การรู้จักสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้าในชีวิต
โดย ซิ่นซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ความรู้ในเรื่องสิทธิอำนาจของพระเจ้า ฤทธานุภาพของพระเจ้า...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2022 สมาชิกของหมู่บ้านหลายแห่งยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผู้มาใหม่จำนวนมากก็หยุดมาชุมนุม หลังจากหาข้อมูล เราพบว่า ทหารติดอาวุธกำลังลาดตระเวนตอนกลางคืน และจะจับกุมใครก็ตามที่จัดชุมนุม ในพื้นที่อื่น พี่น้องบางคนถูกปรับ ถูกจับ และถูกจำคุกจากความเชื่อของพวกเขาไปแล้ว ผู้มาใหม่ในหมู่บ้านเหล่านั้นกลัวมากจนไม่กล้าเข้าร่วมการชุมนุม ตอนนั้นเองที่ผู้นำของฉันมอบหมายให้อิซากับฉันไปเกื้อหนุนผู้มาใหม่ ตอนนั้น อิซากับฉันกำลังแยกกันให้น้ำผู้มาใหม่
คืนหนึ่งก่อนฉันกลับบ้าน จู่ๆ อิซาก็โทรหาฉัน แล้วบอกว่าพี่สาวอุปถัมภ์ของเรากลัวถูกปรับหรือติดคุก แล้วบอกให้เราย้ายออกไป ฉันคิดว่า “ดึกขนาดนี้แล้วเราจะหาครอบครัวอุปถัมภ์ได้ที่ไหน?” ต่อมา เราลงเอยที่ลองถามกับพี่สาวยานา แต่ยานากับลูกของเธอกลัวถูกจับและไม่กล้าอุปถัมภ์เรา เราเลยกลายเป็นคนไร้บ้านในกลางดึกคืนนั้น ฉันรู้สึกเศร้าและไม่ได้รับความเป็นธรรม คืนนั้นฝนตก อิซากับฉันไม่รู้จะไปที่ไหน และเราอยากออกจากที่นั่น แต่ที่นั่นยังมีผู้มาใหม่อีกจำนวนมากที่ต้องการการให้น้ำและการสนับสนุน ถ้าเราออกไปแล้วผู้มาใหม่ไม่ได้รับการให้น้ำ พวกเขาก็จะยิ่งยืนหยัดด้วยตัวเองได้น้อยลง และเราจะละเลยภาระหน้าที่ของเรา เมื่อตระหนักแบบนี้แล้ว ฉันเลยตัดสินใจอยู่ต่อ และดูว่ามีใครยินดีอุปถัมภ์เราอีกหรือไม่ ต่อมา มีผู้มาใหม่ยินดีให้เราพักที่บ้านของเขา แต่เราพักได้แค่คืนเดียวเท่านั้น ตอนนั้นฉันร้องไห้ คิดว่า “ฉันอยู่ที่นั่นได้แค่คืนเดียว แล้วจากนั้นฉันก็เป็นคนไร้บ้าน ฉันอยากทำงาน แต่เจออุปสรรคมากมาย เราไม่คุ้นกับพื้นที่ แล้วถ้ารัฐบาลพบเข้าว่าเรากำลังประกาศข่าวประเสริฐ เราจะถูกจับและถูกข่มเหง” ฉันรู้สึกท้อแท้และอยากเลิก เมื่อผู้ดูแลได้ยินว่าฉันอยากกลับ เธอบอกว่า “ผู้มาใหม่ไม่เข้าใจความจริงและใช้ชีวิตในความขลาดและความหวาดกลัว พวกเขาต้องการการให้น้ำและการเกื้อหนุน เราเลิกเกื้อหนุนผู้มาใหม่ไม่ได้ ดูว่าคุณหาทางอยู่ต่อได้ไหม เราต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้า พระองค์จะทรงเตรียมสถานที่ให้คุณ” คำแนะนำของเธอทำให้ฉันคิดได้ ว่าฉันควรพึ่งพาพระเจ้าให้มากขึ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ฉันเลยอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงเปิดทางให้เรา หลังจากนั้น ขณะดูข้อความบางส่วนในแชทกลุ่มของเรา ฉันก็บังเอิญพบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “จากเมื่อครั้งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายการก่อสร้างเรือใหญ่ให้โนอาห์ทำ ไม่มีที่จุดใดเลยที่โนอาห์ได้คิดกับตัวเองว่า ‘เมื่อไหร่หรือที่พระเจ้าจะทรงทำลายโลก? เมื่อไรพระองค์จะทรงให้สัญญาณแก่ฉันว่าพระองค์จะทรงทำเช่นนั้น?’ แทนที่จะไตร่ตรองเรื่องทั้งหลายดังกล่าว โนอาห์กลับเอาจริงเอาจังกับการนำแต่ละสิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกเขามาใส่หัวใจ แล้วดำเนินการไปทีละอย่าง หลังจากยอมรับสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เขาทำ โนอาห์ก็เริ่มดำเนินการและสำเร็จลุล่วงการสร้างเรือใหญ่ที่พระเจ้าตรัสถึง ในฐานะสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ไม่มีวี่แววว่าไม่เอาใจใส่แม้แต่น้อย หลายวันผ่านไป หลายปีผ่านพ้น วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า พระเจ้าทรงไม่เคยกำกับดูแลโนอาห์หรือเร่งเร้าเขาเลย แต่ตลอดเวลาทั้งหมดนี้ โนอาห์ได้พากเพียรบากบั่นในกิจสำคัญซึ่งพระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้เขาทำ ทุกวจนะและวลีที่พระเจ้าได้ดำรัสนั้นได้ถูกจารึกไว้ภายในหัวใจของโนอาห์เสมือนคำพูดที่สลักอยู่บนแผ่นหิน ตลอดหนทางนั้นเขาได้พากเพียรบากบั่นในสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เขาทำ ไม่ท้อแท้สิ้นหวังหรือคิดถึงการเลิกล้มเลย โดยไม่ใส่ใจต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในโลกภายนอก ต่อการเยาะเย้ยถากถางของพวกที่อยู่รอบตัวเขา ต่อความยากลำบากที่เกี่ยวข้อง หรือต่อความลำบากยากเย็นที่เขาได้เผชิญ พระวจนะของพระเจ้าถูกจารึกไว้บนหัวใจของโนอาห์ และพระวจนะเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นความเป็นจริงในทุกๆ วันของเขา โนอาห์ตระเตรียมวัสดุแต่ละชนิดที่จำเป็นต้องใช้สร้างเรือใหญ่ รูปทรงและรายละเอียดเฉพาะสำหรับเรือใหญ่ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชานั้นค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นด้วยการกระหน่ำด้วยค้อนและสิ่วของโนอาห์แต่ละครั้งอย่างระมัดระวัง ผ่านลมและฝน และไม่ว่าผู้คนได้เย้ยหยันหรือใส่ร้ายเขาอย่างไร ชีวิตของโนอาห์ได้เดินหน้าไปในลักษณะนี้ ปีแล้วปีเล่า พระเจ้าได้ทรงเฝ้าดูทุกการกระทำของโนอาห์อย่างลับๆ โดยไม่ดำรัสพระวจนะกับเขาอีกเลย และโนอาห์ก็ได้ทำให้พระองค์ซาบซึ้งพระทัย อย่างไรก็ตาม โนอาห์ทั้งไม่รู้และไม่รู้สึกถึงการนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เขาก็เพียงได้สร้างเรือใหญ่ขึ้น และได้รวบรวมสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทุกประเภท ด้วยความภักดีอันไม่หวั่นไหวต่อพระวจนะของพระเจ้า ในหัวใจของโนอาห์ ไม่มีการให้คำแนะนำใดเลยซึ่งสูงส่งกว่านี้ที่เขาควรที่จะติดตามและดำเนินการ กล่าวคือ พระวจนะของพระเจ้าคือทิศทางและเป้าหมายชั่วชีวิตของเขา ดังนั้น ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใดกับเขา ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงเอ่ยขอให้เขาทำสิ่งใด จะทรงบัญชาให้เขาทำสิ่งใด โนอาห์ก็ยอมรับไว้หมด และนำมาใส่หัวใจ เขาถือว่านั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต และจัดการเรื่องดังกล่าวเช่นนั้น เขาไม่เพียงไม่ลืมเท่านั้น ไม่เพียงเก็บเอาไว้ในหัวใจของเขาเท่านั้น แต่ยังทำให้เป็นจริงในชีวิตประจำวันของตนอีกด้วย ใช้ชีวิตของเขามายอมรับและดำเนินการตามพระบัญชาของพระเจ้า และในหนทางนี้ เรือใหญ่จึงได้ถูกสร้างขึ้น ทีละแผ่นกระดาน ทุกความเคลื่อนไหวของโนอาห์ ทุกวันของเขา ถูกทุ่มเทอุทิศให้แก่พระวจนะและพระบัญญัติของพระเจ้า อาจจะไม่ได้ดูเหมือนว่าโนอาห์กำลังปฏิบัติการเข้ารับภาระหน้าที่ซึ่งสำคัญยิ่ง แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่โนอาห์ทำ แม้กระทั่งทุกขั้นตอนที่เขาใช้เพื่อสัมฤทธิ์บางสิ่ง ทุกงานที่มือของเขาออกแรงทำ—สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ล้ำค่า และสมควรกับการรำลึกเป็นอนุสรณ์ และควรค่าแก่การเอาอย่างโดยมวลมนุษย์นี้ โนอาห์ยึดตามสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เขาทำ เขาไม่หวั่นไหวในความเชื่อของตนที่ว่าพระวจนะทุกคำที่พระเจ้าตรัสนั้นจริงแท้ เขาไม่มีความสงสัยในการนี้ และผลก็คือ เรือใหญ่ได้มาถึงความครบบริบูรณ์ และสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทุกรูปแบบก็มีความสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่บนเรือใหญ่นั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, บทความเสริม สอง: วิธีที่โนอาห์และอับราฮัมเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าและนบนอบพระองค์ (ภาคที่หนึ่ง)) โนอาห์ได้ฟังพระวจนะของพระเจ้า แล้วเก็บพระวจนะกับพระบัญชาของพระองค์ไว้ในใจ เขาถือว่าการสร้างเรือโนอาห์เป็นแง่มุมที่สำคัญที่สุดของชีวิตเขา และการทำเรือให้สำเร็จเป็นภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า และแม้ต้องทุกข์ยาก เหนื่อยล้า ลำบาก อากาศรุนแรง โดนคนอื่นพูดให้ร้าย เยาะเย้ย และทอดทิ้ง เขาก็ยังยืนหยัดต่อพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมอบให้ และไม่เคยคิดที่จะเลิกแม้แต่ครั้งเดียว เขาทำแบบนี้เพราะเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าทุกบทตอนจึงสลักในใจเขา เทียบพฤติกรรมของโนอาห์กับของฉันแล้ว ฉันอยากให้หน้าที่ของฉันเป็นไปอย่างราบรื่นตลอดและไม่เคยเผชิญกับความลำบาก เมื่อเกิดอุปสรรคในหน้าที่ของฉัน และฉันไม่มีที่อยู่และเสี่ยงถูกจับ ฉันอยากถอยกลับตลอด และไม่ชอบการทนทุกข์และยอมลำบาก ฉันเห็นว่าฉันไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย และไม่ได้ต้องการสนองพระเจ้าจริงๆ ประสบการณ์ของโนอาห์กระตุ้นฉันพอตัว และยังทำให้ฉันรู้สึกละอายด้วย ฉันไม่ยินดีที่จะตามใจเนื้อหนังของฉันอีกต่อไป และตัดสินใจอยู่ต่อเพื่อเกื้อหนุนผู้มาใหม่ ถ้าไม่มีใครอุปถัมภ์ฉัน ฉันจะออกไปนอนในทุ่งนา ไม่ว่าอย่างไรฉันก็จะยืนหยัดในการประกาศข่าวประเสริฐและให้น้ำผู้มาใหม่
ต่อมา อิซากับฉันติดต่อผู้มาใหม่ชื่อเนวิน แล้วถามว่าเราพักในกระท่อมในทุ่งนาของเขาได้ไหม เนวินกับพ่อแม่ของเขาต่างยินยอม ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงเปิดทางให้เรา หลังจากนั้น ฉันเรียกผู้มาใหม่ทั้งหมดในหมู่บ้านมาชุมนุมกัน และสามัคคีธรรมกับพวกเขา “เมื่อพระเจ้าทรงทำพระราชกิจของพระองค์เพื่อช่วยผู้คน ซาตานก็ก่อกวนไม่หยุด พระเจ้าทรงยอมให้ซาตานก่อกวนและข่มเหง เพื่อให้ความเชื่อและความรักของมนุษย์สมบูรณ์ และเผย กำจัดผู้คนออกไป และทดสอบความเชื่อของพวกเขา หากเราผู้เชื่อต้องการแสวงหาความจริงและชีวิต เราไม่สามารถถอยจากการทนทุกข์ได้ เนื่องจากการข่มเหง ทำให้เราจัดการชุมนุมในบ้านของเราไม่ได้ เราจึงต้องชุมนุมกันบนภูเขา แม้ภาวะเหล่านี้จะยาก แต่การทนทุกข์ที่เราต้องเผชิญก็มีความหมาย หากเรารอจนระบอบการปกครองของซาตานล่มสลาย และการข่มเหงหมดลงเพื่อเชื่อในพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้าจะสิ้นสุดลง และเราจะเสียโอกาสในความรอด ทำไมเราควรประกาศข่าวประเสริฐ? เพราะนี่เป็นยุคสุดท้าย และเป็นขั้นสุดท้ายในพระราชกิจแห่งความรอดของมนุษยชาติของพระองค์ หากเราพลาดครั้งนี้ เราจะไม่มีวันรอด ในอนาคต ภัยพิบัติจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นและไม่อาจทานทนได้” ตอนนั้นเราสามัคคีธรรมกันไม่น้อยเลย และภายหลังผู้มาใหม่บางคนบอกว่า “เราป้องกันตัวเองจากภัยพิบัติพวกนี้ไม่ได้ และไม่มีใคร แม้แต่รัฐบาล ที่ช่วยเราได้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยเราได้ ฉะนั้นเราต้องเชื่อในพระเจ้าและเข้าร่วมการชุนนุม” ผู้มาใหม่บางคนบอกว่า “เรากลัวถูกทางการจับหรือปรับไม่ได้ ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และเราต้องชุมนุมกันต่อไป” จากนั้น เราสามัคคีธรรมความจริงแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์และพระราชกิจแห่งการพิพากษา หลังจากให้น้ำพวกเขาต่อไปอีกสิบวัน ผู้มาใหม่ทั้งหมดก็สามารถเข้าร่วมชุมนุมเป็นประจำ
จากนั้นอีกประมาณสิบวัน ตำรวจสั่งลาดตระเวนกลางคืนอีกครั้ง เนวินกลัวที่จะเข้ามาพัวพันและไม่อยากให้เราอยู่ในกระท่อมของเขาอีกแล้ว เผชิญสถานการณ์เช่นนี้ ฉันอดไม่ได้ที่จะบ่น เรามีผู้มาใหม่จำนวนมากที่ต้องให้น้ำและเกื้อหนุน มีความยากลำบากมากมายในการทำงาน แต่เราไม่มีแม้แต่ที่อยู่อาศัย ฉันจะทำงานนี้อย่างไรเล่า? ฉันเป็นทุกข์มากและไม่รู้สึกอยากแก้ปัญหาของผู้มาใหม่ ต่อมา พี่สาวคนหนึ่งส่งพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งมาให้ฉัน “เพราะเมื่อบุคคลผู้หนึ่งยอมรับสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้กับพวกเขา พระเจ้าก็ทรงมีมาตรฐานสำหรับการตัดสินว่าการกระทำของพวกเขาดีหรือแย่ และบุคคลผู้นั้นได้นบนอบหรือไม่ และบุคคลผู้นั้นได้สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่ และสิ่งที่พวกเขาทำนั้นเพียงพอเหมาะสมหรือไม่ สิ่งที่พระเจ้าใส่พระทัยคือหัวใจของบุคคล ไม่ใช่การกระทำเพียงภายนอกของพวกเขา มันไม่ใช่กรณีที่พระเจ้าควรทรงอวยพรใครสักคนตราบเท่าที่พวกเขาทำบางสิ่ง โดยไม่คำนึงถึงวิธีที่พวกเขาทำสิ่งนั้น นี่เป็นความเข้าใจผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้า พระเจ้าไม่เพียงทอดพระเนตรที่ผลลัพธ์ท้ายสุดของสิ่งทั้งหลาย แต่ทรงให้การเน้นย้ำมากขึ้นกับการที่ว่าหัวใจของบุคคลเป็นอย่างไรและท่าทีของบุคคลเป็นอย่างไรในระหว่างการพัฒนาของสิ่งทั้งหลาย และพระองค์ทอดพระเนตรว่ามีการนบนอบ ความคำนึงถึงและความพึงปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอยู่ในหัวใจของพวกเขาหรือไม่” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันทบทวนตนเองว่า ตอนฉันเริ่มเกื้อหนุนผู้มาใหม่ ฉันคิดว่าฉันกำลังทำหน้าที่ของฉัน คิดว่าหน้าที่นั้นควรเป็นไปโดยราบรื่น และคิดว่าผู้มาใหม่จะเข้าใจ อุปถัมภ์ และปกป้องฉัน พอฉันเผชิญกับการข่มเหง ไม่มีใครอุปถัมภ์ฉัน และปํญหามากมายเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมายในงานของเรา ฉันบ่นเรื่องที่เราเผชิญสถานการณ์ลำบากแค่ไหน และเรื่องผู้มาใหม่ไม่กระตือรือร้นที่จะได้ความจริง ฉันรู้สึกว่างานยากเกินไปและอยากกลับบ้าน เมื่อพูดถึงการทนทุกข์และยอมลำบาก ฉันไม่อยากนบนอบเลย ฉันนึกถึงแต่ผลประโยชน์ของเนื้อหนังของฉันและไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย พอคิดแบบนี้ ฉันรู้สึกละอายใจมาก ต่อมา พี่สาวคนหนึ่งส่งคำเตือนนี้มาให้ฉัน “ทำไมพอเป็นเรื่องการทนทุกข์และยอมลำบาก เธอถึงนบนอบไม่ได้? ทำไมเธอถึงนึกถึงแต่ผลประโยชน์ของเนื้อหนังของเธอตลอด? อุปนิสัยเสื่อมทรามไหนทำให้เป็นแบบนี้?” ฉันไตร่ตรองคำถามของพี่สาวเรื่อยๆ
วันหนึ่ง ฉันบังเอิญพบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “ทีนี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าซึ่งไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้าจะส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า? ตัวอย่างเช่น บางครั้งที่งานยุ่ง ผู้คนต้องสู้ทนความยากลำบากบางอย่าง และต้องจ่ายราคาเล็กน้อยเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี และแล้วบางคนก็เกิดมโนคติอันหลงผิดในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา และมีการต้านทานเกิดขึ้นในตัวพวกเขา พวกเขาอาจคิดลบและไม่อยากทำงานของตน บางครั้งที่งานไม่ยุ่ง และผู้คนก็ปฏิบัติหน้าที่กันง่ายขึ้น บางคนก็รู้สึกมีความสุขและคิดว่า ‘ถ้าการปฏิบัติหน้าที่ของฉันง่ายอย่างนี้เสมอไปก็เยี่ยมเลย’ พวกเขาเป็นคนประเภทใด? พวกเขาเป็นคนเกียจคร้านที่โลภในความสุขสบายทางเนื้อหนัง ผู้คนเช่นนี้จงรักภักดีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่? (ไม่) ผู้คนเช่นนี้อ้างว่าเต็มใจที่จะนบนอบพระเจ้า แต่ความนบนอบของพวกเขามาพร้อมกับเงื่อนไข—สิ่งต่างๆ ต้องสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาเอง และไม่เป็นเหตุให้พวกเขาทนทุกข์กับความยากลำบากใดๆ พวกเขาจึงจะนบนอบ ถ้าพวกเขาเผชิญความทุกข์ยากและจำเป็นต้องสู้ทนความยากลำบาก พวกเขาย่อมบ่นมาก และถึงกับคัดค้านและกบฏต่อพระเจ้า พวกเขาเป็นผู้คนประเภทใด? พวกเขาคือผู้คนที่ไม่รักความจริง เมื่อการกระทำของพระเจ้าสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความอยากได้อยากมีของพวกเขา และพวกเขาไม่ต้องสู้ทนความยากลำบากหรือจ่ายราคา พวกเขาก็สามารถนบนอบได้ แต่ถ้าพระราชกิจของพระเจ้าไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดหรือความชอบส่วนตนของพวกเขา และทำให้พวกเขาต้องสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคา พวกเขาก็ไม่สามารถนบนอบได้ ต่อให้พวกเขาไม่ต่อต้านพระราชกิจอย่างเปิดเผย ในหัวใจของพวกเขาก็ต้านทานและรำคาญ พวกเขามองว่าตนเองกำลังสู้ทนความยากลำบากอันใหญ่หลวง และพวกเขาเก็บงำคำพร่ำบ่นเอาไว้ในหัวใจของตน นี่เป็นปัญหาประเภทใด? นี่แสดงว่าพวกเขาไม่รักความจริง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เรียนรู้ว่า บางคนอยากให้สิ่งต่างๆ ในหน้าที่เป็นไปอย่างราบรื่น ทันทีที่เจอความยาก และต้องทนทุกข์และยอมลำบาก พวกเขาก็ต่อต้านและบ่น คนแบบนี้นั้นเกียจคร้าน อยากได้ความสบายของเนื้อหนัง ไม่จงรักภักดีในหน้าที่ของตัวเอง ไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าแม้แต่น้อย และไม่รักความจริง ฉันตระหนักว่าฉันเป็นแบบนั้นเลย ฉันแค่อยากได้หน้าที่ง่ายๆ และอยากให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่น ฉันไม่เต็มใจทนทุกข์และยอมลำบาก เมื่อต้องเผชิญการข่มเหง เมื่อผู้มาใหม่ไม่กล้าอุปถัมภ์เราหรือไม่กล้าชุมนุมเพราะกลัวถูกจับ และไม่ใช่แค่เนื้อหนังของฉันทนทุกข์จากการไม่มีที่อยู่ แต่ฉันยังต้องยอมลำบากมากขึ้นเพื่อหาผู้มาใหม่ และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและช่วยเหลือพวกเขา ฉันกลับบ่นว่ายากลำบากแค่ไหนที่ถูกข่มเหง บ่นว่าผู้มาใหม่ขลาดกลัวขนาดไหน และฉันอยากละทิ้งหน้าที่ออกมา ทันทีที่ฉันเผชิญกับความยากลำบาก ฉันเริ่มคิดถึงผลประโยชน์ของเนื้อหนังของตัวเอง และไม่มีความจงรักภักดีและการนบนอบสักนิด พระเจ้าทรงยอมให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้น และทรงต้องการให้ฉันแสวงหาความจริง และเรียนรู้บทเรียนจากประสบการณ์นี้ แต่ฉันกลับไม่เห็นคุณค่าของการเข้าสู่ชีวิต อยากได้ความสบายของเนื้อหนังตลอด และมองหน้าที่ของตัวเองในแง่ของการเลือกชอบของตัวเอง ฉันไม่ใช่คนที่รักความจริง
มีอีกบทตอนหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อฉันมาก พระเจ้าตรัสว่า “วันนี้ เจ้าไม่เชื่อวจนะที่เรากล่าว และเจ้าไม่ใส่ใจกับมันเลย เมื่อถึงวันที่พระราชกิจนี้เผยแผ่ออกไป และเจ้ามองเห็นทั้งหมดทั้งสิ้นของมัน เจ้าจะเสียใจ และ ณ เวลานั้น เจ้าจะอึ้งและงงงัน พรทั้งหลายนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่รู้ว่าจะชื่นชมพวกมันอย่างไร และความจริงนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหามัน นี่เจ้าไม่ได้ทำให้ตัวเองน่าเหยียดหยามหรอกหรือ? วันนี้ ถึงแม้ว่าขั้นตอนถัดไปแห่งพระราชกิจของพระเจ้ายังไม่ได้เริ่มขึ้น ก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อเรียกร้องที่ขอจากเจ้าและเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าถูกขอให้ใช้ดำเนินชีวิต มีพระราชกิจมากมายเหลือเกินและความจริงมากมายเหลือเกิน พวกมันไม่มีค่าคู่ควรที่เจ้าจะรู้หรอกหรือ? การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะปลุกจิตวิญญาณของเจ้าให้ตื่นขึ้นมาหรือ? การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะทำให้เจ้าเกลียดชังตัวเจ้าเองหรือ? เจ้าพอใจที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานพร้อมกับสันติสุขและความชื่นบาน และสิ่งชูใจเล็กน้อยทางเนื้อหนังอย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่ได้ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหมดหรอกหรือ? ไม่มีใครเลยที่โง่เขลาไปกว่าพวกที่มองดูความรอดแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาที่จะได้รับมัน กล่าวคือ เหล่านี้เป็นผู้คนที่มูมมามไปกับเนื้อหนังจนเกินขนาดและสุขสำราญไปกับซาตาน เจ้าหวังว่าความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าจะไม่พ่วงเอาความท้าทายหรือความทุกข์ลำบากอันใด หรือความยากลำบากแม้เพียงน้อยนิดมาด้วย เจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นซึ่งไร้ค่าเสมอ และเจ้าไม่ให้คุณค่ากับชีวิต แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับให้ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเจ้าเองมาก่อนความจริง เจ้าช่างไร้ค่ายิ่งนัก! เจ้ามีชีวิตอยู่เหมือนสุกรตัวหนึ่ง—มีความแตกต่างอะไรเล่าระหว่างตัวเจ้า และพวกสุกรกับพวกสุนัข? พวกที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับรักเนื้อหนัง ไม่ใช่สัตว์ร้ายทั้งหมดหรอกหรือ? พวกที่ตายไปแล้วและปราศจากจิตวิญญาณไม่ใช่ซากศพที่เดินได้หรอกหรือ?… เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ? พวกสุกรไม่เสาะหาชีวิตของมนุษย์ พวกมันไม่ไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และพวกมันไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร ในแต่ละวัน หลังจากที่พวกมันกินกันจนอิ่มแปล้ มันก็แค่หลับไป เราได้ให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้รับมัน เจ้าเป็นคนมือเปล่า เจ้าเต็มใจที่จะดำเนินต่อไปในชีวิตนี้ ชีวิตของสุกรตัวหนึ่งหรือไม่? อะไรคือนัยสำคัญของการที่ผู้คนเช่นนั้นมีชีวิตอยู่? ชีวิตของเจ้าช่างน่าเหยียดหยามและต่ำศักดิ์ เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสมมและความเสเพล และเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ? เจ้ากล้าดีที่จะมองดูพระเจ้าหรือ? หากเจ้ามีประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป เจ้าย่อมจะไม่ได้สิ่งใดเลยไม่ใช่หรือ? หนทางที่แท้จริงได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว แต่การที่เจ้าจะสามารถรับไว้จนถึงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของตัวเจ้าเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) ฉันตระหนักผ่านพระวจนะของพระเจ้า ว่าพระเจ้าทรงแสดงพระวจนะ ทรงให้น้ำ และทรงจัดหาผู้คน และให้โอกาสเราทำหน้าที่ ด้วยความหวังว่าเราจะไล่ตามเสาะหา และได้รับความจริงในหน้าที่ของเรา เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยและรอด นี่คือการยกย่องและพระคุณของพระเจ้า ผู้รักความจริงนั้นหวงแหนโอกาสดังกล่าว ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ผู้รักความจริงไล่ตามและได้รับความจริง ส่วนฉัน ฉันไม่ได้รักความจริง และเมื่อเผชิญความยากในหน้าที่ของตัวเอง ฉันจะต่อต้านและบ่นถึงสถานการณ์ของฉัน ฉันรู้สึกว่ามันเหนื่อยและยากเกินไป ไม่เต็มใจทุกข์ยากและยอมลำบาก และแค่อยากถอยหนี เมื่อพิจารณาถึงความเกียจคร้านและไม่เต็มใจไล่ตามความจริงที่ฉันเป็น แม้ฉันติดตามพระเจ้าจนถึงที่สุด ฉันก็จะไม่มีวันได้รับความจริงหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย แล้วโดนกำจัดออกไปและโดนลงโทษในที่สุด ฉันต้องหยุดตามใจเนื้อหนังของฉัน ฉันต้องกบฏต่อเนื้อหนังของฉันและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ฉันตระหนักว่าผู้มาใหม่เหล่านี้ขลาดและหวาดกลัว เพราะพวกเขาเพิ่งเข้าสู่การเชื่อ ยังไม่หยั่งรากในหนทางที่แท้จริงและไม่เข้าใจความจริง ถ้าฉันไม่ยอมลำบากและประสบกับการทนทุกข์สักหน่อยเพื่อให้น้ำและเกื้อหนุนผู้มาใหม่เหล่านี้ พวกเขาคงยืนหยัดด้วยตัวเองไม่ได้ และฉันคงถูกเพ่งเล็งว่าจะกระทำผิด ไม่ว่าเราจะมีครอบครัวอุปถัมภ์หรือไม่ และไม่ว่าเราจะทุกข์ยากแค่ไหน ฉันก็เต็มใจยืนหยัดในหน้าที่และทำหน้าที่ให้สำเร็จ วันนั้น แม่ของเนวินออกมาหาฉันที่ทุ่งนา แล้วบอกฉันว่า “กองทหารอาสาสมัครเริ่มลาดตระเวนกลางคืนแล้ว เรากังวลว่าคุณจะไปเจอพวกเขา เพราะคุณเป็นคนนอกที่เข้าออกหมู่บ้าน” ฉันสามัคคีธรรมกับเธอโดยบอกว่า “ตอนที่พระเจ้าทรงเตรียมทำลายเมืองโสโดม ชาวโสโดมอยากทำร้ายผู้ส่งสารสองคนที่พระเจ้าส่งไปที่นั่น โลทรอดชีวิตเพราะเขาอุปถัมภ์ผู้ส่งสารทั้งสองคนไว้ในบ้านของเขา ตอนนี้พระเจ้าทรงกำลังดำเนินขั้นสุดท้ายในพระราชกิจแห่งความรอดของมนุษยชาติของพระองค์ คนเหล่านี้ที่ข่มเหงผู้เชื่อนั้นชั่วพอๆ กับชาวโสโดม เป็นธรรมดาที่กังวล แต่เราต้องมีความเชื่อ ไม่ว่าทหารอาสาจะเจอเราหรือไม่นั้น อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เราต้องอธิษฐานต่อพระเจ้ามากขึ้น พระองค์จะทรงปกป้องพระราชกิจของพระองค์เอง ถ้าคุณไม่อุปถัมภ์เราแล้วเราต้องออกไป เราจะให้น้ำคุณไม่ได้ ถ้าคุณอุปถัมภ์เราในช่วงที่เราประกาศข่าวประเสริฐที่นี่ นี่คือความประพฤติดีของคุณ และพระเจ้าจะทรงจดจำสิ่งนี้” หลังจากฉันสามัคคีธรรม เธอรู้สึกกลัวน้อยลงและสบายใจมากขึ้นด้วย จากนั้นเธอก็ดูแลพวกเราอย่างดี และฉันก็สามารถปักหลักแล้วสามัคคีธรรมกับผู้มาใหม่ และจัดชุมนุมทั้งวันทั้งคืนได้ หลังจากเข้าใจความจริงบางประการแล้ว ผู้มาใหม่ก็เชิญเพื่อนๆ และครอบครัวมาฟังข่าวประเสริฐ ในเวลาเพียงสองเดือน ชาวบ้าน 120 คนยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันดีใจมากที่ได้เห็นผู้มาใหม่เหล่านี้มาชุมนุมกัน แม้เป็นความจริงที่ว่า นี่เป็นกระบวนการที่ยากและฉันทนทุกข์เล็กน้อย แต่ฉันก็รู้สึกสบายใจเมื่อรู้ว่าได้ลุล่วงหน้าที่ของตน ได้เป็นพยานการทรงนำของพระเจ้า ฉันก็มีความเชื่อมากขึ้น
ต่อมา ผู้ดูแลของเรามอบหมายให้เราเกื้อหนุนผู้มาใหม่ในหมู่บ้านอื่น เราไปบ้านของผู้มาใหม่ก่อน พี่น้องชายจอห์น จอห์นเคยเป็นคนที่ค่อนข้างกระตือรือร้นในหน้าที่และพาผู้มาใหม่มาชุมนุมได้ แต่ต่อมาเขาหยุดเข้าร่วมการชุมนุมเพราะกลัวถูกจับ เราอยากเกื้อหนุนจอห์นก่อน แล้วเกื้อหนุนผู้มาใหม่คนอื่นๆ ผ่านเขา แต่จอห์นไม่อยากพูดกับเรา ภรรยาของเขาบอกว่า “ระหว่างประชุมในหมู่บ้านของเรา พวกเขาบอกว่าไม่ให้ฟังคำเทศนาหรือไม่ให้เชื่อในพระเจ้า ทหารอาสาที่ลาดตระเวนตอนกลางคืนจะจับทุกคนที่กำลังฟังเทศนา พวกเขาห้ามเราไม่ให้ฟังคำเทศนา เรากลัวถูกจับ และเราก็ค่อนข้างยุ่งและไม่มีเวลาฟังด้วย” พูดแล้วเธอก็เริ่มเมินเรา เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คนนี้ไม่แม้แต่ยอมให้เราพูดและหลีกเลี่ยงเรา ฉันว่าเราลำบากจริงๆ แล้ว การเดินทางไปกลับหมู่บ้านเป็นการเดินทางที่ยาวนานและเหนื่อย ฉันจึงหยุดเกื้อหนุนผู้มาใหม่แล้วทำงานอื่นต่อ ผ่านไปสักพัก ผู้ดูแลย้ำเตือนฉันอีกครั้ง ว่าตอนกลางวันผู้มาใหม่จะยุ่ง และฉันไปตอนกลางคืนได้ ฉันคิดกับตัวเองว่า “พวกเขากำลังเลี่ยงเราและไม่อยากฟัง ถึงฉันไปก็ไม่รู้จะทำยังไง การไปที่นั่นเป็นการเดินทางไกล แล้วกลางคืนยิ่งลำบากขึ้นอีก” ฉันเลยไม่อยากไป จากนั้นฉันก็ตระหนักได้ว่า ฉันกำลังละเลยหน้าที่ของฉันต่อผู้มาใหม่โดยการแก้ตัวไปเรื่อยๆ ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงวิธีทำงานของผู้นำเทียมเท็จ แล้วจากนั้นฉันก็อ่านเจอพระวจนะเหล่านี้ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “สมมุติว่ามีงานหนึ่งที่สามารถเสร็จบริบูรณ์ได้ภายในเวลาหนึ่งเดือนด้วยคนหนึ่งคน หากงานนี้ใช้เวลาทำถึงหกเดือน ค่าใช้จ่ายของห้าเดือนที่เหลือจะไม่นับเป็นความสูญเสียหรอกหรือ? เราขอยกตัวอย่างที่เกี่ยวกับการประกาศข่าวประเสริฐ สมมุติว่าคนคนหนึ่งเต็มใจที่จะสืบค้นหนทางที่แท้จริงและอาจจะยอมรับได้ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน แล้วจากนั้นเขาก็จะเข้าสู่คริสตจักรเพื่อรับการให้น้ำและการจัดเตรียมต่อไป และเขาก็อาจจะสร้างรากฐานขึ้นมาได้ภายในเวลาหกเดือน แต่หากคนที่ประกาศข่าวประเสริฐมีท่าทีไม่ใส่ใจและสุกเอาเผากินกับเรื่องนี้ อีกทั้งเหล่าผู้นำและคนทำงานต่างก็ละเลยความรับผิดชอบของพวกเขาเอง จนท้ายที่สุดต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีในการรับคนคนนั้นเอาไว้ เวลาครึ่งปีนี้จะไม่นับเป็นความสูญเสียต่อชีวิตของเขาหรือ? หากเขาเผชิญความวิบัติใหญ่หลวงและยังไม่ได้วางรากฐานบนหนทางที่แท้จริง เขาจะตกอยู่ในอันตราย เช่นนั้นแล้ว คนเหล่านั้นจะไม่ได้ทำให้คนคนนี้ล้มเหลวหรอกหรือ? ความสูญเสียดังกล่าวไม่สามารถประเมินค่าได้ด้วยเงินทองหรือสิ่งทั้งหลายทางวัตถุ คนเหล่านั้นจะทำให้คนคนนี้เข้าใจความจริงล่าช้าไปถึงครึ่งปี พวกเขาจะทำให้การสร้างรากฐานและการเริ่มต้นทำหน้าที่ของคนคนนี้ล่าช้าไปถึงครึ่งปี ผู้ใดจะรับผิดชอบเรื่องนี้เล่า? เหล่าผู้นำและคนทำงานรับผิดชอบเรื่องนี้ได้หรือ? ไม่มีใครแบกรับความรับผิดชอบต่อความล่าช้าในชีวิตของใครบางคนได้ ในเมื่อไม่มีใครแบกรับความรับผิดชอบนี้ได้ แล้วสิ่งที่เหล่าผู้นำและคนทำงานสมควรทำคืออะไร? สิ่งนั้นประกอบด้วยคำสี่คำ นั่นคือ ทุ่มเททั้งหมด เจ้าทุ่มเททั้งหมดให้กับการทำสิ่งใด? การลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของเจ้าเอง ทำทุกอย่างที่เจ้าเห็นได้ด้วยสองตาของตน นึกถึงการนั้นอยู่ในใจ และทำให้สัมฤทธิ์ผลด้วยขีดความสามารถของตัวเจ้านั่นเอง นี่คือการทุ่มเททั้งหมด นี่คือการเป็นคนจงรักภักดีและมีความรับผิดชอบ และนี่คือความรับผิดชอบที่เหล่าผู้นำและคนทำงานพึงทำให้ลุล่วง” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (4)) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เรียนรู้ว่า ไม่ว่าจะทำงานไหน ถ้างานนั้นทำได้ภายในหนึ่งเดือน แต่สุดท้ายกลับใช้เวลาทำเสร็จถึงหกเดือน ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ อย่างเช่น ในกรณีประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าใครเต็มใจสืบค้นหนทางที่แท้จริง พวกเขาก็สามารถนำเข้าสู่ความเชื่อได้ภายในหนึ่งเดือน และเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้าได้ทันเวลาถ้าผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐทำหน้าที่สำเร็จ นั่นจะช่วยให้พวกเขาเข้าใจความจริงตั้งแต่เนิ่น และหยั่งรากในหนทางที่แท้จริง ถ้าเราไม่ยอมลำบากในหน้าที่ของเรา ถ้าเรามีท่าทีแบบส่งๆและสุกเอาเผากิน และต้องใช้เวลาหกเดือนเพื่อนำคนคนนี้เข้าสู่ความเชื่อ นี่จะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับชีวิตของพวกเขาเอง ถ้าเกิดภัยพิบัติขึ้น แล้วคนเหล่านี้ยังไม่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า และขาดการให้น้ำและจัดหาความจริง แล้วเสียชีวิต ไม่มีใครรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตแบบนั้นได้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องไม่ผัดวันประกันพรุ่งในการทำหน้าที่ และต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สำเร็จ เราจึงมีมโนธรรมที่ชัดเจน ขณะที่เกื้อหนุนผู้มาใหม่และประกาศข่าวประเสริฐ ฉันไม่เต็มใจยอมลำบากและไม่อยากทนทุกข์ พอฉันได้รับมอบหมายให้เกื้อหนุนผู้มาใหม่และประกาศข่าวประเสริฐในหมู่บ้านนั้น แล้วเผชิญความลำบากและการเดินทางยาวนาน ฉันก็ตามใจเนื้อหนังของตัวเองและไม่ต้องการไป ผัดวันประกันพรุ่งวันแล้ววันเล่า ผู้มาใหม่เหล่านี้ขลาด หวาดกลัว และไม่กล้าเข้าร่วมชุมนุมจากการข่มเหงของทางการ พวกเขาต้องการการให้น้ำและการเกื้อหนุนในทันที เพื่อให้พวกเขาเข้าใจความจริงและหลุดพ้นจากข้อจำกัดของตัวเอง ถ้าพระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลง แล้วคนเหล่านี้ไม่หลุดพ้นจากกองกำลังแห่งความมืด และไม่ชุมนุมและฟังพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็จะไม่เข้าใจความจริง ไม่ได้รับความรอดของพระเจ้า และจะถูกผลาญไปในภัยพิบัติ ยิ่งกว่านั้น มีคนจำนวนมากในหมู่บ้านนั้นที่ยังไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า ถ้าคนอื่นตามใจเนื้อหนังของตัวเองเหมือนที่ฉันทำ ละทิ้งการประกาศข่าวประเสริฐเมื่อเผชิญความลำบาก คนเหล่านี้จะไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้าและรับความรอดจากพระเจ้า ฉันต้องหยุดผัดวันประกันพรุ่งและยุติความกังวลของตัวเอง ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์อะไร ฉันต้องผ่านมันไปและทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จ
ต่อมา ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง “ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ในฐานะของหนึ่งในผู้ที่ติดตามพระเจ้า ไม่ว่าคนเราจะอายุเท่าไร เพศอะไร หรือไม่ว่าจะหนุ่มสาวหรือสูงวัยเพียงใด การเผยแผ่ข่าวประเสริฐก็เป็นภารกิจและเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่ทุกคนต้องยอมรับ หากภารกิจนี้มาถึงเจ้าและพึงให้เจ้าต้องสละตนเอง ยอมลำบาก หรือแม้กระทั่งสละชีวิตของเจ้า เจ้าควรทำอย่างไร? เจ้าควรถือเป็นหน้าที่ที่จะยอมรับภารกิจนี้ นี่คือความจริง อีกทั้งเป็นสิ่งที่เจ้าควรจะเข้าใจ นี่ไม่ใช่คำสอนที่เรียบง่าย—ทว่านี่คือความจริง เหตุใดเราจึงกล่าวว่าสิ่งนี้คือความจริง? เพราะไม่ว่าวันเวลาเปลี่ยนไปอย่างไร ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ทศวรรษ หรือไม่ว่าสถานที่และพื้นที่จะเปลี่ยนไปเพียงไร การเผยแผ่ข่าวประเสริฐและการเป็นคำพยานให้พระเจ้าย่อมจะเป็นสิ่งที่เป็นบวกอยู่เสมอ ความหมายและคุณค่าของสิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันเปลี่ยนไป แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเวลาหรือตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ การเผยแผ่ข่าวประเสริฐและการเป็นคำพยานให้พระเจ้าคือสิ่งที่เป็นนิรันดร์ และในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเจ้าก็ควรจะยอมรับและปฏิบัติภารกิจนี้ นี่คือความจริงอันเป็นนิรันดร์” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่หนึ่ง: พวกเขาพยายามเอาชนะใจผู้คน) พระวจนะทำให้ฉันตื้นตันใจมาก เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้ฉันได้ยินเสียงของพระองค์ การประกาศข่าวประเสริฐและการให้น้ำผู้มาใหม่เป็นหน้าที่ของฉัน และฉันต้องทำให้งานนี้สำเร็จ เมื่อฉันต้องทนทุกข์และยอมลำบาก ฉันควรยอมรับโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าจะเจอความลำบากแบบไหนหรือเจอสถานการณ์อะไร ฉันก็ต้องนบนอบและลุล่วงหน้าที่ เมื่อตระหนักแบบนี้แล้ว ฉันจึงไปที่หมู่บ้านด้วยตัวเอง ตอนฉันออกเดินทาง เป็นเวลาพลบค่ำและฝนเริ่มตก ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าขณะเดินไปตามถนน ต่อมาขณะเดินอยู่ฉันบังเอิญเจอหญิงชรา ฉันบอกเธอว่าฉันกำลังไปหมู่บ้านของเธอ เราเลยเดินตามกันไป หลังจากถึงหมู่บ้าน ฉันก็ไม่เห็นหญิงชราอีก มันมืด ฉันไม่คุ้นกับถนนหนทางที่นั่นและไม่รู้จะไปทางไหน เลยได้แต่นั่งข้างถนน ฉันรู้สึกกระวนกระวายใจ กังวลว่าถ้าบังเอิญเจอสายตรวจกลางคืนแล้วฉันไม่รู้จะพูดอะไร ฉันเลยร้องหาพระเจ้าอยู่ในใจเรื่อยๆ ทันใดนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งกลับมาจากทำงานในทุ่งนา เห็นฉันนั่งอยู่คนเดียวเลยถามฉันว่า “คุณนั่งทำอะไรตรงนั้น? มาพักที่บ้านของฉันก่อนสิ” ฉันตามเธอกลับไปบ้านของเธอ แล้วพอฉันประกาศข่าวประเสริฐให้เธอ เธอก็ยอมรับ ต่อมา เธอพาคนอื่นมาฟังด้วย พอผู้คนได้ยินว่าฉันกำลังประกาศข่าวประเสริฐ บางคนถามหาฉันเป็นการส่วนตัวแล้วบอกให้ฉันไปประกาศข่าวประเสริฐที่บ้านของพวกเขา ฉันเป็นพยานให้พระราชกิจยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพวกเขาสนุกกับการฟังเรื่องนี้มาก บางคนบอกว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา พวกท่านคือพระเจ้าองค์เดียว เราควรฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไป” คนอื่นๆ บอกว่า “แม้ว่าทางการข่มเหงเรา เราก็จะฟังต่อไป” ผู้มาใหม่บางคนค่อนข้างกระตือรือร้นในการชุมนุม พวกเขามาทั้งเช้าและกลางคืน กระหายและปรารถนาที่จะชุมนุมและฟังเทศนามาก ฉันประหลาดใจมาก ในอดีต ฉันตามใจเนื้อหนังของฉันมาตลอด และไม่เต็มใจทนทุกข์และยอมลำบาก แต่พอฉันแก้ไขสภาวะตัวเองและเต็มใจร่วมมือ ฉันเห็นว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำนั้นอยู่เหนือจินตนาการของเรา ความสามารถของเราในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐในหมู่บ้านนี้ผ่านผู้หญิงคนนั้น เป็นสัญญาณว่าพระเจ้าทรงกำลังดำเนินพระราชกิจของพระองค์ นั่นทำให้ฉันเห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้า และทำให้ฉันตัดสินใจแข็งกล้าที่จะประกาศข่าวประเสริฐต่อไป จากนั้นราวหนึ่งเดือน เราก็ประกาศข่าวประเสริฐไปทั่วหมู่บ้าน ผู้มาใหม่ที่ก่อนหน้านี้กลัวถูกจับส่วนใหญ่เริ่มชุมนุมอีกครั้ง ชาวบ้านกว่า 80 คนมาชุมนุมกันตามปกติ แล้วเราก็ก่อตั้งโบสถ์ได้ ขอบคุณพระเจ้า!
จากประสบการณ์นี้ ฉันได้เรียนรู้ว่าทัศนคติในการปฏิบัติหน้าที่นั้นสำคัญมาก เมื่อเรานบนอบและคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า เราย่อมเห็นว่า ไม่ว่างานของเราหนักแค่ไหน ตราบใดที่เราร่วมมืออย่างจริงใจ การนำของพระเจ้าย่อมกลายเป็นปรากฏชัด แม้จะเผยความเสื่อมทราม คิดลบ อ่อนแอ และอยากเลิก โดยการนำและจัดหาแห่งพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงไม่ยอมแพ้ในการประกาศข่าวประเสริฐ และไม่ได้เสียใจที่อยู่ต่อ ทั้งหมดนี้มาจากการคุ้มครองของพระเจ้า ฉันเกิดความเชื่อผ่านประสบการณ์นี้และก้าวหน้าในชีวิต ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ซิ่นซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ความรู้ในเรื่องสิทธิอำนาจของพระเจ้า ฤทธานุภาพของพระเจ้า...
โดย เทเรซา, เยอรมนีครั้งแรกที่ฉันได้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันดีใจจริงๆ ที่เห็นว่าแคลลีจะกำกับดูแลงานของฉัน...
โดย ดานี พม่า ฉันสนใจ ศาสนาคริสต์ตั้งแต่เด็ก แต่เพราะครอบครัวเป็นชาวพุทธ ฉันเลยไม่ได้มาเป็นคริสเตียน ในตอนนั้น ฉันเคยได้ยินเรื่องนรก แต่ฉัน...
โดย ตันยี ญี่ปุ่น ฉันรับผิดชอบ งานข่าวประเสริฐของสองทีม ไม่นานมานี้ พี่น้องชายหญิงบางคน โดนปลดเพราะไม่ทำงานจริง และมักจะ ทำหน้าที่แบบส่งๆ...