คริสเตียนชาวเมียนมาร์คนหนึ่งกับประสบการณ์ในนรกหลังความตาย
โดย ดานี พม่า ฉันสนใจ ศาสนาคริสต์ตั้งแต่เด็ก แต่เพราะครอบครัวเป็นชาวพุทธ ฉันเลยไม่ได้มาเป็นคริสเตียน ในตอนนั้น ฉันเคยได้ยินเรื่องนรก แต่ฉัน...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
หนึ่งเดือนหลังจากยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า จาง หลิน ผู้นำคริสตจักรของเรา มอบหมายให้ฉันทำงานเป็นผู้นำกลุ่มหลังจากสังเกตเห็นความกระตือรือร้นของฉัน ตอนนั้นฉันรู้สึกปลาบปลื้มมากที่หัวหน้าจะให้ตำแหน่งผู้นำกับฉัน หลังจากเข้ามาในคริสตจักรได้เพียงหนึ่งเดือน หลังจากนั้นฉันก็ทำงานหนักขึ้นเพื่อทำหน้าที่ของฉันให้สำเร็จ
เนื่องจากสมาชิกในคริสตจักรของเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คริสตจักรจึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน และฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักรที่หนึ่ง ส่วนจางหลินรับผิดชอบคริสตจักรทั้งสองนี้ ครั้งหนึ่งจางหลินเข้าร่วมการชุมนุมของเราและพี่หลัวถามว่า: “วันนี้เราควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าเรื่องใดบ้าง” จางหลินยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้เราจะไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้า มาพูดถึงประสบการณ์ของเรากันดีกว่า” พี่หลัวจึงตอบไปว่า “การไม่อ่านพระวจนะในการชุมนุมนั้น ขัดกับหลักการชีวิตคริสตจักร” ก่อนที่พี่หลัวจะพูดจบ จางหลินจ้องเขาด้วยสายตาขุ่นเคืองแล้วพูดว่า “คุณยังมีวุฒิภาวะไม่เพียงพอและไม่เข้าใจความจริง ดังนั้นฉันจึงมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือพวกคุณ และฉันคิดว่านี่จะเป็นประโยชน์กับการเข้าสู่ชีวิตของคุณด้วย เราจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่บ้านเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ในการชุมนุม เราควรหารือเกี่ยวกับประสบการณ์ของเรา และเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น นี่จะช่วยให้เราเข้าสู่ชีวิตได้เร็วขึ้น คุณไม่ฟังฉันและพยายามสั่งสอนฉัน คุณกำลังขัดจังหวะฉันนะ! ถ้าทำแบบนี้อีก คุณจะไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการชุมนุมอีก” พี่หลัวก้มศีรษะแล้วนิ่งเงียบ ตอนนั้น ฉันคิดในใจว่า “ในการชุมนุม เราควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง แม้ว่าเราจะหารือเกี่ยวกับประสบการณ์ของเรา เราก็ควรอ้างอิงสิ่งที่เราพูดตามพระวจนะของพระเจ้า นี่เป็นหนึ่งในหลักการชีวิตคริสตจักรของเรา ดังนั้นจางหลินก็ทำสิ่งที่ขัดต่อหลักการของเรา โดยการไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่หรือ? เขาถึงกับอ้างใหญ่โตว่าทำไปเพื่อการเข้าสู่ชีวิตของเรา นั่นเป็นการโกหกหน้าตายทีเดียว!” ฉันรู้สึกโกรธเล็กน้อยเมื่อไตร่ตรองเรื่องนี้ ฉันจึงตัดสินใจลองสามัคคีธรรมกับเขาดู แต่พอเห็นเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ฉันเลยตัดสินใจไม่พูดอะไร ฉันคิดในใจว่า “เขายกย่องนับถือฉันเสมอ ถ้าฉันชี้ให้เห็นปัญหาและมันไปล่วงเกินเขาเข้า เขาจะไม่หาว่าฉันเนรคุณและไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเองหรือ” ฉันคิดว่า “ช่างเถอะ ถ้าเขายังโกรธอยู่ เงียบไว้ย่อมดีที่สุด ฉันอาจจะลงเอยแบบพี่หลัว แล้วถูกดุอย่างรุนแรงก็ได้ ถ้าฉันถูกหาว่าขัดจังหวะ ไม่ใช่แค่จะถูกปลดจากตำแหน่งผู้นำเท่านั้น แต่ยังอาจถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมชุมนุมด้วย”
สองเดือนต่อมา ฉันบังเอิญเจอพี่เจิ้งที่เข้าร่วมคริสตจักรอื่น เธอบอกฉันด้วยความโกรธเคืองว่า จางหลินสั่งปลดและเปลี่ยนตัวมัคนายกสองคนโดยพลการ และมอบหมายให้ญาติมาทำหน้าที่ให้น้ำแก่พี่น้อง แต่ญาติคนนั้นไม่ไล่ตามความจริง ไม่ยอมสามัคคีธรรมเกี่ยวกับประสบการณ์และความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า จึงไม่มีใครได้อะไรจากการชุมนุม นอกจากนี้พี่เจิ้งยังบอกฉันอีกด้วยว่า ในระหว่างการชุมนุมครั้งหนึ่ง พี่เจิ้งได้พยายามให้คำแนะนำญาติของจางหลิน แต่เธอไม่ยอมรับและทำเหมือนว่าพี่เจิ้งพยายามจะกดขี่เธอ พอจางหลินรู้เข้า เขาพูดว่าพี่น้องในกลุ่มของพี่เจิ้งกำลังรบกวนชีวิตคริสตจักร และควรทบทวนการกระทำของตน แถมจางหลินยังแยกพวกเขาออกจากคริสตจักร ไม่ยอมให้พวกเขาเข้าชุมนุม และไม่ยอมให้คำเทศนาล่าสุดของพระเจ้าแก่พวกเขาด้วยซ้ำ เหล่าพี่น้องไม่ได้รับเสบียงที่พวกเขาต้องการ นี่ไม่ใช่การฝ่าฝืนหลักการของคริสตจักรหรือ? พี่เจิ้งถามฉันทั้งน้ำตาว่า ฉันพอช่วยพวกเขาแก้ปัญหานี้ได้บ้างไหม เมื่อเห็นพี่เจิ้งแบบนั้น ฉันยิ่งรู้สึกทั้งแปลกใจและเศร้าใจ สิ่งต่างๆ แย่ลงอย่างรวดเร็วหลังจากแยกคริสตจักรได้เพียงสองเดือนได้อย่างไร ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง จะให้เข้าไปก้าวก่าย ฉันก็ไม่ใช่ผู้รับผิดชอบงานของคริสตจักรนั้น และไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์เฉพาะต่างๆ ของพวกเขา ถ้าฉันไม่แก้ไขสถานการณ์ ฉันอาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ ถ้าจางหลินรู้เข้า ใครจะรู้ว่าเขาจะทำอะไรกับฉันบ้าง ฉันเลยคิดว่า “ทำไมไม่รอจนกว่าผู้นำที่มีตำแหน่งสูงกว่ามาถึง แล้วค่อยหารือกับเธอล่ะ” ฉันตัดสินใจที่จะใช้มาตรการที่จะสร้างความโกรธเคืองให้ทุกฝ่ายน้อยที่สุด ฉันบอกพี่เจิ้งไปว่า “พอผู้นำระดับสูงมาถึง ฉันจะหารือกับเธอเอง ผู้นำคนนั้นเข้าใจความจริงและเห็นถึงหัวใจของปัญหา เธอจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ด้วยการสามัคคีธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า” แต่พี่เจิ้งรีบตอบกลับมาว่า “เรื่องนี่รอต่อไปไม่ได้แม้แต่วันเดียว คุณช่วยเขียนจดหมายถึงผู้นำระดับสูง แจ้งปัญหาให้พวกเขาทราบได้ไหม?” คำขอของพี่เจิ้งทำให้ฉันรู้สึกไม่แน่ใจ ในด้านหนึ่ง ถ้าฉันไม่แจ้งให้ผู้นำระดับสูงทราบ ชีวิตพี่น้องของฉันก็จะเสียหาย แต่ถ้าฉันแจ้งให้พวกเขาทราบ ดูจากที่จางหลินไม่เปิดรับข้อเสนอแนะ แถมยังกดขี่คนที่พยายามเสนอแนะแล้ว ทันทีที่เขารู้ว่าฉันได้แจ้งให้ผู้นำระดับสูงทราบ เขาคงปฏิบัติต่อฉัน แรงกว่าที่ทำกับพี่หลัวมากนัก เขาอาจตำหนิฉันสำหรับการล่วงเกินที่ร้ายแรงกว่านั้น เมื่อพี่เจิ้งเห็นว่าฉันลังเลและไม่แน่ใจขนาดไหน เธอก็เพียงส่ายหัวเบาๆ แล้วเดินจากไป สีหน้าผิดหวัง เสียใจ และหมดหนทางของพี่เจิ้ง ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกมีดแทงทะลุหน้าอก ฉันไม่สามารถอธิบายความรู้สึกนั้นออกมาเป็นคำพูดได้ ฉันกลับบ้านอย่างหดหู่และทานอาหารเย็นไม่ลง คืนนั้นฉันกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ เฝ้าคิดถึงแต่สีหน้าที่ดูเจ็บปวดและผิดหวังของพี่เจิ้ง ฉันจึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ บอกว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดนำทางข้าพระองค์ที การดำเนินการใดสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์กันแน่?”
ต่อมา ฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าต่อไปนี้: “องค์ประกอบที่เป็นรากฐานและสำคัญมากที่สุดของสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนเราก็คือมโนธรรมและเหตุผล บุคคลประเภทใดคือผู้ที่ขาดพร่องมโนธรรมและไม่มีเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ? พูดโดยทั่วไปแล้ว เขาคือบุคคลที่ขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์ บุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ด้อยอย่างสุดขีด พวกเรามาวิเคราะห์การนี้กันอย่างใกล้ชิดเถิด บุคคลผู้นี้แสดงออกมาให้เห็นถึงการสำแดงใดของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่สูญหายไปจนถึงขนาดที่ผู้คนพูดว่าเขาไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์? ผู้คนเช่นนี้ครองคุณลักษณะเฉพาะใด? พวกเขานำเสนอการสำแดงเฉพาะอันใด? ผู้คนเช่นนั้นทำอย่างพอเป็นพิธีในการกระทำของพวกเขาและปลีกห่างจากสิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว พวกเขาไม่ได้พิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขายังไม่แสดงความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้รับภาระอันใดเกี่ยวกับการให้คำพยานสำหรับพระเจ้าหรือการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และพวกเขาไม่มีสำนึกรับรู้แห่งความรับผิดชอบเลย…มีแม้กระทั่งผู้คนที่เมื่อได้เห็นปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาก็กลับยังคงนิ่งเงียบ พวกเขาเห็นว่าผู้อื่นกำลังเป็นเหตุให้เกิดการขัดจังหวะและการรบกวน กระนั้นก็ไม่ทำสิ่งใดเลยเพื่อหยุดสิ่งเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้พิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าแม้แต่น้อย อีกทั้งพวกเขาไม่ได้คิดเรื่องหน้าที่หรือความรับผิดชอบของพวกเขาเองเลย พวกเขาพูด ปฏิบัติตัว โดดเด่น ทุ่มความพยายามออกไป และสละพลังงานเพียงเพื่อสิ่งไร้ค่า ศักดิ์ศรี ตำแหน่ง ผลประโยชน์ และเกียรติของพวกเขาเองเท่านั้น” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตระหนักในทันทีว่า พวกที่ไม่รับผิดชอบและคิดถึงแต่ชื่อเสียงและสถานะของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของคริสตจักรหรือการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องคนอื่นๆ ผู้ที่ยืนห่างจากเรื่องใดๆ ก็ตามที่พวกเขาไม่มีส่วนได้เสีย พวกเขาไม่มีจิตสำนึกหรือเหตุผล และเห็นแก่ตัวและต่ำต้อยอย่างแท้จริง ฉันไม่ใช่คนประเภทนั้นหรอกหรือ เมื่อจางหลินไม่ยอมให้พวกเราอ่านพระวจนะของพระเจ้าในที่ชุมนุม และพี่หลัวพยายามเสนอแนะ จางหลินกลับดุว่าและกล่าวโทษเขา ฉันเห็นได้ชัดเจนว่าเขากำลังละเมิดหลักการของคริสตจักรและไม่ยอมรับความจริง ฉันควรจะมีจุดยืนและเปิดโปงเขา แต่ฉันไม่อยากล่วงเกินเขา จึงไม่สามารถพูดในสิ่งที่ถูกต้องได้ เมื่อฉันได้ยินว่าจางหลินปลดคนอื่นออกตามอำเภอใจและเลือกญาติของเขาให้มาทำหน้าที่สำคัญ ว่าเขาได้กดขี่ทุกคนที่พยายามจะแนะนำญาติของเขาและไม่ส่งพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขา ฉันควรจะตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นและรายงานไปยังผู้นำระดับสูง แต่ฉันไม่อยากถูกจางหลินกดขี่่ จึงหาข้ออ้างที่จะเลี่ยงหน้าที่ของตัวเอง ฉันไม่ได้รับผิดชอบแม้แต่น้อยเลย คิดเอาว่าผู้นำระดับสูงจะรับมือกับเรื่องนี้เมื่อเธอมาถึง ฉันได้เห็นอย่างชัดเจนว่าพี่น้องของฉันถูกกดขี่ข่มเหง ว่าพวกเขาสูญเสียชีวิตคริสตจักร ไม่สามารถเข้าถึงพระวจนะใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและอยู่ในความทุกข์ทรมาน แต่ฉันกลับนึกถึงแค่ผลประโยชน์และโอกาสในอนาคตของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาหรือการปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรเลยแม้แต่น้อย เมื่อตระหนักได้ว่าฉันเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ ขาดจิตสำนึกและเหตุผลเพียงใด ฉันก็รู้สึกละอายใจเกินกว่าจะไปพบหน้าพี่น้องชายหญิงอีกครั้ง
ต่อมาฉันบังเอิญพบ พระราชกฤษฎีกาที่หกใน “ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง” “จงทำสิ่งซึ่งมนุษย์ควรจะทำ และจงดำเนินภาระผูกพันของเจ้าให้เสร็จสิ้น และทำให้ความรับผิดชอบของเจ้าลุล่วงไป และจงยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้า ในเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ควรร่วมสนับสนุนพระราชกิจของพระเจ้า หากเจ้าไม่ทำ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมไม่เหมาะที่จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่ในครัวเรือนของพระเจ้า” (พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พอได้อ่านบทตอนนี้แล้วรู้สึกผิดมาก ฉันเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าและฉันก็ได้เพลิดเพลินกับการจัดหาแห่งพระวจนะอย่างมาก ฉันควรยืนเคียงข้างพระเจ้า ปกป้องงานแห่งพระนิเวศและอารักขาพี่น้องของฉัน แต่ฉันกลัวจะล่วงเกินจางหลินและถูกเขากดขี่ และกลัวว่าจะสูญเสียสถานะผู้นำ ฉันจึงบ่ายเบี่ยงหน้าที่ของตัวเอง ฉันเอาแต่กังวลเกี่ยวกับการล่วงเกินผู้คน ไม่ใช่พระเจ้า พระเจ้าไม่มีที่ในหัวใจฉันเลยไม ฉันเห็นแล้วว่าฉันไม่คู่ควรกับการถูกเรียกว่าเป็นผู้เชื่อ เมื่อได้ตระหนักเช่นนั้น ฉันก็รู้ว่าฉันไม่อาจเป็นคนเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และคิดถึงแต่ตัวเองอีกต่อไป พี่เจิ้งและคนอื่นๆ ต้องสูญเสียการเข้าถึงพระวจนะล่าสุดของพระเจ้า ชีวิตฝ่ายวิญญาณของพวกเขาจึงถูกลิดรอนจากเสบียงของพระองค์ ฉันควรรับผิดชอบและช่วยพวกเขาแก้ไขปัญหา วันรุ่งขึ้น ฉันไปที่สถานที่ชุมนุมของพี่เจิ้งเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ของจางหลิน และยืนยันว่าทุกสิ่งที่พี่เจิ้งบอกฉันเป็นความจริง จากนั้นฉันได้เขียนจดหมายรายงานสิ่งที่พบต่อผู้นำระดับสูง ฉันยังส่งพระวจนะล่าสุดของพระเจ้าไปให้พี่เจิ้งและคนอื่นๆ และเราจัดการชุมนุมร่วมกันค่ะ
ต่อมาเมื่อจางหลินพบว่าฉันได้ชุมนุมกับพี่เจิ้นและพี่น้องของเธอ เขาก็โกรธมาก วันหนึ่ง เวลาประมาณ 18.00 น. เขาส่งพี่สาวมาที่บ้านของฉันเพื่อบอกฉันว่า เพราะฉันแอบคบหาสมาคมกับสมาชิกคริสตจักรอื่น แถมโอหังแถมมั่นใจในตนเองจนเกินเหตุ ฉันถูกเพ่งเล็งเพราะทำผิดไปแปดข้อหา เขาห้ามฉันจากการปฏิบัติหน้าที่และกำลังจะรายงานฉันด้วย และเรียกประชุมมัคนายกและผู้นำจากคริสตจักรทั้งสองเพื่อเปิดโปงฉัน ข้อความที่พี่สาวบอกทำให้ฉันตกใจมาก จางหลินรู้ว่าฉันรายงานเขาใช่หรือเปล่า? เขาถึงขนาดจะเรียกมัคนายกและผู้นำจากคริสตจักรทั้งสองมาเปิดโปงฉัน พวกเขาจะเตะฉันออกจากคริสตจักรหรือเปล่า? ถ้าพวกเขาเตะฉันออกจริงๆ ฉันจะยังมีโอกาสถูกช่วยให้รอดอยู่ไหม? ความคิดนี้ทำให้ฉันรู้สึกสิ้นหวัง และอ่อนแอและไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร วันรุ่งขึ้นก็ถึงเวลาการชุมนุมของพี่เจิ้งอีกครั้ง และฉันคิดไปต่างๆ นาๆ “จางหลินได้ห้ามไม่ให้ฉันทำหน้าที่ของฉันแล้ว ดังนั้นถ้าฉันจะไปร่วมชุมนุมกับพี่น้องของฉันจริงๆ ใครจะรู้ว่าจางหลินจะตัดคะแนนฉันด้วยความผิดอะไรอีกถ้าเขารู้ ฉันตัดสินใจว่าในตอนนี้ควรนิ่งไว้ก่อนจะดีกว่า” ฉันจึงอยู่บ้านและสูญเสียชีวิตในคริสตจักรไป หัวใจของฉันรู้สึกว่างเปล่า ทั้งกินไม่ได้นอนไม่หลับ ฉันเดินวนเวียนไปมาอย่างไร้จุดหมาย รู้สึกปวดร้าวและทรมาน ประมาณสิบวันต่อมา คริสตจักรได้ปล่อยสามัคคีธรรมใหม่ล่าสุดของพระเจ้า ฉันคิดในใจว่า จางหลินกดขี่พี่น้องที่สถานที่ชุมนุมของพี่เจิ้ง พวกเขาไม่สามารถชุมนุมหรืออ่านพระวจนะใหม่ล่าสุดของพระเจ้าได้ ฉันควรส่งพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาโดยเร็วที่สุด แต่ฉันก็คิดอีกด้วยว่า ถ้าจางหลินรู้เข้าว่าฉันไปที่นั่น และตัดคะแนนเพราะความผิดอีกประการหนึ่ง ฉันก็อาจถูกไล่ออกจากคริสตจักรและเสียความสัมพันธ์กับพระนิเวศของพระเจ้าไป ฉันตัดสินใจไม่ได้ และเปลี่ยนใจไปมาอยู่แบบนั้น แต่สุดท้าย ฉันก็ยังตัดสินใจไม่ไปส่งพระวจนะของพระเจ้าให้กับพี่เจิ้ง สองสามวันถัดมา ฉันเดินวนไปมาเหมือนซอมบี้และไม่รู้สึกอยากทำอะไรเลย เมื่อไหร่ที่ฉันคิดว่าพี่เจิ้งและคนอื่นๆ ไม่สามารถชุมนุมและอ่านพระวจนะล่าสุดของพระเจ้าได้ และจะต้องทนทุกข์มากเหมือนกับฉัน ฉันจะรู้สึกผิดมาก
ต่อมาฉันได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “ผู้คนส่วนใหญ่ปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริง แต่โดยมากแล้วพวกเขาแค่มีปณิธานและความพึงปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น ความจริงยังไม่ได้กลายเป็นชีวิตของพวกเขา ผลก็คือ เมื่อพวกเขามาเจอกับกำลังบังคับชั่วหรือเผชิญกับคนเลวและไม่ดีที่ประกอบความประพฤติชั่ว หรือเหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ที่ทำสิ่งทั้งหลายในหนทางที่ล่วงละเมิดหลักธรรม—อันเป็นการทำให้พระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้าทนทุกข์กับการสูญเสีย และเป็นการทำอันตรายบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรด้วยเหตุนี้—พวกเขาสูญเสียความกล้าที่จะยืนขึ้นและพูดออกมา นั่นหมายความว่าอย่างไรเมื่อเจ้าไม่มีความกล้า? นั่นหมายความว่าเจ้าใจเสาะหรือพูดไม่ออกใช่หรือไม่? หรือเป็นที่เจ้าไม่เข้าใจอย่างถี่ถ้วน และจึงไม่มีความมั่นใจที่จะพูดขึ้นมา? นั่นไม่ใช่อันใดจากการเหล่านี้เลย ทั้งนี้ นั่นเป็นที่เจ้ากำลังถูกควบคุมโดยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามสารพัดประเภท หนึ่งในอุปนิสัยเหล่านี้ก็คือการฉลาดแกมโกง เจ้าคิดถึงตัวเจ้าเองเป็นอันดับแรก โดยคิดว่า ‘หากฉันพูดขึ้นมา นั่นจะมีประโยชน์ต่อฉันอย่างไร? หากฉันพูดขึ้นมาและทำให้ใครบางคนไม่พอใจ พวกเราจะเข้ากันได้อย่างไรในอนาคต?’ นี่คือความรู้สึกนึกคิดที่ฉลาดแกมโกง ถูกต้องหรือไม่? นี่ไม่ใช่ผลของอุปนิสัยที่ฉลาดแกมโกงหรอกหรือ? อีกหนึ่งนั้นคือ อุปนิสัยใจร้ายและเห็นแก่ตัว เจ้าคิดว่า ‘ความสูญเสียต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเกี่ยวอะไรกับฉันหรือ? ทำไมฉันถึงควรใส่ใจ? ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันสักนิด ต่อให้ฉันมองเห็นการนั้นและได้ยินว่าการนั้นเกิดขึ้น ฉันก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉัน—ฉันไม่ใช่ผู้นำนี่นา’ สิ่งทั้งหลายเช่นนั้นอยู่ข้างในตัวเจ้า ราวกับสิ่งเหล่านั้นผลิออกมาจากจิตไร้สำนึกของเจ้า และราวกับว่า สิ่งเหล่านั้นเข้ายึดครองตำแหน่งอันถาวรทั้งหลายในหัวใจของเจ้า—สิ่งเหล่านั้นคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของมนุษย์…เจ้าไม่เคยพูดสิ่งที่เจ้าคิดจริงๆ เลย ทั้งหมดนั้นจำเป็นต้องถูกสมองของเจ้าเรียบเรียงไว้ก่อนในจิตใจของเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูดคือการโกหก ไม่ลงรอยกับข้อเท็จจริงทั้งหลาย ทั้งหมดนั้นล้วนอยู่ในคำแก้ตัวอันเป็นเท็จของเจ้าเอง เพื่อข้อได้เปรียบของเจ้าเอง ผู้คนบางคนหลงเชื่อและนั่นก็ดีมากพอแล้วสำหรับเจ้า กล่าวคือ คำพูดและการกระทำของเจ้าได้สัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของเจ้าแล้ว นี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า เหล่านี้คืออุปนิสัยของเจ้า เจ้าถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าเองควบคุมอย่างสิ้นเชิง เจ้าไม่มีพลังอำนาจเหนือสิ่งที่เจ้าพูดและทำ ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่อาจบอกความจริงหรือพูดสิ่งที่เจ้าคิดจริงๆ ได้ ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่อาจปฏิบัติตามความจริงได้ ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่อาจลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูด ทำ และปฏิบัติคือการโกหก และเจ้าก็ฉาบฉวยและขอไปทีไม่มีผิดเลย เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเจ้าถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าล่ามโซ่ตรวนและควบคุมอย่างสิ้นเชิง เจ้าอาจต้องการที่จะยอมรับและเพียรพยายามเพื่อให้ได้ความจริง แต่นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า กล่าวคือ เจ้าไม่ใช่สิ่งใดนอกจากหุ่นเชิดของเนื้อหนังอันเสื่อมทราม เจ้าได้กลายเป็นเครื่องมือของซาตานไปแล้ว เจ้าพูดและทำสิ่งใดก็ตามที่อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าบอกให้เจ้าพูดและทำ…เจ้าไม่เคยแสวงหาความจริงเลย นับประสาอะไรที่เจ้าจะปฏิบัติความจริง เจ้าก็แค่อธิษฐานต่อไป โดยสร้างความมุ่งมั่นของเจ้าขึ้น ทำการตัดสินใจแน่วแน่ และสาบานคำปฏิญาณทั้งหลาย และสิ่งใดเล่าที่ได้เกิดขึ้นมาจากทั้งหมดนี้? เจ้าก็ยังคงเป็นคนที่ชอบตามใจผู้อื่นอยู่ โดยที่เจ้าไม่ยั่วยุผู้ใด อีกทั้งเจ้าก็ไม่ล่วงเกินผู้ใด หากเรื่องใดไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะอยู่ให้ห่างจากสิ่งนั้นและคิดว่า ‘ฉันจะไม่พูดสิ่งใดเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉัน และการนี้เป็นไปโดยไม่มีข้อยกเว้น หากสิ่งใดเป็นที่สามารถทำอันตรายต่อผลประโยชน์ของฉันเอง ต่อความภาคภูมิของฉัน หรือต่อการนับถือตัวเองของฉัน ฉันก็จะไม่ให้ความใส่ใจอันใดกับสิ่งนั้น และจะเข้าหาทั้งหมดนั้นอย่างระมัดระวัง โดยที่ฉันต้องไม่กระทำการอย่างผลีผลาม ตะปูที่โผล่หัวขึ้นมาจะถูกตีก่อน และฉันไม่โง่เง่าขนาดนั้น!’ เจ้าอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าซึ่งมีความเลว ฉลาดแกมโกง แข็งกระด้าง และรังเกียจความจริงโดยสิ้นเชิง อุปนิสัยเหล่านั้นกำลังทำให้เจ้าอิดโรยและยากลำบากเกินกว่าที่เจ้าจะแบกรับได้มากขึ้นทุกทียิ่งกว่ามงคลทองคำที่พญาวานรสวมเสียด้วยซ้ำ การดำรงชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามนั้นเหน็ดเหนื่อยและทุกข์ระทมยิ่งนัก!” (“มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่ยำเกรงพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้า เปิดโปงอุปนิสัยเสื่อมทรามของฉัน ตอนจางหลินตัดคะแนนฉันในความผิดบางอย่างและห้ามไม่ให้ฉันทำหน้าที่ ฉันกลับกลัวโดนกดขี่หรือไล่ออกจากคริสตจักรมากกว่า และเพราะว่าฉันต้องการปกป้องโอกาสในอนาคตของฉัน ฉันกลัวที่จะต้องชุมนุมและส่งมอบพระวจนะใหม่ล่าสุดของพระเจ้าแก่พี่เจิ้งและคนอื่นๆ และยิ่งกลัวที่จะเปิดโปงความประพฤติอันชั่วร้ายของจางหลิน และฉันไม่สนว่าชีวิตของพี่น้องชายหญิงจะเสียหายหรือไม่ แค่โยนงานที่พระเจ้ามอบหมายทิ้งไว้ข้างทาง ฉันได้เห็นว่าตัวเองไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้าเลย ได้เห็นว่าฉันทรยศพระองค์ ในช่วงเวลาที่วิกฤตนั้น ฉันจำเป็นต้องปฏิบัติความจริง แต่ฉันกลับตกอยู่ใต้การครอบงำของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแห่งความชั่วร้ายและฉลาดแกมโกงโดยสมบูรณ์ และไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้เลย ด้วยเหตุนี้ พี่น้องชายหญิงจึงไม่ได้รับการจัดหาแห่งชีวิต และใช้ชีวิตในความคิดลบและความอ่อนแอ ฉันไม่ได้สร้างความเสียหายให้พวกเขาเหรอ? พอตระหนักได้ว่าฉันช่างขี้ขลาด เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ ฉันก็รู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดขึ้นมา
ฉันบังเอิญเจอพระวจนะอีกบทหนึ่งที่ว่า “เจ้าทั้งปวงกล่าวว่าเจ้าคำนึงถึงพระภาระของพระเจ้า และจะปกป้องคำพยานของคริสตจักร แต่ใครหรือในหมู่พวกเจ้าที่ได้คำนึงถึงพระภาระของพระเจ้าจริงๆ? จงถามตัวเจ้าเองว่า เจ้าเป็นใครคนหนึ่งซึ่งได้แสดงให้เห็นความคำนึงถึงพระภาระของพระองค์หรือไม่? เจ้าสามารถปฏิบัติความชอบธรรมเพื่อพระองค์หรือไม่? เจ้าสามารถยืนขึ้นและพูดเพื่อเราหรือไม่? เจ้าสามารถนำความจริงมาปฏิบัติอย่างหนักแน่นมั่นคงหรือไม่? เจ้ากล้าพอที่จะต่อสู้กับความประพฤติทั้งปวงของซาตานหรือไม่? เจ้าจะสามารถวางภาวะอารมณ์ทั้งหลายของเจ้าลง และเปิดโปงซาตานเพื่อเห็นแก่ประโยชน์แห่งความจริงของเราไหม? เจ้าสามารถยอมให้เจตนาของเราได้รับการทำให้ลุล่วงภายในตัวเจ้าไหม? เจ้าได้มอบถวายหัวใจของเจ้าในชั่วขณะที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดหรือไม่? เจ้าเป็นใครคนหนึ่งที่จะกระทำตามเจตจำนงของเราหรือไม่? จงถามคำถามเหล่านี้กับตัวเจ้าเอง และคิดเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ให้บ่อย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 13) ฉันยังได้เห็นบทตอนนี้ “การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้ามีความสำคัญมาก” “ความเศร้าของพระองค์นั้นเป็นเพราะมวลมนุษย์ เนื่องจากผู้ที่พระองค์ทรงมีความหวังแต่เขาเป็นผู้ที่ตกสู่ความมืด เพราะพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์นั้นไม่เป็นผลตามที่พระองค์ทรงคาดหวัง และเป็นเพราะมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงรักไม่สามารถใช้ชีวิตในความสว่างได้ทั้งหมด พระองค์ทรงรู้สึกเศร้ากับมวลมนุษย์ผู้ไร้เดียงสา กับมนุษย์ผู้ซื่อสัตย์แต่ไม่รู้เท่าทัน และกับมนุษย์ผู้ที่ดีแต่ขาดมุมมองต่างๆ ของเขาเอง ความเศร้าของพระองค์เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความดีงามของพระองค์และของความปรานีของพระองค์ เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความสวยงามและความใจดีมีเมตตา” (พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) เมื่อฉันไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก พี่เจิ้งมาเล่าปัญหาของพวกเขาให้ฉันฟังเพราะเธอเชื่อใจฉัน ฉันควรจะรับผิดชอบและปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่ฉันกลับทำตัวขัดจิตสำนึกและไม่ปฏิบัติความจริง ฉันยืนอยู่ข้างซาตานและกลายเป็นผู้พิทักษ์ของมัน ตอนนี้พี่น้องของฉันต้องอยู่ในความมืดมิดและทนทุกข์ และไม่อาจได้รับการจัดหาทางชีวิตที่ต้องการ พระเจ้าทรงเศร้าโศกและสิ้นหวัง พระองค์หวังว่าฉันจะสามารถยืนหยัด คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ และปกป้องผู้คนที่พระองค์ทรงเลือกสรร จางหลินอาจห้ามไม่ให้ฉันปฏิบัติตามหน้าที่ในฐานะผู้นำคริสตจักร แต่ฉันเป็นสมาชิกของพระนิเวศ ดังนั้นหน้าที่ของฉันคือการปกป้องงานแห่งพระนิเวศและผู้คนที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ฉันไม่อาจละเลยหน้าที่ และปกป้องตัวเองได้ ฉันมาเฉพาะพระพักตร์และอธิษฐานว่า “พระเจ้า! พระองค์ทรงยกย่องข้าพระองค์ด้วยหน้าที่ผู้นำ แต่ข้าพระองค์เห็นแก่ตัว น่ารังเกียจและคิดถึงแต่ตัวเอง ข้าพระองค์จึงไม่คู่ควรกับพระบัญชาที่ทรงมอบให้ พระเจ้า ข้าพระองค์จะไม่คิดถึงอนาคตของตัวเองอีกต่อไป ยินดีที่จะกลับใจอย่างแท้จริง ยืนขึ้นและทำหน้าที่ของข้าพระองค์ให้ลุล่วง ขอทรงนำทางข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากการอธิษฐานฉันรู้สึกสงบขึ้นมาก ฉันจึงส่งคำเทศนาใหม่ล่าสุดของพระเจ้าไปยังพี่น้องที่สถานที่ชุมนุมของพี่เจิ้ง และร่วมชุมนุมกับพวกเขาด้วย ต่อมา ผู้นำระดับสูงได้รับรายงานของฉัน และหลังจากได้ยืนยันความประพฤติชั่วของจางหลิน พวกเขาได้ปลดจางหลินกับพวกพ้องออกจากตำแหน่ง
ผู้นำของฉันมอบหมายให้ฉันรับผิดชอบงานในคริสตจักรทั้งสองชั่วคราว หลังจากถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้ว จางหลินยังคงไม่กลับใจและยังเก็บความไม่พอใจต่อฉันเอาไว้ เขาหลอกลวงพี่น้องของเราในคริสตจักร พูดว่าฉันเพิ่งเป็นผู้เชื่อได้เพียงไม่นาน ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย และบังเอิญว่าฉันเพียงมีความรู้ด้านหนังสือมากกว่าพวกเขาเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ระหว่างการชุมนุมได้ เขายังพูดอีกว่า ในเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังตามจับกุมผู้เชื่ออยู่ในตอนนี้ และมีกล้องวงจรติดตั้งอยู่ทั่วทุกหัวมุมถนนในชนบท การที่ฉันเข้าร่วมชุมนุม อาจจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายได้ด้ ในช่วงเวลานั้น เขาโน้มน้าวบางคนได้จริงๆ และร่วมมือกันตั้งข้อกล่าวหาเท็จต่อฉัน ก่อนหน้านี้จางหลินได้ตัดคะแนนฉันไปแปดข้อหาแล้ว ตอนนี้มันเพิ่มขึ้นเป็นสิบสาม พวกเขาถึงขนาดส่งข้อกล่าวหาทั้งหมดไปยังผู้นำระดับสูง ผู้นำของเราจึงมอบหมายให้พี่น้องหญิงบางคนตรวจสอบสถานการณ์ พอได้ยินเรื่องนี้ฉันก็ทรุดตัวลงด้วยความสลดใจ ฉันรู้สึกเหมือนมีน้ำหนักพันปอนด์กดทับที่หน้าอกจนหายใจแทบไม่ออก จางหลินร่วมมือกับพวกสองสามคนเพื่อกล่าวหาฉันอย่างผิดๆ ถ้าผู้นำของเราเชื่อในเรื่องราวของพวกเขาและขับไล่ฉันออกไปจริงๆ ชีวิตของฉันในฐานะผู้เชื่อจะจบลงหรือไม่? พอคิดถึงสิ่งนี้ น้ำตาก็เริ่มไหลออกมา ฉันนึกขึ้นได้ ว่าพี่น้องหลายคนเคยอยู่คริสตจักรเดียวกันกับจางหลิน ก่อนที่จะยอมรับงานใหม่ของพระเจ้า และจางหลิน ได้เผยแพร่งานของพระเจ้าในยุคสุดท้ายให้พวกเขา พี่น้องบางคนมองขาดปัญญาแยกแยะเกี่ยวกับเขา แถมยังชื่นชมและเคารพเขาด้วย คนเหล่านี้จะพูดความจริงได้จริงหรือ? ถ้าพี่น้องหญิงตรวจสอบเรื่องนี้ พวกเธอจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ไหม? ใจฉันว้าวุ่นไปหมด ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า หลังจากอธิษฐาน ฉันได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “เราชอบธรรม เราไว้วางใจได้ และเราคือพระเจ้าผู้ตรวจดูหัวใจส่วนลึกสุดของมนุษย์! เราจะเผยให้เห็นทันทีว่าผู้ใดเที่ยงแท้และผู้ใดเทียมเท็จ จงอย่าตระหนก ทุกสรรพสิ่งทำงานสอดคล้องกับเวลาของเรา ผู้ใดต้องการเราอย่างจริงใจ และใครไม่ต้องการ—เราจะบอกพวกเจ้า ทีละคน พวกเจ้าเพียงแต่ดูแลเรื่องการกินให้หมด ดื่มให้หมด และเข้ามาใกล้ชิดเราเมื่อเจ้าเข้ามาอยู่ต่อหน้าเรา และเราจะทำงานของเราด้วยตัวเราเอง จงอย่ากระวนกระวายเกินไปกับการที่จะให้เกิดผลลัพธ์อันรวดเร็ว งานของเราไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้ในทันที ภายในงานนั้นมีขั้นตอนต่างๆ ของเราและสติปัญญาของเรา และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมสติปัญญาของเราจึงสามารถเปิดเผยให้เห็นได้ เราจะให้พวกเจ้าได้เห็นสิ่งที่กระทำโดยมือของเรา—คือการลงโทษคนชั่วและมอบบำเหน็จรางวัลแก่คนดี แน่นอนที่สุดว่าเราไม่โปรดปรานใครคนใด เจ้าผู้ซึ่งรักเราอย่างจริงใจ เราก็จะรักเจ้าอย่างจริงใจ และสำหรับพวกที่ไม่รักเราอย่างจริงใจ ความโกรธของเราจะเกิดกับพวกเขาเรื่อยไป เพื่อที่พวกเขาอาจจะจดจำไปจนชั่วกัลปาวสานว่าเราคือพระเจ้าเที่ยงแท้ พระเจ้าผู้ตรวจดูหัวใจส่วนลึกสุดของมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 44) ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้าทำให้ใจฉันสงบลงอย่างรวดเร็ว พระเจ้าทรงชอบธรรมและเชื่อถือได้ พระนิเวศปกครองโดยพระคริสต์ โดยความจริงและความชอบธรรม เพราะฉันไม่รู้จักความชอบธรรมของพระเจ้า และไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงตรวจสอบทุกสิ่ง ฉันเลยเกิดกังวลขึ้นมาว่าพี่น้องหญิงจะเชื่อเรื่องราวนี้เพียงข้างเดียว ตอนที่พวกเขาตรวจสอบสถานการณ์ของฉันและจะขับไล่ฉันออก ฉันไม่ได้เปรียบเทียบพระนิเวศกับดินแดนแห่งพญานาคใหญ่สีแดงหรอกหรือ? พรรคคอมมิวนิสต์จีนปกครองในรูปแบบเผด็จการตามอำเภอใจ พวกเขาบิดเบือนความจริงและนำข้อเท็จจริงย้อนกลับมาปราบปรามผู้ไม่ปฏิบัติตาม พวกเขาจะกุข้อกล่าวหาและทำลายทั้งชีวิตของผู้คน คนทั่วไปต้องรับมือกับการกลั่นแกล้งไม่มีสิทธิ์ร้องหาความยุติธรรม แต่พระนิเวศปกครองด้วยความจริง ถ้าศัตรูของพระคริสต์หรือคนชั่วร้ายเข้ามามีอำนาจ เดี๋ยวเวลาก็เปิดโปงและกำจัดพวกเขาออกไปเอง นั่นคืออุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และพระนิเวศขับไล่ผู้คน ตามหลักการแห่งความจริง ผู้คนถูกพิพากษาตามข้อเท็จจริงของการกระทำผิดของพวกเขา ไม่มีใครถูกขับไล่แค่เพราะมีคนเพ่งเล็งเขาว่ากระทำความผิดไม่กี่เรื่อง ฉันไม่ได้ทำผิดอย่างที่พวกเขาบอกว่าฉันทำ พวกเขาบิดเบือนความจริงและสร้างเรื่องโกหกขึ้นมา ความจริงและข้อเท็จจริงจะถูกเปิดเผยในที่สุด ฉันรู้ว่าพระเจ้ากำลังตรวจสอบเรื่องทั้งหมดนี้ พอคิดได้แบบนี้ ฉันไม่ได้รู้สึกเศร้านัก และเริ่มศรัทธาในพระเจ้าอีกครั้ง ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ว่า “พระเจ้าคะ! ไม่ว่าข้าพระองค์จะถูกไล่ออกหรือไม่ก็ตาม ข้าพระองค์ก็เต็มใจที่จะนบน้อมและประสบกับงานของพระองค์” ไม่กี่วันต่อมา ผู้นำของเราก็เข้าใจความจริงของเรื่องนี้ และพบว่าเรื่องที่จางหลินกล่าวหานั้นบิดเบือนข้อเท็จจริง และเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเองทั้งหมด พวกเขาพบว่าจางหลินมักจะทำตามอำเภอใจ แบ่งแยกและปลดผู้คนออกจากหน้าที่ตามความเห็นชอบของตน ขณะที่ส่งเสริมและปลูกฝังญาติของตนเอง เขากดขี่และผลักไสพี่น้องที่พยายามให้คำแนะนำกับเขา ขนาดถูกปลดไปแล้ว เขาก็ยังไม่กลับใจผิด เขาหลอกลวงผู้คนด้วยความพยายามที่ไร้ผลเพื่อควบคุมผู้คนที่พระเจ้าเลือกสรรและเริ่มต้นอาณาจักรของเขาเอง ที่จริงแล้วเขาเป็นมารร้ายที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของพระเจ้า ผู้นำของเรากำลังเตรียมเอกสารที่จำเป็นเพื่อขับไล่เขาออกจากคริสตจักร พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็ตื้นตันมากจริงๆ ฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงชอบธรรมอย่างแท้จริง และไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์จะเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยมเพียงใด อิทธิพลของพวกเขาจะมีอายุสั้นเพราะ ในที่สุดพวกเขาก็ไม่มีที่ยืนในพระนิเวศพระเจ้า และในที่สุดก็จะถูกเปิดโปง กำจัด และทอดทิ้งไปตลอดกาลโดยคนที่พระเจ้าเลือกสรร ฉันยังรู้สึกละอายและรู้สึกผิด เพราะฉันไม่รู้จักพระเจ้าและเข้าใจผิดและตำหนิพระองค์ คิดว่าคริสตจักรเป็นเหมือนโลกทางโลก ฉันกำลังหมิ่นประมาทพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อฉันตามการฝ่าฝืนของฉัน และทรงคอยชี้นำให้ฉันได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมนี้ต่อไป ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างสุดซึ้ง ต่อมา พี่น้องของฉันทุกคนได้รับปัญญาแยกแยะเรื่องของจางหลิน และเห็นด้วยที่จะขับไล่เขาออกจากคริสตจักร เป็นเรื่องน่ายินดีเสมอเมื่อศัตรูของพระคริสต์ถูกขับไล่! พี่น้องของฉันไม่ถูกศัตรูของพระคริสต์หลอกลวงและควบคุมอีกต่อไป และสามารถทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงได้ สามัคคีธรรมตามความจริง และดำเนินชีวิตคริสตจักรตามปกติได้อย่างอิสระ
การได้เคยถูกศัตรูของพระคริสต์กดขี่และกล่าวหาเท็จ ทำให้ฉันมีปัญญาแยกแยะเรื่องศัตรูของพระคริสต์ ได้เห็นว่าพวกเขาหลอกลวงและทำลายล้างผู้คน อีกทั้งมีธรรมชาติและเนื้อแท้ที่เกลียดชังความจริง นอกจากนี้ฉันยังได้เป็นพยานให้ความชอบธรรม พระมหิทธิฤทธิ์ และพระปัญญาของพระเจ้าด้วย พระเจ้าทรงใช้อุบายเล่ห์เหลี่ยมของซาตานเพื่อช่วยให้เราเข้าใจความจริงและได้มีปัญญาแยกแยะ เพื่อที่เราจะได้หลุดพ้นจากอิทธิพลมืดของซาตาน ละทิ้งศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วอย่างสมบูรณ์ และกลับมานบนอบต่อพระองค์อย่างแท้จริง โดยการทรงเปิดเผยของพระเจ้า ฉันยังได้เรียนรู้ขึ้นบ้างถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง รวมถึงการที่ฉันเคยเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจมากเกินไป ฉันได้ประสบกับความสงบสุขและเสรีภาพที่มาพร้อมกับการทรยศ ต่อเนื้อหนัง และปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า จากประสบการณ์นี้ ฉันยังได้เรียนรู้อีกด้วยว่า พระเจ้าทรงยอมรับเราเสมอทั้งในยามดีและยามร้าย นี่เป็นวิธีการที่พระองค์ทรงทำให้เพียบพร้อมและทำให้เรารอด
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ดานี พม่า ฉันสนใจ ศาสนาคริสต์ตั้งแต่เด็ก แต่เพราะครอบครัวเป็นชาวพุทธ ฉันเลยไม่ได้มาเป็นคริสเตียน ในตอนนั้น ฉันเคยได้ยินเรื่องนรก แต่ฉัน...
โดย ว่าน ซินผิง, ประเทศจีน เดือนมีนาคมปี 2020 ฉันย้ายไปยังคริสตจักรใหม่ ที่คริสตจักรเก่าฉันเป็นผู้นำ และพี่น้องชายหญิง ก็เคารพฉันมาก...
โดย เหยียนซิน ประเทศจีน ปี 2014 ฉันทำวิดีโอของคริสตจักร ไม่นานนัก ก็ได้เลื่อนเป็นหัวหน้ากลุ่ม เพื่อทำวิดีโอให้ดี ฉันจึงคิดเรื่องหลักธรรม...
โดย ซงหยู่, เนเธอร์แลนด์ เดือนพฤษภาปีนี้ พี่สาวคนหนึ่งรายงานฉัน ว่าพี่ลูบอกเธอว่า...