ความจริงคือสิ่งที่ขาดเสียมิได้ในหน้าที่ของคนเรา
โดย เทเรซ่า, ฟิลิปปินส์ เดือนพฤษภาคม ปี 2021 ฉันรับหน้าที่ผู้นำ รับผิดชอบงานของคริสตจักรหลายแห่ง ฉันคิดว่า...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ในอดีต ทุกครั้งที่ฉันเผชิญหน้ากับความลำบากยากเย็นบางอย่างเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของฉัน หรือทำงานของฉันอย่างไม่ดี ฉันคิดว่านั่นเป็นเพราะขีดความสามารถของฉันต่ำเกินไป ผลก็คือ ฉันดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะที่เป็นลบและนิ่งเฉยบ่อยครั้ง ฉันจะใช้ขีดความสามารถที่ต่ำของฉันเป็นข้อแก้ตัวอยู่เนืองนิจ ในการถ่ายเทหน้าที่ที่ฉันรู้สึกว่ายากลำบากไปให้ผู้คนอื่นๆ และรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติกับการนี้ ว่าฉันกำลังคิดถึงงานของคริสตจักรเมื่อฉันขอให้ผู้คนอื่นๆ ทำบางสิ่งเพราะขีดความสามารถของฉันต่ำ และฉันไม่สามารถทำการนั้นได้ดี เป็นเพราะการอ่านพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ฉันจึงได้สลับสับเปลี่ยนทรรศนะที่ผิดพลาดนี้ โดยตระหนักว่าฉันกำลังมองดูที่สิ่งทั้งหลายโดยผ่านทางมโนคติและการจินตนาการของฉันเอง ฉันยังได้เรียนรู้บางสิ่งเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันเองด้วยเช่นกัน
วันหนึ่ง ผู้นำคนหนึ่งได้ขอให้พวกเราเขียนจดหมายเพื่อสนับสนุนพี่น้องหญิงคนหนึ่ง พี่น้องหญิงคนที่ฉันร่วมทีมด้วยนั้นติดธุระอยู่กับสิ่งอื่น ดังนั้นเธอจึงได้ขอให้ฉันรับมือกับการนั้น ฉันเริ่มสร้างข้อแก้ตัวอย่างรวดเร็วว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำเกินไป ฉันไม่เก่งเรื่องการเขียนและการแก้ไขข้อความ คงจะเป็นการดีกว่าหากคุณรับมือกับการนั้น” เช่นนั้นเองฉันผลักอะไรก็ตามซึ่งจัดการยากไปให้หุ้นส่วนของฉันโดยอัตโนมัติ ต่อมา เธอได้พูดกับฉันว่า “ตั้งแต่ตอนที่พวกเราพบกัน คุณพูดมาตลอดว่าขีดความสามารถของคุณไม่ดี แต่หลังจากที่ได้อยู่กับคุณสองสามวันฉันได้สังเกตเห็นว่า คุณสามารถค้นหาปัญหาบางอย่างในงานได้ ฉันไม่คิดว่าขีดความสามารถของคุณไม่ดีขนาดนั้น แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณเผชิญหน้ากับความลำบากยากเย็นอันใดในการปฏิบัติหน้าที่ของคุณ คุณพูดเสมอว่าขีดความสามารถของคุณต่ำ และบางครั้งคุณถึงขั้นผลักหน้าที่ของคุณไปให้ใครคนอื่น ฉันไม่รู้ว่าแรงจูงใจของคุณคืออะไร ในการที่พูดไปเรื่อยอยู่เสมอเกี่ยวกับว่าขีดความสามารถของคุณไม่ดี—สำหรับฉันแล้วรู้สึกเหมือนว่าคุณนั้นจอมปลอมจริงๆ!” การได้ยินเธอพูดเช่นนี้ ฉันก็พูดไม่ออก แต่หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความเป็นปรปักษ์ กล่าวคือ “เมื่อฉันพูดว่าขีดความสามารถของฉันไม่ดี ฉันกำลังบอกความจริง คุณไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหลาย และคุณเข้าใจฉันผิดไปแล้ว” หลังจากนั้น ฉันก็ครุ่นคิดว่าเหตุใดพี่น้องหญิงคนนี้จึงได้พูดเช่นนั้น ฉันไม่ได้กำลังโกหกเมื่อฉันพูดว่าขีดความสามารถของฉันต่ำ—เธอพูดได้อย่างไรว่าฉันมีแรงจูงใจ? ในหัวใจของฉัน ฉันก็แค่ไม่สามารถขบคิดการนั้นออก
ครั้งหนึ่ง ในระหว่างการประชุมกับบรรดาเพื่อนร่วมงานของฉัน ฉันได้เปิดกว้างเกี่ยวกับความงุนงงสับสนของฉันต่อพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ฉันได้ทบทวนเหตุผลทั้งหลายว่าทำไมฉันจึงคิดว่าขีดความสามารถของฉันต่ำทีละข้อ กล่าวคือ ตัวอย่างเช่น ฉันพิมพ์ช้าจริงๆ ลีลาการเขียนของฉันก็ไม่ได้ดีมาก เมื่อทำงานเกี่ยวกับข้อความกับหุ้นส่วนของฉัน เธอทำงานพิมพ์และงานเขียนส่วนใหญ่ และเมื่อเธอจัดการกับงานของคริสตจักร เธอพบปัญหาทั้งหลายอย่างรวดเร็วจริงๆ ในขณะที่ฉันช้ากว่า และอื่นๆ หลังจากได้ยินฉันสามัคคีธรรม พี่น้องชายหลิวผู้นำของพวกเราได้พูดว่า “พี่น้องหญิง พวกเราประเมินวัดว่าขีดความสามารถของใครคนหนึ่งดีหรือไม่ดีบนสิ่งเหล่านี้หรือ? การนั้นอยู่ในแนวเดียวกันกับความจริงหรือไม่? การนั้นอยู่ในแนวเดียวกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่? พวกเราทั้งหมดรู้ว่าผู้คนในโลกให้คุณค่ากับพรสวรรค์และสมองเป็นอย่างมาก ผู้ใดก็ตามที่มีไหวพริบดี ชัดเจนและชำนาญในการรับมือกับเรื่องเกี่ยวกับโลกภายนอก คือผู้คนที่มีขีดความสามารถดี ในขณะที่พวกที่ไม่คล่องในการพูด ไม่รู้เท่าทัน และไม่มีการศึกษาที่ดี ถูกมองว่าไม่มีขีดความสามารถ นั่นคือวิธีที่บรรดาผู้ไม่เชื่อมองการนั้น พวกเราผู้ซึ่งเชื่อในพระเจ้าควรมองดูสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า พวกเราได้แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในเรื่องนี้หรือยัง? พระเจ้าทรงประเมินวัดว่าขีดความสามารถของผู้คนดีหรือไม่ดีบนหลักพื้นฐานใด? และสิ่งใดกันแน่ที่เป็นขีดความสามารถดีและไม่ดี?” ฉันกำลังส่ายศีรษะของฉัน และพี่น้องชายหลิวก็สามัคคีธรรมต่อไปว่า “พวกเรามาอ่านบทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้ากันเถิด ความว่า ‘พวกเราประเมินวัดขีดความสามารถของผู้คนกันอย่างไรหรือ? หนทางที่ถูกต้องแม่นยำที่สุดก็คือการประเมินวัดขีดความสามารถของพวกเขาบนพื้นฐานของระดับการเข้าใจความจริงของพวกเขา ผู้คนบางส่วนสามารถเรียนรู้วิชาเฉพาะทางบางอย่างได้อย่างรวดเร็วมาก แต่เมื่อพวกเขาได้ยินความจริง พวกเขากลับกลายเป็นวุ่นวายสับสนแล้วพวกเขาก็ม่อยหลับไป ความจริงทำให้พวกเขางงงัน สิ่งที่พวกเขาได้ฟังไม่มีอันใดเข้าหู อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังฟัง—นั่นคือสิ่งที่เป็นขีดความสามารถไม่ดี กับผู้คนบางคน หากเจ้าบอกพวกเขาว่าพวกเขามีขีดความสามารถไม่ดี พวกเขาย่อมไม่เห็นด้วย พวกเขาคิดว่าการได้รับการศึกษาสูงและมีความรู้หมายความว่าพวกเขามีขีดความสามารถที่ดี การศึกษาดีแสดงให้เห็นขีดความสามารถสูงอย่างนั้นหรือ? เปล่าเลย ขีดความสามารถของผู้คนประเมินวัดบนพื้นฐานของระดับขั้นที่พวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและความจริง นี่เป็นหนทางในการประเมินวัดที่มีมาตรฐานที่สุด ถูกต้องแม่นยำที่สุด ไม่มีประโยชน์อันใดในการพยายามประเมินวัดขีดความสามารถของใครบางคนโดยวิถีทางอื่นใด ผู้คนบางคนพูดจาโน้มน้าวเก่งและมีไหวพริบดี และพวกเขาเก่งจริงในการเข้ากันได้กับผู้อื่น—แต่เมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าและฟังคำเทศนาทั้งหลาย พวกเขากลับไม่เข้าใจสิ่งใดเลย เมื่อพวกเขากล่าวคำพยานเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขาเผยตัวพวกเขาเองว่าเป็นเพียงมือสมัครเล่นเท่านั้น และทุกคนสามารถรู้สึกได้ว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจทางจิตวิญญาณเลย เหล่านี้ไม่ใช่ผู้คนที่มีขีดความสามารถดี’ (“การเข้าใจความจริงสำคัญยิ่งยวดต่อการทำหน้าที่ของคนเราให้ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสม” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) จากการสามัคคีธรรมนี้พวกเราเห็นว่า การที่ขีดความสามารถของใครคนหนึ่งดีหรือไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขาในการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า นี่ไม่ใช่สิ่งที่บรรดาผู้ไม่เชื่อหมายถึงเมื่อพวกเขาพูดว่า ใครคนหนึ่งมีขีดความสามารถหรือมีพรสวรรค์และหลักแหลม ผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถดีสามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้เมื่อพวกเขาเสร็จสิ้นการอ่านพระวจนะของพระองค์ พวกเขาสามารถค้นหาเส้นทางที่จะปฏิบัติและเข้าสู่ความจริงได้ และมีความสามารถที่จะปฏิบัติไปตามสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ ในทางกลับกัน มีพวกที่ดูเหมือนว่าหลักแหลมมากและยอดเยี่ยมในการรับมือกับเรื่องของโลกภายนอก—แต่พวกเขาก็ประหลาดใจสับสนทันทีที่พวกเขาเผชิญหน้ากับความจริงทั้งหลายของพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นไม่สามารถกล่าวได้ว่ามีขีดความสามารถที่ดี เป็นเหมือนกับที่ว่า ผู้คนที่มีความรู้และได้รับการศึกษาบางคน ที่ภายนอกนั้นดูเหมือนว่ามีพรสวรรค์และฉลาดมาก แต่ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงทั้งหลายเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าได้ พวกเขาบางคนมีมุมมองที่ไร้สาระน่าขันเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายเสียด้วยซ้ำ และดังนั้นแล้ว การได้รับการศึกษาสูง มีไหวพริบดี และมีความสามารถ จึงไม่เป็นตัวแทนของขีดความสามารถที่ดี อีกทั้งเหล่านี้ก็ไม่ใช่มาตรฐานซึ่งใช้ประเมินวัดขีดความสามารถของใครคนหนึ่ง สิ่งซึ่งเป็นกุญแจสำคัญคือ ผู้คนเข้าใจจิตวิญญาณหรือไม่ พวกเขาสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้หรือไม่ พวกเราไม่สามารถพึ่งพามโนคติและการจินตนาการของพวกเราเองในการประเมินวัดว่า ขีดความสามารถของใครคนหนึ่งดีหรือไม่ดี!” เมื่อได้ยินการนี้ ทันใดนั้นฉันจึงเห็นความสว่าง กล่าวคือ กลับกลายเป็นว่า การเชื่อของฉันไม่ใช่สิ่งใดเลยนอกจากมโนคติและการจินตนาการของฉันเอง—สิ่งเหล่านั้นไม่ได้คล้อยตามความจริง
ต่อมา พี่น้องหญิงคนหนึ่งพบพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนและขอให้ฉันอ่านพระวจนะเหล่านี้ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “วิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติกับผู้คนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาอายุเท่าใด พวกเขาเกิดมาในสภาพแวดล้อมประเภทใด หรือพวกเขามีความสามารถพิเศษอย่างไร ในทางตรงกันข้าม พระองค์ทรงปฏิบัติกับผู้คนบนพื้นฐานของท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง และท่าทีนี้สัมพันธ์กับอุปนิสัยของพวกเขา หากเจ้ามีท่าทีที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจริง ซึ่งเป็นท่าทีของการยอมรับและการถ่อมใจ เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เข้ามีขีดความสามารถต่ำ พระเจ้าก็จะยังคงทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าและทรงอนุญาตให้เจ้าได้รับบางสิ่งบางอย่าง หากเจ้ามีขีดความสามารถดีแต่โอหังอยู่เสมอ โดยคิดว่าเจ้านั้นถูกต้องเป็นเนืองนิตย์ และไม่เต็มใจที่จะยอมรับสิ่งใดที่ใครอื่นบางคนกล่าวและต้านทานสิ่งนั้นอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่ทรงพระราชกิจในตัวเจ้า พระองค์จะตรัสว่า บุคคลผู้นี้มีอุปนิสัยที่ไม่ดีและไม่มีค่าคู่ควรจะได้รับสิ่งใด และพระองค์จะถึงขั้นทรงพรากสิ่งที่ครั้งหนึ่งเจ้าเคยมีไป นี่คือสิ่งที่รู้จักกันว่าเป็นการถูกเปิดโปง” (“คนเราสามารถครองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติได้โดยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “เมื่อคนเราสามารถเอาจริงเอาจัง รับผิดชอบ ทุ่มเทอุทิศ และขยันหมั่นเพียร งานย่อมจะทำไปอย่างถูกต้องเหมาะสม บางครั้ง เจ้าไม่มีหัวใจเช่นนั้น และเจ้าไม่สามารถพบเจอและค้นพบความผิดพลาดซึ่งชัดเจนมาก หากคนเราได้มีหัวใจเช่นนั้น เช่นนั้นแล้ว ด้วยการกระตุ้นเตือนและการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาคงจะมีความสามารถที่จะระบุแยกแยะประเด็นปัญหานั้นได้ แต่หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงนำเจ้าและได้ทรงมอบการตระหนักรู้เช่นนั้นให้เจ้า เปิดโอกาสให้เจ้าได้สำนึกว่าบางสิ่งนั้นผิดปกติ กระนั้นเจ้าไม่ได้มีหัวใจเช่นนั้น เจ้าคงจะยังคงไม่สามารถระบุแยกแยะประเด็นปัญหานั้นได้ ดังนั้นแล้ว การนี้แสดงให้เห็นสิ่งใด? นั่นแสดงให้เห็นว่า การที่ผู้คนร่วมมือนั้นสำคัญมาก หัวใจของพวกเขาสำคัญมาก และที่ที่พวกเขามุ่งความคิดและเจตนาของพวกเขาไปนั้นสำคัญมาก พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์และสามารถทอดพระเนตรสิ่งที่ผู้คนเก็บไว้ในหัวใจของพวกเขาขณะที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และพลังงานมากเพียงใดที่พวกเขาทุ่มเท การที่ผู้คนใส่หัวใจและพละกำลังทั้งหมดของพวกเขาเข้าไปในสิ่งที่พวกเขาทำนั้นสำคัญยิ่งยวด ความร่วมมือก็เช่นกันเป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่งยวดอย่างหนึ่ง ผู้คนจะปฏิบัติตนด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของพวกเขา ก็ต่อเมื่อพวกเขาเพียรพยายามที่จะไม่เสียใจเกี่ยวกับหน้าที่ที่พวกเขาได้เสร็จสิ้นแล้วและสิ่งที่พวกเขาได้ทำแล้ว และที่จะไม่เป็นหนี้พระเจ้า” (“วิธีแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการสะเพร่าและการสุกเอาเผากินเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังจากที่ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้า พี่น้องหญิงคนนั้นพูดว่า “พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้เห็นว่า ท่าทีของพวกเราเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเรานั้นสำคัญมาก—นั่นสำคัญยิ่งยวด หากพวกเรามีความรู้สึกนึกคิดที่ถูกต้อง หากพวกเราสามารถมอบหัวใจและพลังงานทั้งหมดของพวกเราให้แก่การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราได้ พระเจ้าย่อมจะทรงเห็น และจะทรงปฏิบัติต่อพวกเราไปตามท่าทีของพวกเราที่มีต่อหน้าที่ของพวกเรา ต่อให้พวกเรามีขีดความสามารถต่ำ พระเจ้าก็จะยังคงทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำพวกเรา หากพวกเรามีขีดความสามารถที่ดี แต่พวกเราไม่มีความรู้สึกนึกคิดที่ถูกต้อง และไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคาและร่วมมือกับพระเจ้า หรือหากพวกเราโอหังและยึดมั่นในตัวพวกเราเอง หรือทำงานเพียงเพื่อจะได้รับชื่อเสียงและโชคลาภ เช่นนั้นแล้ว ไม่เพียงแต่พวกเราจะไม่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราอย่างถูกต้องเหมาะสมเท่านั้น แต่ยังจะถูกพระเจ้าทรงบอกปัดด้วยเช่นกัน นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า หากพวกเรามองดูบรรดาพี่น้องชายหญิงรอบตัวพวกเราโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า พวกเราย่อมเห็นว่าบางคนมีขีดความสามารถธรรมดา แต่มีแรงจูงใจที่ถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา เมื่อเผชิญหน้ากับความลำบากยากเย็น พวกเขาแสวงหาความจริงด้วยตัวของพวกเขาเอง และมุ่งเน้นที่การเข้าไปสู่หลักธรรมทั้งหลาย และพวกเขากลายเป็นมีประสิทธิผลมากขึ้นเรื่อยๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ในขณะที่มีพี่น้องชายหญิงบางคนผู้ซึ่งสำหรับพวกเราแล้วดูเหมือนว่ามีขีดความสามารถดีเป็นพิเศษ และผู้ซึ่งมีความเข้าใจถ่องแท้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาทะนงตน พึงพอใจในตัวเอง ไม่ฟังคำแนะของผู้คนอื่นๆ และรับเอาพระสิริของพระเจ้าเพื่อตัวพวกเขาเองเมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีความสำเร็จเล็กน้อยในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาอวดตัวพวกเขาเองทุกโอกาสที่พวกเขามี โดยดิ้นรนต่อสู้เพื่อกำไรและชื่อเสียง บางคนทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักและถูกพรากความมีสิทธิในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา บางคนกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์หลังจากที่ทำการกระทำชั่วมากมาย และถูกขับไล่จากคริสตจักร ข้อเท็จจริงเหล่านี้แสดงให้พวกเราเห็นว่า ไม่ว่าขีดความสามารถของบุคคลหนึ่งจะดีหรือไม่ดี ไม่เป็นการกำหนดพิจารณาว่าพวกเขาได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้าหรือไม่ สิ่งซึ่งเป็นกุญแจสำคัญคือ พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของพวกเขาด้วยสุดหัวใจและจิตใจของพวกเขาหรือไม่”
ต่อมา บรรดาพี่น้องชายหญิงได้ดึงประสบการณ์ของพวกเขาเองมาใช้ในการพูดคุยเกี่ยวกับอันตรายและผลสืบเนื่องของการนิยามตัวพวกเขาเองไปตามมโนคติและการจินตนาการของพวกเขาเอง เมื่อนั้นเท่านั้นฉันจึงได้ตระหนักว่าการไม่เข้าใจความจริงนั้นโง่เขลาเพียงใด ฉันไม่ได้แสวงหาความจริง และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับได้นิยามตัวฉันเองว่ามีขีดความสามารถต่ำโดยการดำรงชีวิตอยู่ในมโนคติและการจินตนาการของฉัน จนถึงจุดที่ว่าฉันได้ผลักหน้าที่อันลำบากยากเย็นไปให้ผู้คนอื่นๆ บ่อยครั้ง ฉันไม่ได้ลองพยายามที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้น อีกทั้งฉันไม่ได้พึ่งพาพระเจ้าหรือจ่ายราคาจริงๆ เพื่อทะลวงผ่านเครื่องขวางกั้นเหล่านี้ ซึ่งได้ทำให้ฉันไม่สามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ซึ่งฉันสามารถทำได้ด้วยซ้ำ ฉันไม่เพียงไม่สามารถที่จะทำการฝึกฝนที่จริงแท้ หรือเติบโตในความจริงและชีวิตได้ แต่การนี้มีอิทธิพลโดยตรงต่อความมีประสิทธิภาพของฉันในการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน ฉันคิดเกี่ยวกับว่าพี่น้องหญิงคนที่ฉันทำงานด้วยมีความสามารถที่จะค้นหาปัญหาได้อย่างรวดเร็วเพียงใด แม้ว่าการนี้เชื่อมโยงกับขีดความสามารถเนื้อแท้ภายในของเธอ ที่สำคัญมากกว่าก็คือ เพราะท่าทีอันมีสติและรับผิดชอบของเธอที่มีต่อหน้าที่ของเธอ เธอจึงมีความสามารถที่จะพึ่งพาพระเจ้าและเผชิญหน้ากับความลำบากยากเย็นซึ่งหน้าได้เมื่อเธอมาเจอกับความลำบากยากเย็นเหล่านั้น เมื่อนั้นเท่านั้นเธอจึงได้รับการให้ความรู้แจ้งและการให้ความกระจ่างโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในทางกลับกัน ฉันได้ลองพยายามที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาทั้งหลายเมื่อฉันเผชิญปัญหาเหล่านั้น และได้ใช้ขีดความสามารถที่ต่ำเป็นข้อแก้ตัวในการปล่อยให้ตัวฉันเองหลุดพ้นจากปัญหา ฉันไม่ได้พึ่งพาพระเจ้าและไม่ได้ลองพยายามแก้ไขปัญหาโดยการแสวงหาความจริงที่เกี่ยวข้องกันโดยตัวของฉันเอง ซึ่งหมายความว่าฉันไม่มีความสามารถที่จะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ จากการนี้ ฉันได้เห็นว่าพระเจ้าทรงเที่ยงธรรมและชอบธรรมต่อทุกคน ฉันยังได้ระลึกได้โดยผ่านทางการสามัคคีธรรมอีกเช่นกันว่า พระเจ้าทรงขอจากพวกเราบนพื้นฐานของสิ่งซึ่งพวกเราสามารถทำได้ นั่นไม่ใช่กรณีที่พระองค์ “ทรงต้อนบรรดาเป็ดให้ไปอยู่บนคอน” ฉันควรทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยตัวฉันเอง แทนที่จะให้ความสนใจกับขีดความสามารถของฉัน ฉันควรมุ่งเน้นไปที่การทุ่มเทพลังงานทั้งหมดของฉันในการปฏิบัติหน้าที่ของฉันเพียงเท่านั้น ฉันควรแสวงหาและใคร่ครวญหลักธรรมเกี่ยวกับความจริง เรียนรู้จากจุดแข็งของผู้อื่น ฟังคำแนะของผู้คนอื่นๆ และรวมหลักธรรมนั้นไว้ในสิ่งที่ฉันได้ปฏิบัติจริงๆ—และเมื่อเวลาผ่านไป ฉันจะได้ประโยชน์และเติบโตอย่างแน่นอน
หลังจากนั้น การวิพากษ์วิจารณ์ของพี่น้องหญิงคนนั้นเกี่ยวกับฉันก็ก้องอยู่ในหูของฉัน ความว่า “ฉันไม่รู้ว่าแรงจูงใจของคุณคืออะไร ในการที่พูดไปเรื่อยอยู่เสมอเกี่ยวกับว่าขีดความสามารถของคุณไม่ดี” เธอพูดถูกต้อง—ฉันด่วนพูดเสมอว่าขีดความสามารถของฉันไม่ดี แรงจูงใจและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดหรือที่กำลังควบคุมฉันอยู่อย่างลับๆ?
วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “เจ้าควรตรวจสอบตัวเจ้าเองอย่างรอบคอบเพื่อให้มองเห็นว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ถูกต้องหรือไม่ เป้าหมายและเจตนาทั้งหลายของเจ้าเกิดขึ้นโดยมีเราอยู่ในจิตใจหรือไม่? คำพูดและการกระทำทั้งปวงของเจ้าถูกพูดและทำตอนที่เราอยู่ด้วยหรือไม่? เราตรวจสอบความคิดและแนวคิดทั้งปวงของเจ้า เจ้าไม่รู้สึกผิดเลยหรือ? เจ้าสวมฉากหน้าอันเป็นเท็จให้ผู้อื่นเห็น และเจ้าวางท่าอย่างใจเย็นว่าตนนั้นชอบธรรมเสมอ เจ้าทำการนี้เพื่อกำบังตัวเจ้าเอง เจ้าทำการนี้เพื่อปกปิดความชั่วของเจ้า และเจ้าถึงกับคิดหาหนทางที่จะผลักความชั่วนั้นไปให้คนอื่น การคิดคดทรยศแบบไหนกันที่อาศัยอยู่ในหัวใจของเจ้า!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 13) หลังจากที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เริ่มที่จะทบทวนตัวฉันเอง กล่าวคือ เมื่อเผชิญหน้ากับหน้าที่ซึ่งฉันไม่เคยได้ทำมาก่อน สิ่งแรกที่ฉันจะทำคือบอกพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ว่าขีดความสามารถของฉันต่ำ เพราะฉันกลัวว่าพวกเขาจะไม่ยกย่องนับถือฉันหากฉันทำหน้านั้นไม่ดี ฉันทำการนี้เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของความหยิ่งและสถานะของฉันเอง ความหมายโดยนัยก็คือ ไม่ใช่ความผิดของฉันหากฉันทำการนั้นไม่ดี ไม่ใช่ว่าฉันยังไม่ได้ทุ่มเทพลังงานทั้งหมดของฉันเข้าไปในการนั้น แต่เป็นว่านั่นอยู่เลยพ้นขีดความสามารถของฉัน เมื่อใดก็ตามที่ฉันเผชิญความลำบากยากเย็นอันใดในการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน ฉันไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อเผชิญหน้ากับความลำบากยากเย็นนั้นซึ่งหน้า ฉันกลัวความรับผิดชอบเช่นกัน ดังนั้นแล้ว ฉันก็แค่ใช้ขีดความสามารถที่ต่ำของฉันเป็นข้อแก้ตัวในการผลักหน้าที่ของฉันไปให้ใครคนอื่น เพื่อทำให้พวกเขาคิดว่าฉันมีเหตุผลและตระหนักรู้ในตนเอง เกือบทุกครั้งที่ฉันทนทุกข์กับความยากลำบากและจำเป็นที่จะต้องจ่ายราคา หรือจำเป็นที่จะต้องแบกรับความรับผิดชอบอยู่บ้าง ฉันก็จะถอยออกมา อันที่จริงแล้ว ฉันกำลังดำรงชีวิตอยู่ในปรัชญาระหว่างบุคคลเยี่ยงซาตานที่ว่า “ผู้คนที่มีไหวพริบนั้น เก่งในการปกป้องตัวเอง ด้วยการแค่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น” นั่นดูเหมือนว่าหลักแหลมพอดู—การใช้วิธีการที่เคี้ยวคดของฉันเองเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ—แต่อันที่จริงแล้ว ฉันได้พลาดโอกาสเหมาะมากมายในการที่จะแสวงหาและเข้าใจความจริง ในข้อเท็จจริงนั้น ขีดความสามารถที่พระเจ้าทรงมอบให้พวกเราแต่ละคนเหมาะตามวัตถุประสงค์ กระนั้นฉันก็ยังไม่ได้ทุ่มเทหัวใจและพลังงานทั้งหมดของฉันบนพื้นฐานของสิ่งที่ฉันสามารถสัมฤทธิ์ได้ เพื่อที่จะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และทำหน้าที่ของฉันให้ดี แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันได้ใช้ขีดความสามารถที่ต่ำของฉันเป็นข้อแก้ตัวอยู่เสมอสำหรับการไม่ปฏิบัติตามความจริง เพื่อลองพยายามที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมและหลอกลวงพระเจ้า นี่ไม่เจ้าเล่ห์มาก ชั่วมากหรอกหรือ? และฉันจะสามารถได้รับการทรงนำโดยพระเจ้าไปตามนั้นได้อย่างไร?
พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “‘แม้ว่าขีดความสามารถของฉันจะต่ำ แต่ฉันก็มีหัวใจที่ซื่อสัตย์’ เมื่อผู้คนส่วนใหญ่ได้ยินบรรทัดนี้ พวกเขาก็รู้สึกดีใช่หรือไม่? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าต่อมนุษย์ ข้อพึงประสงค์ใดเล่า? หากผู้คนขาดพร่องขีดความสามารถ ก็ไม่ใช่บทอวสานของโลก แต่พวกเขาต้องครองหัวใจที่ซื่อสัตย์ และเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงจะมีความสามารถที่จะรับการสรรเสริญของพระเจ้าได้ ไม่สำคัญว่าสถานการณ์ของเจ้าเป็นเช่นใด เจ้าต้องเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ พูดอย่างซื่อสัตย์ กระทำตัวอย่างซื่อสัตย์ มีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างสุดหัวใจและจิตใจ และสัตย์ซื่อ และเจ้าต้องไม่ละเลยงานของเจ้า ไม่ปลิ้นปล้อนหรือหลอกลวง ไม่เจ้าเล่ห์ ไม่พยายามฉลาดกว่าผู้อื่น หรือพูดคุยวกไปวนมา เจ้าต้องเป็นบุคคลที่รักความจริงและไล่ตามเสาะหาความจริง…เจ้าพูดว่า ‘ขีดความสามารถของฉันต่ำ แต่ฉันซื่อสัตย์ที่ใจ’ อย่างไรก็ตาม เมื่อหน้าที่ตกอยู่กับเจ้า เจ้าก็กลัวความทุกข์ หรือกลัวว่าหากเจ้าไม่ทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างดี เจ้าก็จะต้องแบกรับความรับผิดชอบ ดังนั้นเจ้าจึงทำการแก้ตัวเพื่อละเลยหน้าที่นั้น และแนะนำผู้อื่นให้ทำหน้าที่นั้น นี่เป็นการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือ? ชัดเจนว่าไม่ใช่ เช่นนั้นแล้ว บุคคลที่ซื่อสัตย์ควรประพฤติตัวอย่างไร? พวกเขาควรยอมรับและเชื่อฟัง และจากนั้นก็ทุ่มเทอุทิศอย่างถึงที่สุดในการทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างสุดความสามารถของพวกเขา โดยเพียรพยายามที่จะประจวบพ้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า การนี้ได้รับการแสดงออกในหลายหนทาง หนทางหนึ่งคือเจ้าควรยอมรับหน้าที่ของเจ้าด้วยความซื่อสัตย์ ไม่คิดถึงสิ่งอื่นใด และไม่ทำอย่างไม่เต็มใจ จงอย่าวางอุบายเพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง นี่คือการแสดงออกของความซื่อสัตย์ อีกหนทางหนึ่งคือการทุ่มเทเรี่ยวแรงและหัวใจของเจ้าทั้งหมดลงไปในหน้าที่นั้น เจ้าพูดว่า ‘นี่คือทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันสามารถทำได้ ฉันจะนำทั้งหมดนี้มาใช้ และทุ่มเทอุทิศมันอย่างครบบริบูรณ์แด่พระเจ้า’ นี่ไม่ใช่การแสดงออกของความซื่อสัตย์หรือ? เจ้าทุ่มเทอุทิศทั้งหมดที่เจ้ามีและทั้งหมดที่เจ้าสามารถทำได้—นี่คือการแสดงออกของความซื่อสัตย์” (“เพียงโดยการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีความสุขอย่างแท้จริงได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าได้มอบเส้นทางที่จะปฏิบัติแก่ฉัน กล่าวคือ พระเจ้าไม่ใส่พระทัยว่าขีดความสามารถของผู้คนดีหรือไม่ดี สิ่งซึ่งเป็นกุญแจสำคัญคือ พวกเขามีหัวใจที่ซื่อสัตย์หรือไม่ พวกเขาสามารถยอมรับความจริง และนำความจริงไปสู่การปฏิบัติได้หรือไม่ ถึงแม้ว่าขีดความสามารถของฉันต่ำ และฉันก็ช้ากว่าสักหน่อยในการเข้าใจความจริง และบางครั้งก็ปฏิบัติตามคำสอน หากหัวใจของฉันซื่อสัตย์ และฉันไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นนิตย์เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันในขณะที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ของฉัน หากฉันทำทั้งหมดซึ่งฉันสามารถเพื่อดำเนินการสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงขอ เช่นนั้นแล้ว ฉันย่อมจะได้รับการทรงนำและพระพรของพระเจ้า และจะค่อยๆ มีความสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ ขณะที่ฉันเข้าสู่ความจริง ฉันจะมีความสามารถที่จะชดเชยข้อบกพร่องของฉันในเรื่องของขีดความสามารถที่ต่ำของฉันได้ และฉันจะเข้าใจและมองเห็นสิ่งทั้งหลายได้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ฉันได้เริ่มที่จะพึ่งพาพระเจ้าในการที่จะทำได้ดีขึ้นเมื่อฉันปฏิบัติหน้าที่ของฉัน ฉันไม่ได้ถ่ายเทสิ่งทั้งหลายซึ่งไม่เป็นที่ประจักษ์ต่อฉัน ซึ่งฉันไม่เข้าใจ ไปให้ผู้คนอื่นๆ อีกต่อไป แต่ได้ลองพยายามอย่างหนักที่จะแสวงหาและไขคำตอบสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวของฉันเอง คำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้า! เมื่อฉันได้ปฏิบัติตามที่พระเจ้าทรงขอ ฉันมีความสามารถที่จะมองเห็นปัญหาทั้งหลายในหน้าที่ของฉันเช่นกัน—และถึงแม้ว่ามีบางครั้งที่ประเด็นปัญหาซึ่งค่อนข้างซับซ้อนยังคงไม่ชัดเจนสำหรับฉัน แต่โดยการค้นหาหลักธรรมเกี่ยวกับความจริงกับบรรดาพี่น้องชายหญิง ประเด็นปัญหาเหล่านั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นชัดเจนสำหรับฉัน และฉันก็รู้สึกเบาขึ้นและได้รับการปลดปล่อยมากขึ้นเมื่อฉันปฏิบัติหน้าที่ของฉัน
เนื่องจากการได้รับประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมซึ่งพระเจ้าได้ทรงกำหนดให้ฉัน ฉันจึงได้รับความรู้บางอย่างเกี่ยวกับความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของฉัน และได้กลายเป็นตระหนักรู้ถึงวิธีที่จะเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหาซึ่งเกี่ยวข้องกับขีดความสามารถของฉัน เมื่อฉันกำลังปฏิบัติหน้าที่ของฉันในอดีตนั้น ฉันไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การแสวงหาความจริง อีกทั้งฉันไม่ได้ลองพยายามที่จะจัดการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน ฉันมองสิ่งทั้งหลายโดยผ่านทางมโนคติและการจินตนาการของฉันเองเสมอ ซึ่งได้นำให้ฉันวาดเค้าโครงตัวฉันเองบ่อยครั้ง และให้ลองพยายามที่จะออกจากสิ่งทั้งหลายโดยการพูดว่าขีดความสามารถของฉันต่ำ การปฏิบัติหน้าที่ของฉันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุกเอาเผากิน ฉันได้เทิดทูนงานของคริสตจักร และได้ทนทุกข์กับความสูญเสียในชีวิตของฉันเอง ตอนนี้ฉันเข้าใจว่าขีดความสามารถของทุกคนได้รับการทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วโดยพระเจ้า และเป็นส่วนหนึ่งของเจตนารมณ์อันรุ่งโรจน์ของพระเจ้า ฉันไม่ควรถูกหน่วงเหนี่ยวโดยการที่ว่า ขีดความสามารถของฉันดีหรือไม่ดี ในอนาคต ฉันจะลองพยายามที่จะแสวงหาความจริงในทุกสรรพสิ่ง ปฏิบัติตนโดยมีหลักธรรม และเป็นใครคนหนึ่งที่ซื่อสัตย์เพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย เทเรซ่า, ฟิลิปปินส์ เดือนพฤษภาคม ปี 2021 ฉันรับหน้าที่ผู้นำ รับผิดชอบงานของคริสตจักรหลายแห่ง ฉันคิดว่า...
ฉันพูดติดอ่างตั้งแต่จำความได้ ปกติไม่ได้แย่มาก แต่เมื่อไรก็ตามที่มีคนอยู่เยอะ ฉันจะประหม่าแล้วเริ่มพูดติดอ่าง...
โดย ตันยี ญี่ปุ่น ฉันรับผิดชอบ งานข่าวประเสริฐของสองทีม ไม่นานมานี้ พี่น้องชายหญิงบางคน โดนปลดเพราะไม่ทำงานจริง และมักจะ ทำหน้าที่แบบส่งๆ...
โดย ซิน จิ้ง, ประเทศจีน ย้อนไปมิถุนายนปี 2015 ฉันไปทำหน้าที่มัคนายกข่าวประเสริฐที่คริสตจักร ผู้หญิงชื่อหลี่เจี๋ยอยู่ในทีมให้น้ำ...