การพึ่งพิงพระเจ้าเพื่อเอาชนะซาตาน
โดย ฉิว เจิน, ประเทศจีน เวลาประมาณตีห้า วันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ฉันกำลังออกไปร่วมการชุมนุม แล้วฉันก็เห็นรถเก๋งสีดำจอดอยู่ที่ริมถนน จู่ๆ...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
โดย เจินซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา สิ่งที่ผู้คนแสวงหาก็คือการได้มาซึ่งพระพรสำหรับอนาคต นี่คือเป้าหมายของพวกเขาในความเชื่อของพวกเขา ผู้คนทั้งหมดมีเจตนาและความหวังนี้ แต่ความเสื่อมทรามในธรรมชาติของพวกเขาต้องได้รับการแก้ไขโดยผ่านทางการทดสอบทั้งหลาย ในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าไม่ได้รับการทำให้บริสุทธิ์ ในแง่มุมเหล่านี้เองที่เจ้าต้องได้รับการถลุง—นี่คือการจัดการเตรียมการของพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสภาพแวดล้อมหนึ่งให้กับเจ้า อันเป็นการบังคับให้เจ้าได้รับการถลุงที่นั่นเพื่อที่เจ้าจะสามารถรู้ความเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง ในท้ายที่สุด เจ้าก็ไปถึงจุดที่เจ้าเลือกที่จะตายมากกว่าและล้มเลิกกลอุบายและความอยากทั้งหลายของเจ้า และนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เพราะฉะนั้น หากผู้คนไม่มีกระบวนการถลุงอยู่เป็นเวลาหลายปี หากพวกเขาไม่สู้ทนความทุกข์ในปริมาณหนึ่ง พวกเขาก็จะไม่มีความสามารถที่จะขจัดพันธนาการแห่งความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในความคิดของพวกเขาและในหัวใจของพวกเขาออกไปจากตัวพวกเขาได้ ในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้ายังตกอยู่ภายใต้พันธนาการของซาตาน และในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้ายังมีความอยากได้อยากมีของตัวเจ้าเองและข้อเรียกร้องทั้งหลายของตัวเจ้าเอง ในแง่มุมเหล่านี้เองที่เจ้าควรทนทุกข์ เฉพาะโดยผ่านทางความทุกข์เท่านั้นที่จะสามารถเรียนรู้บทเรียนทั้งหลายได้ ซึ่งก็หมายถึงการมีความสามารถที่จะได้รับความจริง และเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า ในข้อเท็จจริงนั้น ความจริงมากมายได้รับความเข้าใจโดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์การทดสอบอันเจ็บปวดทั้งหลาย ไม่มีใครสามารถจับใจความในน้ำพระทัยของพระเจ้า ระลึกรู้ความทรงพระมหิทธิฤทธิ์และพระปรีชาญาณของพระเจ้า หรือซาบซึ้งในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าได้เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ง่ายสบายและชูใจ หรือเมื่อรูปการณ์แวดล้อมเป็นใจ นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้เลย!” (“คนเราควรทำเช่นไรให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ท่ามกลางการทดสอบทั้งหลาย” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) การอ่านพระวจนะบทตอนนี้ ทำให้ผมนึกถึงประสบการณ์หนึ่งที่ได้ก้าวผ่านโรคภัยไข้เจ็บ ตอนนั้นมันเจ็บปวดอยู่บ้างและเสียน้ำตามากมาย แต่ผมก็ได้มาเข้าใจความจริงบางอย่าง ผมได้เลิกแสวงหาพระพรมากมายในความเชื่อ และผมได้เรียนรู้บทเรียนบางอย่างจากความทุกข์นี้ และผมได้รู้สึกว่านี่ก็เป็นพระพรจากพระเจ้าด้วยเช่นกัน
ผมยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อปี 2010 ตอนนั้นผมยังอยู่แค่ชั้นมัธยมปลาย พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ผมเห็นว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า อีกทั้งการเชื่อและนมัสการพระเจ้าก็เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง—เป็นเส้นทางที่มีคุณค่าและมีความหมายมากที่สุด ผมเริ่มเข้าร่วมการชุมนุมที่คริสตจักร ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร ผมก็ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง ผมยังพยายามประกาศข่าวประเสริฐให้กับเหล่าญาติมิตรอย่างเต็มที่ด้วย ผมรู้สึกอิ่มเอมในทุกวัน และรู้สึกสงบสุขมาก
หนึ่งปีต่อมา ผมไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล และพบว่าตัวเองเป็นไวรัสตับอักเสบบี หมอบอกว่าโรคนี้รักษายาก และถ้าอาการแย่ลงมันสามารถกลายเป็นโรคมะเร็งได้ พอทราบข่าวการป่วยอย่างกะทันหันนี้ ผมก็ชาไปหมดทั้งตัว สีหน้าของผมว่างเปล่าและมือไม้ก็สั่นเทา จู่ๆ อนาคตของผมก็ดูไม่แน่นอนขึ้นมา ระหว่างทางกลับบ้านวันนั้นผมรู้สึกแย่มาก ผมได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญ ผมเฝ้าถามตัวเองว่า “ฉันเป็นโรคนี้ได้ยังไง? ทำไมฉันถึงสุขภาพดีเหมือนคนอื่นเขาไม่ได้?” ผมเคยคิดว่า ถ้าผมเชื่อในพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงคุ้มครองผมจากความเจ็บป่วย การทำหน้าที่ของผมอย่างสงบสุขในพระนิเวศของพระเจ้าคงจะวิเศษน่าดู! แต่ตอนนี้ผมกลับป่วย โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะดีขึ้นหรือเปล่า และถ้าอาการแย่ลง ผมก็ถึงขั้นเสียชีวิตได้ ความคิดเหล่านี้ทำให้ผมกังวลมาก และผมก็มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานอยู่หลายครั้ง ผมวอนขอความเชื่อและความเข้มแข็งจากพระเจ้า วอนพระองค์ทรงนำและให้ความรู้แจ้ง ให้ผมได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ ผมจะได้รู้ว่าจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร
พอพี่น้องชายหญิงของผมรู้เข้า พวกเขาก็เข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนผม และอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฟังหนึ่งบทตอน “เมื่ออาการป่วยบังเกิดขึ้น นี่คือความรักของพระเจ้า และเจตนารมณ์ที่เมตตาของพระเจ้าจะถูกเก็บงำไว้ภายในอย่างแน่นอน แม้ว่าร่างกายของเจ้าอาจก้าวผ่านความทุกข์บ้าง ก็จงอย่าสนุกสนานกับแนวคิดทั้งหลายจากซาตาน จงสรรเสริญพระเจ้าในท่ามกลางโรคภัยไข้เจ็บ และชื่นชมพระเจ้าในท่ามกลางการสรรเสริญของเจ้า จงอย่าใจเสียเมื่อเผชิญหน้ากับโรคภัยไข้เจ็บ จงหมั่นแสวงหาครั้งแล้วครั้งเล่า และจงอย่ายอมแพ้ และพระเจ้าจะทรงให้ความกระจ่างแก่เจ้าด้วยความสว่างของพระองค์ ความเชื่อของโยบเป็นเช่นไร? พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นแพทย์ผู้ทรงฤทธานุภาพโดยสมบูรณ์! การพักพิงอยู่ในอาการป่วยคือการเจ็บป่วย แต่การพักพิงอยู่ในจิตวิญญาณคือการมีสุขภาพดี ตราบเท่าที่เจ้ายังคงมีลมหายใจ พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้เจ้าตาย” (“บทที่ 6” ของ ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พอได้อ่านบทตอนนี้ ผมก็รู้ในหัวใจเลยว่า ไม่ว่าผมจะอาการแย่ลงหรือไม่ ก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าทรงปกครองทุกสิ่ง! ความกังวลและความไม่สบายใจทั้งหมดของผมเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลย ตอนนี้ที่ผมมีโรคภัยไขเจ็บนี้ ผมก็ต้องพึ่งพาและมองไปที่พระเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าผมจะดีขึ้นหรือไม่ ผมก็กล่าวโทษพระเจ้าไม่ได้ แต่ต้องนบนอบต่อกฎของพระองค์ นับแต่นั้น ผมจึงอธิษฐานเรื่องโรคภัยไข้เจ็บของผมต่อพระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง และผมก็เข้ารับการรักษาไปด้วย หกเดือนต่อมา ผมไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้ง หมอบอกว่าอาการของผมกำลังดีขึ้น และตอนนี้ก็คุมได้แล้ว ผมเลยไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอีก พอได้ยินแบบนี้ผมก็ตื่นเต้นมาก และเอาแต่พูดว่า “ขอบคุณพระเจ้า! ขอบคุณพระเจ้า!” ผมไม่รู้จะพูดอะไรกับพระเจ้าจริงๆ แต่ผมรู้ว่านี่คือพระเมตตาและพระพรของพระองค์!
ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปี 2012 แต่ผมโดนรายงานเรื่องแบ่งปันข่าวประเสริฐในมหาวิทยาลัย ผมเลยถูกไล่ออก นั่นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากสำหรับผม แม้ว่ามันต้องใช้เวลาตรากตรำร่ำเรียนกว่า 12 ปี เพื่อไปถึงจุดนั้นก็ตามแต่แล้ว ผมก็คิดถึงพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริง และทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด และเราสามารถได้รับการช่วยให้รอด ต่อเมื่อเราเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น ความวิบัติครั้งใหญ่จะมาถึงในไม่ช้า ผมจึงกลัวว่าตัวเองจะถูกกวาดล้างไป ถ้าผมไม่ทำหน้าที่ และไม่ประพฤติตนให้ดี ผมคิดกับตัวเองว่า “ลืมเรื่องมหาวิทยาลัยไปเถอะ ฉันจะไล่ตามความจริงและทำหน้าที่ของตัวเองในคริสตจักรให้ดีที่สุดแล้วกัน” ไม่กี่วันต่อมา ผมก็ออกจากบ้าน และเริ่มทำหน้าที่ของผมในคริสตจักร ไม่ว่าผมจะได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ใด ผมก็จะรับมันมาด้วยความยินดีและไม่บ่นเลย แม้จะเผชิญกับการปราบปรามและจับกุมอันบ้าคลั่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเกือบถูกตำรวจจับถึงสองครั้ง ผมก็ไม่กลัว แต่กลับเผยแผ่ข่าวประเสริญและเป็นพยานให้พระเจ้าต่อไป ผมรู้สึกว่าพระเจ้าจะทรงคุ้มครองผม เพียงแค่ผมทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป และนั่นคือหนทางเดียวที่จะได้มีบั้นปลายที่ดี
ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2015 ผมถูกย้ายไปทำหน้าที่ที่นอกเมือง วันหนึ่ง ผู้นำขอให้ผมไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผมแพร่เชื้อใส่คนอื่น พอผมได้ยินเรื่องนี้ ผมก็คิดกับตัวเองว่า “จากที่ตรวจครั้งล่าสุดก็เกือบห้าปีแล้วนะ อาการป่วยของฉันสามารถแย่ลงได้ระหว่างช่วงเวลานี้ ถ้ามันติดเชื้อหนักหรือกลายเป็นโรคมะเร็งจริงๆ ฉันก็จะทำหน้าที่ของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป” ความคิดนี้ทำให้ผมทุกข์ใจมาก ผมกลัวมากด้วย และรู้ว่าผมคงยอมรับมันไม่ได้แน่ วันรุ่งขึ้น ผมไปที่โรงพยาบาล แต่พอไปถึงผมก็รู้สึกกังวลมาก ผมคิดว่า “ถ้าตอนนี้มันกลายเป็นมะเร็งหรือติดเชื้อหนักมากจริงๆ ที่โรงพยาบาลนี้จะมีความสามารถที่จะรักษาผมได้ไหม? ถ้าพวกเขารักษาไม่ได้ ผมจะทำอย่างไร?” ตอนนั้นผมอธิษฐานต่อพระเจ้า และบอกว่า ผมจะยอมเชื่อฟังไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่แล้ว หมอก็บอกว่าผมมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ผมกระวนกระวายมากอีกครั้ง คิดว่า “นี่คือสัญญาณของการป่วยหรือเปล่า? ไม่งั้นทำไมฉันถึงหัวใจเต้นผิดจังหวะได้?” พอเพ่งมองสีหน้าที่ดูกังวลของหมออย่างใกล้ชิด ผมก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ของผมดูไม่ดีเลย คุณหมอไม่ได้พูดเรื่องอื่นมากนัก เพียงแต่เจาะเลือดผมไปและบอกให้ผมกลับบ้านไปรอผล
ขณะที่วันฟังผลใกล้เข้ามาทุกที ความวิตกกังวลของผมก็กลับมา ผมกลัวว่าจะได้รับข่าวร้าย และไม่รู้สึกว่าผมจะรับมือได้ ผมแค่อยากสบายดีอีกครั้ง หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผมไปที่โรงพยาบาลเพื่อฟังผล หมอบอกว่า ตอนนี้เลือดของผมมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่เต็มไปหมด และมันได้กลายเป็นโรคตับอักเสบเฉียบพลันไปแล้ว เขาบอกว่ามันติดเชื้อหนักมาก และผมต้องได้รับการรักษาโดยด่วน ผมคิดกับตัวเองว่า “มันจบแล้ว ตอนนี้ฉันจะมีความสามารถที่จะทำหน้าที่ของตัวเองได้ไหม? ฉันจะเข้าร่วมการชุมนุมและใช้ชีวิตที่คริสตจักรได้ไหม?” ระหว่างทางกลับบ้าน สิ่งเดียวที่ผมนึกถึงคืออาการป่วยของตัวเอง และการขี่จักรยานก็ช่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน หลังจากกลับถึงบ้าน ผมก็ค้นหาเรื่องการรักษาตามเว็บไซต์ ผมอ่านเจอว่า โรคตับอักเสบเฉียบพลันสามารถทำให้ผู้คนอาการโคม่าและเสียชีวิตในเวลาไม่กี่วัน ผมหวาดกลัวมากและคิดกับตัวเองว่า “สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับฉันไหม? ถ้าฉันตายแบบนี้จริงๆ ความเชื่อของฉันจะไม่สิ้นสุดลงหรือ? พี่น้องชายหญิงคนอื่นต่างสุขภาพดีกันทั้งนั้น ทำไมฉันถึงเป็นคนเดียวที่ป่วย? ทำไมฉันต้องเป็นคนที่แตกต่างจากคนอื่นด้วย?” ผมรู้สึกอิจฉาคนอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บ แถมยังทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสงบสุข พวกเขากำลังเตรียมความประพฤติดีและจะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า แล้วผมนี่ล่ะ ผมป่วย โดยที่ไม่รู้ว่าจะมีความสามารถที่จะกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้ ผมจะถูกทอดทิ้งและผลักเข้าสู่ความวิบัติไหม? ผมถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยเพราะความเชื่อของผม และยอมทิ้งอนาคตของผมในทางโลก ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อน แถมยังจากบ้านมาเพราะหน้าที่ ถ้าพระเจ้าจะทอดทิ้งและกำจัดผมอยู่ดี นั่นจะไม่แปลว่าทุกอย่างที่ผมทำเพื่อความเชื่อตลอดหลายปีมานี้เป็นเรื่องสูญเปล่าหรอกหรือ? ถ้าผมกลับบ้านไปตอนนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็จะจับผม ผมคงถูกจับกุมและติดคุกอย่างแน่นอน ความคิดพวกนี้ทำให้ผมผิดหวังและท้อแท้ลงไปเรื่อยๆ ผมสงสัยว่า “พระเจ้า พระองค์กำลังทรงใช้ความเจ็บป่วยเพื่อเปิดโปงและกำจัดข้าพระองค์หรือ?” ผมไม่สามารถหยุดน้ำตาที่รินไหลได้ ผมรู้สึกอ่อนแอมาก ไม่สนใจที่จะทำหน้าที่ของตัวเอง หรือทำอะไรอย่างอื่นเลย ผมถึงขั้นไม่อยากกินอะไรด้วยซ้ำ ผมเพียงแต่รู้สึกเหนื่อยล้าโดยสิ้นเชิง ผมไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยความเจ็บปวด และอธิษฐานว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์รู้สึกอ่อนแอและเจ็บปวดมาก ข้าพระองค์หยุดคิดเรื่องอนาคตของตัวเองไม่ได้ ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีบั้นปลายอีกต่อไป พระเจ้าที่รัก ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงอนุญาตให้ความเจ็บป่วยนี้เกิดขึ้นกับข้าพระองค์ ได้โปรดทรงให้ความรู้แจ้ง และทรงนำข้าพระองค์ให้ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด”
จากนั้น พระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด “สำหรับทุกผู้คน กระบวนการถลุงเป็นความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส และลำบากยากเย็นมากที่จะยอมรับ—ทว่าในระหว่างกระบวนการถลุงนี้นี่เองที่พระเจ้าทำให้พระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์เป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับมนุษย์ และทรงทำให้ข้อพึงประสงค์ของพระองค์เป็นที่รู้ทั่วกันสำหรับมนุษย์ และทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งมากขึ้น การจัดการและการตัดแต่งจริงที่มากขึ้น โดยผ่านทางการเปรียบเทียบข้อเท็จจริงกับความจริง พระองค์ทรงมอบความรู้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับพระองค์และความจริงให้แก่มนุษย์ และทรงมอบความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าให้แก่มนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์มีความรักที่จริงแท้ยิ่งขึ้นและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นต่อพระเจ้า นั่นคือจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการดำเนินกระบวนการถลุง และพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำในมนุษย์มีจุดมุ่งหมายและนัยสำคัญของมันเอง พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจซึ่งปราศจากความหมาย และพระองค์ไม่ทรงพระราชกิจซึ่งปราศจากผลประโยชน์ต่อมนุษย์ กระบวนการถลุงไม่ได้หมายถึงการเอาผู้คนไปจากเบื้องพระพักตร์พระเจ้า และไม่ได้หมายถึงการทำลายพวกเขาในนรก แต่ทว่าหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์ในระหว่างกระบวนการถลุง การเปลี่ยนแปลงเจตนาต่างๆ ของเขา ทรรศนะเก่าๆ ของเขา การเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อพระเจ้า และการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของเขา” (“มนุษย์สามารถมีความรักแท้จริงได้ โดยการได้รับประสบการณ์กับกระบวนการถลุงเท่านั้น” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พอได้ไตร่ตรองถึงพระวจนะเหล่านี้ ผมก็ได้เข้าใจว่าน้ำพระทัยอันดีของพระเจ้าดำรงอยู่ภายในอาการป่วยนี้ พระองค์กำลังทรงใช้สภาพแวดล้อมนี้เพื่อเปิดโปงความเสื่อมทรามของผมและช่วยให้ผมรู้จักตัวเองและเรียนรู้บทเรียน ผมนึกถึงการที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้การทดสอบเหล่านั้นเกิดขึ้นกับโยบ แม้เขาจะทนทุกข์จากความเจ็บปวดทางกาย พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงลงโทษเพื่อเอาชีวิตเขา แต่เพื่อทำให้ความเชื่อของเขาเพียบพร้อม และอนุญาตให้โยบได้รู้จักพระเจ้าดีขึ้น การที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ผมกลายเป็นเจ็บป่วย ไม่ใช่เพื่อเปิดโปงและกำจัดผม แต่เพื่อชำระล้างมลทินในความเชื่อของผมให้สะอาด รวมถึงทำให้ผมรักและเชื่อฟังพระองค์อย่างแท้จริง ผมกล่าวโทษพระเจ้าไม่ได้ แต่ผมต้องตรวจสอบแรงจูงใจผิดๆ เบื้องหลังความเชื่อของผม รวมถึงผมไม่เชื่อฟังและต่อต้านพระเจ้าในทางไหนบ้าง พอได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ผมก็รู้สึกในเชิงบวกมากขึ้น ผมกล่าวคำอธิษฐานต่อพระเจ้าอีกครั้ง สงบตัวเอง และทบทวนตัวเองอย่างเหมาะสม
ในการแสวงหา ผมได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า “ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้รักษาพวกเขาเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้ใช้ฤทธานุภาพของเราขับวิญญาณสกปรกออกจากร่างของพวกเขาเท่านั้น และผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงแค่ว่าพวกเขาอาจจะได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดีจากเรา ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อเรียกร้องทรัพย์สมบัติทางวัตถุจากเราให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตนี้อย่างสันติสุขและเพื่อที่จะอยู่อย่างปลอดภัยคลายกังวลในโลกที่จะมาถึง ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์จากนรกและเพื่อได้รับพรจากสวรรค์ ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อสิ่งชูใจชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ได้พยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใดในโลกที่จะมาถึง เมื่อเราได้ปล่อยความโกรธเคืองต่อมนุษย์ของเราออกมาและได้ยึดเอาความชื่นบานยินดีและสันติสุขที่พวกเขาเคยมีไป มนุษย์ก็กลับคลางแคลงใจ เมื่อเราได้ให้ความทุกข์จากนรกแก่มนุษย์และได้เอาพรจากสวรรค์กลับคืน ความละอายของมนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ เมื่อมนุษย์ได้ขอให้เรารักษาเขา แต่เราไม่ได้ให้ความสนใจและรู้สึกชิงชังต่อเขา มนุษย์ได้ออกห่างจากเราเพื่อแสวงหาวิธีการของยาและวิทยาคมอันชั่วร้ายแทน เมื่อเราได้เอาทุกอย่างที่มนุษย์เรียกร้องจากเรากลับไป ทุกคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ เราจึงบอกว่ามนุษย์มีความเชื่อในเราเพราะเราให้พระคุณมากเกินไป และมีมากเกินไปที่จะได้รับ” (“เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) “สัมพันธภาพของมนุษย์กับพระเจ้านั้นเป็นแค่สัมพันธภาพแห่งผลประโยชน์ของตนเองอย่างไม่มีอะไรปิดบัง เป็นสัมพันธภาพระหว่างผู้รับกับผู้ให้พร กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ คล้ายกับสัมพันธภาพระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ลูกจ้างทำงานเพียงเพื่อได้รับสินจ้างรางวัลที่นายจ้างมอบให้ ไม่มีเสน่หาใดเลยในสัมพันธภาพเช่นนี้ มีเพียงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเท่านั้น ไม่มีการให้ความรัก หรือการได้รับความรัก มีเพียงการแบ่งปันและความปรานี ไม่มีความเข้าใจ มีเพียงความขัดเคืองคับข้องที่ถูกเก็บกดเอาไว้และความหลอกลวงเท่านั้น ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนม มีเพียงช่องว่างทางความนึกคิดที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้เท่านั้น” (“มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พอได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ตระหนักได้ว่า ในความเชื่อ ผมไม่เคยปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะพระเจ้าเลย ผมนึกถึงพระเจ้าแค่ในฐานะเครื่องแจกจ่ายพระพรเท่านั้น เพราะเหตุนั้น ตอนที่ผมป่วย ความคิดแรกของผมจึงเป็นความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคต และคิดว่าผมจะอาการดีขึ้นหรือไม่ แถมผมยังเข้าโลกออนไลน์ไปค้นหาเกี่ยวกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ รวมถึงวิธีรักษา ผมเสียความสนใจในการทำหน้าที่ของตัวเองไปจนหมด พออาการแย่ลง ผมก็โทษพระเจ้าที่ทรงไม่ยุติธรรม ที่ไม่ทรงคุ้มครองผม ทรงอนุญาตให้ผมเจ็บป่วย และผมถึงกับเสียใจที่ยอมทิ้งการเรียน ครอบครัว และวัยเยาว์มาเพื่อหน้าที่ด้วยซ้ำ พอได้ทบทวนตัวเอง ผมก็สงสัยว่า “ตลอดหลายปีของความเชื่อนี้ ฉันยอมทิ้งทุกอย่างมาเพื่อทำหน้าที่ได้อย่างไร?” ผมตระหนักได้ว่า มันเป็นเพราะผมมีมุมมองที่ผิด ผมคิดว่า ตราบใดที่ผมเสียสละเพื่อพระเจ้า และทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี พระเจ้าก็ควรให้พระพรผม ควรรักษาอาการป่วยของผม และทำให้ผมปลอดภัยจากอันตราย แล้วผมก็คงรอดพ้นจากความวิบัติและไม่ตาย ผมคงรอดชีวิต ได้มีจุดหมายและบั้นปลายที่ดี นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ผมเต็มใจจะทนทุกข์และยอมลำบากในการทำหน้าที่ของผม แรงจูงใจสำหรับการเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของผม คือได้รับพระพร พออาการป่วยของผมเกิดร้ายแรงขึ้นมา ความหวังที่จะได้รับพระพรก็ถูกทำลาย และความแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง และแรงจูงใจในการทำหน้าที่ของผมก็หายไป ผมถึงกับโต้แย้งกับพระเจ้าในหัวใจ ผมตระหนักได้ว่า ผมเพียงแต่แสวงหาพระพรในความเชื่อเท่านั้น พอป่วย ผมก็คิดถึงแค่ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของผมเอง และพิจารณาถึงผลประโยชน์ส่วนตัว—ผมไม่ได้แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าเลย แต่ถึงกับกล่าวโทษพระเจ้า เข้าใจพระเจ้าผิด และทรยศพระองค์ ผมช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจสิ้นดี! ความคิดของผมทั้งหมดนี้ ทำให้พระเจ้าทรงเจ็บปวดและผิดหวังอย่างยิ่ง ข้อเท็จจริงแสดงให้ผมเห็นว่า ความเชื่อของผมไม่ใช่การทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง หรือไล่ตามเสาะหาความจริง มันแค่เพื่อให้มีชีวิตที่สงบสุข และมีจุดหมายและบั้นปลายที่ดี ผมต้องการเอาความทุกข์ของตัวเองไปแลกเปลี่ยนกับพระเจ้า เป็นรางวัลและพระพรในอนาคต ผมไม่ได้ใช้พระเจ้าและพยายามโกงพระองค์อยู่หรอกหรือ? เปาโลทำงานหลายปีและทนทุกข์มามาก สุดท้ายเขาก็กลายเป็นคนที่ได้ยอมพลีชีพ แต่เขาไม่ได้ทำงานเพื่อทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เขาทำไปเพื่อให้ได้รับบำเหน็จและได้สวมมงกุฎ ในที่สุดผมก็เข้าใจ ว่าผมกำลังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกับเปาโล พระเจ้าทรงบริสุทธิ์และชอบธรรม พระองค์จะทรงอนุญาตให้คนที่แน่วแน่ในการต่อรอง และแน่วแน่ในการโกงพระองค์อย่างผม เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้อย่างไร? พอได้ไตร่ตรองถึงเรื่องนี้ ในที่สุดผมก็ได้เข้าใจ ว่าอาการป่วยนี้ที่ผมเผชิญอยู่ตอนนี้ คือการเปิดโปงสิ่งจูงใจของผมที่จะได้รับพระพร หากไม่มีการทดสอบนี้ ผมคงยังเป็นคนที่ไม่ตระหนักรู้ถึงทุกแรงจูงใจและมลทินในความเชื่อของผม และคงไม่รู้ว่าผมกำลังเดินบนเส้นทางเดียวกับเปาโล เส้นทางที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษ พอคิดได้แบบนี้ ผมก็ไม่รู้สึกเสียใจที่ประสบกับโรคภัยไข้เจ็บ แต่กลับขอบคุณพระเจ้า สำหรับการเปิดโปงและช่วยผมให้รอดในทางนี้ แม้ผิวเผินมันคือโรคภัยไข้เจ็บ คือสิ่งที่ไม่ดี แต่ความรักและความรอดแท้จริงของพระเจ้าสำหรับผม ก็ถูกซ่อนอยู่ในนั้น พระเจ้ากำลังทรงนำผมสู่เส้นทางแห่งความเชื่อที่ถูกต้อง เพื่อชำระล้างมลทินทั้งหลายในความเชื่อของผมให้สะอาด
เมื่อผมใคร่ครวญถึงเรื่องทั้งหมด ผมก็คิดกับตัวเองว่า “พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และกำลังทรงแสดงความจริงเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์ทรงเสียสละมอบชีวิตให้เรา และไม่ขออะไรตอบแทน” ผมได้รู้สึกว่า พระทัยของพระเจ้านั้นงดงามและแสนดีแค่ไหน แล้วผมก็นึกถึงตัวเอง ที่ชื่นชมกับพระคุณและพระพรของพระเจ้า ได้รับการรดน้ำและค้ำชูอย่างมากจากพระวจนะของพระเจ้า แต่กลับไม่คิดถึงการตอบแทนความรักของพระเจ้าเลย แถมพยายามต่อรองกับพระเจ้าในหน้าที่ของผม และเมื่อป่วย ผมก็กล่าวโทษและเข้าใจพระเจ้าผิด พอคิดแบบนี้ ผมก็รู้สึกละอายใจและอับอายมาก ผมเกลียดที่ตัวเองเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจเหลือเกิน! พระเจ้ากำลังทรงพินิจพิเคราะห์ความคิดที่ลึกที่สุดของผมอยู่ตลอด ขณะที่ซาตานก็กำลังจับตาดูว่าผมทำตัวอย่างไร ผมจะเป็นตัวตลกของซาตานไม่ได้ ผมต้องยืนหยัดเคียงข้างพระเจ้า นบนอบต่อการทรงจัดการเตรียมการของพระองค์ และเรียนรู้บทเรียนให้ดี จากนั้น ผมได้เอ่ยคำอธิษฐานต่อพระเจ้า บอกว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการปล่อยวางความปรารถนาต่อพระพร และไม่คิดเรื่องอนาคตของข้าพระองค์อีกต่อไป ไม่ว่าข้าพระองค์จะดีขึ้นหรือไม่ ข้าพระองค์ก็ต้องการเชื่อฟังและยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระองค์ เพื่อทำให้ซาตานอับอาย” หลังจากอธิษฐานผมรู้สึกสงบขึ้นมาก และไม่คิดมากเรื่องของตัวเองอีกต่อไป จากนั้น ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “พระเจ้าทรงให้พวกเรามีชีวิต ดังนั้นพวกเราก็ควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราให้ดี ในแต่ละวันที่พวกเรามีชีวิตก็คือหน้าที่ที่พวกเราต้องปฏิบัติในวันหนึ่งๆ พวกเราควรคำนึงถึงพระบัญชาของพระเจ้าเสมือนเป็นกิจที่สำคัญที่สุดของพวกเรา และกระทำหน้าที่ของพวกเราราวกับว่าหน้าที่เหล่านั้นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต แม้ว่าพวกเราอาจไม่ได้ไล่ตามเสาะหาการทำหน้าที่ของพวกเราให้สำเร็จบริบูรณ์อย่างสมบูรณ์แบบ แต่พวกเราก็กระทำโดยสอดคล้องกับมโนธรรมของพวกเรา ทิ้งให้ซาตานไร้ความสามารถที่จะยัดเยียดข้อกล่าวหาทั้งหลายให้พวกเรา และโดยปราศจากความรู้สึกผิดแห่งมโนธรรม พวกเราอาจมาทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและไม่มีความเสียใจแต่อย่างใด นี่คือท่าทีซึ่งผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรใช้ในการคำนึงถึงหน้าที่ของพวกเขา” (“ห้าสภาวะที่จำเป็นต่อการอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในความเชื่อของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ผมไม่รู้ว่าผมจะดีขึ้นหรือไม่ แต่สิ่งที่ผมทำได้ คือยึดมั่นต่อหน้าที่ที่พระเจ้าประทานให้ผม หลังจากนั้นผมก็ไม่ถูกโรคภัยไข้เจ็บฉุดรั้ง และมีความสามารถที่จะทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสุดหัวใจ
ต่อมา ผมกลับไปที่โรงพยาบาลเพื่อสอบถามเรื่องโรคภัยไข้เจ็บของผม หมอบอกว่าผมสบายดี และการทำงานของตับของผมก็เป็นปกติ เลือดของผมติดเชื้ออยู่มาก แต่ทุกอย่างเรียบร้อยดี หมอตั้งใจบอกผมว่าไม่ต้องกังวล และบอกว่าผมแค่ต้องได้รับการรักษาตามแนวทางปกติ ตอนที่หมอพูดอย่างนี้ ผมก็อดขอบคุณพระเจ้าอยู่ในหัวใจไม่ได้เลย! ผมรู้สึกว่า พระเจ้าทรงมีพระเมตตากับผม ผมช่างเห็นแก่ตัวและใจร้าย แสวงหาเพียงที่จะได้รับผลกำไร ต้องการสิ่งตอบแทนจากพระเจ้าสำหรับการทำหน้าที่บางอย่าง โกงพระเจ้า และทำให้พระองค์ทรงขยะแขยง แต่พระองค์กลับทรงมองข้ามความเป็นกบฏของผม พระองค์ทรงใช้พระวจนะเพื่อให้ความรู้แจ้งและทรงนำผมให้ได้รับประสบการณ์พระราชกิจของพระองค์ เพื่อให้ผมได้มารู้ถึงแรงจูงใจและทรรศนะผิดๆ ในความเชื่อของผม ผมรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่แค่ไหน! หลังจากนั้น ผมก็ทุ่มเททุกสิ่งให้กับการทำหน้าที่ ผมคิดว่า ผมได้เรียนรู้บทเรียนบางอย่างโดยผ่านทางการก้าวผ่านโรคภัยไข้เจ็บนี้ และว่าวุฒิภาวะของผมก็โตขึ้นนิดหน่อยครับ ผมจึงประหลาดใจที่ถูกเปิดโปงอีกครั้ง เมื่อพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการบททดสอบให้ผม
หนึ่งเดือนต่อมา ผู้นำได้ขอให้ผมไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายอีกครั้ง เธอบอกว่าถ้าโรคภัยไข้เจ็บของผมติดต่อกันง่ายมาก ผมคงต้องไปใช้ชีวิตลำพังให้ห่างไกลจากคนอื่น การได้ยินเธอพูดแบบนี้ เป็นสิ่งที่น่าอึดอัดใจมาก ราวกับหินก้อนใหญ่ทับลงมาบนหน้าอก จิตใจของผมเริ่มปั่นป่วน “ถ้าฉันถูกกันออกจากคนอื่น ฉันก็จะไม่สามารถไปชุมนุมหรือใช้ชีวิตในคริสตจักรได้ แล้วถ้าวันหนึ่งฉันเกิดป่วยหนักและไม่มีใครรู้เลย ฉันจะทำอย่างไร? พอความวิบัติครั้งใหญ่มาถึง พี่น้องชายหญิงก็สามารถรวมตัวกันสามัคคีธรรม ช่วยเหลือและสนับสนุนกันได้ แต่ฉันจะอยูเพียงลำพังแค่ตัวคนเดียว ฉันจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ไหม?” ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ผมก็ยิ่งหดหู่ ผู้นำได้สามัคคีธรรมกับผม และบอกให้ผมเรียนรู้ที่จะนบนอบต่อกฎของพระเจ้า เธอบอกว่าผมต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในสถานการณ์นี้ให้มากขึ้น และทำเหมือนโยบ คือสรรเสริญพระเจ้าไม่ว่าผมได้พบกับพระพรหรือหายนะก็ตาม การได้ยินคำนี้กระตุ้นใจผม และผมก็นึกถึงประสบการณ์ครั้งก่อนของตัวเองขึ้นมา ผมตระหนักได้ว่า การนี้ได้รับการทรงอนุญาตจากพระเจ้าแล้ว และสิ่งที่ผมจำเป็นที่จะต้องทำก่อนอื่นก็คือนบนอบ จากนั้น ผมก็ดูวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “โยบไม่ได้สนทนาเรื่องการค้ากับพระเจ้า และไม่ได้ทำการเรียกร้องหรือการร้องขอใดๆ จากพระเจ้า การที่เขาสรรเสริญพระนามของพระเจ้านั้นเป็นเพราะฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เขาได้รับพระพรหรือประสบกับความวิบัติหรือไม่ เขาเชื่อว่าไม่ว่าพระเจ้าทรงอวยพรผู้คนหรือทรงนำความวิบัติมาสู่พวกเขาก็ตาม ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง และด้วยเหตุนี้ ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมของบุคคลจะเป็นอย่างไร พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ การที่มนุษย์ได้รับพรจากพระเจ้าเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า และเมื่อความวิบัติเกิดขึ้นกับมนุษย์ ดังนั้น มันก็เป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจัดการเตรียมการและปกครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับโชควาสนาของมนุษย์เป็นการสำแดงถึงฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้า และไม่ว่าทัศนคติของคนเราจะเป็นอย่างไร พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ นี่คือสิ่งที่โยบได้รับประสบการณ์และได้มารู้ในช่วงระหว่างหลายปีแห่งชีวิตของเขา ความคิดและการกระทำทั้งหมดของโยบได้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าและได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าสำคัญ พระเจ้าทรงเชิดชูความรู้ของโยบนี้ และทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของโยบเนื่องจากการมีหัวใจเช่นนี้ หัวใจนี้รอคอยพระบัญชาของพระเจ้าอยู่เสมอ และในทุกที่ และไม่สำคัญว่าเป็นเวลาหรือสถานที่ใด มันยินดีต้อนรับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ตาม โยบไม่ทำการร้องขอใดๆ ต่อพระเจ้า สิ่งที่เขาร้องขอต่อตัวเขาเองคือให้รอคอย ยอมรับ เผชิญหน้า และเชื่อฟังทั้งหมดจากการจัดการเตรียมการที่มาจากพระเจ้า โยบเชื่อว่านี่เป็นหน้าที่ของเขา และมันเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์อย่างแน่นอน” (“พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ขณะที่ดูวิดีโอนี้ ผมก็รู้สึกละอายแก่ใจมากๆ การที่โยบสดุดีพระนามของพระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงคำพูดว่างเปล่า การสรรเสริญของเขามาจากก้นบึ้งของหัวใจ โยบรู้ถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า พระมหิทธิฤทธิ์และอำนาจอธิปไตยของพระองค์ เขาจึงยำเกรงพระเจ้าอยู่ในหัวใจ และปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะพระเจ้าได้อย่างแท้จริง นั่นคือ เหตุผลที่เขาไม่ได้พร่ำบ่นหรือต้องการสิ่งใด ไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการสิ่งใดมาก็ตาม โยบไม่ได้พยายามต่อรองกับพระเจ้า เขาแค่เชื่อฟัง ไม่ว่าจะพบกับพระพรหรือหายนะก็ตาม เขาถือว่าการเชื่อฟังพระเจ้านั้นสำคัญกว่าชีวิตของตน ผมนึกถึงตัวเองขึ้นมา ทำไมผมถึงพยายามต่อรองกับพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไล่ตามเสาะหาพระพรอย่างหัวชนฝา? เพราะพระเจ้าไม่ได้มีที่ในหัวใจผมเลย และผมก็ไม่ยำเกรงพระเจ้าในหัวใจ ผมให้ความสำคัญกับอนาคตและการได้รับพระพรมากเกินไป และนั่นคือเหตุผลที่ในยามเจ็บป่วยผมไม่นบนอบต่อพระเจ้าเลย ผมชื่นชมกับพระพรบางประการได้โดยพระคุณของพระเจ้า และมันเป็นกฎของพระเจ้าที่นำโรคภัยไข้เจ็บนี้มาสู่ผม พูดได้ว่าพระเจ้าได้ประทานทุกสิ่งที่ผมมี ดังนั้น ถ้าพระองค์จะทรงเอาทั้งหมดกลับคืน นั่นก็เป็นความชอบธรรมของพระเจ้าเช่นกัน! อะไรทำให้ผม ผู้ซึ่งต่ำต้อยกว่ามด มีคุณสมบัติที่จะโต้แย้งพระเจ้าได้? ดังนั้น ผมจึงตั้งมั่นกับพระเจ้าว่าผมจะยินดีนบนอบต่อการทรงจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ หากผมต้องปลีกตัวออกจากคนอื่นๆ มันก็จะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงวางผมไว้ตรงไหน แม้ว่าหายนะมาเยือน ผมก็จะไม่บ่น ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ผมก็จะทำหน้าที่เพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า ต่อมา ผมไปที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย ระหว่างทางไปที่นั่นผมรู้สึกวิตกนิดหน่อย ผมได้แต่อธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่ในหัวใจและ ใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์ การขี่จักรยานไปโรงพยาบาลคราวนั้นง่ายดายมากๆ พอผมไปถึง หมอก็บอกว่า “ยินดีด้วยครับ! เมื่อเดือนที่แล้ว คุณมีเชื้อไวรัสอยู่หนึ่งพันเจ็ดร้อยล้านเซลล์ต่อเลือดหนึ่งมิลลิลิตร ตอนนี้เหลือแค่ 560,000 เซลล์ และคุณก็ไม่ได้ติดเชื้อมากแล้ว” เขายังบอกด้วยว่า การเห็นมันลดลงขนาดนี้ในเวลาแค่เดือนเดียวนั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน พอได้ยินแบบนี้ ผมก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างผม ทรงปกครองและจัดการเตรียมการทุกสรรพสิ่ง ช่างวิเศษและสัมพันธ์กับชีวิตจริงแค่ไหน!
การก้าวผ่านโรคภัยไข้เจ็บนี้ ทำให้ความปรารถนาต่อพระพร และแรงจูงใจอันน่ารังเกียจของผมชัดแจ้งขึ้นมา ผมได้เข้าใจถึงทรรศนะต่อการไล่ตามเสาะหาแบบผิดๆ ที่ผมมี รวมถึงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเองขึ้นบ้าง ผมยังได้มีความซาบซึ้งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในอำนาจอธิปไตยของพระเจ้าอีกด้วย ทั้งหมดล้วนมาจากการประสบกับการพิพากษาและการตีสอน ตอนนี้ผมไม่คิดว่าเมื่อไหร่ผมจะหายขาดจากโรคตับอักเสบแล้ว ผมแค่อยากนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีในท่ามกลางสถานการณ์นี้ ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ฉิว เจิน, ประเทศจีน เวลาประมาณตีห้า วันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ฉันกำลังออกไปร่วมการชุมนุม แล้วฉันก็เห็นรถเก๋งสีดำจอดอยู่ที่ริมถนน จู่ๆ...
โดย หยางฟาน, ประเทศจีน ปี 2019 ฉันเริ่มทำหน้าที่ผู้นำ ฉันรู้ว่านี่คือการทรงยกชูของพระเจ้า ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดี จากนั้น...
โดย จูดี้ ฟิลิปปินส์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2021 ฉันให้น้ำผู้มาใหม่ในคริสตจักร พี่น้องชายเจเรมีกำกับดูแลงานของพวกเรา...
โดย สี่ น่อ, ประเทศจีน เดือนสิงหาคม 2019 พี่ลิน ผู้นำของคริสตจักรหนึ่ง เขียนจดหมายลาออก ผู้นำฉันจัดการให้ฉันไปตรวจสอบที่คริสตจักรนี้...