ผลที่เก็บเกี่ยวได้โดยผ่านทางโรคภัยไข้เจ็บ

วันที่ 28 เดือน 01 ปี 2021

โดย จางลี่ ประเทศจีน

ปี 2007 เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตของฉัน ในปีนั้น สามีของฉันประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ลูกสองคนของเราก็ยังเล็ก มันเป็นช่วงที่ยากลำบากสำหรับครอบครัวของเรา เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับฉัน และฉันก็ไม่รู้เลยว่าเราจะผ่านมันไปได้อย่างไร ต่อมา ฉันได้ยอมรับในพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันได้เรียนรู้จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ว่าเราทุกคนต่างติดหนี้ชีวิตพระเจ้า ชะตากรรมของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ เราต้องนมัสการและเชื่อในพระเจ้า จะได้มีโชคชะตาที่ดี ฉันรู้สึกว่าฉันได้พบสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ นับจากนั้น ฉันก็เริ่มเข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำ แถมยังพาลูกๆ ไปอ่านพระวจนะของพระเจ้าและอธิษฐานด้วย ในไม่ช้า ฉันก็ได้ทำหน้าที่ในคริสตจักร

ภายหลัง ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร และฉันก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณของพระองค์ ฉันคิดกับตัวเองว่า “ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ถึงแม้ฉันจะใหม่ในความเชื่อมากๆ ก็ตาม ฉันต้องเก่งในการไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ไม่ว่าจะแลกมาด้วยอะไรก็ตาม แล้วฉันก็จะได้รับการช่วยให้รอดแน่ๆ” ความคิดนี้ทำให้ฉันมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ของตัวเองมาก ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการประกาศข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ของฉัน บรรดาญาติมิตรของฉันต่อต้านความเชื่อนี้ แถมเพื่อนบ้านก็ใส่ร้ายป้ายสีและหัวเราะเยาะฉัน ถึงจุดนั้นฉันเริ่มอ่อนแอลง แต่มันก็ไม่ได้หยุดฉันจากการทำหน้าที่ ต่อมา สามีของฉันก็ยอมรับพระราชกิจยุคสุดท้ายของพระเจ้า และเริ่มทำหน้าที่ของเขาเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้ฉันมีความสุขมาก ฉันคิดว่า “ตราบใดที่เราทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีและทำการพลีอุทิศเพื่อพระเจ้า เราก็จะได้รับพระพรจากพระองค์” โดยเฉพาะเวลาที่ฉันได้ยินพี่น้องชายหญิงบอกว่า ฉันทนทุกข์และยอมลำบาก บอกว่าพระเจ้าจะทรงช่วยให้ฉันรอดแน่นอน ฉันก็มีความสุขมาก และมีแรงผลักดันที่จะทำงานเพื่อพระเจ้ามากขึ้น

วันหนึ่งในปี 2012 ฉันเจอก้อนเนื้อที่หน้าอก ซึ่งเจ็บนิดหน่อย ฉันเริ่มกังวลว่ามันอาจเป็นอะไรร้ายแรง แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ไม่หรอก ไม่มีทาง ฉันทำหน้าที่ของตัวเองในคริสตจักรทุกวัน พระเจ้าคงไม่ทรงทำแบบนั้นกับคนที่พลีอุทิศอย่างแท้จริงเพื่อพระองค์หรอก ด้วยการทรงคุ้มครองของพระเจ้า ฉันก็จะไม่ป่วยร้ายแรง” พอคิดแบบนี้ ความวิตกกังวลของฉันก็หายไป และฉันก็ทำหน้าที่ของตัวเองต่อ อย่างที่เคยทำมา ในปี 2013 การข่มเหงผู้เชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเลวร้ายลงเรื่อยๆ ฉันกับสามีเป็นที่รู้จักดีในท้องถิ่นเรื่องการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และเราเสี่ยงจะถูกจับอยู่เสมอ เราออกจากบ้านของเรา และย้ายไปอยู่ไกลๆ เพื่อที่จะทำหน้าที่ต่อได้ ต่อมา ฉันพบว่าก้อนเนื้อที่หน้าอกกำลังโตขึ้น และฉันก็กังวลว่ามันคงเป็นโรคอะไรสักอย่าง แต่ฉันก็คิดถึงการที่ไม่มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นตลอดหลายปี และคิดว่าพระเจ้ากำลังทรงคุ้มครองฉันอยู่แน่ๆ ตราบใดที่ฉันทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีและพลีอุทิศให้มากขึ้น ฉันก็คิดว่า พระเจ้าคงจะทรงเมตตากับฉัน และฉันคงไม่เจ็บป่วยร้ายแรงอะไร

ในปี 2018 ฉันเริ่มรู้สึกไม่สบาย และสามีได้พาฉันไปตรวจร่างกายดู หมอบอกว่า ก้อนเนื้อที่หน้าอกของฉันโตขึ้นจนใหญ่เท่าไข่ห่าน และมันดูไม่ดีนัก เธอบอกว่าการผ่าตัดทันทีจะเสี่ยงมากๆ และบอกว่าฉันต้องทำคีโมก่อนเพื่อให้ก้อนเนื้อหดเล็กลง พวกเขาถึงจะผ่าตัดได้ พอได้ยินคำว่า “มันดูไม่ดี” และ “เคมีบำบัด” มันก็ทำให้ฉันขวัญเสีย ฉันคิดว่า “มีแค่คนที่เป็นมะเร็งเท่านั้นที่ทำคีโม ฉันเป็นโรคมะเร็งหรือ? ฉันกำลังจะตายตั้งแต่ยังสาวเช่นนั้นหรือ?” ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ฉันทรุดตัวลงบนม้านั่งตรงทางเดินในโรงพยาบาล และปล่อยโฮออกมา

สามีพยายามจะปลอบใจฉัน บอกว่า “การตรวจเบื้องต้นนี่ ไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะพาคุณไปตรวจซ้ำที่อีกโรงพยาบาลนะ”

วันต่อมา เราไปที่อีกโรงพยาบาลหนึ่งและฉันถูกตรวจชิ้นเนื้อ คุณหมอบอกกับสามีของฉัน ว่าอาการของฉันร้ายแรง และมันอาจเป็นโรคมะเร็งก็ได้ เขาบอกว่าเรารอต่อไปไม่ได้แล้ว ฉันต้องเข้ารับการผ่าตัดในอีกสองวันข้างหน้า

ฉันหมดแรงไปเลยจริงๆ ตอนได้ยินเขาพูดคำนี้ และหัวใจของฉันกลายเป็นน้ำแข็งเลย ฉันคิดว่า “ใช่มะเร็งจริงๆ หรือ? ผู้คนตายเพราะมะเร็งนะ! เรื่องนี้เกิดขึ้นกับฉันได้อย่างไร?” แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ไม่มีทาง ฉันทำหน้าที่ พลีอุทิศ ทนทุกข์และยอมลำบากมาตลอดตั้งแต่มาเป็นผู้เชื่อ ฉันสู้ทนต่อการถูกหัวเราะเยาะและถูกใส่ร้ายป้ายสีจากคนอื่น ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนข่มเหงและไล่ล่า ฉันไม่เคยปล่อยให้อะไรเข้ามาแทรกแซงหน้าที่ของตัวเองเลย แล้วฉันจะเป็นมะเร็งได้อย่างไร? มันไม่ได้หมายความว่า ฉันหมดสิ้นความหวังของการได้รับการช่วยให้รอดและการเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์แล้วเช่นนั้นหรือ? ทุกการพลีอุทิศตลอดหลายปีของฉันสูญเปล่าเช่นนั้นหรือ?” ฉันผิดหวังสุดๆ

คืนนั้นฉันนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง หลับไม่ลงเลยแม้แต่พริบตาเดียว ฉันแค่คิดไม่ตก ฉันสละตัวเองมามาก แล้วฉันจะป่วยหนักแบบนี้ได้อย่างไร? ทำไมพระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองฉัน? แล้วฉันก็นึกถึงการผ่าตัดในอีกสองวันข้างหน้า ฉันไม่รู้เลยว่ามันจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า…ฉันทรมานอย่างถึงที่สุด ก็เลยอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ ว่า “พระเจ้าที่รัก ตอนนี้ข้าพระองค์ทุกข์ใจเหลือเกิน ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร ได้ โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและนำข้าพระองค์ทีเถิด…” จากนั้น ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในข้อพึงประสงค์สุดท้าย 11 ประการของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ “5. หากเจ้าจงรักภักดีอย่างมากมาโดยตลอด มีความรักมากมายให้เรา กระนั้นเจ้าก็ยังทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ ความยากจน และการทอดทิ้งของเพื่อนๆ และญาติๆ ของเจ้า หรือหากเจ้าทนฝ่าโชคร้ายอื่นใดในชีวิต ความจงรักภักดีและความรักของเจ้าที่มีต่อเราจะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่? 6. หากสิ่งที่เราได้ทำไม่ตรงกับสิ่งที่เจ้าได้จินตนาการไว้ในหัวใจของเจ้าเลยสักอย่าง เจ้าจะเดินตามเส้นทางอนาคตของเจ้าอย่างไร? 7. หากเจ้าไม่ได้รับสิ่งใดเลยจากสิ่งต่างๆ ที่เจ้าหวังไว้ว่าจะได้รับ เจ้าจะสามารถเป็นผู้ติดตามของเราต่อไปได้หรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (2)) พอคิดใคร่ครวญถึงข้อพึงประสงค์เหล่านี้ ฉันก็ตระหนักได้ ว่าการเจ็บป่วยนี้ คือพระเจ้ากำลังประทานการทดสอบแก่ฉัน และทรงทดสอบเพื่อดูว่าฉันจงรักภักดีและรักพระองค์อย่างแท้จริงหรือไม่ ฉันนึกถึงตอนที่โยบประสบกับการทดสอบของเขา เขาเสียทรัพย์สิน เสียลูกๆ และมีตุ่มหนองขึ้นทั่วตัว ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า เขาก็เลือกสาปแช่งตัวเองมากกว่ากล่าวโทษพระเจ้า และเขาได้สดุดีพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้า โยบยังคงเชื่อในพระเจ้าต่อไปและยังคงเชื่อฟัง และเขาก็ได้ยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้าต่อหน้าซาตาน แต่ฉันเชื่อมาตั้งหลายปี และได้ชื่นชมกับบทบัญญัติมากมายจากพระวจนะของพระเจ้า ทว่าฉันกลับไม่เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าเลย ตอนที่ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ฉันคิดว่าฉันคงไม่ได้รับการช่วยให้รอด หรือไม่ได้ชื่นชมกับพระพรแห่งอาณาจักรสวรรค์ ฉันเข้าใจพระเจ้าผิดและกล่าวโทษพระองค์ การเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี และได้ทำการพลีอุทิศมากมายนั้น ฉันคิดว่าพระเจ้าก็ควรยับยั้งไม่ให้การป่วยเกิดกับฉัน มีเพียงตอนที่พระเจ้าเปิดโปงฉันนั้นเอง ฉันถึงได้เห็นว่าทุกการพลีอุทิศของฉัน ไม่ได้เกิดจากการพิจารณาน้ำพระทัยของพระองค์ หรือเพื่อปฏิบัติความจริงและทำให้พระเจ้าพอพระทัย การพลีอุทิศเป็นไปเพื่อพระพรและเพื่อได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์—ฉันทำข้อตกลงกับพระเจ้า ทุกสิ่งที่เรียกว่าความจงรักภักดีและความรักต่อพระเจ้าของฉันเป็นเพียงเรื่องแต่ง มันไม่ได้จริงใจสักนิด และฉันไม่ได้มีคำพยานในการทดสอบเลย ฉันทำให้พระเจ้าทรงเจ็บปวดและผิดหวังจริงๆ

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า “จากมวลมนุษย์ทั้งหมด ใครบ้างที่ไม่ได้รับการใส่พระทัยในสายพระเนตรขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? ใครบ้างไม่ได้ใช้ชีวิตท่ามกลางการทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? ชีวิตและความตายของมนุษย์เกิดขึ้นโดยตัวเลือกของพวกเขาเองกระนั้นหรือ? มนุษย์ควบคุมชะตากรรมของเขาเองหรือ? ผู้คนมากมายร้องเรียกหาความตาย กระนั้นความตายก็อยู่ไกลจากพวกเขา ผู้คนมากมายต้องการที่จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งในชีวิตและกลัวความตาย กระนั้นวันแห่งความตายของพวกเขาก็ใกล้มาถึง และผลักพวกเขาสู่หุบเหวแห่งความตายโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวเลย ผู้คนมากมายมองไปบนผืนฟ้าทั้งหลายและหายใจออกยาวๆ ผู้คนมากมายร้องสะอึกสะอื้นคร่ำครวญเสียงดัง ผู้คนมากมายตกลงท่ามกลางการทดสอบ และผู้คนมากมายกลายเป็นนักโทษของการทดลอง ถึงแม้ว่าเราไม่ปรากฏในสภาวะบุคคลเพื่อให้มนุษย์สามารถมองเห็นเราได้อย่างชัดเจน แต่ผู้คนมากมายก็ยำเกรงการเห็นใบหน้าของเรา กลัวอยู่ลึกๆ ว่าเราจะบดขยี้พวกเขาจนคว่ำลงไป ว่าเราจะดับชีพพวกเขา มนุษย์รู้จักเราอย่างแท้จริง หรือพวกเขาไม่รู้จักเรากันแน่?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 11) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นว่า เนื้อหนังและจิตวิญญาณของมนุษย์มีจุดกำเนิดมาจากพระเจ้า ชีวิตและความตายอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินอะไรทั้งสิ้น ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เราควรนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า พอตระหนักได้แบบนี้ ฉันก็ไม่รู้สึกกลัวการตายอีกต่อไป ฉันตั้งปณิธาณอย่างเงียบๆ ว่า “ไม่ว่าการผ่าตัดของฉันจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าฉันจะอยู่หรือตาย ฉันก็มอบชีวิตของตัวเองไว้กับพระเจ้า และนบนอบต่อกฎของพระองค์”

เมื่อฉันนบนอบแล้ว ฉันก็รู้สึกถึงคลื่นความสงบลูกใหญ่ในหัวใจ ในขณะที่ถูกนำตัวไปยังห้องผ่าตัด ฉันอธิษฐานไปตลอดทาง ต่อมา หมอก็บอกว่าการผ่าตัดเป็นไปด้วยดีมากๆ แต่ ก้อนเนื้อที่ถูกตัดออกไปยังต้องเอาไปทดสอบอยู่ จะได้รู้ว่าสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไรบ้าง ฉันคิดว่า “การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีเพราะพระเจ้ากำลังทรงคุ้มครองฉันอยู่” ฉันเห็นผู้ป่วยอีกคนที่กลับมาจากการผ่าตัด ดูอ่อนแอและมึนงงมาก ขณะที่ฉันนั้นรู้สึกสบายๆ และมีกำลังใจดี ผู้ป่วยคนอื่นๆ ในวอร์ดบอกว่าฉันดูไม่เหมือนคนที่ผ่าตัดมาเลย ฉันได้แต่ขอบคุณพระเจ้าอยู่ในหัวใจสำหรับเรื่องนี้ ฉันยังคิดด้วยว่า “ฉันเจอก้อนเนื้อนั่นที่หน้าอกเมื่อหกปีก่อน ถ้ามันเป็นมะเร็ง มันต้องแย่ลงตั้งนานแล้ว แต่ฉันไม่ได้รู้สึกแย่เลยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ บางทีมันอาจจะไม่ใช่มะเร็งก็ได้ และถึงจะใช่ ฉันก็เชื่อว่าพระเจ้าทรงพระมหิทธิฤทธิ์ และพระองค์จะทรงทำให้ทุกสิ่งเป็นได้ด้วยดี” เมื่อก่อน ฉันเคยได้ยินเรื่องที่พี่น้องชายหญิงบางคน พึ่งพาพระเจ้าในยามที่พวกเขาป่วยหนัก และเป็นพยานให้กับกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระเจ้า ฉันมักจะพลีอุทิศเพื่อพระเจ้ามาตลอด ดังนั้นพระองค์ต้องทรงคุ้มครองฉันแน่

สามวันต่อมา ฉันไปฟังผลตรวจด้วยความหวังเต็มเปี่ยม แต่ความหวังทั้งหมดกลับแปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวัง มันคือมะเร็งจริงๆ

ฉันได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน สายตามองจ้องไปที่ผลนั่น อ่านมันวนซ้ำไปซ้ำมา พลางร้องไห้และคร่ำครวญ ใช้เวลาอยู่นานพอดู กว่าที่ฉันจะรวบรวมสติกลับมาได้ ฉันคิดกับตัวเองว่า “พระเจ้ากำลังทรงใช้โรคภัยไข้เจ็บนี้เพื่อเปิดโปงและกำจัดฉันหรือ? ฉันถึงขั้นไม่มีคุณสมบัติพอจะรับใช้พระองค์อีกต่อไปแล้วหรือ? ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี พลีอุทิศและประกาศข่าวประเสริฐไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก พระเจ้าทรงจำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เลยหรือ? ความเชื่อในพระเจ้าของฉันจบลงแบบนี้เองหรอกหรือ?” ฉันรู้สึกเสียใจมากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกหมดเรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิง

หลังจากนั้น ฉันก็ไม่อยากกิน ดื่ม หรือแม้แต่พูด หมอบอกให้ฉันทานอาหารเสริมและออกกำลังกายให้มากขึ้น ฉันคิดว่า “ฉันถูกตัดสินประหารชีวิตไปแล้ว อาหารเสริมและการออกกำลังกายจะไปมีประโยชน์อะไร? ยังไงฉันก็ต้องตายอยู่แล้วไม่ช้าก็เร็ว” ฉันรู้สึกหดหู่มาก และหยุดคิดไม่ได้ว่า “พี่น้องชายหญิงหลายคนล้มป่วยก่อนที่พวกเขาจะมาเชื่อ แต่พอเริ่มเชื่อ พวกเขาก็อาการดีขึ้น แต่ฉันที่ทำหน้าที่ของตัวเองทุกวันนับตั้งแต่เชื่อในพระเจ้า ฉันจะเป็นโรคมะเร็งได้อย่างไร? ฉันเคยคิดว่า การพลีอุทิศคือตั๋วสู่ความรอดของฉัน แต่ตอนนี้ ไม่เพียงแต่ฉันจะไม่ได้รับการช่วยให้รอด ฉันยังกำลังจะตายเพราะโรคมะเร็งด้วย” ความรู้สึกกล่าวโทษและเข้าใจพระเจ้าผิดของฉันก็พรั่งพรูออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว ฉันพูดกับพระเจ้าทั้งน้ำตาด้วยความสิ้นหวัง บอกว่า “พระเจ้าที่รัก ข้าพระองค์เจ็บปวดเหลือเกิน ข้าพระองค์ล้มป่วยและไม่เข้าใจว่าน้ำพระทัยของพระองค์คืออะไร ได้โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำให้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด”

จากนั้น ฉันก็ได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า ความว่า “สำหรับทุกผู้คน กระบวนการถลุงเป็นความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส และลำบากยากเย็นมากที่จะยอมรับ—ทว่าในระหว่างกระบวนการถลุงนี้นี่เองที่พระเจ้าทำให้พระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์เป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับมนุษย์ และทรงทำให้ข้อพึงประสงค์ของพระองค์เป็นที่รู้ทั่วกันสำหรับมนุษย์ และทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งมากขึ้น การจัดการและการตัดแต่งจริงที่มากขึ้น โดยผ่านทางการเปรียบเทียบข้อเท็จจริงกับความจริง พระองค์ทรงมอบความรู้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับพระองค์และความจริงให้แก่มนุษย์ และทรงมอบความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าให้แก่มนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์มีความรักที่จริงแท้ยิ่งขึ้นและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นต่อพระเจ้า นั่นคือจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการดำเนินกระบวนการถลุง และพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำในมนุษย์มีจุดมุ่งหมายและนัยสำคัญของมันเอง พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจซึ่งปราศจากความหมาย และพระองค์ไม่ทรงพระราชกิจซึ่งปราศจากผลประโยชน์ต่อมนุษย์ กระบวนการถลุงไม่ได้หมายถึงการเอาผู้คนไปจากเบื้องพระพักตร์พระเจ้า และไม่ได้หมายถึงการทำลายพวกเขาในนรก แต่ทว่าหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์ในระหว่างกระบวนการถลุง การเปลี่ยนแปลงเจตนาต่างๆ ของเขา ทรรศนะเก่าๆ ของเขา การเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อพระเจ้า และการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของเขา กระบวนการถลุงคือบททดสอบจริงของมนุษย์ และเป็นรูปแบบหนึ่งของการฝึกฝนจริง และมีเพียงในระหว่างกระบวนการถลุงเท่านั้นที่ความรักของเขาจะสามารถทำหน้าที่ตามธรรมชาติของมันได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์สามารถมีความรักแท้จริงได้ โดยการได้รับประสบการณ์กับกระบวนการถลุงเท่านั้น) พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ พระเจ้าทรงใช้โรคภัยไข้เจ็บเพื่อเปิดโปงความเสื่อมทราม การเป็นกบฏ และแรงจูงใจอันด่างพร้อยภายในของฉัน เพื่อที่ฉันจะได้รู้จักตัวเอง สลัดทิ้งความเสื่อมทราม และได้รับความรอดจากพระเจ้า แต่ฉันเคยคิดว่า พระเจ้าทรงต้องการพรากชีวิตฉันและกำจัดฉัน ฉันจึงเข้าใจพระเจ้าผิดและกล่าวโทษพระองค์ ยอมแพ้และร่วงหล่นสู่ความสิ้นหวังโดยสิ้นเชิง ฉันพยายามให้ค่ากับการพลีอุทิศของตัวเอง ยกย่องการพลีอุทิศนั้นและโต้แย้งพระเจ้า ฉันถึงขั้นอยากใช้ความตายของตัวเองเพื่อจะเผชิญหน้ากับพระเจ้า ฉันสูญสิ้นจิตสำนึกไปจนหมด! ฉันรู้สึกว่าฉันติดค้างพระเจ้าเหลือเกิน ฉันจึงมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์เพื่ออธิษฐาน และหาคำตอบว่าทำไม ในยามเจ็บป่วยฉันถึงไร้ความสามารถที่จะนบนอบได้ แต่กลับเข้าใจผิดและกล่าวโทษพระเจ้าแทน

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอน “ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้รักษาพวกเขาเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้ใช้ฤทธานุภาพของเราขับวิญญาณสกปรกออกจากร่างของพวกเขาเท่านั้น และผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงแค่ว่าพวกเขาอาจจะได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดีจากเรา ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อเรียกร้องทรัพย์สมบัติทางวัตถุจากเราให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตนี้อย่างสันติสุขและเพื่อที่จะอยู่อย่างปลอดภัยคลายกังวลในโลกที่จะมาถึง ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์จากนรกและเพื่อได้รับพรจากสวรรค์ ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อสิ่งชูใจชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ได้พยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใดในโลกที่จะมาถึง เมื่อเราได้ปล่อยความโกรธเคืองต่อมนุษย์ของเราออกมาและได้ยึดเอาความชื่นบานยินดีและสันติสุขที่พวกเขาเคยมีไป มนุษย์ก็กลับคลางแคลงใจ เมื่อเราได้ให้ความทุกข์จากนรกแก่มนุษย์และได้เอาพรจากสวรรค์กลับคืน ความละอายของมนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ เมื่อมนุษย์ได้ขอให้เรารักษาเขา แต่เราไม่ได้ให้ความสนใจและรู้สึกชิงชังต่อเขา มนุษย์ได้ออกห่างจากเราเพื่อแสวงหาวิธีการของยาและวิทยาคมอันชั่วร้ายแทน เมื่อเราได้เอาทุกอย่างที่มนุษย์เรียกร้องจากเรากลับไป ทุกคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ เราจึงบอกว่ามนุษย์มีความเชื่อในเราเพราะเราให้พระคุณมากเกินไป และมีมากเกินไปที่จะได้รับ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?)ผู้คนเหล่านั้นมีเพียงจุดมุ่งหมายอันเรียบง่ายอยู่หนึ่งอย่างในการติดตามพระเจ้า และจุดมุ่งหมายนั้นก็คือ เพื่อที่จะได้รับพระพร ผู้คนดังกล่าวไม่พยายามที่จะให้การใส่ใจกับสิ่งอื่นใดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับจุดมุ่งหมายนี้ สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีเป้าหมายใดที่ถูกทำนองคลองธรรมมากไปกว่าการเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับพระพร—นั่นคือคุณค่าแท้จริงของความเชื่อของพวกเขา หากบางสิ่งไม่มีส่วนช่วยให้จุดมุ่งหมายนี้สัมฤทธิ์ พวกเขาจะยังคงไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งนั้นโดยสิ้นเชิง นี่เป็นกรณีของผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งเชื่อในพระเจ้าทุกวันนี้ จุดมุ่งหมายและเจตนาของพวกเขาดูเหมือนถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เพราะในขณะที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาสละให้พระเจ้าทั้งหมด มอบอุทิศตนเองให้กับพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาด้วยเช่นกัน พวกเขายอมละทิ้งชีวิตวัยเยาว์ ละทิ้งครอบครัวและอาชีพการงาน และถึงขั้นใช้เวลาหลายปีจากบ้านไปผูกพันตัวเองกับกิจธุระมากมาย เพื่อเห็นแก่เป้าหมายสูงสุดของพวกเขา พวกเขาเปลี่ยนแปลงความสนใจต่างๆ ของตนเอง เปลี่ยนทัศนะของพวกเขาที่มีต่อชีวิต และถึงขั้นเปลี่ยนทิศทางที่พวกเขาแสวงหา กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนจุดมุ่งหมายของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาได้ พวกเขาวุ่นสาละวนกับการบริหารจัดการอุดมคติต่างๆ ของตัวพวกเขาเอง ไม่ว่าถนนเส้นนั้นจะยาวไกลเพียงใด ไม่ว่าความยากลำบากและอุปสรรคต่างๆ จะมากมายเพียงใดตลอดเส้นทางนั้น พวกเขายังคงยืนกรานและหาได้เกรงกลัวต่อความตายไม่ พลังอำนาจอะไรกันที่ขับดันพวกเขาให้มอบอุทิศตัวเองต่อไปในหนทางนี้? นี่คือมโนธรรมของพวกเขาอย่างนั้นหรือ? นี่คือบุคลิกลักษณะอันยิ่งใหญ่และสง่างามของพวกเขาอย่างนั้นหรือ? นี่คือความตั้งใจแน่วแน่ของพวกเขาที่จะสู้รบกับกองกำลังของความชั่วไปจนถึงที่สุดเลยหรือ? นี่คือความเชื่อของพวกเขาที่จะเป็นพยานต่อพระเจ้าโดยปราศจากการแสวงบำเหน็จรางวัลหรือ? นี่คือความจงรักภักดีของพวกเขาในความเต็มใจที่จะยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อสัมฤทธิ์ในน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือ? หรือว่านี่คือจิตวิญญาณแห่งการอุทิศของพวกเขาที่จะละแล้วซึ่งความต้องการฟุ้งเฟ้อส่วนตัวอย่างนั้นหรือ? การที่บางคนซึ่งไม่เคยเข้าใจพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าจะยังคงมอบให้อย่างมากมายนั้นเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ชัดๆ! ณ ตอนนี้ พวกเราจงหยุดหารือกันเถิดว่า ผู้คนเหล่านี้ได้ให้มาแล้วเท่าไรแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร พฤติกรรมของพวกเขานั้นก็มีค่าควรแก่การวิเคราะห์ของพวกเราอย่างยิ่ง นอกเหนือไปจากผลประโยชน์ต่างๆ ที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกเขาอย่างมากแล้ว พอจะสามารถมีเหตุผลอื่นใดไหมว่า เหตุใดผู้คนเหล่านี้ซึ่งไม่เคยเข้าใจพระเจ้าเลย จึงจะมอบให้พระองค์อย่างมากมาย? พวกเราค้นพบปัญหาหนึ่งซึ่งไม่เคยถูกระบุมาก่อนหน้าอยู่ในการนี้ นั่นก็คือ สัมพันธภาพของมนุษย์กับพระเจ้านั้นเป็นแค่สัมพันธภาพแห่งผลประโยชน์ของตนเองอย่างไม่มีอะไรปิดบัง เป็นสัมพันธภาพระหว่างผู้รับกับผู้ให้พร กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ คล้ายกับสัมพันธภาพระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ลูกจ้างทำงานเพียงเพื่อได้รับสินจ้างรางวัลที่นายจ้างมอบให้ ไม่มีเสน่หาใดเลยในสัมพันธภาพเช่นนี้ มีเพียงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเท่านั้น ไม่มีการให้ความรัก หรือการได้รับความรัก มีเพียงการแบ่งปันและความปรานี ไม่มีความเข้าใจ มีเพียงความขัดเคืองคับข้องที่ถูกเก็บกดเอาไว้และความหลอกลวงเท่านั้น ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนม มีเพียงช่องว่างทางความนึกคิดที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้เท่านั้น บัดนี้เมื่อสิ่งต่างๆ ได้มาถึงจุดนี้ ใครเล่าที่สามารถเดินย้อนเส้นทางนั้นกลับไปได้? และมีคนมากแค่ไหนที่เข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าสัมพันธภาพนี้ได้กลับกลาย เป็นจริงจังยิ่งแล้วอย่างไร? เราเชื่อว่า เมื่อผู้คนชุ่มแช่ตัวเองอยู่ในความชื่นบานยินดีแห่งการได้รับพระพร ไม่มีใครเลยที่จะสามารถจินตนาการได้ว่า สัมพันธภาพกับพระเจ้าเช่นนั้นช่างน่าตะขิดตะขวงและไม่น่ามองเพียงไร(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น) พระวจนะของพระเจ้าทิ่มแทงหัวใจฉันราวกับดาบ และฉันรู้สึกละอายใจเหลือเกิน แรงจูงใจเบื้องหลังความเชื่อของฉัน ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับพระพรในอนาคต อย่างที่พระเจ้าตรัสไว้หรอกหรือ? ไม่ว่าฉันจะดูเหมือนพลีอุทิศมากแค่ไหน ฉันก็เพียงแค่ทำข้อตกลงกับพระเจ้า ทั้งหมดก็เพื่อพระพร ฉันไม่ได้เชื่อฟังพระเจ้าหรือทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างแท้จริง สมัยที่ฉันเพิ่งเชื่อใหม่ๆ ฉันเคยคิดว่าจะไม่มีความวิบัติใดตกมาถึงฉัน คิดว่าฉันคงได้รับพระพรและได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ฉันจึงมอบทุกอย่าง และไม่ยอมให้อะไรเข้ามาขวางการทำหน้าที่ ฉันไม่มีเวลาแม้แต่ไปรับไปส่งลูกที่โรงเรียนด้วยซ้ำ การถูกคนอื่นหัวเราะเยาะและใส่ร้ายป้ายสี ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนข่มเหงไล่ล่า ไม่มีอะไรเข้ามาแทรกระหว่างฉันกับหน้าที่ได้เลย ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันคิดว่า ฉันจงรักภักดีต่อพระเจ้า และพระองค์จะต้องยกย่องและอวยพระพรฉันแน่นอน ตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ฉันก็รู้สึกว่านี่คือสิ่งตอบแทนของฉัน รู้สึกว่าความฝันที่จะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ทั้งหมดสลายหายไปกับควัน ฉันเต็มไปด้วยความเข้าใจผิด กล่าวโทษ และฉันโต้แย้งกับพระเจ้า ถึงขั้นอยากใช้ความตายของตัวเองเพื่อเผชิญหน้ากับพระเจ้า พอได้เจอกับข้อเท็จจริง ฉันก็ตระหนักได้ว่าการทำหน้าที่ ความทุกข์ และการสละตัวเองของฉันนั้น ทั้งหมดก็เพื่อให้ได้บั้นปลายที่ดีเป็นการตอบแทน ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพระเจ้าคือ “สัมพันธภาพระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง” ฉันต้องการรางวัลตอบแทนให้กับทุกความลำบากเล็กน้อยที่ฉันยอมทำไป ฉันไม่ได้รักพระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันใช้พระองค์ พยายามจะโกงพระองค์ ด้วยมุมมองแบบนั้นในความเชื่อของฉัน พระเจ้าทรงทำได้แค่รังเกียจและเกลียดฉันเท่านั้น หากพระเจ้าไม่ได้ทรงใช้การเจ็บป่วยนั้นปลุกฉันให้ตื่น ฉันก็ยังคงยึดติดอยู่กับทรรศนะผิดๆ ในความเชื่อ และพระเจ้าคงทรงละทิ้งและกำจัดฉันในที่สุด การตระหนักถึงสิ่งนี้ทำให้ฉันเปี่ยมไปด้วยความเสียใจและตำหนิตัวเอง ฉันคุกเข่าลงและอธิษฐานต่อพระเจ้า บอกว่า “พระเจ้าที่รัก หากพระองค์มิได้ทรงเปิดโปงข้าพระองค์ผ่านโรคภัยไข้เจ็บนี้ ข้าพระองค์คงไม่มีวันเข้าใจทรรศนะผิดๆ ในความเชื่อของตัวเอง การพิพากษาและการเผยวิวรณ์แห่งพระวจนะของพระองค์ได้ปลุกจิตวิญญาณข้าพระองค์ให้ตื่น ข้าพระองค์ต้องการแก้ไขแรงจูงใจที่ผิดของตัวเอง และปล่อยวางความปรารถนาต่อพระพรไป ไม่ว่าข้าพระองค์จะดีขึ้นหรือไม่ ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย ข้าพระองค์ก็ขอนบนอบต่อพระองค์” ฉันรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากอธิษฐาน และสภาพของฉันก็ดีขึ้นเยอะเลย ตลอดหลายวันต่อจากนั้น ฉันก็หมั่นออกกำลังกายและกินอาหารเสริม และสุขภาพของฉันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน ในไม่ช้า ฉันก็ออกจากโรงพยาบาลได้

พอกลับถึงบ้าน ฉันเห็นสามีกับลูกออกไปประกาศข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ของพวกเขา แต่สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือนอนอยู่บนเตียง ไร้ความสามารถที่จะทำหน้าที่ใดๆ ฉันเริ่มรู้สึกแย่ลงนิดหน่อย ฉันไม่รู้เลยว่าฉันจะหายสนิทเมื่อไหร่ หรือไม่รู้ว่าวันหนึ่งฉันจะมีความสามารถที่จะกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองอีกได้ไหม ถ้าฉันทำหน้าที่ไม่ได้ ฉันจะไม่ได้เป็นแค่ตัวถ่วงหรอกหรือ? แล้วฉันจะได้รับการช่วยให้รอดได้อย่างไร? เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันก็ตระหนักได้ว่าความปรารถนาต่อพระพรของฉันได้โผล่หัวอันน่าเกลียดของมันขึ้นมาอีกแล้ว ฉันรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า แล้วอ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระองค์ ความว่า “สิ่งใดหรือคือมูลฐานที่ผู้คนใช้ดำรงชีวิต? ผู้คนล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์ ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง พวกเขาทอดทิ้งสิ่งทั้งหลาย สละตัวเองเพื่อพระองค์ และสัตย์ซื่อต่อพระองค์ แต่พวกเขาก็ยังคงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง โดยสรุป ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพระพรให้ตัวเอง ในสังคม ทุกสิ่งทุกอย่างทำไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว การเชื่อในพระเจ้าก็ทำไปเพื่อที่จะได้รับพระพรแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพระพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถทานทนต่อความทุกข์มากมายได้ กล่าวคือ ทั้งหมดนี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงธรรมชาติอันเสื่อมทรามของมนุษย์(“ความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงภายนอกกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันเห็นว่า เหตุผลที่ฉันทำข้อตกลงกับพระเจ้าในความเชื่อ รวมถึงกบฎและต่อต้านพระเจ้า เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปอย่างที่ฉันต้องการ เป็นเพราะยาพิษเยี่ยงซาตานทุกรูปแบบควบคุมฉันอยู่ “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” และ “อย่ากระดิกแม้แต่นิ้วเดียวหากไม่ได้รางวัล”—ฉันใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาเยี่ยงซาตานพวกนี้ ทุกอย่างที่ทำ ฉันก็ทำเพื่อตัวเอง เพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจจริงๆ แม้แต่ในความเชื่อ ฉันก็วิ่งวุ่นทำงานจนหัวหมุนแค่เพื่อให้ได้รับพระพรและรางวัล ฉันไม่ได้จดจ่อกับการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเลย พอฉันไม่ได้พระพรอย่างที่ต้องการ ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของฉันก็ปะทุขึ้น แถมฉันยังเข้าใจพระเจ้าผิดและกล่าวโทษพระองค์ รวมถึงเสียใจกับทุกสิ่งที่เคยทำเพื่อพระเจ้า เปาโลทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและทนทุกข์มากมาย แต่เขาไม่ได้รักความจริงเลย และเขาก็ไม่ได้แสวงหาที่จะรู้จักพระเจ้า หรือเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน เขาแค่ต้องการมงกุฎแห่งความชอบธรรมเป็นการตอบแทนที่ทนทุกข์และพลีอุทิศ สุดท้าย อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ความโอหังของเขาจึงเป็นแรงผลักดันเหนือเหตุผลใดๆ เขาให้คำพยานว่าตัวเขาคือพระคริสต์ และเขาได้นำผู้คนมาอยู่เบื้องหน้าตัวเอง สิ่งนั้นทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคือง และทำให้เขาถูกลงโทษชั่วกัปชั่วกัลป์ ฉันรู้ว่าถ้าฉันยังใช้ชีวิตด้วยยาพิษของซาตานต่อไป ฉันก็คงลงเอยแบบเดียวกับเปาโลได้เท่านั้น พระเจ้าคงจะทรงลงโทษฉันที่ต่อต้านพระองค์ ฉันได้เห็นว่าการแสวงหาพระพรและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นอันตรายแค่ไหน ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามาก ฉันขอบคุณพระองค์ที่ทรงใช้โรคภัยไข้เจ็บเพื่อมอบโอกาสให้ฉันได้ทบทวนและรู้จักตัวเอง เพื่อให้ฉันได้เห็นถึงมุมมองผิดๆ ต่อการไล่ตามเสาะหาในความเชื่อของฉัน และเห็นว่าฉันกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ต่อต้านพระเจ้า

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “พระเจ้าทรงสูงสุดตลอดกาลและทรงเกียรติเสมอ ในขณะที่มนุษย์นั้นต่ำช้าตลอดกาล ไร้ค่าตลอดกาล นี่เป็นเพราะพระเจ้ากำลังทรงเสียสละและทรงอุทิศพระองค์เองต่อมวลมนุษย์ตลอดกาล อย่างไรก็ดี มนุษย์นั้นรับเอาและเพียรพยายามเพื่อตัวเขาเองเท่านั้นตลอดกาล พระเจ้ากำลังทรงรับความเจ็บปวดเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์ตลอดกาล กระนั้นมนุษย์กลับไม่เคยมีส่วนร่วมในอะไรเลยเพื่อประโยชน์ของความสว่างหรือเพื่อความชอบธรรม ต่อให้มนุษย์พยายามชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็อ่อนแอมากกระทั่งมนุษย์ไม่สามารถทนการโจมตีแม้สักครั้งได้ ด้วยเหตุที่ความพยายามของมนุษย์มักจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเขาเองเสมอและไม่ใช่เพื่อผู้อื่น มนุษย์เห็นแก่ตัวเสมอ ในขณะที่พระเจ้าไม่เห็นแก่พระองค์เองตลอดกาล พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของทุกอย่างซึ่งยุติธรรม ดีงาม และสวยงาม ในขณะที่มนุษย์คือผู้ที่สืบทอดและสำแดงความน่าเกลียดและความชั่วทุกอย่าง พระเจ้าจะไม่มีวันทรงเปลี่ยนแปลงเนื้อแท้ของความชอบธรรมและความงามของพระองค์ ทว่ามนุษย์กลับมีความสามารถอย่างสมบูรณ์แบบในการที่จะทรยศต่อความชอบธรรมและไถลห่างไปจากพระเจ้าในเวลาใดก็ตามและในสถานการณ์ใดก็ตาม(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสำคัญมาก) เมื่อไตร่ตรองถึงพระวจนะเหล่านี้ฉันก็ตื้นตันใจมาก พระเจ้าทรงยอมลำบากตรากตรำเพื่อช่วยมวลมนุษย์ ผู้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนักให้รอด เมื่อสองพันปีก่อน พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ครั้งแรกในแคว้นยูเดีย เพื่อไถ่มวลมนุษย์ พระองค์ทรงสู้ทนต่อการหัวเราะเยาะ การใส่ร้ายป้ายสีา และทรงถูกข่มเหงและล่วงเกินโดยผู้ติดตามแห่งศาสนายูดาห์ ในที่สุด พระองค์ก็ทรงถูกตรึงกางเขน เป็นการเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการไถ่ วันนี้ พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เป็นครั้งที่สองในประเทศจีน เพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดโดยครบถ้วนถาวร พระองค์ทรงถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนไล่ล่าและข่มเหง ไม่มีที่ให้ได้เอนพระวรกาย ไม่มีที่ให้พักผ่อน และพระองค์ยังต้องทรงสู้ทนต่อการถูกผู้เชื่ออย่างเราๆ เข้าใจผิด กล่าวโทษ ไม่เชื่อฟัง และต่อต้าน ทว่าพระเจ้าไม่เคยทรงหยุดพยายามที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด แต่กลับทรงทำทุกวิถีทางเพื่อเราอยู่เงียบๆ โดยไม่เคยร้องขอสิ่งใดเป็นการตอบแทน อย่างไรก็ตาม ตัวฉัน ได้ทำการพลีอุทิศในหน้าที่ และคาดหวังพระพรกับบั้นปลายเป็นการตอบแทน ฉันขัดจิตสำนึกของตัวเองเพื่อต่อรองกับพระเจ้า ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจเหลือเกิน! ฉันไม่ใช่ผู้เชื่อแท้จริงอะไรเลย พอตระหนักได้แบบนี้ ฉันก็ไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน ยินดีที่จะกลับใจ

ระหว่างการเฝ้าเดี่ยวในวันหนึ่ง ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ความเชื่อแท้จริงในพระเจ้าหมายถึงสิ่งต่อไปนี้: บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่าพระเจ้าทรงครองอำนาจอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง คนเรามีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ ลบล้างอุปนิสัยเสื่อมทรามของคนเรา ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าและได้มารู้จักพระเจ้า มีเพียงการเดินทางแบบนี้เท่านั้นที่อาจถูกเรียกว่า ‘ความเชื่อในพระเจ้า’(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)จุดประสงค์ของการที่เชื่อในพระเจ้าคือการทำให้พระองค์พึงพอพระทัยและใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ เพื่อที่การกระทำและพระสิริของพระองค์อาจได้รับการสำแดงโดยผ่านทางผู้คนที่ไม่ควรค่ากลุ่มนี้ นี่คือมุมมองที่ถูกต้องสำหรับการที่เชื่อในพระเจ้า และนี่ก็เป็นเป้าหมายที่เจ้าควรแสวงหาอีกด้วย เจ้าควรมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการที่เชื่อในพระเจ้าและเจ้าควรพยายามให้ได้มาซึ่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจำเป็นต้องกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและเจ้าต้องมีความสามารถที่จะดำเนินชีวิตตามความจริงได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าต้องมีความสามารถที่จะมองเห็นกิจการที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ กิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ทั่วทั้งจักรวาล ตลอดจนพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พระองค์ทรงทำในเนื้อหนังได้ ผู้คนสามารถซาบซึ้งได้ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์กับพวกเขาอย่างไรกันแน่และสิ่งใดกันแน่คือน้ำพระทัยของพระองค์ที่มีต่อพวกเขาโดยผ่านทางประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพวกเขา จุดประสงค์ของการนี้ทั้งหมดคือการกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของผู้คนทิ้งไป เมื่อได้ขับความไม่สะอาดและความไม่ชอบธรรมในตัวเจ้าออกไปแล้ว และเมื่อได้ปลดเปลื้องเจตนาที่ผิดทั้งหลายของเจ้าแล้ว และเมื่อได้พัฒนาความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าขึ้นมาแล้ว—ด้วยความเชื่อที่แท้จริงเท่านั้น เจ้าจึงสามารถรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) พระวจนะของพระเจ้าแสดงถึงเป้าหมายที่ถูกต้องซึ่งเราควรไล่ตามเสาะหาในความเชื่อ ไม่ว่าในประสบการณ์ต่างๆ เราอาจจะได้รับการบ่มวินัยมากแค่ไหน พระเจ้าก็ทรงจัดการเตรียมการทุกอย่างไว้ เพื่อชำระเราให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงเราโดยเฉพาะ ฉันรู้ว่าฉันควรทำทั้งหมดให้ได้ด้วยการยอมรับและการเชื่อฟัง แสวงหาความจริงในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของฉัน ทำให้พระเจ้าพอพระทัย และตอบแทนความรักในทุกสรรพสิ่งของพระองค์ มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่เป็นการไล่ตามเสาะหาที่ถูกต้อง ฉันไม่อยากทำข้อตกลงกับพระเจ้าเพื่อพระพรอีกต่อไปแล้ว นับจากนั้น ไม่ว่าโรคภัยไข้เจ็บของฉันจะเป็นไปในทางไหน ฉันก็จะนมัสการพระเจ้าจนลมหายใจสุดท้าย หากพระเจ้าประทานโอกาสให้ฉันได้ทำหน้าที่อีกครั้ง ฉันก็จะไม่ต่อรองกับพระองค์เพื่อพระพรอีก ฉันแค่อยากไล่ตามเสาะหาความจริงในหน้าที่ของตัวเอง และแสวงหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของฉัน

หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าก็ทรงทดสอบฉัน

วันหนึ่ง ลูกสาวของฉันกลับมาจากการชุมนุมที่คริสตจักรและบอกว่า พี่น้องหญิงหวังที่คอยรดน้ำให้เหล่าผู้เชื่อ กำลังถูกตำรวจติดตาม และตอนนี้ยังหาคนมาแทนเธอไม่ได้เลย ลูกถามฉันว่า ที่คริสตจักรมีใครที่ทำหน้าที่นั้นได้บ้าง ฉันเคยทำหน้าที่นี้มาก่อน และรู้จักเนื้องานเป็นอย่างดี ฉันเลยคิดว่าตัวเองคงจะเหมาะที่สุด แต่แล้ว ฉันก็คิดถึงเรื่องที่ฉันเพิ่งผ่าตัดมาแค่ 20 กว่าวันเท่านั้น แผลผ่าตัดยังไม่หายสนิท และอากาศก็เริ่มร้อนขึ้นแล้ว เวลาอยู่บ้าน ฉันต้องล้างแผลวันละหลายครั้ง ถ้าฉันรับหน้าที่นี้มา และเกิดยุ่งเกินกว่าจะคอยทำความสะอาดแผล แผลอาจจะอักเสบเอาได้ การใช้งานแขนของฉันก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ ถ้าตัวฉันต้องกระเทือนบนจักรยานไฟฟ้าทุกวัน แผลก็คงจะไม่สมาน แล้วฉันก็จะป่วยเข้าจริงๆ ดูจากสถานการณ์นี้แล้ว การรับหน้าที่นั้นมาคงไม่ดีต่อสุขภาพของฉันนัก แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ยังไม่เจอคนที่ใช่สำหรับหน้าที่นี้เลย ถ้าฉันไม่รับไว้ งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ชะงักหรือ? ฉันจะทำอย่างไรดี?” จากนั้น พระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด “หากในความเชื่อในพระเจ้าและในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า เจ้าสามารถกล่าวได้ว่า ‘ความป่วยไข้หรือเหตุการณ์ไม่น่าพึงใจอันใดก็ตามที่พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้บังเกิดกับฉัน—ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด—ฉันต้องเชื่อฟัง และอยู่ในที่ของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ก่อนสิ่งอื่นทั้งปวง ฉันต้องนำความจริงแง่มุมนี้—การเชื่อฟัง—มาปฏิบัติ ฉันนำการนี้มาทำให้เป็นผล และใช้ชีวิตตามความเป็นจริงแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า ที่มากกว่านั้นคือ ฉันต้องไม่ทิ้งสิ่งที่พระเจ้าได้มีพระบัญชาแก่ฉันและหน้าที่ที่ฉันควรปฏิบัติ ต่อให้เป็นลมหายใจห้วงสุดท้ายของฉัน ฉันก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของฉัน’ นี่ไม่ใช่การเป็นคำพยานหรอกหรือ?(“เส้นทางมาจากการไตร่ตรองความจริงบ่อยครั้ง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าได้จัดเตรียมเส้นทางแห่งการปฏิบัติ แม้ว่าแผลของฉันจะยังไม่หายสนิท ฉันก็ไม่อยากเห็นแก่ตัวและใจร้ายอีกต่อไป ไม่อยากนึกถึงแต่ตัวเองแต่ไม่นึกถึงพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดหลายปี ฉันทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อพระพร ทำข้อตกลงกับพระเจ้า ฉันไม่เคยใส่ใจน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือทำอะไรที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยเลย ฉันติดค้างพระเจ้าอยู่จริงๆ! หน้าที่นี้ต้องการใครสักคนมาทำโดยด่วน และฉันก็อยากทำ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสุขภาพของฉัน ฉันขอเพียงแค่ว่าฉันสามารถนำพาสิ่งชูใจมาสู่พระเจ้าได้เท่านั้น เมื่อได้รับการนำจากพระวจนะของพระเจ้า โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่จำกัดฉันอีกต่อไป และฉันก็อาสาจะทำหน้าที่นั้น

เมื่อฉันทุ่มเททุกอย่างในหน้าที่นี้ ฉันก็ได้เป็นพยานให้แก่การทรงคุ้มครองที่มหัศจรรย์ของพระเจ้า หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ไม่ใช่แค่แผลของฉันไม่แย่ลงเท่านั้น แต่มันยังหายสนิทเลย หมอบอกว่า “ภาวะบวมน้ำเหลืองที่แขนเป็นอาการปกติหลังจากการผ่าตัดประเภทนี้ และหลังจากพักฟื้นนานกว่าหนึ่งเดือน คนไข้ก็ยังต้องเข้าทำคีโมบำบัดอยู่ดี” แต่นับตั้งแต่ฉันเริ่มทำหน้าที่นั้น แผลผ่าตัดของฉันก็หายเจ็บ ไม่มีภาวะบวมน้ำเหลืองที่แขน และฉันก็ไม่ต้องเข้ารับคีโมด้วย นับจากที่ผ่าตัดมาจนถึงตอนนี้ก็ปีกว่าแล้ว และฉันก็สบายดีสุดๆ เลย ขอบคุณพระเจ้าสำหรับกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ โดยส่วนตัวฉันได้รับประสบการณ์พระวจนะของพระองค์ที่บอกว่า “ไม่ว่าสิ่งใดและทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง สร้างขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือทุกสรรพสิ่ง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์) เมื่อฉันปล่อยวางความต้องการที่ไร้เหตุผลของตัวเอง และเลิกทำข้อตกลงกับพระเจ้าได้ ฉันก็ได้เห็นถึงสิทธิอำนาจและกฎของพระเจ้า แถมได้เป็นพยานให้กับกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์!

ความทุกข์ยากสาหัสจากโรคภัยไข้เจ็บนั้นดูเหมือนเป็นหายนะจากภายนอกผิวเผิน แต่ความรักของพระเจ้าก็ซ่อนอยู่ในนั้นด้วย ความรู้แจ้งและการนำแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้ทำให้ฉันระลึกได้บ้างถึงสิ่งจูงใจของฉันที่จะได้รับพระพรและราคีของฉัน ฉันได้พัฒนาความเชื่อฟังต่อพระเจ้าอยู่บ้าง และได้เรียนรู้อย่างแท้จริงว่า การได้รับประสบการณ์กับโรคภัยไข้เจ็บคือพระพรจากพระเจ้า ว่านั่นเป็นการชำระฉันให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลงฉัน ขอขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอดของพระองค์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

วิธีเผชิญความยากลำบากในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ

ผมอาศัยอยู่ที่เมืองเล็กๆ ในเปรู ทั้งครอบครัวผมนับถือนิกายคาทอลิก รวมถึงคนส่วนใหญ่ที่หมู่บ้านนั้น แต่ด้วยความที่โบสถ์คาทอลิกในหมู่บ้านเรา...

ฉันรู้ถึงประโยชน์ของการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์แล้ว

ในปี 2020 ฉันเป็นผู้นำคริสตจักร ฉันเห็นพี่น้องบางคนเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ดีๆ อยู่บ้าง แล้วก็อิจฉาพวกเขา ยังไงก็ตาม...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger