การถอดหน้ากากออก
เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ในตอนแรก ฉันพูดฝรั่งเศสและสื่อสารกับสมาชิกใหม่ได้โดยตรง พี่น้องหญิงสองสามคนที่ฉันทำงานด้วยมาขอให้ช่วยทำงานแปล และให้ฉันช่วยถ้าพวกเธอมีคำถามหรือเรื่องยากลำบากอื่นๆ ที่คริสตจักรผู้เชื่อใหม่ ไม่ว่าฉันไปสามัคคีธรรมกับกลุ่มไหน ทุกคนก็จะตั้งใจฟัง พอฉันสามัคคีธรรมจบ พวกเขาพูดว่าช่วยได้มากเสมอ ฉันคิดว่าทักษะภาษาฉันดีกว่าพี่น้องหญิงที่ฉันทำงานด้วย และฉันสามัคคีธรรมความจริงได้ เมื่อเทียบกับพวกผู้มาใหม่ แปลว่าในกลุ่มนั้น ฉันเป็นคนที่ใครก็แทนที่ไม่ได้ สนองความทะนงตนของฉันจริงๆ แต่ว่าผลลัพธ์ก็คือ ฉันพยายามรักษาความประทับใจดีๆ ของทุกคนที่มีต่อฉันไว้เสมอ เมื่อไหร่ที่พี่น้องชายหญิงถามคำถาม แม้ฉันจะไม่รู้คำตอบชัดเจน ฉันก็แสร้งว่ารู้
จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันไปที่กลุ่มหนึ่งเพื่อสามัคคีธรรมเรื่องการทำโครงการ พี่ชายคนหนึ่งถามคำถามฉัน แต่เพราะฉันเพิ่งทำงานนี้เป็นครั้งแรก ฉันจึงไม่แน่ใจนักเรื่องหลักการปฏิบัติและข้อกำหนดเฉพาะ และฉันไม่รู้ว่าจะตอบยังไงค่ะ ฉันเฝ้าคิดกับตัวเองว่า “ถ้าบอกว่าไม่รู้ พี่คนนี้จะดูแคลนฉันหรือเปล่านะ? เขาจะคิดไหมว่าฉันเชื่อในพระเจ้ามานานกว่าเขามาก แต่กลับตอบคำถามเล็กๆ นี้ไม่ได้ แปลว่าฉันไม่เข้าใจความจริง? มันคงน่าอับอายมาก พี่น้องชายหญิงคนอื่นจะยังยอมรับฉันเป็นผู้นำไหม? ยังไง ฉันก็ให้ทุกคนรู้ไม่ได้ว่าฉันไม่เข้าใจ” พอคิดแบบนั้น ฉันก็วางท่านิ่งและพูดหลักคำสอนไปเท่าที่จำได้ ฉันบอกได้ว่าเขาไม่พอใจกับคำตอบของฉันค่ะ ที่จริงฉันรู้สึกผิดนิดหน่อย ฉันไม่ได้กำลังหลอกพี่คนนี้หรือ? แต่เพื่อรักษาหน้า ฉันจึงไม่บอกความจริงกับเขาค่ะ อีกครั้งหนึ่ง พี่คนหนึ่งถามว่าบริหารเวลายังไงให้ทำหน้าที่ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เขาพูดว่ามันเป็นปัญหากับเขามาก เขาต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าจะช่วยเขายังไง เพราะฉันก็มีปัญหาแบบเดียวกันค่ะ ฉันก็บริหารเวลาไม่เก่งเหมือนกันรู้สึกเหมือนเวลาไม่พอบ่อยๆ แต่ถ้าหากฉันเผยให้เขารู้ ว่าฉันมีปัญหาแบบเดียวกันแม้จะเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีก็ตาม เขาจะดูแคลนฉันไหม? จะคิดไหมว่าฉันไม่ได้เข้าใจมากกว่าเขาเลย? แล้วภาพลักษณ์ที่เขามองฉันจะไม่พังหรือ? ฉันบอกทฤษฎีการบริหารเวลาบางทฤษฎีกับเขา ทำให้เขาเชื่อว่าฉันปฏิบัติตามทฤษฎีพวกนั้นด้วย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไร และฉันก็ไม่ได้ติดตามว่าเขาพบว่าสามัคคีธรรมนั้นเป็นประโยชน์ไหม ฉันกลัวเขาจะถามคำถามที่ละเอียดขึ้น และถ้าฉันตอบคำถามพวกนั้นไม่ได้ ฉันคงอับอายมากทีเดียว ฉันเลยปัดปัญหาเขาไปให้พ้นๆ ทั้งแบบนั้น หลายครั้งที่สภาวะของฉันเองไม่ได้ดีนัก ฉันเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามบางส่วนขณะทำงานกับพี่น้องชายหญิง แต่ในการชุมนุม ฉันเลี่ยงที่จะพูดถึงอุปนิสัยพวกนั้นอย่างซื่อสัตย์ พูดถึงแต่ความเข้าใจพระวจนะตามตัวอักษร และสามัคคีธรรมหลักคำสอนที่ว่างเปล่า ให้พวกเขาคิดว่าฉันเข้าใจความจริง มีความเชื่อและวุฒิภาวะมากกว่า ครั้งหนึ่ง พี่สาวคนหนึ่งที่ฉันเคยให้น้ำมาก่อนส่งข้อความหาฉัน บอกว่าเธอคิดถึงการชุมนุมที่เราเคยจัดกัน ปกติ เวลาปฏิสัมพันธ์กัน ฉันบอกได้จากทั้งภาษาและท่าทาง ว่าพวกเขาต่างพากันเคารพนับถือและยกย่องฉัน ฉันมีความสุขจริงๆ ทั้งยังได้ชื่นชม การได้รู้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญในคริสตจักร ถึงกับหวังว่าทุกคนจะยกย่องและสนับสนุนฉันต่อไปค่ะ บางครั้งฉันก็ไม่ค่อยสบายใจ กับความคิดว่าฉันแสร้งเป็นคนที่ควรค่าแก่การยกย่องเสมอ ฉันกำลังนำผู้คนมาอยู่ต่อหน้าฉันให้พวกเขาบูชาฉันหรือเปล่า? แต่ความคิดนั้นก็ผุดขึ้นในใจฉันแค่ครั้งคราว ฉันไม่ได้ใส่ใจมันมากมาย
เช้าวันหนึ่งตอนต้นเดือนตุลาคม พี่สาวคู่หูของฉันกำลังหารือเรื่องงานกับผู้นำกลุ่มคนหนึ่ง พี่สาวคนนั้นให้ผู้นำกลุ่มพูดถึง ปัญหาและข้อบกพร่องที่เรากำลังเจอในการทำหน้าที่ ฉันแปลกใจมากที่ผู้นำกลุ่มคนนั้น พูดกับฉันว่า “ฉันบูชาพี่น้องชายหญิงจีนจริงๆ นะโดยเฉพาะคุณ ฉันคิดบ่อยๆ ว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นสำคัญกว่าพระวจนะของพระเจ้า ฉันอยากฟังแค่คุณค่ะ” พอได้ยินแบบนั้น หัวใจของฉันก็เต้นแรง และใบหน้าของฉันก็เริ่มร้อนผ่าว เธอพูดต่อไปว่า “ฉันรู้ว่าการบูชาคนธรรมดานั้นผิด แต่ฉันรู้จักคุณมาหนึ่งปีแล้ว ไม่เคยเห็นความเสื่อมทราม ความยากลำบาก หรือจุดอ่อนคุณเลย ฉันเลยคิดว่าคุณเพียบพร้อมจริงๆ ไม่มีความเสื่อมทราม อดไม่ได้ที่จะเคารพและนับถือคุณค่ะ” ได้ยินแล้วทำให้ฉันแปลกใจและกลัวค่ะ ฉันไม่ได้พูดอะไรอยู่อึดใจ แล้วจึงแปลความเห็นผู้นำกลุ่มคนนั้น ให้พี่สาวคู่หูฉันฟังอย่างตะกุกตะกัก แล้วเธอก็สามัคคีธรรมกับผู้นำกลุ่มคนนั้นถึงสภาวะที่เธอเป็นอยู่ ฉันแค่ช่วยแปลเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจริงๆ การชุมนุมจบลงอย่างน่าอึดอัดใจ
หลังจากนั้น ฉันก็รู้สึกอ่อนแรงไปทั้งตัวของ ได้ยินคำพูดพี่คนนั้นสะท้อนในหัว โดยเฉพาะที่บอกว่าไม่เห็นความเสื่อมทรามของฉัน ว่าฉันดูเพียบพร้อมและเธอบูชาฉัน และคิดว่าคำพูดฉันสำคัญกว่าพระวจนะด้วยซ้ำ ตอนแรก ฉันรู้สึกผิดเต็มๆ และกลัวจริงๆ โดยที่ไม่เข้าใจตัวเอง ฉันคิดว่าสิ่งที่เธอพูดมันไร้สาระ ฉันไม่เคยขอให้เธอปฏิบัติต่อคำพูดฉันเหมือนพระวจนะ ที่เธอพูดแบบนั้นแปลว่าธรรมชาติของปัญหานี้ร้ายแรงมากไม่ใช่หรือ? ฉันนำเธอมาอยู่ต่อหน้าและกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? บ่ายนั้นฉันคิดเรื่องอื่นไม่ได้เลย แต่คิดวนไปเวียนมาถึงช่วงเวลานั้น ฉันมาเฉพาะพระพักตร์เพื่ออธิษฐานและแสวงหาว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์เจ็บปวดและกลัวเมื่อคิดถึงสิ่งที่พี่คนนั้นพูด ไม่เคยนึกเลยว่าเธอคิดกับข้าพระองค์แบบนั้น พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่ามาตกอยู่ในสถานการณ์นี้ได้ยังไง ข้าพระองค์ไม่เข้าใจตัวเอง โปรดทรงชี้และนำให้ข้าฯ รู้จักตัวเองด้วยเถิด ข้าพระองค์เต็มใจกลับใจเลิกทำสิ่งที่ทรงเกลียด” เช้าวันหนึ่ง ฉันอ่านพระวจนะสองบทตอน “ไม่ว่าบริบทจะเป็นอะไร ไม่สำคัญว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอยู่ที่ไหน ศัตรูของพระคริสต์จะลองพยายามสร้างภาพประทับใจว่าพวกเขาไม่อ่อนแอ ว่าพวกเขาแข็งแกร่งอยู่เสมอ เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ไม่คิดลบเลย พวกเขาไม่เปิดเผยมุมมองจริงหรือท่าทีจริงที่พวกเขามีต่อพระเจ้าเลย ในห้วงลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาเชื่อจริงๆ หรือว่าไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาไม่สามารถทำได้? พวกเขาเชื่ออย่างจริงแท้กระนั้นหรือ ว่าพวกเขาปราศจากความอ่อนแอ ความคิดลบ หรือการระเบิดทะลักออกมาของความเสื่อมทราม? แน่นอนที่สุดว่าไม่ พวกเขาเก่งในการแสร้งเล่นละคร เก่งกาจในการซ่อนเร้นสิ่งทั้งหลาย พวกเขาชอบแสดงให้ผู้คนเห็นด้านที่แข็งแกร่งและมีเกียรติของพวกเขา ทั้งนี้ พวกเขาไม่ต้องการให้ผู้คนเหล่านั้นเห็นด้านที่มืดและอ่อนแอของพวกเขา จุดประสงค์ของพวกเขานั้นเห็นได้ชัดว่า พูดง่ายๆ ตรงๆ ก็คือ มันเป็นการรักษาหน้าต่อหน้าผู้อื่น การอารักขาที่ทางซึ่งพวกเขามีอยู่ในหัวใจของผู้คนเหล่านี้ พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาเปิดกว้างต่อหน้าผู้อื่นเกี่ยวกับความคิดลบและความอ่อนแอของพวกเขาเอง หากพวกเขาเปิดเผยด้านที่เป็นกบฏและเสื่อมทรามของพวกเขา นี่ย่อมจะเป็นภัยคุกคามอันสาหัสต่อสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขา—เป็นความเดือดร้อนมากกว่าที่จะเป็นความคุ้มค่า ดังนั้น พวกเขาสู้เก็บความอ่อนแอและความเป็นกบฏของพวกเขาไว้กับตัวพวกเขาเองอย่างเคร่งครัดเสียดีกว่า และหากวันหนึ่งมาถึงเมื่อทุกคนเห็นด้านที่อ่อนแอและเป็นกบฏของพวกเขา พวกเขาจึงต้องแสร้งเล่นละครอยู่ต่อไป ทั้งนี้ พวกเขาคิดว่าหากพวกเขายอมรับแต่โดยดีว่ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ว่าเป็นบุคคลธรรมดาสามัญ เป็นใครบางคนที่ตัวเล็กและไม่มีนัยสำคัญ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะสูญเสียที่ทางของพวกเขาในหัวใจของผู้คน และย่อมจะได้มีอันล้มเหลวอย่างถึงที่สุด ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น พวกเขาไม่สามารถเอาเสียเลยที่จะเปิดกว้างต่อผู้คน ไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น พวกเขาไม่สามารถมอบอำนาจและสถานะของพวกเขาให้แก่ผู้อื่นใดได้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับลองพยายามที่จะแข่งขันอย่างหนักเท่าที่พวกเขาสามารถทำได้ และจะไม่มีวันล้มเลิกเลย” (“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สิบ)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) “ในเวลาที่ผู้คนปั้นหน้าอยู่เสมอ ล้างความผิดให้ตัวเองอยู่เสมอ เสแสร้งแกล้งทำอยู่เสมอเพื่อให้ผู้อื่นคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่ง และไม่สามารถมองเห็นความผิดหรือข้อบกพร่องของพวกเขาได้ ในเวลาที่พวกเขาลองพยายามอยู่เสมอที่จะนำเสนอด้านที่ดีที่สุดและเพียบพร้อมที่สุดของพวกเขาต่อผู้คนนั้น มันคืออุปนิสัยใดหรือ? นี่คือความโอหัง ความจอมปลอม ความหน้าซื่อใจคด มันคืออุปนิสัยของซาตาน นี่คือบางสิ่งที่ชั่ว…พวกเหล่านั้นที่ไม่ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ไม่พาดพิงถึงความผิด ข้อบกพร่อง และสภาวะอันเสื่อมทรามของพวกเขาเองเลย ทั้งพวกเขายังไม่พูดถึงการรู้จักตัวเองเลย พวกเขาพูดสิ่งใดหรือ? ‘ฉันได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว คุณไม่รู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ในยามที่ฉันทำบางสิ่ง ฉันรับอะไรเอาไว้เพื่อพิจารณา ฉันถนัดที่จะทำอะไร!’ นี่คืออุปนิสัยอันโอหังใช่หรือไม่? อะไรหรือคือลักษณะเฉพาะหลักของอุปนิสัยอันโอหัง? อะไรหรือคือเป้าหมายที่พวกเขาปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์? (การทำให้ผู้คนคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่ง) จุดประสงค์ของการทำให้ผู้คนคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่งก็คือ เพื่อให้พวกเขามีสถานะในจิตใจของผู้คนเหล่านี้ เมื่อเจ้ามีสถานะในจิตใจของใครบางคน เช่นนั้นแล้วในเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันกับเจ้า พวกเขาย่อมมีสัมมาคารวะต่อเจ้า และสุภาพเป็นพิเศษเมื่อพวกเขาพูดคุยกับเจ้า พวกเขาย่อมเปี่ยมไปด้วยความนับถือต่อเจ้าอยู่เสมอ พวกเขาย่อมปล่อยให้เจ้าเริ่มก่อนเสมอในทุกสรรพสิ่ง พวกเขายกยอเจ้า และพวกเขาไม่พูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจเจ้าเลยนอกจากพูดคุยหารือถึงทุกสิ่งทุกอย่างกับเจ้า ในข้อเท็จจริงแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนมีประโยชน์ต่อเจ้ามิใช่หรือ? นี่คือสิ่งที่ผู้คนพึงปรารถนาไม่มีผิด…จุดมุ่งหมายของพวกเขาในเวลาที่พวกเขาตบตาผู้คน ในเวลาที่ผู้คนแสร้งสวมบทบาท ล้างความผิดให้ตัวเอง ปั้นหน้า เสริมแต่งตัวเอง เพื่อให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขาเพียบพร้อม ก็คือการได้ชื่นชมกับดักทั้งหลายแห่งสถานะ หากเจ้าไม่เชื่อการนี้ ก็จงคิดทบทวนอย่างรอบคอบเถิดว่า เหตุใดเล่าเจ้าจึงต้องการอยู่เสมอที่จะทำให้ผู้คนคิดกับเจ้าอย่างสูงส่ง? สถานะซึ่งเจ้าไล่ตามเสาะหาอย่างกร้าวแกร่งยิ่งนักนั้น จะนำพาสิ่งใดมาสู่เจ้ากันแน่? นั่นย่อมดีสำหรับเจ้า นั่นนำพาประโยชน์และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าสามารถชื่นชมได้มาสู่เจ้า” (“หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระเจ้าทรงเปิดเผยว่าศัตรูของพระคริสต์มีอุปนิสัยโอหังและชั่วมาก พวกเขาจะใส่หน้ากากไว้ตลอดเพื่อรักษาสถานะและภาพลักษณ์ในบรรดาผู้อื่น ไม่เคยให้คนอื่นเห็นความเสื่อมทราม จุดอ่อน หรือความคิดลบ แต่อยากมีสถานะในจิตใจของคน หลงในผลประโยชน์ของสถานะเสมอ ฉันเห็นว่าอุปนิสัยฉันเหมือนศัตรูของพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงเปิดโปง ตั้งแต่มาเป็นผู้นำของคริสตจักรผู้เชื่อใหม่ ฉันอำพรางตัวเองอยู่เสมอเพื่อรักษา สถานะและภาพลักษณ์ฉันรักความรู้สึกที่ ได้รับความเคารพและนมัสการ พี่น้องชายหญิงถามคำถามฉัน โดยหวังว่าฉันจะช่วยได้ แต่ฉันแค่แสร้งว่ารู้คำตอบ พูดหลักคำสอนที่ว่างเปล่าไปเรื่อย เพียงเพื่อลวงพวกเขา บางครั้ง อุปนิสัยเสื่อมทรามของฉันถูกเปิดเผยเมื่อทำงานกับพี่น้องชายหญิง แต่ระหว่างสามัคคีธรรม ฉันเลี่ยงที่จะพูดถึงสภาวะที่แท้จริงเสมอ กลัวว่าทุกคนจะดูถูก สงสัยว่าฉันยังเสื่อมทรามเท่าพวกเขาได้ยังไง เมื่อมีความเชื่อมาหลายปี ฉันเกือบไม่เคยเปิดใจกับพี่น้องชายหญิงเรื่องสภาวะที่แท้จริง หรือพูดสิ่งที่ฉันรู้สึกจริงๆ ฉันแค่พูดคำสอนไปเรื่อย ให้คนหลงผิด ไม่สนว่าจะช่วยแก้ปัญหาพวกเขาได้จริงไหม ไม่สนว่าสามัคคีธรรมฉันเป็นประโยชน์ไหม เพียงต้องการรักษาสถานะตัวเองและการยกย่องจากทุกคน ฉันน่าเหยียดหยามและชั่วค่ะ ถ้าเราอำพรางตัวเองอยู่เสมอ ไม่ให้พี่น้องชายหญิงเห็นความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของเรา พอผ่านไปพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะยกย่องเรา ฉันนึกย้อนไปถึงปีที่ฉันให้น้ำผู้มาใหม่ ตอนที่พี่น้องชายหญิงไม่รู้เกี่ยวกับพระเจ้าเลย แต่ลงเอยการเคารพและบูชาฉัน ถึงกับเห็นคำพูดของฉันสำคัญกว่าพระวจนะ ไม่ใช่ว่าฉันกำลังนำพวกเขามาอยู่ต่อหน้าฉันหรือคะ? ฉันไม่ได้กำลังทำหน้าที่ ฉันกำลังทำชั่วค่ะ! ฉันปกปิดตัวเอง ไล่ตามการยกย่องจากคนอื่นอยู่ตลอด พอพี่คนหนึ่งมาบอกต่อหน้าว่าเคารพและบูชาฉันแค่ไหน ฉันกลับไม่รู้สึกถึงความสุขหรือความเบิกบานเลยค่ะ ที่จริง ฉันรู้สึกตระหนกและกังวล เหมือนเพิ่งนำความวิบัติมาสู่ตัวเอง เมื่อเห็นว่าฉันไล่ตามชื่อเสียงและสถานะอยู่เสมอ อำพรางตนเพื่อให้คนอื่นยกย่อง เพื่อชื่นชมผลประโยชน์ของสถานะ นี่ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง แต่เป็นเส้นทางต่อต้านพระเจ้า ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่า ที่พี่คนนั้นพูดอย่างนั้น ก็คือเครื่องย้ำเตือน คำเตือนจากพระเจ้า ทรงกำลังคุ้มครองฉัน ไม่งั้นฉันคงแสร้งทำและทำงานเพื่อสถานะต่อไป ซึ่งอันตรายมากค่ะ
ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ผู้คนบางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และทันทีที่พวกเขาได้รับโอกาสเหมาะที่จะเป็นผู้นำ พวกเขาก็กระทำการโดยผ่านทางวิถีทางนานาสารพัน โดยทุ่มเทความพยายามและจ่ายราคา เพื่อได้มาซึ่งสถานะ ในที่สุดแล้ว พวกเขาอาจได้รับสถานะ หลอกลวงผู้คน และเอาชนะจนได้หัวใจของผู้คนเหล่านั้นมา เพื่อที่ว่าผู้คนจำนวนมากขึ้นจะชื่นชมบูชาพวกเขาและคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่ง หลังจากพวกเขาได้มาซึ่งพลังอำนาจเต็มที่แล้ว และได้ทำให้สมดังความอยากได้สถานะของพวกเขาอย่างครบบริบูรณ์แล้ว อะไรหรือคือผลลัพธ์สุดท้าย? ไม่ว่าบุคคลเช่นนั้นใช้ของกำนัลเล็กน้อยใดๆ เพื่อตัดสินบนผู้คนก็ตาม พวกเขาอวดโอ้พรสวรรค์และความสามารถของพวกเขามากเพียงใดก็ตาม หรือพวกเขาใช้วิธีการใดก็ตามเพื่อหลอกลวงผู้คนให้มีความประทับใจที่ดีในตัวพวกเขา และไม่สำคัญว่าพวกเขาใช้หนทางใดเพื่อเอาชนะใจผู้คนจนได้หัวใจของผู้คนมาเป็นเชลยและยึดครองที่ทางอยู่ในนั้น พวกเขาได้สูญเสียสิ่งใดไปแล้วหรือ? พวกเขาได้สูญเสียโอกาสเหมาะที่จะได้รับความจริงในขณะที่ลุล่วงหน้าที่ของภาวะผู้นำ ในเวลาเดียวกัน เนื่องเพราะในหนทางอันหลากหลายที่พวกเขาได้ประพฤติตน พวกเขายังได้สะสมความประพฤติชั่วซึ่งจะนำไปสู่จุดจบสุดท้ายของพวกเขาด้วยเช่นกัน เมื่อเจ้ามองดูที่การนั้นในตอนนี้ เจ้าจะว่าหรือไม่ว่า การใช้ของกำนัลหรือการอวดโอ้หรือการหลอกลวงผู้คนด้วยภาพลวงตาเป็นเส้นทางที่ดีที่จะใช้ ทั้งที่บุคคลที่นำวิธีการเหล่านี้มาดำเนินการ ภายนอกแล้วอาจจะดูเหมือนว่าได้มาซึ่งประโยชน์มากแค่ไหนและความพึงพอใจมากเพียงใด? นั่นคือเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? นั่นคือเส้นทางที่สามารถทำให้เกิดความรอดของคนเราหรือไม่? ชัดเจนอย่างยิ่งว่าไม่ ไม่ว่าวิธีการและเล่ห์เหลี่ยมเหล่านี้อาจจะถูกคิดฝันอย่างปราดเปรื่องเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจหลอกพระเจ้าได้ และในท้ายที่สุดแล้วก็ล้วนแต่ถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษและทรงเกลียด เพราะที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมทั้งหลายดังกล่าวก็คือความทะเยอทะยานส่วนบุคคลและท่าทีและแก่นแท้จำพวกหนึ่งของการปรารถนาที่จะวางตัวเองต่อต้านพระองค์ ลึกลงไปนั้น แน่นอนที่สุดว่าพระเจ้าจะไม่มีวันทรงระลึกถึงบุคคลเช่นนั้นในฐานะที่เป็นผู้ที่กำลังลุล่วงหน้าที่ของพวกเขา และจะทรงให้นิยามพวกเขาว่าเป็นคนทำชั่วแทน อะไรหรือคือการสรุปปิดตัวของพระเจ้าในยามที่จัดการกับพวกคนทำชั่ว? ‘เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา!’ เมื่อพระเจ้าได้ตรัสว่า ‘จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’ พระองค์กำลังทรงส่งผู้คนไปให้ซาตาน ไปยังที่ที่พวกซาตานมาออกัน และพระองค์ไม่ได้ทรงต้องประสงค์พวกเขาอีกต่อไป การไม่ทรงต้องประสงค์พวกเขาหมายความว่าพระองค์จะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด หากเจ้าไม่ใช่หนึ่งในหมู่ชนของพระเจ้า ไม่ต้องพูดเลยว่าเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมไม่อยู่ในหมู่ผู้ที่พระองค์จะทรงช่วยให้รอด นี่คือวิธีที่บุคคลเช่นนั้นได้รับการนิยาม” (“พวกเขาพยายามที่จะเอาชนะใจผู้คน” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) ฉันรู้สึกหวั่นใจมากหลังจากอ่านบทตอนนี้ ฉันรู้สึกได้ว่าพระอุปนิสัยไม่ทนต่อการล่วงเกิน ฉันแสร้งทำอยู่เสมอเพื่อหลอกและทำให้คนหลงผิด เพื่อพิชิตความนิยมชมชอบ โดยแก่นแท้แล้ว ฉันอยากแทนที่พระเจ้าในหัวใจคน ให้พวกเขาปฏิบัติต่อฉันเหมือนพระเจ้า ฉันกำลังแข่งขันชิงดีกับพระเจ้า ล่วงเกินพระองค์อย่างมาก เมื่อคิดย้อนไปถึงการปฏิสัมพันธ์ปีนั้น ฉันแสร้งทำทุกวันเลยค่ะ ไม่มีใครเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าฉันเป็นคนยังไง นึกเอาว่าฉันเข้าใจความจริง มีวุฒิภาวะ ไร้ความเสื่อมทราม หลับหูหลับตาบูชาฉัน ฉันกำลังทำชั่วและต้านทานพระเจ้าโดยการหลอกและลวงผู้คน มันทำให้ฉันนึกถึงพวกฟาริสี ที่รับใช้พระเจ้าแต่ไม่เคยยกย่องหรือเป็นคำพยานให้พระองค์ พวกเขาพูดพล่ามในพระวิหาร และอวดตัวโดยท่องจำคำสอนและความรู้จากพระคัมภีร์ จงใจยืนอยู่บนถนนเพื่ออธิษฐาน และทำให้หลักพระธรรมของตนกว้างขึ้น ให้พู่ห้อยเสื้อผ้ายาวขึ้น พวกเขาดูอุทิศตนและมีกิริยาที่ดีมากมาย ได้รับความเคารพอย่างสูงท่ามกลางผู้คน ซึ่งทุกคนเคารพและบูชาพวกเขา แต่พระเจ้า ทรงกล่าวโทษพวกเขาว่าเป็นผู้ทำชั่ว เป็นพวกของงู ทรงให้วิบัติไปเจ็ดประการ พระเจ้าทรงมีพระอุปนิสัยชอบธรรมและบริสุทธิ์ ไม่ทนการล่วงเกินพระอุปนิสัย ทรงเกลียดและกล่าวโทษคนหน้าซื่อใจคดที่ใฝ่ความนิยมเหมือนพวกฟาริสี พระองค์ไม่ทรงช่วยคนแบบนั้นให้รอดอย่างแน่นอนค่ะ ทุกอย่างที่ฉันทำตอนนั้นเหมือนกับพวกฟาริสีไม่ผิดเลยค่ะ ฉันเข้าชุมนุมมากมายทำบางงานให้เสร็จพร้อมทั้งทำหน้าที่ตัวเอง แต่เจตนาของฉันไม่ใช่เพื่อให้ทรงพอพระทัย แต่เพื่อรักษาสถานะและภาพลักษณ์ในหมู่คน ฉันแสร้งเข้าใจความจริงแท้จริง เข้าใจสิ่งต่างๆ ทะลุปรุโปร่ง ฉันถึงกับเลี่ยงการพูดถึงจุดอ่อนและความเสื่อมทรามของตน เพื่อให้คนอื่นยกย่องและบูชาฉัน ผลก็คือฉันนำผู้คนมาอยู่เบื้องหน้าฉัน ถ้าฉันอำพรางตัวเองต่อไป และเดินทางผิดเหมือนกับพวกฟาริสี คงถูกพระเจ้าเดียดฉันท์และกำจัดทิ้ง พอเห็นว่าพระเจ้าทรงกล่าวโทษและกำจัดคนแบบนั้นทิ้ง ฉันกลัวจริงๆ โทษตัวเองและเปี่ยมด้วยความสำนึกผิด พระเจ้าทรงยกระดับฉันสู่ตำแหน่งผู้นำ โดยให้ฉันให้น้ำและสนับสนุนผู้มาใหม่ ชี้แนะพี่น้องชายหญิงให้เข้าใจความจริงโดยเร็ว วางรากฐานในหนทางที่แท้จริง แต่ฉันไม่ทำงานตัวเองให้ดี ไม่ได้ทำหน้าที่ผู้นำ มีแต่ยึดมั่นในสถานะ ฉันไม่ได้กำลังช่วยพี่น้องชายหญิงกับการเข้าสู่ชีวิต แต่ตบตาและทำร้ายพวกเขาค่ะ ฉันน่ารังเกียจ ไร้มโนธรรม ไร้เหตุผลเกินไป ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสำนึกผิด ฉันคุกเข่าเฉพาะพระพักตร์และอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ได้ไล่ตามความจริงในการทำหน้าที่ แต่กลับเดินเส้นทางที่ผิด ไล่ตามชื่อเสียงและสถานะ ทำให้ทรงรังเกียจและชิงชังหนักหนา พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ขอเป็นแบบนี้ต่อไป แต่ขอกลับใจและเปลี่ยนแปลง โปรดเป็นผู้นำและทรงนำด้วยเถิด”
ต่อมาฉันเห็นพระวจนะสองสามบทตอนว่า “เริ่มแรกเจ้าต้องเข้าใจว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงคือสิ่งใด กล่าวคือ สิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงไม่ใช่ยอดมนุษย์ แต่เป็นบุคคลที่ใช้ชีวิตอย่างตรงไปตรงมาและอย่างถ่อมใจบนแผ่นดินโลก และไม่เหนือธรรมดาเลย การไม่เหนือธรรมดาหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าไม่สำคัญว่าเจ้าสามารถยืนได้สูงเพียงใดหรือเจ้าสามารถกระโดดได้สูงเพียงใด ข้อเท็จจริงยังคงเป็นว่าส่วนสูงตามจริงของเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง และเจ้าไม่มีความสามารถที่เหนือธรรมดาแต่อย่างใด หากเจ้าปรารถนาที่จะเลิศกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ ปรารถนาที่จะได้รับการจัดอันดับเหนือผู้อื่น เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเกิดขึ้นจากอุปนิสัยโอ้อวดเยี่ยงซาตานของเจ้า และเป็นความคิดที่ผิดของเจ้า ในข้อเท็จจริงแล้ว เจ้าไม่อาจสัมฤทธิ์การนี้ และย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะทำเช่นนี้ พระเจ้าไม่ได้ประทานความสามารถพิเศษหรือทักษะเช่นนั้นแก่เจ้า และพระองค์ก็ไม่ได้ประทานแก่นแท้เช่นนั้นแก่เจ้า จงอย่าลืมว่าเจ้าเป็นสมาชิกที่ปกติธรรมดาคนหนึ่งของมวลมนุษย์ ไม่แตกต่างจากผู้อื่นในทางใดเลย แม้ว่ารูปลักษณ์ของเจ้า ครอบครัว และทศวรรษที่เจ้าเกิดอาจแตกต่าง และอาจมีความแตกต่างบางอย่างในความสามารถพิเศษและพรสวรรค์ของเจ้า แต่จงอย่าลืมการนี้ว่า ไม่ว่าเจ้าแตกต่างปานใดก็เป็นเพียงในทางเล็กน้อยเหล่านี้เท่านั้น และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกับของผู้อื่น และหลักการ เป้าหมาย และทิศทางการปรับตัวที่เจ้าต้องยึดตามในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็ตรงกันกับของผู้อื่น ผู้คนต่างกันเพียงในความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของพวกเขาเท่านั้น” (“หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “ในฐานะหนึ่งในสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง มนุษย์ต้องรักษาตำแหน่งของเขาเอง และประพฤติตนอย่างมีจิตสำนึก จงคุ้มกันสิ่งที่พระผู้สร้างทรงมอบความไว้วางพระทัยแก่เจ้าอย่างเป็นหน้าที่ จงอย่ากระทำการล้ำเส้น หรือทำสิ่งทั้งหลายที่นอกเหนือช่วงความสามารถของเจ้า หรือที่เป็นที่เกลียดชังของพระเจ้า จงอย่าพยายามที่จะยิ่งใหญ่ หรือกลายเป็นยอดมนุษย์ หรือเหนือสิ่งอื่นใด จงอย่าพยายามที่จะกลายเป็นพระเจ้า นี่คือวิธีที่ผู้คนไม่ควรอยากที่จะเป็น การพยายามที่จะกลายเป็นยิ่งใหญ่หรือยอดมนุษย์นั้นช่างไร้สาระ การเสาะแสวงที่จะกลายเป็นพระเจ้ายิ่งเป็นที่เสื่อมเสียยิ่งกว่า มันน่าขยะแขยงและน่าดูหมิ่นนัก สิ่งที่น่าชมเชยและสิ่งที่สิ่งทรงสร้างทั้งหลายควรจะยึดมั่นไว้มากกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ การกลายเป็นสิ่งทรงสร้างที่แท้จริง นี่คือเป้าหมายเดียวเท่านั้นที่ผู้คนทุกคนควรไล่ตามเสาะหา” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1) จากบทตอนเหล่านี้ฉันตระหนักว่า ฉันเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างธรรมดาๆ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ พระเจ้าทรงหวังให้ฉันอยู่ในที่ของฉันได้ และประพฤติตัวอย่างมีมโนธรรมขณะตั้งใจทำหน้าที่ให้ลุล่วง ทรงมอบบางคุณสมบัติและทักษะภาษาแก่ฉัน ฉันควรขอบคุณพระเจ้าและใช้สิ่งเหล่านั้นทำหน้าที่ แต่ฉันใช้พวกมันเป็นทุนเพื่อประสบความสำเร็จ เห็นชัดว่าฉันเป็นคนเสื่อมทรามที่เปี่ยมด้วยอุปนิสัยเสื่อมทรามของซาตาน แต่ฉันพยายามปกปิดความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องทุกทาง อำพรางตนเป็นคนที่เพียบพร้อมให้คนอื่นยกย่องและบูชา ฉันได้รู้ว่าสิ่งที่ไล่ตามเป็นสิ่งที่หน้าซื่อใจคดและน่าละอาย น่าขยะแขยงต่อมนุษย์ เลวทรามต่อพระเจ้า ฉันอำพรางตัวเองเสมอ ปกปิดความเสื่อมทรามของตัวเอง แต่ถึงคนอื่นจะมองไม่ออก ความเสื่อมทรามเหล่านั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของฉันไม่น้อย นี่ฉันกำลังหลอกตัวเองและคนอื่นไม่ใช่หรือ? ถ้าฉันไม่เปิดตัวเองเพื่อแสวงหาความจริง อุปนิสัยเสื่อมทรามเหล่านั้นก็ไม่มีทางถูกแก้ไขได้ ฉันไม่ใช่แค่ทนทุกข์ในชีวิตตนเอง แต่ยังหลอกลวงและทำให้คนอื่นหลงผิดด้วย นั่นทำให้สถานการณ์แย่ลงอีกไม่ใช่หรือ? การเสแสร้งและการหลอกลวงไม่ใช่เส้นทางที่ดีแน่ๆ
ที่การชุมนุมครั้งหนึ่ง เราอ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน และฉันก็พบเส้นทางสู่การปฏิบัติค่ะ “‘การบอกเล่าและเข้าสนิทประสบการณ์ทั้งหลาย’ หมายถึงการส่งเสียงแสดงทุกความคิดในหัวใจของเจ้า สภาวะความเป็นอยู่ของเจ้า ประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าของเจ้า และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามภายในตัวเจ้า และจากนั้นก็ยอมให้คนอื่นหยั่งรู้สิ่งเหล่านั้น ยอมรับส่วนทั้งหลายที่เป็นด้านบวก และระลึกได้ว่าสิ่งไหนเป็นด้านลบ มีเพียงการนี้เท่านั้นที่เป็นการบอกเล่า และมีเพียงการนี้เท่านั้นที่เป็นการเข้าสนิทอย่างแท้จริง” (“การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “การที่จะปลดปล่อยตัวเจ้าเองเป็นอิสระจากการควบคุมของสถานะที่มีเหนือเจ้านั้น ก่อนอื่นเจ้าต้องชำระล้างสถานะไปจากความตั้งใจของเจ้า ความคิดของเจ้า และจากหัวใจของเจ้า การนี้สัมฤทธิ์ได้อย่างไรหรือ? เมื่อก่อนนี้ คราที่เจ้าปราศจากสถานะ เจ้าจะเพิกเฉยต่อบรรดาผู้ที่ดูไม่ดึงดูดใจสำหรับเจ้า ครั้นบัดนี้เจ้ามีสถานะ หากเจ้าเห็นใครบางคนที่ดูไม่ดึงดูดใจ หรือที่มีประเด็นปัญหามากมาย เจ้ารู้สึกรับผิดชอบต่อการช่วยเหลือพวกเขา ดังนั้นแล้วจึงใช้เวลามากขึ้นในการสามัคคีธรรมกับพวกเขา โดยลองพยายามที่จะแก้ไขปัญหาบางอย่างซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พวกเขามี แล้วอะไรหรือคือความรู้สึกในหัวใจของเจ้าเมื่อเจ้าทำสิ่งทั้งหลายดังกล่าว? นั่นก็คือความรู้สึกถึงความชื่นบานและสันติสุข ดังนั้น เมื่อเจ้าพบว่าตัวเจ้าเองอยู่ในความลำบากยากเย็นหรือได้รับประสบการณ์กับความล้มเหลว เจ้าก็ควรปรับทุกข์กับผู้คนและเปิดกว้างกับพวกเขามากขึ้นเช่นกัน โดยสามัคคีธรรมเกี่ยวกับปัญหาและจุดอ่อนทั้งหลายของเจ้า ว่าเจ้าไม่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างไร และจากนั้นเจ้าผุดออกมาจากการนี้อย่างไร และสามารถลุล่วงน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร แล้วอะไรหรือคือผลพวงของการปรับทุกข์กับพวกเขาในหนทางนี้? นั่นเป็นบวกโดยไม่ต้องกังขา ไม่มีผู้ใดที่จะดูแคลนเจ้า—และอาจอิจฉาริษยาเจ้าเพราะประสบการณ์ของเจ้าก็เป็นได้ ผู้คนบางคนคิดอยู่เสมอว่าเมื่อผู้คนมีสถานะ พวกเขาควรปฏิบัติตนเสมือนเป็นข้าราชการให้มากขึ้น ว่าผู้อื่นจะคำนึงถึงพวกเขาว่าสำคัญมากและนับถือพวกเขาก็ต่อเมื่อพวกเขาพูดในหนทางเฉพาะหนึ่ง หากเจ้ามีความสามารถที่จะตระหนักได้ว่าหนทางนี้ของการคิดนั้นผิด เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรอธิษฐานต่อพระเจ้าและหันหลังให้กับสิ่งทั้งหลายฝ่ายเนื้อหนัง จงอย่าเดินบนเส้นทางนั้น เมื่อเจ้ามีความคิดต่างๆ เช่นนี้ เจ้าก็ต้องออกจากสภาวะนั้น และต้องไม่เปิดโอกาสให้ตัวเจ้าเองติดหนึบอยู่กับมัน ทันทีที่เจ้าติดหนึบอยู่กับมัน และความคิดและทรรศนะเหล่านั้นก่อตัวขึ้นภายในตัวเจ้า เจ้าก็จะปลอมแปลงตัวเจ้าเอง เจ้าจะสร้างบรรจุภัณฑ์ให้ตัวเจ้า โดยแน่นหนาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพื่อที่จะไม่มีใครมีความสามารถที่จะมองเข้ามาเห็นเจ้าหรือได้รับสำนึกถึงหัวใจและจิตใจของเจ้า เจ้าก็จะพูดกับผู้อื่นราวกับว่าพูดมาจากข้างหลังหน้ากาก พวกเขาจะไม่มีความสามารถที่จะมองเห็นหัวใจของเจ้า เจ้าควรเรียนรู้ที่จะปล่อยให้ผู้คนอื่นๆ เห็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า ปรับทุกข์กับผู้คน และใกล้ชิดพวกเขาให้มากขึ้น เจ้าควรหันไปจากความชื่นชอบทางกายภาพ—และแน่นอนที่สุดว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติกับการนี้ ทั้งนี้ นี่ก็เป็นเส้นทางที่ใช้การได้เช่นกัน ไม่สำคัญว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับ เจ้าต้องทบทวนปัญหาทั้งหลายในการคิดของตัวเจ้าเองก่อนเป็นอันดับแรก หากความเอนเอียงของเจ้ายังคงเป็นการแสร้งสวมบทบาทหรือการเสแสร้งแกล้งทำบางชนิด เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรอธิษฐานต่อพระเจ้าเร็วที่สุดเท่าที่เจ้าจะสามารถทำได้ว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์ต้องการปลอมแปลงตัวข้าพระองค์เองอีกแล้ว และกำลังจะเข้าร่วมในอุบายและการหลอกลวงอีกครั้ง ข้าพระองค์ช่างเป็นมารยิ่งนัก! ข้าพระองค์ทำให้พระองค์ทรงรังเกียจข้าพระองค์เหลือเกิน! ขณะนี้ข้าพระองค์ขยะแขยงตัวข้าพระองค์เองเหลือเกิน โปรดทรงบ่มวินัยข้าพระองค์ ตำหนิข้าพระองค์ และลงโทษข้าพระองค์ด้วยเถิด’ เจ้าต้องอธิษฐาน และนำท่าทีของเจ้าออกไปสู่ความสว่าง การนี้เกี่ยวพันกับวิธีที่เจ้าปฏิบัติ” (“เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา คนเราต้องมีเส้นทางการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะให้ความรู้แจ้งแก่ฉันยิ่งขึ้นไปอีก การกำจัดแอกแห่งชื่อเสียงและสถานะคือการปฏิบัติความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ เราต้องเปิดเผยหัวใจของเรา และเปิดอกถึงความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องกับพี่น้องชายหญิง เพื่อแสดงตัวตนจริงของเราให้ทุกคนเห็น เมื่อคนอื่นถามคำถาม เราต้องตอบให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ และซื่อตรงเมื่อเราไม่เข้าใจอะไร เพื่อที่เราทุกคนจะแสวงหาความจริงร่วมกันได้ เมื่อนำไปสู่การปฏิบัติมากขึ้น เราก็ค่อยๆ ปลดปล่อยตัวเองจากแอกแห่งชื่อเสียงและสถานะได้ ในตอนนั้นฉันคิดว่าฉันควรเปิดอกกับคนอื่น และเปิดเผยกับพวกเขาว่าฉันได้อำพรางตัวเองยังไง แต่ฉันขัดแย้งในใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเปิดอกไป “ถ้าฉันบอกพวกเขาเรื่องอุปนิสัยที่แท้จริงทุกคนจะคิดยังไงล่ะ? จะดูแคลนฉันหรือเปล่า?” นั่นทำให้ฉันร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ ฉันได้รู้ว่าฉันแค่กำลังพยายามเสแสร้งอีก ฉันก็เลยอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจ ฉันคิดถึงที่ฉันเคยใส่ใจว่าคนอื่นจะมองฉันยังไง และไม่เคยคำนึงว่าพระเจ้าทรงประสงค์อะไรจากฉัน ฉันตัดสินใจเลิกพยายามรักษาหน้าและปกป้องสถานะ ฉันต้องปฏิบัติความจริงและซื่อสัตย์ เปิดอกกับทุกคน เปิดโปงความเสื่อมทรามของฉันเอง เพื่อให้พวกเขารู้ว่าฉันเป็นคนเสื่อมทราม ไม่ควรค่าแก่การยกย่องแบบนั้น ฉันรู้สึกสงบลงมากหลังจากคิดถึงอะไรๆ แบบนั้น ฉันสามัคคีธรรมเรื่องที่ฉันพยายามปกป้องชื่อเสียงและสถานะ จึงปกปิดความเสื่อมทรามและข้อบกพร่อง ฉันยังแบ่งปันสิ่งที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับอันตรายของการไล่ตามสถานะ ให้พี่น้องชายหญิงเรียนรู้จากความล้มเหลวของฉันได้ หลังจากสามัคคีธรรม ฉันรู้สึกมีสันติสุขและเป็นอิสระอย่างมาก คนอื่นๆ ก็พูดว่าได้รับประโยชน์จริงๆ และฉันรู้สึกถึงสันติสุขและความชื่นบานที่ปฏิบัติความจริงและซื่อตรง ตอนนี้เมื่ออยู่กับพี่น้องชายหญิง ฉันเปิดใจสามัคคีธรรม และพูดถึงสถานการณ์ต่างๆ ที่เปิดโปงความเสื่อมทรามของฉัน ฉันได้รู้ว่ามีความเสื่อมทรามยังไง และแสวงหาความจริงยังไง ถ้าขณะนั้นฉันไม่รู้หนทางปฏิบัติฉันจะพูดว่าไม่รู้อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่คำนึงว่าพวกเขาอาจคิดยังไง เมื่อทำหน้าที่กับพี่น้องชายหญิง ฉันเปิดอกอย่างมีสติถึงสิ่งที่ทำให้สับสนหรือสิ่งที่ยากลำบาก ฉันยังให้พวกเขารู้ถึงสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจหรือทำไม่ได้ด้วยค่ะ และส่งเสริมให้พวกเขาให้ข้อเสนอแนะและมีส่วนร่วม เพื่อให้เราทุกคนเรียนรู้จากกันและกันได้ พี่น้องชายหญิงค่อยๆ กลายเป็นแบกรับภาระในหน้าที่ได้ และเริ่มทบทวนความเสื่อมทรามที่พวกเขาได้เปิดเผย อ่านพระวจนะเพื่อเรียนรู้ตนเอง เมื่อเห็นทั้งหมดนี้ ฉันก็ขอบคุณพระเจ้าในใจซ้ำๆ จากประสบการณ์นี้ ฉันได้รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าส่วนสำคัญที่สุดของการเป็นสิ่งทรงสร้างก็คือ การเป็นคนแน่วแน่ ทำหน้าที่ให้ลุล่วงให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ และซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าและคนอื่นๆ เป็นทางเดียวที่คนอื่นจะได้ประโยชน์และถูกสอนสั่งโดยสิ่งที่เราใช้ชีวิตตามค่ะ
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ