคาให้กับพระองค์ เพื่อที่จะได้รับพร เราต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระเจ้า เราต้องทำสิ่งที่พระองค์ทรงมอบความไว้วางใจเราให้เสร็จสิ้น และปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดี’ การนี้ได้รับอิทธิพลโดยเจตนาที่จะได้รับพร ซึ่งเป็นตัวอย่างของการสละตัวเองจนหมดสิ้นเพื่อจุดประสงค์ของการได้มาซึ่งบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้าและได้รับมงกุฎ ผู้คนเช่นนั้นไม่มีความจริงในหัวใจของพวกเขา และแน่นอนว่าความเข้าใจของพวกเขานั้น เพียงแค่ประกอบไปด้วยคำพูดที่เป็นคำสอนไม่กี่คำที่พวกเขาโอ้อวดทุกที่ที่พวกเขาไป เส้นทางของพวกเขานั้นคือของเปาโล ความเชื่อของผู้คนเช่นนั้นคือบทบาทของการตรากตรำทำงานเป็นนิตย์ และลึกลงไปแล้วพวกเขารู้สึกว่า ยิ่งพวกเขาทำมากขึ้นเท่าใด นั่นก็จะยิ่งเป็นการพิสูจน์มากขึ้นเท่านั้นถึงความจงรักภักดีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า ว่ายิ่งพวกเขาทำมากขึ้นเท่าใด แน่นอนว่าพระองค์ก็ยิ่งจะพึงพอพระทัยมากขึ้นเท่านั้น และว่ายิ่งพวกเขาทำมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งสมควรมากขึ้นเท่านั้นที่จะได้รับการมอบมงกุฎเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพรที่พวกเขาได้รับก็มีแต่จะยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์ ทำการประกาศ และตายเพื่อพระคริสต์ได้ หากพวกเขาสามารถพลีอุทิศชีวิตของพวกเขาเองได้ และหากพวกเขาสามารถทำหน้าที่ทั้งหมดซึ่งพระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาจนครบบริบูรณ์ได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะเป็นผู้ที่ได้รับพรอันยิ่งใหญ่ที่สุด และจะได้รับมอบมงกุฎอย่างแน่นอน แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่เปาโลจินตนาการและสิ่งที่เขาแสวงหา นั่นคือเส้นทางอันแน่ชัดที่เขาเดิน และนั่นอยู่ภายใต้การนำของความคิดที่ว่า เขาทำงานเพื่อรับใช้พระเจ้า ความคิดและเจตนาเหล่านั้นไม่มีจุดกำเนิดมาจากธรรมชาติเยี่ยงซาตานหรอกหรือ?” (“วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์ ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง เมื่อพวกเขาละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตัวเองเพื่อพระเจ้า นั่นเป็นไปเพื่อที่จะได้รับพร และเมื่อพวกเขาสัตย์ซื่อต่อพระองค์ นั่นก็เป็นไปเพื่อที่จะได้รับรางวัล โดยสรุปแล้ว ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพร ได้รับรางวัล และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ในสังคม ผู้คนทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่เพื่อที่จะได้รับพร เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถทานทนต่อความทุกข์มากมายได้ กล่าวคือ ไม่มีหลักฐานถึงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์ที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว” (“ความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงภายนอกกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันได้เรียนรู้จากพระวจนะ ว่าหลายคนยอมสละทุกอย่างได้เพื่อจ่ายราคาให้พระองค์ แต่หัวใจพวกเขาไม่ได้อยากทำให้ทรงพอพระทัย แต่อยากได้พร พวกเขาก็เหมือนเปาโล เปาโลทนทุกข์มากมายและเดินทางไกลเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แต่เขาเพียงต้องการแลกเปลี่ยนงานและความพยายามนั้นกับพร หลังจากที่เขาทำงานมามากแล้ว เขาก็พูดว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8) ทุกสิ่งที่เปาโลทำนั้นเป็นการแลกเปลี่ยน ทั้งหมดนั้นเพื่อพร เพื่อรางวัล เพื่อมงกุฎ เขาสนใจแต่งาน ไม่ได้ปฏิบัติความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริงตามพระวจนะ เพราะอย่างนั้นอุปนิสัยเขาจึงไม่เคยเปลี่ยน เพราะงั้นพระเจ้าจึงไม่เคยให้ความเห็นชอบ ถึงจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐและได้คนมามากมาย พอไตร่ตรองตนเอง ฉันเห็นว่าฉันก็เหมือนเปาโล ฉันลาออกจากงาน ทุ่มทั้งเวลาและพลังงานทั้งหมดให้กับหน้าที่ บางครั้งได้กินอาหารแค่วันละมื้อ เวลาที่ยุ่งๆ แต่นั่นไม่ใช่เพื่อไล่ตามความจริงหรือเพื่อทำให้ทรงพอพระทัย แต่เพื่อรับพรของพระองค์ ฉันไม่ได้พยายามรู้จักตัวเองหรือแก้ไขความเสื่อมทราม แต่แค่อยากให้พระเจ้าทรงเห็นว่าฉันกำลังทำมากแค่ไหน เพื่อให้ทรงช่วยฉันให้รอดจากภัยพิบัติ เพื่อจะได้มีบั้นปลายที่ดีและเข้าสู่ราชอาณาจักร ฉันได้เห็นว่าฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามลึกแค่ไหน เห็นแก่ตัวแค่ไหน และทุกอย่างที่ฉันทำไปก็เพื่อตัวเอง ฉันไม่ได้มีการอุทิศตัวหรือความรักที่แท้จริงให้กับพระเจ้า ฉันรักตัวเองเท่านั้น เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วฉันรู้สึกแย่มาก ฉันอธิษฐาน “พระเจ้า โปรดทรงช่วยข้าฯ เปลี่ยนแรงจูงใจและมุมมองผิดๆ ในหน้าที่ด้วย ข้าฯ อยากทำหน้าที่ในแบบที่พระองค์ประสงค์ ไม่ใช่เพื่อตัวข้าฯ เอง”
จากนั้นไม่นาน ฉันได้อ่านพระวจนะอีกบทตอนที่สะเทือนใจฉันจริงๆ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่นใดและได้อุทิศตนอย่างสุดหัวใจให้พวกเจ้ามานานแล้ว แต่พวกเจ้ายังคงเก็บงำเจตนาชั่วร้ายไว้และมีความไม่เต็มใจต่อเรา นั่นคือขอบข่ายหน้าที่ของพวกเจ้า ภารกิจเพียงอย่างเดียวของพวกเจ้า มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกหรือ? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง? พวกเจ้าจะสามารถถูกพิจารณาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร? มันไม่ชัดเจนสำหรับพวกเจ้าหรอกหรือว่าพวกเจ้ากำลังแสดงออกและดำรงชีวิตตามอะไร? พวกเจ้าได้ล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าให้ลุล่วง แต่พวกเจ้าพยายามที่จะได้รับความอดกลั้นและพระคุณอันไพบูลย์ของพระเจ้า พระคุณเช่นนี้ไม่ได้ถูกตระเตรียมไว้สำหรับคนที่ไร้ค่าและต่ำช้าเช่นพวกเจ้า แต่ถูกตระเตรียมไว้สำหรับพวกที่ไม่ขออะไรและพลีอุทิศด้วยความยินดี ผู้คนเช่นพวกเจ้า คนที่มีคุณภาพปานกลางเช่นนี้ ไม่มีค่าพออย่างที่สุดที่จะได้ชื่นชมพระคุณแห่งสวรรค์ มีแต่ความยากลำบากและการลงโทษที่ไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้นที่จะไปกับพวกเจ้าทุกวัน! หากพวกเจ้าไม่สามารถสัตย์ซื่อต่อเรา ชะตากรรมของพวกเจ้าก็จะเป็นชะตากรรมแห่งความทุกข์ หากเจ้าไม่สามารถรับผิดชอบต่อถ้อยคำของเราและงานของเรา บทอวสานของพวกเจ้าก็จะเป็นบทอวสานแห่งการลงโทษ พระคุณ พร และชีวิตอันวิเศษของอาณาจักรทั้งหมดนั้นจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกเจ้า นี่คือจุดจบที่พวกเจ้าสมควรได้พบและเป็นผลสืบเนื่องจากการกระทำของพวกเจ้าเอง! ไม่เพียงแต่พวกที่ไม่รู้เท่าทันและโอหังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่หรือปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเท่านั้น พวกเขายังยื่นมือของพวกเขาออกไปหาพระคุณราวกับว่าสิ่งที่พวกเขาร้องขอนั้นเป็นสิ่งซึ่งสมควรได้รับ และหากพวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่พวกเขาร้องขอ พวกเขาก็จะกลับกลายเป็นสัตย์ซื่อน้อยลงไปทุกที ผู้คนเช่นนี้จะสามารถถือว่ามีเหตุผลได้อย่างไร? พวกเจ้ามีขีดความสามารถต่ำและไร้เหตุผล ไม่สามารถอย่างสิ้นเชิงที่จะปฏิบัติหน้าที่ที่พวกเจ้าควรจะทำให้ลุล่วงในระหว่างพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการ มูลค่าของพวกเจ้าได้ตกฮวบลงแล้ว ความล้มเหลวของพวกเจ้าในการตอบแทนเราสำหรับการแสดงพระคุณเช่นนี้ต่อพวกเจ้าเป็นการกระทำที่เป็นกบฏอย่างที่สุด ซึ่งเพียงพอที่จะประณามพวกเจ้าและแสดงให้เห็นถึงความขี้ขลาด ความไร้สามารถ ความต่ำช้า และความไร้ค่าของพวกเจ้า อะไรให้สิทธิ์พวกเจ้ายื่นมือออกไปอยู่อย่างนั้น?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์) ฉันไม่รู้ว่าตัวเองโลภมากแค่ไหนจนกระทั่งได้อ่านบทตอนนี้ ฉันทุ่มเทเวลาไปมากในการทำหน้าที่ แต่พร้อมกันนั้นฉันก็รีดไถพรจากพระเจ้าและทำข้อตกลงกับพระองค์ ฉันไม่ได้ทำหน้าที่จริงๆ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างจริงๆ ฉันมีสิทธิ์อะไรไปเรียกร้องพระคุณของพระเจ้า เรียกร้องให้ทรงช่วยฉันจากภัยพิบัติ ให้ได้เข้าสู่ราชอาณาจักร? หากไม่มีการเปิดเผยของพระวจนะ ฉันก็คงไม่รู้ว่าฉันเป็นกบฎและเสื่อมทรามแค่ไหน หรือทรงเกลียดแรงจูงใจอยากได้พระพรที่น่ารังเกียจของฉันมากแค่ไหน ฉันคิดถึงแค่ตัวเอง ไม่คิดถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า คนอย่างฉันไม่คู่ควรกับพรและความรอดของพระเจ้า พระเจ้าทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ ทรงชอบคนที่อุทิศตนเพื่อพระองค์ คนที่ทำหน้าที่ด้วยใจบริสุทธิ์ได้ แต่ฉันมีใจที่บริสุทธิ์จริงใจหรือเปล่าล่ะ? ไม่มีเลย ฉันรู้สึกละอายใจกับแรงจูงใจที่น่ารังเกียจ และความปรารถนาอันฟุ้งเฟ้อของฉัน ฉันไม่คู่ควรกับพระคุณของพระเจ้า ฉันอยากเปลี่ยนตัวเองและแรงจูงใจที่ไม่ถูกต้อง เพื่อให้สามารถทุ่มเททุกอย่างที่มีลงในหน้าที่ได้ เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย
ต่อมา ในการชุมนุมหนหนึ่ง ฉันอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ช่วยฉันจริงๆ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งหรือไม่ หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา การได้รับพรคือเมื่อใครบางคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้ชื่นชมกับพรของพระเจ้าหลังได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา การถูกสาปแช่งคือเมื่ออุปนิสัยของใครบางคนไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาแล้ว คือตอนที่พวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแต่ถูกลงโทษ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่คือสิ่งที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำเป็นอย่างน้อย เจ้าไม่ควรทำหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น และเจ้าไม่ควรปฏิเสธที่จะกระทำเพราะกลัวถูกสาปแช่ง เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้าว่า การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา โดยผ่านทางกระบวนการของการทำหน้าที่ของเขา มนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนไป และโดยผ่านทางกระบวนการนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเขา ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็จะได้รับความจริงมากขึ้นเท่านั้น และการแสดงออกของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์) หลังอ่านพระวจนะแล้วฉันก็เห็น ว่าเพราะฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ฉันก็ควรทำหน้าที่ของฉัน—นั่นคือความรับผิดชอบของฉัน ฉันไม่ควรเรียกร้องการตอบแทนหรือพรจากพระเจ้า และฉันไม่ควรคิดว่าจะถูกช่วยให้รอดหรือจะถูกลงโทษ ฉันเพียงต้องคิดว่าจะทำหน้าที่ให้ดีได้ยังไง ฉันเคยคิดว่า พระเจ้าจะไม่ทรงลงโทษฉัน ตราบเท่าที่ฉันทำหน้าที่ และฉันจะไม่ตกสู่ภัยพิบัติเหมือนกัน ฉันคิดว่าจะทรงลงโทษเฉพาะคนที่ไม่ติดตามพระองค์หรือไม่ทำหน้าที่ ฉันจึงพยายามใช้หน้าที่เป็นเครื่องต่อรองเพื่อรับการทรงคุ้มครอง จากนั้นฉันก็ได้รู้ ว่าหน้าที่คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำเป็นขั้นต่ำ ไม่เกี่ยวกับการได้รับพรหรือถูกสาปแช่ง ส่วนจะถูกช่วยให้รอดหรือถูกลงโทษในท้ายที่สุด พระเจ้าจะพิจารณาว่าฉันได้รับความจริงไหม ว่าฉันเปลี่ยนแปลงไหม นั่นคือความชอบธรรมของพระเจ้า ในภัยพิบัติ แม้ว่าฉันได้รับบาดเจ็บหรือตาย ฉันก็ยังควรจำนนต่อการปกครองของพระเจ้า ไม่กล่าวโทษพระเจ้า และฉันไม่ควรใช้การทำหน้าที่เพื่อพยายามรอดพ้นจากภัยพิบัติ นั่นไม่ใช่การทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ฉันควรถวายตัวแด่พระเจ้าและทำหน้าที่โดยไม่หวังสิ่งใด เพราะพระองค์ทรงสร้างฉัน ในการทำหน้าที่หลังจากนั้น ฉันตรวจสอบตัวเองและย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ ฉันต้องไม่ทำเพื่อความเห็นแก่ตัว แต่ต้องทำให้ทรงพอพระทัย นำความชื่นบานมาให้พระองค์
ขอบคุณพระเจ้า! ทรงใช้สถานการณ์เหล่านี้เพื่อเปิดเผยความเสื่อมทรามและการไล่ตามที่ไม่เหมาะสมของฉัน เพื่อให้ฉันมองเห็นแรงจูงใจที่น่ารังเกียจของการไล่ตามพร ให้เปลี่ยนแปลงการไล่ตามที่ไม่เหมาะสมในความเชื่อ ตอนนี้ฉันไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อให้ได้รับพระคุณจากพระเจ้าอีก หรือเพื่อหลีกหนีจากภัยพิบัติ แค่อยากไล่ตามความจริงและทำหน้าที่เพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ