เหตุใดฉันจึงจะไม่แบกรับภาระ?

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

โดย เดซี, ประเทศเกาหลีใต้

เดือนตุลาคมปี 2021 ฉันรับหน้าที่เป็นหัวหน้างานฝ่ายวิดีโอ ฉันทำงานร่วมกับพี่น้องชายเลโอและพี่น้องหญิงแคลร์ ทั้งคู่ทำหน้าที่นี้มานานกว่าฉันและมีประสบการณ์เยอะกว่ามาก และพวกเขาก็เป็นคนนำในการติดตามและจัดการดูแลงานมากมายนั้น อีกทั้งตัวฉันเพิ่มเริ่มทำงานนี้และมีหลากหลายแง่มุมของงานที่ฉันไม่เข้าใจ ดังนั้นฉันจึงรับผิดชอบแค่บทบาทเล็กๆ ไปโดยปริยาย ฉันรู้สึกว่าตราบเท่าที่งานของฉันไม่มีปัญหา สิ่งต่างๆ ก็จะเป็นไปได้ด้วยดีและคนอื่นก็สามารถก้าวเข้ามาแก้ไขเรื่องอื่นๆ ได้ แบบนั้นฉันก็ไม่ต้องกังวลอะไรมากและไม่ต้องรับผิดชอบใครเลย ฉันค่อยๆ แบกรับภาระน้อยลง จนสุดท้ายก็มีความเข้าใจและมีส่วนร่วมกับงานของอีกสองคนน้อยมาก เมื่อไรก็ตามที่พวกเราหารือกันเรื่องงานฉันจะไม่แสดงความคิดเห็นอะไร และในเวลาว่างฉันก็จะทำตัวตามสบายพลางดูวิดีโอทางโลก ฉันรู้สึกว่าการทำหน้าที่ของตัวเองแบบนี้ก็ไม่เห็นเป็นอะไร

ราวเที่ยงวันของวันหนึ่ง จู่ๆ ผู้นำคนหนึ่งก็มาบอกฉันว่าเลโอกับแคลร์กำลังจะไปทำหน้าที่ที่อื่น และฉันต้องแบกรับความรับผิดชอบมากขึ้น ทุ่มเทความพยายายามมากขึ้น และรับช่วงต่องานวิดีโอ ความเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทิ้งให้ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ฉันเพิ่งทำหน้าที่นี้ได้ไม่นาน ทั้งยังมีงานที่ต้องติดตามมากมาย นี่กดดันมากเลยไม่ใช่หรือ? งานที่พวกเขารับผิดชอบค่อนข้างซับซ้อนและต้องการการเอาใจใส่อย่างต่อเนื่อง ฉันจึงจำเป็นจะต้องหาเนื้อหาต่างๆ เพื่อที่จะนำเหล่าคนที่ขาดทักษะ เลโอกับแคลร์ค่อนข้างมีทักษะและก็ยุ่งมากอยู่เป็นประจำ ด้วยความที่ฉันเพิ่งเริ่มทำหน้าที่นี้ แน่นอนว่าฉันจำเป็นที่จะต้องใช้เวลามากขึ้นไปอีกเสียด้วยซ้ำ แล้วฉันจะได้มีเวลาที่อยู่ว่างๆ อีกไหม? ถ้าฉันไม่สามารถแบกรับความรับผิดชอบนี้ได้และทำให้งานล่าช้า จะไม่เป็นการกระทำการฝ่าฝืนหรือ?  ฉันคิดว่าการที่ผู้นำหาใครสักคนที่เหมาะสมกับความรับผิดชอบนี้มากกว่าฉันมาคงจะดีกว่า เมื่อเห็นว่าฉันไม่พูดอะไรเลย ผู้นำจึงถามว่าฉันคิดอะไรอยู่ ฉันรู้สึกต่อต้านมากและไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น หลังจากที่เราพูดคุยหารือเรื่องงานกันเสร็จ ฉันก็ออกมาเลย เมื่อนึกถึงปัญหาและความยากลำบากทั้งหมดที่ฉันจะต้องแบกรับด้วยตัวคนเดียว ฉันก็รู้สึกอึดอัดจากความกดดัน และรู้สึกว่าวันข้างหน้าของฉันย่อมจะเหนื่อยเกินทน ไม่ว่ามองดูเรื่องนี้ยังไง ฉันก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองเหมาะกับงานนี้ หลังจากนั้นผู้นำได้ส่งข้อความมาถามถึงสภาวะของฉัน ซึ่งฉันรีบตอบกลับไปว่า “ฉันรู้สึกไม่เหมาะที่จะทำงานนี้ คุณพอจะหาใครสักคนที่เหมาะสมกว่าฉันได้ไหม?” แล้วผู้นำก็ถามฉันว่า “คุณตัดสินตัวเองจากรากฐานอะไรว่าไม่เหมาะสม?” ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร ฉันยังไม่ได้พยายามเลยด้วยซ้ำ และไม่รู้ว่าฉันเหมาะสมกับงานนี้หรือไม่ แต่เมื่อนึกถึงความกดดันจากงานและความเหนื่อยล้าทางกายที่จะเกิดขึ้น ฉันก็อยากปฏิเสธ นี่คือการบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบและปฏิเสธหน้าที่ของตัวฉันเองไม่ใช่หรือ? แล้วฉันก็นึกถึงเรื่องที่ว่าทุกสิ่งที่ฉันเผชิญในแต่ละวันนั้นได้รับการทรงอนุญาตจากพระเจ้าและฉันควรนบนอบ ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า คู่ทำงานทั้งสองคนของข้าพระองค์กำลังถูกโยกย้าย เหลือให้ข้าพระองค์รับผิดชอบงานทั้งหมดเพียงลำพัง ข้าพระองค์รู้สึกแข็งขืนและไม่เต็มใจที่จะนบนอบ ข้าพระองค์รู้ว่าสภาวะเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ทว่าข้าพระองค์ไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเพื่อที่ข้าพระองค์อาจรู้จักตัวเองและนบนอบด้วยเถิด”

ต่อมา พี่น้องหญิงคนหนึ่งได้ส่งพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่พูดถึงสภาวะของฉันโดยแท้มาให้ฉัน พระเจ้าตรัสว่า “อะไรคือลักษณะการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์?  อันดับแรก ไม่มีความสงสัยในวจนะของพระเจ้า  นั่นเป็นหนึ่งในลักษณะการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์  นอกจากนี้ ลักษณะการแสดงออกที่สำคัญที่สุดคือการแสวงหาและการปฏิบัติความจริงในทุกเรื่อง—นี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง  เจ้าบอกว่าเจ้าซื่อสัตย์ แต่เจ้ามักผลักพระวจนะให้ไปอยู่เบื้องหลังจิตใจของเจ้าเสมอแล้วก็ทำทุกอย่างตามที่เจ้าต้องการ  นั่นคือการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  เจ้ากล่าวว่า ‘แม้ขีดความสามารถของฉันจะต่ำ แต่ฉันมีหัวใจที่ซื่อสัตย์’  และเมื่อหน้าที่หนึ่งตกอยู่กับเจ้า เจ้าก็กลัวการทนทุกข์และการแบกรับความรับผิดชอบถ้าหากเจ้าทำหน้าที่นั้นได้ไม่ดี ดังนั้นเจ้าจึงหาข้อแก้ตัวเพื่อละเลยหน้าที่ของเจ้าหรือเสนอแนะให้ผู้อื่นทำหน้าที่นั้นแทน  นี่เป็นการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์ใช่หรือไม่?  ชัดเจนว่าไม่ใช่  เช่นนั้นแล้ว บุคคลที่ซื่อสัตย์ควรประพฤติตัวอย่างไร?  พวกเขาควรนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า จงรักภักดีต่อหน้าที่ที่พวกเขาสมควรปฏิบัติ และเพียรพยายามที่จะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  การนี้แสดงออกได้หลายหนทาง หนทางหนึ่งคือการยอมรับหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของเจ้า ไม่ทำอย่างไม่เต็มใจ และไม่ออกอุบายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง  เหล่านั้นคือการแสดงออกของความซื่อสัตย์  อีกหนทางหนึ่งคือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของเจ้า ทำสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องเหมาะสม และทุ่มเทหัวใจและความรักของเจ้าลงไปหน้าที่ของเจ้าเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  สิ่งเหล่านี้คือลักษณะการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์ควรมีระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของตน  หากเจ้าไม่ทำสิ่งที่เจ้ารู้และเข้าใจให้สำเร็จ และหากเจ้าใช้ความพยายามของเจ้าเพียง 50 หรือ 60 เปอร์เซนต์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้ทุ่มเทหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของเจ้าให้กับหน้าที่นั้น  แต่เจ้ากลับปลิ้นปล้อนและย่อหย่อนแทน  ผู้คนที่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในหนทางนี้ซื่อสัตย์หรือไม่?  ไม่ซื่อสัตย์อย่างแน่นอน  พระเจ้าไม่ทรงใช้ผู้คนที่กลับกลอกและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเช่นนี้ พวกเขาจึงต้องถูกกำจัดออกไป  พระเจ้าทรงใช้แต่ผู้คนที่ซื่อสัตย์เพื่อปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลาย  แม้แต่คนออกแรงทำงานที่จงรักภักดีก็ต้องซื่อสัตย์  ผู้คนที่สุกเอาเผากินและปลิ้นปล้อน และเฝ้าหาหนทางย่อหย่อนอยู่ตลอดเวลา ล้วนเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและล้วนเป็นปิศาจ  พวกเขาเหล่านั้นไม่มีใครเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงและจะถูกกำจัดออกไปทั้งหมด  ผู้คนบางคนคิดว่า ‘การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ก็แค่เพียงพูดความจริงและไม่พูดโกหก  การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ช่างเป็นเรื่องง่ายจริงๆ’  เจ้าคิดอย่างไรกับความรู้สึกนึกคิดนี้?  การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์มีขอบเขตที่จำกัดขนาดนี้เลยหรือ?  แน่นอนว่าไม่ใช่  เจ้าต้องเปิดเผยหัวใจของเจ้าและถวายหัวใจต่อพระเจ้า นี่คือท่าทีที่บุคคลที่ซื่อสัตย์สมควรมี  นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดหัวใจที่ซื่อสัตย์ดวงหนึ่งจึงล้ำค่ามาก  เรื่องนี้บ่งบอกอะไร?  บ่งบอกว่า หัวใจที่ซื่อสัตย์สามารถควบคุมพฤติกรรมของเจ้าและเปลี่ยนแปลงสภาวะของเจ้า  สามารถนำเจ้าไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้อง  และไปสู่การนบนอบต่อพระเจ้าและได้รับความเห็นชอบจากพระองค์  หัวใจเช่นนี้ย่อมล้ำค่าจริงๆ  หากเจ้ามีหัวใจที่ซื่อสัตย์เช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว นั่นคือสภาวะที่เจ้าควรดำรงชีวิตอยู่ นั่นคือหนทางที่เจ้าควรประพฤติ และนั่นคือหนทางที่เจ้าควรอุทิศตนเอง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันรู้สึกละอายใจเหลือเกิน เมื่อคนซื่อสัตย์เผชิญหน้าที่ของตน พวกเขาย่อมไม่กังวลในเรื่องความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการรับผิดชอบหน้าที่ของตน นับประสาอะไรกับการบ่ายเบี่ยงหรือปฏิเสธหน้าที่เพราะพวกเขากลัวความทุกข์ ในทางกลับกัน พวกเขาเริ่มด้วยการยอมรับและทุ่มเทสุดตัวให้แก่หน้าที่นั้น มีเพียงการนี้ที่เป็นท่าทีที่ซื่อสัตย์ แล้วฉันก็นึกถึงท่าทีที่ฉันมีต่อหน้าที่ของตัวเอง ทันทีที่ได้ยินว่าคู่ทำงานทั้งสองคนกำลังโยกย้ายหน้าที่ ฉันก็กังวลเรื่องภาระงานของตัวเองที่เพิ่มขึ้น ความกังวลของฉันเพิ่มขึ้นทวีคูณ อีกทั้งแรงกดดันที่มีต่อฉันเพิ่มมากขึ้น หากงานออกมาไม่ดี ฉันจะต้องรับผิดชอบ ฉันจึงพยายามใช้การขาดคุณสมบัติมาเป็นข้ออ้างเพื่อบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของตัวเอง ฉันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและไร้ซึ่งมโนธรรมโดยแท้ ฉันนึกถึงเวลาอธิษฐานที่ฉันให้คำมั่นอยู่เสมอว่าจะเอาใจใส่ภาระของพระเจ้า แต่อันที่จริงเมื่อถึงเวลานั้น ฉันกลับเอาใจใส่เนื้อหนังของตัวเอง ไม่ปฏิบัติความจริงใดๆ และเพียงแต่ใช้คำพูดที่ไม่มีแก่นสารเพื่อหลอกลวงพระเจ้า หากฉันเอาใจใส่น้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ รู้ว่าตัวเองไม่เหมาะกับงานนี้แต่ไม่สามารถหาคนอื่นที่เหมาะสมได้ เช่นนั้นแล้ว ฉันก็ควรขัดเกลาทักษะต่างๆ ของตัวเองให้ชำนาญขึ้นและร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อป้องกันไม่ให้งานวิดีโอได้รับผลกระทบ นี่คือสิ่งที่บุคคลซึ่งมีมโนธรรมและสภาวะความเป็นมนุษย์ควรทำ หากท้ายที่สุดแล้วฉันไม่เหมาะกับงานจริงๆ และลงเอยด้วยการถูกโยกย้ายหรือถูกปลด เช่นนั้นฉันก็จะแค่นบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า มีเพียงการปฏิบัติในหนทางนี้เท่านั้นที่สมเหตุสมผล เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกสงบลงเล็กน้อย

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งซึ่งมอบความเข้าใจบางอย่างถึงท่าทีที่ฉันมีต่อหน้าที่ของตัวเอง พระเจ้าตรัสว่า “บรรดาผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงล้วนปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยชุดความคิดที่ขาดความรับผิดชอบ  ‘หากมีคนนำ ฉันก็ตาม ไม่ว่าพวกเขานำไปไหน ฉันก็ไป  ฉันจะทำสิ่งที่พวกเขาให้ฉันทำ  ส่วนเรื่องของการรับผิดชอบและใส่ใจ หรือการพยายามขึ้นอีกเพื่อทำอะไรบางสิ่ง ทำบางอย่างด้วยหัวใจทั้งดวงและเรี่ยวแรงทั้งหมดของฉัน—ฉันไม่พร้อมที่จะทำเช่นนั้น’  ผู้คนเหล่านี้ไม่เต็มใจที่จะยอมลำบาก  พวกเขาเต็มใจที่จะออกแรงเท่านั้น แต่ไม่รับผิดชอบ  นี่ไม่ใช่ท่าทีของคนที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างแท้จริง  คนเราต้องเรียนรู้ที่จะทุ่มเทหัวใจให้กับการปฏิบัติหน้าที่ของตน และบุคคลที่มีมโนธรรมย่อมสามารถสัมฤทธิ์สิ่งนี้ได้  หากคนเราไม่เคยทุ่มเทหัวใจให้กับการปฏิบัติหน้าที่ นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่มีมโนธรรม และผู้คนที่ไม่มีมโนธรรมย่อมไม่สามารถได้รับความจริง  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาไม่สามารถได้รับความจริง?  พวกเขาไม่รู้วิธีอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่รู้ว่าจะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างไร อีกทั้งไม่รู้วิธีทุ่มเทหัวใจให้กับการใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่รู้วิธีแสวงหาความจริง วิธีแสวงหาที่จะเข้าใจข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการ  สิ่งนี้เองคือการไม่สามารถแสวงหาความจริงได้  พวกเจ้ามีประสบการณ์หรือไม่กับสภาวะที่ว่า ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าปฏิบัติหน้าที่ประเภทใด เจ้าก็สามารถสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้บ่อยครั้งและสามารถทุ่มเทหัวใจให้กับการใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์ รวมถึงการแสวงหาความจริง และการคิดคำนึงว่าเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่นั้นอย่างไรจึงจะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และความจริงใดที่เจ้าควรมีเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่นั้นได้อย่างน่าพอใจ?  มีหลายครั้งที่เจ้าแสวงหาความจริงในหนทางนี้ใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  การทุ่มเทหัวใจให้กับหน้าที่และสามารถรับผิดชอบได้นั้นพึงให้เจ้าต้องทนทุกข์และยอมลำบาก—การแค่พูดถึงสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่เพียงพอ  หากเจ้าไม่ทุ่มเทหัวใจให้กับหน้าที่ของตน กลับอยากตรากตรำอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่ได้ทำหน้าที่ของตนให้เสร็จสิ้นด้วยดีอย่างแน่นอน  เจ้าจะเพียงแค่แสร้งทำพอเป็นพิธี และเจ้าจะไม่รู้ว่าเจ้าทำหน้าที่ของตนได้ดีหรือไม่  หากเจ้าทุ่มเทหัวใจของตนให้กับหน้าที่ เจ้าจะเริ่มเข้าใจความจริงทีละน้อย หากเจ้าไม่ได้ทำเช่นนั้น เจ้าก็จะไม่เข้าใจความจริง  เมื่อเจ้าทุ่มเทหัวใจให้กับการปฏิบัติหน้าที่และการไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็จะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าทีละน้อย เริ่มค้นพบความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตนเอง และเริ่มเข้าใจสภาวะทั้งหลายทั้งปวงของตนอย่างถ่องแท้  เมื่อเจ้ามุ่งเน้นเพียงแค่การทุ่มเทพยายาม และเจ้าไม่ได้ทุ่มหัวใจให้กับการคิดทบทวนตนเอง เจ้าจะไม่สามารถค้นพบสภาวะที่แท้จริงในหัวใจของตน รวมถึงปฏิกิริยา และการเปิดเผยความเสื่อมทรามมากมายที่เจ้ามีในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน  หากเจ้าไม่รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรเมื่อปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังประสบปัญหามากมาย  นี่คือเหตุผลที่การเชื่อในพระเจ้าในหนทางที่สับสนนั้นไม่มีประโยชน์  เจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าตลอดทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าก็ต้องแสวงหาความจริงอยู่เสมอ และขณะที่เจ้าแสวงหาความจริงนั้น เจ้าต้องคิดทบทวนตนเองและรู้ว่ามีปัญหาใดในสภาวะของเจ้า พร้อมทั้งแสวงหาความจริงทันทีเพื่อแก้ไขปัญหา  ด้วยเหตุนี้เท่านั้นเจ้าจึงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างดีและหลีกเลี่ยงการทำให้งานล่าช้าได้  ไม่เพียงแต่เจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างดีเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือเจ้าจะมีการเข้าสู่ชีวิตและสามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้ด้วย  มีเพียงการนี้ที่เจ้าจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  หากสิ่งที่เจ้ามักจะไตร่ตรองอยู่ในหัวใจไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้า หรือเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความจริง ทว่าเจ้ากลับเข้าไปพัวพันกับสิ่งภายนอก โดยมีความคิดอยู่กับเรื่องของเนื้อหนัง เจ้าจะสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างดีและใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  บุคคลเช่นนั้นย่อมไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงคนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง)  การเปิดโปงท่าทีประเภทนี้ของพระเจ้าอธิบายความเป็นฉันโดยแท้ ตอนที่เริ่มทำหน้าที่นี้ ฉันไม่ได้รับผิดชอบภาระหน้าที่ใดทั้งสิ้น ฉันเห็นว่าคู่ทำงานมีประสบการณ์มากกว่าตัวเอง ฉันจึงหลบไปอยู่ด้านหลัง และรู้สึกว่าตราบเท่าที่ฉันสามารถทำให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดในส่วนงานของฉันเอง สิ่งทั้งหลายก็ย่อมเป็นไปได้ด้วยดี หากทำเช่นนี้ฉันก็จะดูน่านับถือและไม่ต้องทำตัวเองให้เหนื่อย ด้วยเหตุนั้นฉันจึงมุ่งเน้นแต่งานของตัวเองและไม่เคยใส่ใจกับงานที่พวกเขาดูแลรับผิดชอบ อีกทั้งไม่เคยจริงจังกับปัญหาหรือความลำบากยากเย็นที่เกิดขึ้นในงานนั้น เมื่อผู้นำถามว่าทำไมงานของกลุ่มเราถึงไร้ประสิทธิภาพเหลือเกิน ฉันก็ไม่มีคำตอบ ท่าทีประเภทนี้เป็นท่าทีแบบเดียวกับที่ผู้ไม่เชื่อปฏิบัติต่อการงานของพวกเขา ฉันเอาใจใส่น้ำพระทัยของพระเจ้าในหน้าที่ของตัวเองแบบไหนกัน? เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในงาน ฉันก็จะไม่แสวงหาความจริงหรือสรุปสิ่งที่เบี่ยงเบนไป และจะไม่พิจารณาว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพในงานได้อย่างไร ฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าว่าตราบใดที่เพื่อนร่วมงานของฉันสามารถรับผิดชอบงานเหล่านั้นได้ ฉันก็พอจะพักผ่อนหย่อนใจได้บ้าง ในยามที่ฉันมีเวลา ฉันก็จะปรนเปรอเนื้อหนังของตัวเองหรือดูวิดีโอทางโลก ฉันกลายเป็นคนเหลวไหลมากขึ้นเรื่อยๆ และห่างเหินจากพระเจ้ามากขึ้นทุกที ฉันเห็นว่าฉันไม่มีความขยันขันแข็งในหน้าที่ของตัวเอง ฉันเพียงแต่ปฏิบัติต่อหน้าที่นี้ราวกับงานงานหนึ่ง แบบนี้ฉันจะปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดีได้อย่างไร? จุดนี้เองที่ในที่สุดฉันก็ตระหนักว่า การจัดการเตรียมการของพระเจ้ากำจัด “ทางเลือกสำรอง” ของฉันทิ้งไปเพื่อมอบโอกาสให้ฉันได้ปฏิบัติ เรียนรู้ที่จะรู้สึกกังวล แบกรับความรับผิดชอบด้วยความกระตือรือร้น พึ่งพาพระเจ้าในความลำบากยากเย็นทั้งหลาย และแสวงหาหลักธรรมความจริง ที่สำคัญกว่านั้นคือ สิ่งนี้ยังเปิดโอกาสให้ฉันได้รู้ว่าท่าทีหย่อนยานและขาดความรับผิดชอบที่ฉันมีต่อหน้าที่นั้นทำให้พระเจ้าทรงเกิดความรังเกียจ ความกดดันจากงานตอนนี้จะบีบฉันให้แข็งขันในหน้าที่มากขึ้นและทำงานเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองได้ดีพอ การเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าทำให้ฉันเต็มใจที่จะนบนอบต่อสถานการณ์เหล่านี้ ตลอดสองสามวันถัดจากนั้นฉันตั้งใจรับความเจ็บปวดที่หนักหนาขึ้นในงานของตัวเอง ทันทีที่ฉันเจอปัญหาในงานวิดีโอ ฉันก็จดเอาไว้และหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ฉันวางแผนการเรียนรู้และเพียรพยายามที่จะรับช่วงต่องานโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อสภาวะของฉันได้รับการปรับปรุงแก้ไข ฉันก็มีเวลาให้กับงานของตัวเองมากขึ้น และใช้ชีวิตในทุกวันอย่างสันติมากขึ้น

ต่อมาฉันได้ทำงานคู่กับพี่น้องหญิงอีกคนหนึ่ง ในช่วงแรกฉันยังคงเอาใจใส่กับการมีความรับผิดชอบให้มากขึ้น แต่พอผ่านไปสักระยะ ฉันก็พบว่าเธอค่อนข้างมีทักษะและมีความเชี่ยวชาญในสายงานมากกว่าฉัน ฉันจึงยกงานบางอย่างให้เธอทำแล้วไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานนั้นอีก บางครั้งเพื่อรักษาความมีหน้ามีตาของตัวเองไว้ ฉันก็จะมีส่วนร่วมในการพูดคุยหารือแต่ยั้งตัวเองไว้ไม่ให้แสดงข้อเสนอแนะ พลางคิดว่า “พอเห็นว่าคุณสามารถรับมือกับสิ่งต่างๆ ได้ ฉันก็ไม่จำเป็นจะต้องกังวลและฉันก็สามารถทำตัวตามสบายสักพักหนึ่งได้” ผู้นำของฉันเตือนฉันให้คำนึงถึงงานมากยิ่งกว่านี้ ฉันทำตามคำที่เธอเตือนได้อยู่สองสามวัน แต่ผ่านไปไม่นานฉันก็กลับมาเป็นแบบเดิม บางครั้งพี่น้องชายหญิงส่งข้อความมาหาเราเรื่องปัญหายุ่งยากที่เกิดขึ้นในงานซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขทันที แต่ทันที่เห็นข้อความว่านี่คืองานที่พี่น้องหญิงของฉันติดตามดูแลเป็นหลัก ฉันก็ไม่อยากที่จะใส่ใจ ฉันจะจงใจเลือกให้ข้อความนั้นเป็นข้อความที่ยังไม่ได้อ่านและแสร้งว่ายังไม่เห็น คิดว่าหลังจากนั้นพี่น้องหญิงของฉันจะสามารถรับมือได้ แม้ฉันรู้สึกว่านี่คือการขาดความรับผิดชอบ แต่ในเมื่องานคืบหน้าไปตามปกติ ฉันจึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก สองสามเดือนต่อมา พวกเราต้องแยกกันรับผิดชอบงานวิดีโอคนละส่วน คราวนี้ฉันไม่มีคนช่วยและฉันรู้ว่าฉันต้องเผชิญกับความลำบากยากเย็นและปัญหามากมายอย่างแน่นอน แต่เมื่อฉันนึกถึงการที่ฉันขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่และคิดว่านี่จะเป็นการดีสำหรับฉันได้อย่างไร ฉันก็บอกตัวเองว่าฉันควรเริ่มด้วยการนบนอบ แต่เมื่อเริ่มเข้าจริง ฉันก็พบว่าทันใดนั้นฉันก็มีงานอีกมากมายที่ต้องติดตาม และจำนวนสิ่งต่างๆ ที่ฉันต้องจัดการในแต่ละวันก็มีมากมายไม่สิ้นสุด ยิ่งกว่านั้นคือ ทักษะในสายงานของฉันไม่ได้ดีเลิศและปัญหาก็เผยออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วิดีโอทุกเรื่องที่พวกเราทำได้รับข้อเสนอแนะและฉันต้องใช้ความคิดในการตอบสนองต่อข้อเสนอแต่ละเรื่อง ความมีใจกระตือรือร้นที่มีอยู่น้อยนิดของฉันถูกใช้หมดลงไปทีละน้อย และฉันก็มักจะสงสัยกับตัวเองว่า “ฉันพยายามอย่างหนักแล้วแต่ยังคงมีปัญหามากมาย ถ้าผู้นำหาใครสักคนที่เหมาะสมกว่านี้มาน่าจะดีกว่า” หลังจากนั้นไม่นาน วิดีโอของพวกเราจำนวนหนึ่งก็ถูกส่งกลับมาทำใหม่ติดต่อกัน และฉันก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ลงไปกว่าเดิม ฉันไม่ต้องการแก้ไขปัญหายุ่งยากที่เผชิญอยู่อีกต่อไป อีกทั้งโหยหาช่วงเวลาที่ฉันได้ทำหน้าที่คู่กับผู้อื่นมากกว่าเดิม ช่วงเวลาที่ฉันเอาแต่หลบหลังพวกเขาได้อย่างเริงร่า และไม่ต้องแบกรับความกดดันมากมายนัก ฉันรู้สึกไร้แรงขับเคลื่อนที่จะทำหน้าที่ เวลาก้าวเดินขาทั้งสองข้างก็พลันหนักอึ้งเดิน ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่าฉันไม่สามารถทำหน้าที่ด้วยสภาวะนี้ได้อีกต่อไป ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า ผ่านการแสวงหา ทันใดนั้นฉันก็นึกถึงโนอาห์ เขาเผชิญกับความลำบากยากเย็นและความล้มเหลวมากมายตอนที่สร้างเรือ แต่เขาไม่เคยล้มเลิก ทั้งยังเดินหน้าสร้างเรือต่อไปอีก 120 ปี ท้ายที่สุดก็สามารถสร้างเรือได้สำเร็จและทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น แต่เมื่อฉันเผชิญกับความลำบากยากเย็นแค่ไม่เท่าไหร่ ฉันกลับต้องการจะทิ้งภาระของตัวเองและวิ่งหนีไป ฉันกำลังทำตัวเป็นคนขี้ขลาดอยู่ไม่ใช่หรือ? เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉันก็สงบจิตใจของตัวเองได้บ้างและสามารถเผชิญปัญหาในงานได้อย่างเหมาะสม

ระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “ผู้นำเทียมเท็จทุกคนไม่เคยทำงานจริง พวกเขาทำเหมือนบทบาทผู้นำของตนคือตำแหน่งบางอย่างของรัฐ สุขสำราญกับผลประโยชน์ที่มากับสถานะ  พวกเขาถือว่าหน้าที่ที่ผู้นำควรจะปฏิบัติและงานที่ผู้นำควรจะทำนั้นเป็นภาระ เป็นสิ่งกวนใจ  ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาเปี่ยมล้นไปด้วยการท้าทายงานของคริสตจักร กล่าวคือ หากเจ้าให้พวกเขาจับตาดูงานและมองหาปัญหาที่มีอยู่ในงาน ซึ่งจำเป็นต้องติดตามและแก้ไข พวกเขาก็จะเต็มไปด้วยความไม่สมัครใจ  นี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานพึงทำ นี่คืองานของพวกเขา  ถ้าพวกเขาไม่ทำงานนั้น—ถ้าพวกเขาไม่เต็มใจทำงานนั้น—เหตุใดพวกเขาจึงอยากเป็นผู้นำหรือคนทำงานอยู่อีก?  พวกเขาทำหน้าที่ของตนเพื่อที่จะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะ?  หากพวกเขาแค่อยากดำรงตำแหน่งบางอย่างของรัฐ การเป็นผู้นำก็ย่อมไร้ความละอายมิใช่หรือ?  ไม่มีผู้ใดมีบุคลิกที่ต่ำต้อยกว่านี้แล้ว—ผู้คนเหล่านี้ไม่มีความเคารพตนเอง พวกเขาไม่มีความละอาย  ถ้าพวกเขาอยากสุขสำราญกับความสุขสบายทางเนื้อหนัง พวกเขาก็ควรรีบกลับไปหาโลก พากเพียร กอบโกย และฉกฉวยเท่าที่พวกเขาสามารถทำได้  จะไม่มีใครก้าวก่าย  พระนิเวศของพระเจ้าคือสถานที่ให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทำหน้าที่ของตนและนมัสการพระองค์ เป็นสถานที่ให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการช่วยให้รอด  นี่ไม่ใช่สถานที่ให้ใครก็ได้มาดื่มด่ำกับความสุขสบายทางเนื้อหนัง และยิ่งไม่ใช่สถานที่ที่จะปล่อยให้ผู้คนใช้ชีวิตสุขสบายเหมือนเจ้าชาย… ไม่ว่าผู้คนบางคนจะทำงานอะไรหรือปฏิบัติหน้าที่อะไร พวกเขาก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จในงานหรือหน้าที่นั้นได้ พวกเขาไม่สามารถแบกรับ และไม่สามารถทำให้ภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบใดๆ ที่ผู้คนควรจะทำนั้นลุล่วง  พวกเขาไม่ใช่ขยะหรอกหรือ?  พวกเขายังคู่ควรที่จะได้ชื่อว่ามนุษย์อยู่อีกหรือ?  ยกเว้นพวกคนเขลา ผู้พิการทางสติปัญญา และผู้ที่ทุกข์ทนจากความบกพร่องทางร่างกายแล้ว คนที่ยังมีชีวิตนั้นมีผู้ใดบ้างที่ไม่ควรทำหน้าที่ของตนและทำให้ความรับผิดชอบของตนลุล่วง?  แต่คนแบบนี้ก็กลับกลอกและอู้งานอยู่เสมอ และไม่อยากลุล่วงความรับผิดชอบของตน ความหมายโดยนัยคือพวกเขาไม่อยากประพฤติปฏิบัติตนให้ถูกควร  พระเจ้าประทานโอกาสในการเป็นมนุษย์แก่พวกเขา และพระองค์ก็ประทานขีดความสามารถและพรสวรรค์แก่พวกเขา แต่พวกเขากลับไม่สามารถใช้สิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่ของตน  พวกเขาไม่ทำอะไร แต่ก็อยากดื่มด่ำอยู่ในความสุขสำราญทุกครั้งที่มีโอกาส  บุคคลเช่นนี้เหมาะที่จะได้ชื่อว่ามนุษย์กระนั้นหรือ?  ไม่ว่าจะให้งานอะไรแก่พวกเขา—จะเป็นงานสำคัญหรือธรรมดา ยากหรือเรียบง่าย—พวกเขาก็สุกเอาเผากินและกลับกลอกอยู่เสมอ  เมื่อเกิดปัญหาขึ้น พวกเขาก็พยายามผลักความรับผิดชอบในปัญหาเหล่านั้นไปให้ผู้อื่น ไม่ยอมรับผิดชอบอะไร แต่กลับอยากใช้ชีวิตเยี่ยงกาฝากของตนไปเรื่อยๆ  พวกเขาคือขยะที่ไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?  ในสังคม มีผู้ใดไม่ต้องพึ่งพาตนเองเพื่อความอยู่รอด?  เมื่อบุคคลผู้หนึ่งโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาต้องดูแลตนเอง  บิดามารดาของพวกเขาได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้ว  ต่อให้บิดามารดาของพวกเขาเต็มใจสนับสนุนพวกเขา พวกเขาก็จะไม่สบายใจในเรื่องนี้  พวกเขาควรที่จะสามารถตระหนักรู้ว่าพ่อแม่เสร็จสิ้นงานเลี้ยงดูพวกเขาไปแล้ว  พวกเขาควรตระหนักว่าในฐานะผู้ใหญ่ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ พวกเขาควรที่จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นเอกเทศ  นี่คือเหตุผลขั้นต่ำสุดที่ผู้ใหญ่พึงมีมิใช่หรือ?  หากใครบางคนมีเหตุผลอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมไม่สามารถเกาะกินบิดามารดาของตนต่อไป พวกเขาจะกลัวเสียงหัวเราะของผู้อื่น กลัวที่จะละอายใจ  แล้วคนที่รักความสบายและเกลียดงานการนั้นมีเหตุผลหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาต้องการบางสิ่งมาเปล่าๆ อยู่เสมอ ไม่เคยอยากรับผิดชอบอะไร อยากให้ขนมหวานร่วงหล่นลงมาจากฟ้าและตกใส่ปากตัวเองเท่านั้น พวกเขาอยากได้อาหารครบหมู่สามมื้อต่อวันอยู่ตลอดเวลา อยากให้มีคนคอยบริการพวกเขา อยากกินและดื่มของอร่อยได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องทำงานแม้แต่น้อย  นี่คือวิธีคิดของกาฝากมิใช่หรือ?  แล้วผู้คนที่เป็นกาฝากมีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่?  พวกเขามีศักดิ์ศรีและความซื่อตรงหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่มี  พวกเขาล้วนเป็นคนไร้ประโยชน์ที่เอาแต่ได้ เป็นสัตว์ป่าที่ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล  ไม่มีใครในหมู่พวกเขาเหมาะที่จะคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8))  พระวจนะของพระเจ้ากระตุ้นเตือนให้ฉันทบทวนว่า การตรวจสอบและการเข้าใจปัญหาในงาน รวมถึงการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเป็นงานของผู้นำและคนทำงาน แต่ผู้นำเทียมเท็จทั้งหลายมองเรื่องนี้เป็นภาระ การนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน ทว่าเพื่อเพลิดเพลินในกับดักของการเป็นเจ้าพนักงาน ฉันเห็นว่าพฤติกรรมของตัวฉันก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ฉันควรรับผิดชอบและแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นที่เกิดขึ้น ฉันควรถือโอกาสนี้แสวงหาความจริงและชดเชยข้อบกพร่องของตัวเอง ซึ่งจะทำให้ฉันก้าวหน้าได้เร็วมากขึ้น แต่ฉันต้องการปฏิเสธหน้าที่ของตัวเองเพราะมีความยากลำบากมากมายเกินไป ในฐานะหัวหน้างาน ฉันไม่ได้ทำงานจริงหรือแก้ไขปัญหาจริงใดๆ เลย นี่คือฉันแค่กระหายผลประโยชน์จากสถานะไม่ใช่หรือ? เมื่อมองย้อนกลับไปดูพฤติกรรมของตัวเอง แม้ว่าตอนที่มีคู่ทำงานฉันอาจดูเหมือนกำลังทำงานอยู่ แต่ที่จริงงานนี้ถูกแบ่งในหมู่พวกเราหลายคน และทั้งหมดที่ฉันรับผิดชอบก็ไม่ได้มากมายนัก หน้าที่ของฉันนั้นง่าย อันที่จริงฉันเลยมีช่วงเวลาที่สบายอยู่จริงๆ แต่เมื่อคู่ทำงานทั้งสองคนของฉันถูกโยกย้าย ความกดดันในงานก็เพิ่มพูนขึ้นมาก ฉันจำเป็นต้องทนทุกข์เพื่อแบกรับความรับผิดชอบ ดังนั้นฉันจึงเกิดการแข็งขืนจนถึงขั้นที่อยากจะทรยศพระเจ้าและปฏิเสธหน้าที่ของตัวเอง ต่อมา ถึงแม้ฉันจะแก้ไขสภาวะของตัวเองด้วยการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าแล้ว เมื่อฉันได้ทำงานคู่กับพี่น้องหญิงที่มีประสบการณ์มากกว่าตัวเอง ฉันก็กลับมารับผิดชอบน้อยลง และปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละวันอย่างเอ้อระเหย ไม่เต็มใจที่จะเป็นกังวล คราวนี้เมื่อฉันต้องรับผิดชอบงานวิดีโอเพียงลำพังและพ่วงมาด้วยความลำบากยากเย็น ฉันก็อยากที่จะวิ่งหนีอีกครั้ง ฉันเห็นว่าฉันมีท่าทีอันแสนคิดคดต่อหน้าที่และพร้อมจะหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองทันทีที่เจอสัญญาณของความยากลำบากทางกายหรือความรับผิดชอบ ฉันอยากจะสลับไปเป็นงานที่ง่ายและไม่เครียดอยู่เสมอ แต่ความจริงก็คือ งานทุกงานล้วนมีความลำบากยากเย็นบางอย่าง และหากฉันไม่แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง ฉันก็จะไม่สามารถทำหน้าที่ใดให้ถูกต้องเหมาะสมได้เลย ฉันเห็นว่าฉันมีธรรมชาติที่เหนื่อยหน่ายความจริงและเห็นว่าฉันไม่รักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก ฉันไม่ได้อยู่ตรงนั้นเพื่อทำหน้าที่ให้ลุล่วง แต่กลับเพื่อชื่นชมพระพร สุดท้ายแล้วฉันจะไม่ได้อะไรจากความเชื่อประเภทนี้เลย! ยิ่งฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “พวกเขาต้องการบางสิ่งมาเปล่าๆ อยู่เสมอ ไม่เคยอยากรับผิดชอบอะไร อยากให้ขนมหวานร่วงหล่นลงมาจากฟ้าและตกใส่ปากตัวเองเท่านั้น พวกเขาอยากได้อาหารครบหมู่สามมื้อต่อวันอยู่ตลอดเวลา อยากให้มีคนคอยบริการพวกเขา อยากกินและดื่มของอร่อยได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องทำงานแม้แต่น้อย  นี่คือวิธีคิดของกาฝากมิใช่หรือ?”  ฉันเป็นคนชนิดเดียวกับที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยไว้ไม่มีผิด ฉันเพียงแต่ต้องการเก็บเกี่ยวแต่ไม่เคยหว่านเมล็ด และต้องการที่จะชื่นชมกับผลผลิตจากน้ำพักน้ำแรงของผู้อื่น เช่นนั้นแล้วฉันก็เป็นเพียงขยะไม่ใช่หรือ? ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งพบว่าตัวเองรู้สึกสะอิดสะเอียน เมื่อก่อน คนที่ฉันเคยเกลียดมากที่สุดก็คือพวกหาประโยชน์ความใจกว้างของคนอื่นที่เกาะพ่อแม่กิน โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแต่ไม่ย้ายออกไปจากบ้าน เอาเปรียบพ่อแม่ของตัวเอง และไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่พฤติกรรมที่ฉันเป็นอยู่ต่างจากพวกเขาอย่างไรหรือ? ขณะที่ตำหนิตัวเองนั้นฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ในที่สุดข้าพระองค์ก็เห็นว่าข้าพระองค์ช่างเห็นแก่ตัวแต่ไม่จริงใจในหน้าที่ของตัวเองโดยแท้ ข้าพระองค์นึกถึงแต่เนื้อหนังของตัวเองและต้องการเป็นปรสิต ความคิดที่ชั่วช้าเหล่านี้ทำให้ข้าพระองค์หวั่นใจจริงๆ ในคริสตจักรมีงานมากมายที่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือโดยด่วน แต่ข้าพระองค์ไม่พยายามที่จะทำให้เกิดความคืบหน้าหรือแบกรับภาระใดเลย ข้าพระองค์คือขยะ”

ฉันทำการครุ่นคิดต่อไปอีก ในยามที่เกิดความกดดันและความลำบากยากเย็นในงาน เหตุใดฉันจึงต้องการที่จะหนีและปฏิเสธหน้าที่ของตัวเองอยู่เสมอ? รากเหง้าของปัญหานี้คืออะไรกันแน่? ในการแสวงหา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “วันนี้ เจ้าไม่เชื่อวจนะที่เรากล่าว และเจ้าไม่ใส่ใจกับมันเลย เมื่อถึงวันที่พระราชกิจนี้เผยแผ่ออกไป และเจ้ามองเห็นทั้งหมดทั้งสิ้นของมัน เจ้าจะเสียใจ และ ณ เวลานั้น เจ้าจะอึ้งและงงงัน  พรทั้งหลายนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่รู้ว่าจะชื่นชมพวกมันอย่างไร และความจริงนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหามัน  นี่เจ้าไม่ได้ทำให้ตัวเองน่าเหยียดหยามหรอกหรือ?  วันนี้ ถึงแม้ว่าขั้นตอนถัดไปแห่งพระราชกิจของพระเจ้ายังไม่ได้เริ่มขึ้น ก็ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับข้อเรียกร้องที่ขอจากเจ้าและเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าถูกขอให้ใช้ดำเนินชีวิต  มีพระราชกิจมากมายเหลือเกินและความจริงมากมายเหลือเกิน พวกมันไม่มีค่าคู่ควรที่เจ้าจะรู้หรอกหรือ?  การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะปลุกจิตวิญญาณของเจ้าให้ตื่นขึ้นมาหรือ?  การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะทำให้เจ้าเกลียดชังตัวเจ้าเองหรือ?  เจ้าพอใจที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานพร้อมกับสันติสุขและความชื่นบาน และสิ่งชูใจเล็กน้อยทางเนื้อหนังอย่างนั้นหรือ?  เจ้าไม่ได้ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหมดหรอกหรือ?  ไม่มีใครเลยที่โง่เขลาไปกว่าพวกที่มองดูความรอดแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาที่จะได้รับมัน กล่าวคือ เหล่านี้เป็นผู้คนที่มูมมามไปกับเนื้อหนังจนเกินขนาดและสุขสำราญไปกับซาตาน  เจ้าหวังว่าความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าจะไม่พ่วงเอาความท้าทายหรือความทุกข์ลำบากอันใด หรือความยากลำบากแม้เพียงน้อยนิดมาด้วย  เจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นซึ่งไร้ค่าเสมอ และเจ้าไม่ให้คุณค่ากับชีวิต แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับให้ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเจ้าเองมาก่อนความจริง  เจ้าช่างไร้ค่ายิ่งนัก!  เจ้ามีชีวิตอยู่เหมือนสุกรตัวหนึ่ง—มีความแตกต่างอะไรเล่าระหว่างตัวเจ้า และพวกสุกรกับพวกสุนัข?  พวกที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับรักเนื้อหนัง ไม่ใช่สัตว์ร้ายทั้งหมดหรอกหรือ?  พวกที่ตายไปแล้วและปราศจากจิตวิญญาณไม่ใช่ซากศพที่เดินได้หรอกหรือ?  วจนะมากมายเพียงใดแล้วที่ได้กล่าวไปท่ามกลางพวกเจ้า?  งานที่ได้ถูกกระทำไปท่ามกลางพวกเจ้ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นอย่างนั้นหรือ?  เราได้จัดเตรียมไปมากเพียงใดแล้วท่ามกลางพวกเจ้า?  แล้วเหตุใดเจ้ายังไม่ได้รับมัน?  เจ้ามีอะไรให้ต้องร้องทุกข์หรือ?  นี่ไม่ใช่กรณีที่เจ้าไม่ได้รับสิ่งใดเลยเพราะเจ้าหลงรักเนื้อหนังมากเกินไปหรอกหรือ?  และนี่ไม่ใช่เพราะความคิดของเจ้านั้นฟุ้งซ่านเกินไปหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าโง่เง่าเกินไปหรอกหรือ?  หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะได้รับพรเหล่านี้ เจ้าสามารถติเตียนพระเจ้าเพราะการที่ไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอดได้อย่างนั้นหรือ?  สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือการที่จะสามารถได้รับสันติสุขภายหลังการเชื่อในพระเจ้า เพื่อลูกหลานของเจ้าจะได้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อสามีของเจ้าจะมีงานที่ดี เพื่อบุตรชายของเจ้าจะได้เจอภรรยาที่ดี เพื่อบุตรสาวของเจ้าจะได้เจอสามีที่มีความประพฤติดีเหมาะสม เพื่อม้าและโคของเจ้าจะไถพรวนผืนดินได้ดี เพื่อปีที่มีสภาพอากาศที่ดีสำหรับพืชผลของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าแสวงหา  การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย เพื่อที่พืชผลของครอบครัวเจ้าจะไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้รับผลกระทบจากความวิบัติอันใด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในรังอันอุ่นสบาย  คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่?  เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ?  เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา  เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา  เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ?  พวกสุกรไม่เสาะหาชีวิตของมนุษย์ พวกมันไม่ไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้สะอาด และพวกมันไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร  ในแต่ละวัน หลังจากที่พวกมันกินกันจนอิ่มแปล้ มันก็แค่หลับไป  เราได้ให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้รับมัน เจ้าเป็นคนมือเปล่า  เจ้าเต็มใจที่จะดำเนินต่อไปในชีวิตนี้ ชีวิตของสุกรตัวหนึ่งหรือไม่?  อะไรคือนัยสำคัญของการที่ผู้คนเช่นนั้นมีชีวิตอยู่?  ชีวิตของเจ้าช่างน่าเหยียดหยามและต่ำศักดิ์ เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสมมและความเสเพล และเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ?  เจ้ากล้าดีที่จะมองพระเจ้าหรือ?  หากเจ้ามีประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป เจ้าย่อมจะไม่ได้สิ่งใดเลยไม่ใช่หรือ?  หนทางที่แท้จริงได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว แต่การที่เจ้าจะสามารถรับไว้จนถึงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของตัวเจ้าเอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  จากพระวจนะอันดุดันของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกว่าพระเจ้าทรงมีความรังเกียจและความชิงชังอย่างที่สุดต่อผู้ที่โหยหาความสะดวกสบาย สำหรับพระองค์นั้น พวกเขาเป็นเพียงสัตว์ พวกเขาคือพวกขี้เกียจสันหลังยาว ไม่เต็มใจที่จะทำให้งานคืบหน้า พอใจที่จะเอ้อระเหยลอยชาย และในท้ายที่สุด พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ใดอย่างเหมาะสมและไม่ได้รับความจริงเลย พวกเขาคือขยะ นี่คือสิ่งที่ฉันเป็น ฉันชอบให้หน้าที่ของฉันดำเนินไปอย่างราบรื่น และตราบใดที่ฉันมีหน้าที่และฉันไม่ได้ถูกปลดหรือถูกกำจัดออกไป สิ่งทั้งหลายก็ย่อมเรียบร้อยดี แต่ทันทีที่ฉันเผชิญความลำบากยากเย็นที่ฉันจำเป็นต้องทนทุกข์หรือจ่ายราคา ฉันก็หดหัว ฉันเพียงต้องการเลือกงานที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา และฉันก็ค้ำจุนหลักการเยี่ยงซาตานในชีวิตที่ว่า “จงมีความสุขกับชีวิตในขณะที่ยังมีชีวิต” และ “จงดูแลรักษาตนเองให้ดี” เพราะการครอบงำของความคิดและทรรศนะเหล่านี้ ฉันจึงโหยหาความสะดวกสบายอยู่เสมอและหงุดหงิดใจเมื่อไรก็ตามที่งานที่ฉันรับผิดชอบพอกพูนขึ้นด้วยกังวลว่าสิ่งเหล่านี้จะกินเวลาพักผ่อนของฉัน เมื่อฉันจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะบางอย่างเพิ่มเติม ฉันก็ไม่เต็มใจที่จะยอมลำบากเพื่อสิ่งนั้น ผลก็คือหลังจากผ่านไปแล้วระยะหนึ่ง ฉันก็ไม่ได้เกิดความคืบหน้าในทักษะของตัวเอง และไม่สามารถรับมือกับงานของตัวเองได้ บางครั้งฉันถึงกับละเลยหน้าที่และดูวิดีโอในทางโลกโดยแสร้งว่าเป็นการเรียนรู้ทักษะ จนวิญญาณของฉันนั้นด้านชาและมืดมิดลงกว่าที่เคย ในฐานะหัวหน้างาน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในงาน ฉันก็ควรจะติดตามและแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างแข็งขัน แต่ทันทีที่ฉันเห็นว่าปัญหานั้นค่อนข้างยุ่งยาก ฉันก็เพียงใช้อุบายบางอย่างเพื่อที่จะเมินเฉยต่อปัญหาเหล่านั้น จนทำให้งานคืบหน้าล่าช้าลงไป สิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือความตั้งใจที่จะหาใครสักคนมาแทนที่และบรรเทาความกดดันให้ฉันเสมอ ฉันรู้ว่าการผลิตวิดีโอสำคัญมาก แต่ฉันก็จะสนองเนื้อหนังของตัวเองและหนีไปทุกครั้งที่เป็นช่วงเวลาสำคัญยิ่งยวด ไม่รับผิดชอบอะไรเลย ฉันเหมือนกับเด็กที่พ่อแม่เลี้ยงจนโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อถึงเวลาเสียสละเพื่อครอบครัว พวกเขาก็กลัวความทุกข์และไม่เต็มใจที่จะแบกรับความรับผิดชอบ บุคคลประเภทนี้ไร้ซึ่งมโนธรรมและเป็นพวกตัวร้ายจอมเนรคุณ ฉันนึกถึงการที่พฤติกรรมของฉันก็เป็นเช่นนี้ พระเจ้าทรงนำฉันมาถึงจุดนี้ ทั้งยังทรงมีพระคุณต่อฉัน ทรงอนุญาตให้ฉันได้ปฏิบัติหน้าที่ที่สำคัญเช่นนั้น แต่ฉันก็ยังกลัวความทุกข์อยู่เสมอและเอาใจใส่เพียงเนื้อหนังของตัวเอง ฉันไม่มีมโนธรรมเอาเสียเลย! ฉันพร่ำบ่นตลอดเวลาเรื่องความยากลำบากในหน้าที่และเกลียดการแยกจากความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง ไม่เพียงแต่ฉันกำลังเสียโอกาสในการได้รับความจริงเท่านั้น แต่ฉันยังสร้างความวุ่นวายในหน้าที่และหลงเหลือไว้เพียงการฝ่าฝืนเท่านั้น ท้ายที่สุดฉันย่อมถูกพระเจ้าทรงปฏิเสธและกำจัดออกไปอย่างแน่นอน!

ฉันเริ่มแสวงหาเส้นทางของการปฏิบัติ ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “สมมุติว่าคริสตจักรมอบงานให้เจ้าทำ และเจ้าบอกว่า ‘ไม่ว่างานนี้จะเปิดโอกาสให้ฉันได้รับความสนใจหรือไม่ก็ตาม—ในเมื่อมอบหมายให้ฉันทำแล้ว ฉันก็จะทำให้ดี  ฉันจะรับผิดชอบงานนี้  ถ้ามอบหมายให้ฉันไปทำงานต้อนรับ ฉันก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะต้อนรับผู้คนให้ดี ฉันจะดูแลพี่น้องชายหญิงเป็นอย่างดี และดูแลรักษาความปลอดภัยของทุกคนอย่างดีที่สุด  ถ้ามอบหมายให้ฉันเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ฉันก็จะนำความจริงติดตัวไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างเปี่ยมรัก และปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดี  ถ้ามอบหมายให้ฉันเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ฉันก็จะขยันเรียนและหมั่นเพียร เรียนรู้ให้ดีและให้เร็วเท่าที่จะทำได้ภายในเวลาหนึ่งหรือสองปี เพื่อให้ตัวเองสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าแก่ชาวต่างชาติได้  ถ้าขอให้ฉันเขียนบทความคำพยาน ฉันก็จะตั้งใจฝึกฝนตนเองให้เขียนได้และมองสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมความจริง ฉันจะเรียนภาษา และแม้จะไม่สามารถเขียนบทความเป็นความเรียงที่สละสลวย แต่อย่างน้อยฉันก็จะสามารถสื่อสารคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้อย่างชัดเจน สามารถสามัคคีธรรมความจริงให้เป็นที่เข้าใจได้ และกล่าวคำพยานที่แท้จริงให้พระเจ้า ถึงขั้นที่เมื่อผู้คนอ่านบทความของฉัน พวกเขาย่อมเกิดความเจริญใจและได้ประโยชน์  ไม่ว่าคริสตจักรมอบหมายงานอะไรให้ฉันก็ตาม ฉันก็จะทำงานนั้นด้วยหัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี  ถ้ามีบางสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจหรือมีปัญหาเกิดขึ้น ฉันจะอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาความจริง แก้ปัญหาตามหลักธรรมความจริง และทำสิ่งนั้นให้ดี  ไม่ว่าหน้าที่ของฉันจะเป็นอะไรก็ตาม ฉันจะใช้ทุกสิ่งที่มีเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้ดีและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  สิ่งใดก็ตามที่ฉันสามารถสัมฤทธิ์ได้ ฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะรับผิดชอบทุกสิ่งที่ฉันแบกรับอยู่ และอย่างน้อยที่สุด ฉันก็จะไม่ขัดต่อมโนธรรมและเหตุผลของตนเอง หรือทำตัวสุกเอาเผากิน หรือมีเหลี่ยมคูและกลับกลอก หรือสุขสำราญกับผลงานจากน้ำพักน้ำแรงคนอื่น  ฉันจะไม่ทำเรื่องที่ต่ำกว่ามาตรฐานทางมโนธรรม’  นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำสุดสำหรับการวางตัวของมนุษย์ และผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางนี้อาจมีคุณสมบัติของผู้ที่มีมโนธรรมและเหตุผล  อย่างน้อยเจ้าต้องชัดเจนในมโนธรรมเวลาปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และอย่างน้อยเจ้าก็ต้องรู้สึกว่าเจ้าสมควรได้รับอาหารสามมื้อต่อวัน ไม่ใช่ได้เปล่าก็พอ  นี่เรียกว่าสำนึกรับผิดชอบ  ไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้าสูงหรือต่ำ และไม่ว่าเจ้าเข้าใจความจริงหรือไม่ เจ้าก็ต้องมีท่าทีเช่นนี้คือ ‘ในเมื่อฉันได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้ ฉันก็ต้องปฏิบัติงานอย่างจริงจัง ฉันต้องสนใจและทำงานให้ดี ด้วยหัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี  ส่วนจะทำได้ดีจริงหรือไม่นั้น ฉันไม่อาจหาญให้คำรับรองได้ แต่ท่าทีของฉันก็คือฉันจะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อดูให้แน่ใจว่างานเสร็จเรียบร้อยด้วยดี และแน่นอนว่าฉันจะไม่สุกเอาเผากินในเรื่องงาน  ถ้างานเกิดปัญหา เช่นนั้นฉันก็ควรรับผิดชอบ และดูให้แน่ใจว่าฉันถอดบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นและปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างดี’  นี่คือท่าทีที่ถูกต้อง  พวกเจ้ามีท่าทีเช่นนี้กันหรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8))  พระวจนะของพระเจ้ามอบแรงบันดาลใจแก่ฉันโดยแท้จริง ในเมื่อคริสตจักรให้ฉันรับผิดชอบงานนี้ ฉันก็ต้องยอมรับความรับผิดชอบทั้งหมดเท่าที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งสามารถทำได้ ไม่ว่าขีดความสามารถของฉันสูงแค่ไหน ฉันมีความสามารถในงานมากแค่ไหน หรือมีความลำบากยากเย็นที่ฉันต้องเผชิญในหน้าที่มากเพียงไร ฉันก็ไม่สามารถหดหัว ฉันต้องเดินหน้าต่อและทุ่มเททั้งหมดที่มีเพื่อที่จะทำงานนี้ หลังจากนั้น เมื่อไรก็ตามที่พวกเราผลิตวิดีโอเสร็จและได้รับข้อเสนอแนะจากผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ฉันไม่ทันรู้ หรือเป็นสิ่งที่ฉันไม่รู้จะรับมืออย่างไร ฉันก็จะกระตือรือร้นแสวงหาเส้นทางในการแก้ไขหรือพยายามไปหาคนที่มีประสบการณ์ที่ฉันสามารถขอคำปรึกษาได้ ฉันค่อยๆ คุ้นเคยกับทักษะเหล่านี้มากขึ้น และเข้าใจหลักธรรมชัดเจนมากขึ้น ก่อนหน้านี้เมื่อไรก็ตามที่มีปัญหาที่ยุ่งยาก ฉันก็จะโยนให้เพื่อนร่วมงานสักคนหนึ่งจัดการอยู่เป็นประจำ ไม่ตอบข้อความกลุ่มโดยทันที และถ่วงเวลา ตอนนี้ฉันสามารถรับผิดชอบได้อย่างแข็งขันและแบกรับภาระในหน้าที่ได้มากขึ้น แม้ว่าจะมีความลำบากยากเย็นในระหว่างที่พวกเราร่วมมือกัน เมื่อฉันตั้งใจพึ่งพาพระเจ้า และผ่านการพูดคุยหารือกับทุกคน เส้นทางที่พวกเราควรเดินก็ย่อมชัดเจนมากขึ้นกว่าที่เคย

หลังจากประสบการณ์นี้เอง ฉันจึงตระหนักว่าฉันเห็นแก่ตัวและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเพียงใด ตระหนักว่าฉันคิดคดและเกียจคร้านในหน้าที่ ไม่เต็มใจที่จะแบกรับความรับผิดชอบ เมื่อฉันแก้ไขท่าทีของตัวเองและเต็มใจที่จะเอาใจใส่ภาระของพระเจ้าและทุ่มเทสุดตัวในการให้ความร่วมมือ ฉันก็ได้เห็นการทรงเป็นผู้นำและการทรงนำของพระเจ้า ฉันได้รับความเชื่ออยู่ภายใน และเกิดเต็มใจที่จะปฏิบัติการเป็นคนมีเหตุผลและมีสติซึ่งสนใจหน้าที่ของตัวเอง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ทางแยก

โดย หวางซิน, เกาหลี ฉันเคยมีครอบครัวที่มีความสุข และสามีก็ดีกับฉันมากค่ะ เราเปิดร้านอาหารของครอบครัวที่ไปได้ดีทีเดียว...

การติดโควิดเผยฉันออกมา

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาแพร่กระจายไปทั่วโลก ผู้คนติดเชื้อไวรัสนี้มากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนเสียชีวิตเพราะโรคนี้...

ฉันหยุดพูดโกหกอย่างไร

โดย มารีเนศ, ฝรั่งเศส ก่อนฉันจะยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันจะโกหกและประจบผู้คนโดยไม่ไตร่ตรอง เพราะกลัวว่าถ้าบอกความจริง...

รู้สึกดียิ่งนักที่ถอดหน้ากากของฉันออกไป

โดย เฉินหย่วน ประเทศจีน เดือนกันยายน ปี 2018 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันมีความสุขมากเลยตอนนั้น ฉันรู้สึกว่า ที่เป็นอย่างนี้...

ติดต่อเราผ่าน Messenger