ความเป็นจริงเบื้องหลังคนขี้เกรงใจ
โดย ซู่เจี๋ย, ประเทศจีน เมื่อตุลาคมที่ผ่านมา คริสตจักรมอบหมายให้ฉันดูแลทีมออกแบบกราฟิก โดยร่วมกับหวางหลี่...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ปลายปี 2022 ฉันเริ่มทำหน้าที่ในฐานะผู้ประกาศ และเริ่มรับผิดชอบในการติดตามงานของคริสตจักรหลายแห่ง วันหนึ่ง ฉันได้รับจดหมายจากผู้นำระดับสูงบอกว่า สภาวะของสองผู้นำในคริสตจักรแห่งหนึ่งกำลังแย่ และนั่นก็ส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักรหลายรายการแล้ว เธอขอให้ฉันไปที่นั่นโดยเร็ว เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์และแก้ไขผ่านการสามัคคีธรรม ฉันคิดกับตัวเองว่า “ไม่นานนี้คริสตจักรแห่งนี้ประสบกับการรณรงค์จับกุมของพรรคคอมมิวนิสต์ พี่น้องชายหญิงหลายคนกำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัย และไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ นั่นก็เข้าใจได้ที่ผู้นำทั้งสองคิดลบเล็กน้อยเนื่องจากความลำบากยากเย็นนี้ ถ้าเพียงแต่ฉันหาพระวจนะบางบทตอนมาสามัคคีธรรมกับพวกเธอ ฉัันก็ควรจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้” ตอนที่ฉันเจอสองผู้นำ สภาวะของพวกเธอย่ำแย่มาก พวกเธอบอกว่าการขาดผลลัพธ์ในงานของคริสตจักรหลายรายการ เกิดจากการที่พวกเธอล้มเหลวในการปฏิบัติงานจริง และพวกเธอก็คิดลบมากจนถึงกับต้องการลาออกจากตำแหน่ง ฉันสามัคคีธรรมกับพวกเธอทันที โดยบอกว่า “ที่สภาพแวดล้อมเป็นแบบนี้ได้ก็เพราะพระเจ้าทรงอนุญาต เราจะจมอยู่กับสภาวะที่เป็นลบไม่ได้ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ เราจะทำงานร่วมกันอย่างไรเพื่อแบกภาระหน้าที่ของเรา และไม่ทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า” แต่ไม่ว่าฉันจะสามัคคีธรรมอย่างไร พี่น้องหญิงทั้งสองก็ยังคงติดอยู่ในสภาวะเป็นลบของตัวเอง บอกว่าขีดความสามารถของพวกเธอต่ำ พวกเธอไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่สามารถทำงานเป็นผู้นำได้ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้แล้ว ฉันก็คิดว่า “ทำไมฉันถึงได้โชคร้ายขนาดนี้นะ? ฉันเพิ่งได้เริ่มเป็นผู้ประกาศและได้รับมอบหมายให้มาที่คริสตจักรแห่งนี้ ที่ซึ่งผู้นำคิดลบเกินกว่าที่จะรับผิดชอบงานได้ นี่ก็หมายความว่าฉันต้องแบกรับงานทั้งหมดเองไม่ใช่เหรอ?” ในเวลานั้น ฉันสามัคคีธรรมกับผู้นำคริสตจักรเพื่อแก้ไขสภาวะของพวกเธอ และพร้อมกันนั้นก็ไปประชุมหลายที่เพื่อดำเนินงานบางอย่าง ฉันยุ่งจนเหนื่อยล้าทุกวัน ต่อมา หนึ่งในผู้นำก็ลงเอยด้วยการลาออก อีกคนก็ถูกยูดาสทรยศและต้องซ่อนตัวชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับ ทำให้เธอไม่สามารถออกไปทำหน้าที่ได้ เมื่อได้ยินข่าวนี้ ฉันอดไม่ได้ที่จะก็ถอนหายใจยาว และคิดว่า “มีปัญหามากมายในคริสตจักรแห่งนี้ ขนาดที่ผู้นำทั้งสองทำหน้าที่ของตัวเองไม่ได้เลย งานทั้งหมดตกอยู่ที่ฉันคนเดียว ฉันจะต้องยุ่งกับเรื่องพวกนี้ไปอีกนานแค่ไหนกันนะ?” ช่วงนั้น ฉันเหมือนลูกข่างที่หมุนอยู่ตลอด ไม่สามารถหยุดได้ บางครั้ง ฉันพบกับเหล่าพี่น้องระหว่างวันเพื่อทำความเข้าใจงาน และเมื่อกลับมาตอนกลางคืน ก็มีจดหมายกองพะเนินที่จะต้องตอบ ฉันยุ่งจนดึกดื่นทุกคืน แต่ก็ยังไม่สามารถทำงานทั้งหมดให้เสร็จได้ เมื่อเผชิญกับปัญหาและความลำบากยากเย็นที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันนี้ ฉันก็หมดไฟ รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งทางจิตใจและร่างกาย เหมือนกับมีภูเขามาทับอยู่บนอก ทำให้หายใจลำบาก ฉันคิดว่า “ตั้งแต่ได้รับมอบหมายให้มาที่คริสตจักรแห่งนี้ ฉันก็เผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยอย่างต่อเนื่อง ปัญหาใหม่ๆ เกิดขึ้นก่อนที่ปัญหาเก่าจะถูกแก้ไข ตอนนี้ไม่มีแม้แต่ผู้นำคริสตจักร ฉันเหมือนผู้บัญชาการที่เดียวดาย ไม่มีใครให้ปรึกษา ต้องจัดการงานทุกอย่างด้วยตัวเอง ในขณะที่ผู้ประกาศอีกคน รับผิดชอบคริสตจักรที่มีผู้นำสามคน แม้ว่าจะมีงานเยอะ แต่แต่ละคนก็ทำแค่นิดๆ หน่อยๆ ทำให้เขาไม่เหนื่อยเท่าฉัน ทำไมเขาถึงโชคดีแบบนี้นะ? แล้วทำไมฉันถึงถูกมอบหมายให้มาที่คริสตจักรแบบนี้? ฉันช่างโชคร้ายเหลือเกิน!” ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจมากเท่านั้น รู้สึกอยู่ตลอดว่าฉันโชคร้ายที่ถูกมอบหมายให้ไปที่คริสตจักรแห่งนั้น แม้ว่าฉันจะดูเหมือนทำหน้าที่ตามปกติทุกวัน แต่ฉันรู้สึกท้อแท้ และถึงกับอยากจะหนีไปจากสภาพแวดล้อมนี้
ในขณะที่ฉันใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ไม่ถูกต้อง ของความท้อแท้และการต้านทานนี้ วันหนึ่งฉันได้ดูวิดีโอคำพยาน ซึ่งมีพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ประทับใจฉันอย่างลึกซึ้ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ปัญหาของผู้คนที่คิดอยู่เสมอว่าตนโชคไม่ดีนั้นคืออะไร? พวกเขาใช้โชคเป็นมาตรฐานในการประเมินว่าการกระทำของตนถูกหรือผิด และชั่งใจว่าตนควรเลือกใช้เส้นทางใด สิ่งใดที่ตนควรมีประสบการณ์ด้วย และปัญหาใดที่ตนควรเผชิญ นั่นถูกหรือผิด? (ผิด) พวกเขาขยายความสิ่งที่ไม่ดีว่าเป็นโชคร้าย และสิ่งที่ดีว่าเป็นโชคดีหรือเป็นประโยชน์ มุมมองเช่นนี้ถูกหรือผิด? (ผิด) การประเมินสิ่งต่างๆ ตามมุมมองแบบนี้ย่อมไม่ถูกต้อง เป็นวิธีการและมาตรฐานที่สุดโต่งและไม่ถูกต้องในการประเมินสิ่งต่างๆ วิธีการแบบนี้มักจะชักพาให้ผู้คนจมอยู่ในความหดหู่ และมักจะทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกว่าไม่เคยมีอะไรได้ดังใจ และไม่เคยได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ซึ่งในที่สุดก็พาให้พวกเขารู้สึกวิตกกังวล หงุดหงิด และไม่สบายใจอย่างต่อเนื่อง เมื่อภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข ผู้คนเหล่านี้ย่อมจมอยู่ในความหดหู่และรู้สึกตลอดเวลาว่าพระเจ้าไม่โปรดปรานตน พวกเขาคิดว่าพระเจ้าทรงใช้พระคุณกับผู้อื่น แต่ไม่ทรงใช้กับตน และพระเจ้าก็ทรงดูแลผู้อื่น แต่ไม่ทรงดูแลตน ‘ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่สบายใจและวิตกกังวลอยู่เสมอ? ทำไมถึงเกิดเรื่องไม่ดีกับฉันอยู่เรื่อย? ทำไมถึงไม่เคยเกิดเรื่องดีๆ กับฉันบ้าง? ฉันขอแค่ครั้งเดียวก็พอ!’ เมื่อเจ้ามองสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีคิดและมุมมองผิดๆ แบบนี้ เจ้าย่อมจะติดอยู่ในกับดักเรื่องโชคดีและโชคไม่ดี เมื่อเจ้าติดอยู่ในกับดักนี้อย่างต่อเนื่อง เจ้าก็จะรู้สึกหดหู่อยู่ตลอดเวลา ท่ามกลางความหดหู่นี้ เจ้าย่อมจะอ่อนไหวเป็นพิเศษว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเจ้านั้นเป็นเรื่องโชคดีหรือว่าโชคไม่ดี เมื่อเป็นดังนี้ก็ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่ามุมมองและแนวคิดเรื่องโชคดีและไม่ดีนี้ได้ควบคุมเจ้าเอาไว้แล้ว เมื่อเจ้าถูกมุมมองแบบนี้ควบคุมเอาไว้ ทัศนะและท่าทีที่เจ้ามีต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายย่อมไม่อยู่ในขอบเขตของมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นความสุดโต่งแบบหนึ่งไปแล้ว เมื่อเจ้าตกอยู่ในความสุดโต่งนี้ เจ้าจะไม่หลุดออกมาจากความหดหู่ของเจ้า เจ้าจะรู้สึกหดหู่อยู่เรื่อยๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า และต่อให้เวลาปกติเจ้าไม่รู้สึกหดหู่ก็ตาม แต่ทันทีที่บางสิ่งเกิดผิดพลาด ทันทีที่เจ้ารู้สึกว่าได้เกิดเรื่องโชคร้ายบางอย่างขึ้น เจ้าก็จะจมลงสู่ความหดหู่ในทันที ความหดหู่นี้จะส่งผลต่อดุลพินิจและการตัดสินใจตามปกติของเจ้า และส่งผลแม้กระทั่งต่อความสุข ความโกรธ ความเศร้า และความเบิกบานของเจ้าด้วย มันจะก่อกวนและทำลายการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า รวมทั้งเจตจำนงและความปรารถนาของเจ้าที่จะติดตามพระเจ้า เมื่อสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้ถูกทำลาย ความจริงไม่กี่อย่างที่เจ้าเข้าใจย่อมจะสูญสลายไปในอากาศและไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเลย” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงสภาวะที่แท้จริงของฉัน ในทัศนะของฉัน การทำหน้าที่ได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีความลำบากยากเย็นใดๆ และทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ถือว่าเป็นโชคดี เมื่อฉันเผชิญกับปัญหาหรือความลำบากยากเย็นในหน้าที่ของตัวเอง ฉันก็รู้สึกว่าฉันโชคร้ายและไม่มีวาสนา และตกอยู่ในอารมณ์ท้อแท้ทันที ตัวอย่างเช่น เมื่อฉันมาที่คริสตจักรแห่งนี้ และเห็นว่าผู้นำทั้งสองคิดลบมากจนอยากจะลาออก อีกทั้งยังมีความลำบากยากเย็นและปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในงานของคริสตจักร ฉันไม่ได้ยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้าและไม่แสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์ หรือคิดถึงวิธีที่จะทุ่มเทพลังทั้งหมดในการแบกรับงาน แต่ฉันกลับตกอยู่ในความท้อแท้แทน คิดว่าตัวเองโชคร้ายที่ต้องเผชิญกับความลำบากยากเย็นเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่ผู้นำทั้งสองไม่สามารถทำงานได้ในเวลาต่อมา และตอนที่ฉันคิดถึงพื้นที่ที่ผู้ประกาศอีกคนกำกับดูแลอยู่ ที่ซึ่งเหล่าผู้นำและคนทำงานต่างก็อยู่ในตำแหน่งและงานก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ฉันรู้สึกอิจฉาเขาเป็นพิเศษ และคิดว่าเขาโชคดี ในขณะที่ฉันโชคร้ายและเผชิญแต่สิ่งแย่ๆ ทั้งหมดนี่ พอฉันมองสิ่งต่างๆ จากมุมมองที่ผิดนี้ ฉันก็จมอยู่ในความท้อแท้และการต้านทานเรื่อยมา ไม่มีพลังในการทำหน้าที่และถึงกับอยากจะหนีไปจากสภาพแวดล้อมนี้ แต่ในความเป็นจริง ทุกสภาพแวดล้อมที่ฉันเผชิญนั้นถูกพระเจ้าจัดวางเอาไว้ เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือให้ฉันแสวงหาความจริง พึ่งพาพระเจ้า และมีประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมนี้ในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ถึงจะมีความลำบากยากเย็น ฉันก็ควรจะยังคงอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข แบกรับหน้าที่ที่ฉันสามารถทำได้ แต่ฉันไม่เคยคิดว่าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและเข้าใจอธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์อย่างไร ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ เมื่อเผชิญกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ฉันกลับคิดว่าตัวเองโชคร้ายและไม่มีวาสนา ใช้ชีวิตอยู่ในอารมณ์ท้อแท้และต้านทานอธิปไตยของพระเจ้า แบบนี้ฉันจะเรียนรู้บทเรียนได้อย่างไร? ฉันจะเข้าใจกิจการของพระเจ้าได้อย่างไร? ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดถึงพวกคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า เวลาพวกเขาเผชิญกับสถานการณ์ พวกเขาไม่เคยยอมรับว่ามาจากพระเจ้า และไม่นบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ อีกทั้งตำหนิทุกคนยกเว้นตัวเองเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ พวกเขาใช้ชีวิตทั้งชีวิตโดยไม่รู้จักพระเจ้า ส่วนฉัน แม้ว่าฉันจะเชื่อในพระเจ้าและพูดว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง แต่ฉันยังคงตัดสินทุกอย่างตามมุมมองของผู้ไม่มีความเชื่อ นี่ไม่ใช่พฤติกรรมของผู้ไม่เชื่อตัวจริงหรอกหรือ?
ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมที่กล่าวว่า “ผู้คนเหล่านี้เป็นห่วงอยู่เสมอว่าตนโชคดีหรือไม่ดี—วิธีที่พวกเขาใช้มองสิ่งทั้งหลายนี้ถูกต้องหรือไม่? โชคดีหรือโชคร้ายมีจริงหรือไม่? (ไม่) ใช้หลักการอะไรมากล่าวว่าไม่มีจริง? (ผู้คนที่พวกเราพบเจอและสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเราทุกวันนั้นมีอธิปไตยและการจัดเตรียมการของพระเจ้าเป็นเครื่องกำหนด ไม่มีสิ่งที่เป็นโชคดีหรือโชคไม่ดีดังกล่าว ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากความจำเป็นและมีความหมายอยู่เบื้องหลัง) ที่กล่าวมานั้นถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) ทัศนะเช่นนี้ถูกต้อง และนี่ก็คือพื้นฐานทางทฤษฎีของการกล่าวว่าเรื่องโชคไม่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า จะดีหรือไม่ดีก็ตาม ล้วนเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนสภาพอากาศที่มีอยู่สี่ฤดูนั่นเอง—เป็นไปไม่ได้ที่แดดจะออกทุกวัน เจ้าไม่อาจกล่าวได้ว่าวันที่แดดออกนั้นพระเจ้าทรงจัดเตรียมการไว้ให้ ส่วนวันที่มีเมฆ ฝน ลม และพายุนั้นไม่ได้ถูกจัดเตรียมการโดยพระเจ้า ทุกสิ่งถูกกำหนดโดยอธิปไตยและการจัดเตรียมการของพระเจ้า และเกิดจากสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ สภาพแวดล้อมตามธรรมชาตินี้กำเนิดขึ้นตามธรรมบัญญัติและกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงจัดแจงบัญญัติไว้ ทั้งหมดนี้จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้น ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นเช่นไร ก็ล้วนถือกำเนิดและเกิดขึ้นตามกฎธรรมชาติ ไม่มีสิ่งใดดีหรือไม่ดี—มีแต่ความรู้สึกที่ผู้คนมีต่อเรื่องนี้เท่านั้นที่ดีหรือไม่ดี… ข้อเท็จจริงก็คือ การที่คนคนหนึ่งรู้สึกดีหรือไม่ดีต่อบางสิ่งบางอย่างนั้นเป็นไปตามแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัว ความอยากได้อยากมี และความสนใจส่วนตนของพวกเขา ไม่ได้เป็นไปตามแก่นแท้ของสิ่งนั้นๆ ดังนั้น พื้นฐานที่ผู้คนใช้วัดว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดีจึงไม่ถูกต้องแม่นยำ ด้วยเหตุที่หลักการพื้นฐานไม่ถูกต้อง บทสรุปสุดท้ายที่พวกเขาได้มาจึงพลอยไม่ถูกต้องไปด้วย กลับมาที่หัวข้อเรื่องโชคดีและโชคไม่ดี คราวนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าคำกล่าวเรื่องโชคนี้ฟังไม่ขึ้น และไม่ใช่ทั้งเรื่องดีและไม่ดี ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าพบเจอ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ล้วนมีอธิปไตยและการจัดเตรียมการของพระเจ้าเป็นเครื่องกำหนด ดังนั้นเจ้าก็ควรเผชิญหน้าสิ่งเหล่านั้นอย่างถูกต้องเหมาะสม จงยอมรับสิ่งที่ดีจากพระเจ้า และยอมรับสิ่งที่ไม่ดีจากพระเจ้าเช่นกัน จงอย่าพูดว่าเจ้าโชคดีเวลาที่เกิดเรื่องดีๆ และอย่าพูดว่าเจ้าโชคไม่ดีเวลาที่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น สามารถกล่าวได้แต่เพียงว่าทั้งหมดนี้มีบทเรียนให้ผู้คนเรียนรู้ และพวกเขาก็ไม่ควรปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ จงขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องขอบคุณพระเจ้าเช่นกันสำหรับสิ่งที่ไม่ดี เพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมการทุกสิ่ง ผู้คน เหตุการณ์ สภาพแวดล้อม และสิ่งทั้งหลายที่ดีงามต่างให้บทเรียนที่พวกเขาควรเรียนรู้เอาไว้ แต่ก็ยังมีอะไรให้เรียนรู้มากกว่านั้นจากผู้คน เหตุการณ์ สภาพแวดล้อม และสิ่งทั้งหลายที่ไม่ดี ทั้งหมดนี้คือประสบการณ์และเหตุการณ์ที่ควรเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนเรา ผู้คนไม่ควรใช้แนวคิดเรื่องโชคมาประเมินสิ่งเหล่านี้” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) “ถ้าเจ้าเลิกคิดว่าตัวเองโชคดีหรือโชคไม่ดีเพียงใด และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้อย่างสงบนิ่งและถูกต้อง เจ้าก็จะพบว่าส่วนใหญ่แล้วสิ่งต่างๆ ไม่ได้แย่หรือยากที่จะจัดการขนาดนั้น เมื่อเจ้าปล่อยมือจากความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของเจ้า เมื่อเจ้าเลิกปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงเคราะห์ร้ายใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นกับเจ้า และเจ้าเลิกใช้ความโชคดีหรือโชคไม่ดีของเจ้ามาประเมินสิ่งทั้งหลายดังกล่าว คราวนี้เจ้าจะมองเห็นสิ่งต่างๆ มากมายที่เจ้าเคยมองว่าเป็นเคราะห์ร้ายและไม่ดีว่าเป็นเรื่องดี—เรื่องไม่ดีทั้งหลายจะกลายเป็นเรื่องดี วิธีคิดและวิธีมองสิ่งทั้งหลายของเจ้าจะเปลี่ยนไป ซึ่งจะทำให้เจ้าสามารถรู้สึกกับประสบการณ์ชีวิตของเจ้าในทางที่แตกต่างออกไป และพร้อมกันนั้นก็ทำให้เจ้าสามารถเก็บเกี่ยวรางวัลที่ต่างออกไปได้ด้วย นี่คือประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดา เป็นประสบการณ์ที่นำรางวัลที่เจ้านึกไม่ถึงมาให้ นี่เป็นเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องไม่ดี” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) พระวจนะของพระเจ้าให้ความรู้แจ้งแก่ฉัน ความจริงแล้ว ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโชคดีหรือโชคร้าย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน ไม่ว่าภายนอกแล้วจะสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของฉันหรือไม่ก็ตาม ล้วนถูกพระเจ้าจัดวางเรียบเรียงไว้แล้ว และจะต้องเกิดขึ้น อีกทั้งยังเป็นประสบการณ์ที่จำเป็นในชีวิตของฉันด้วย พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสิ่งเหล่านี้เพื่อสอนบทเรียนให้ฉัน ตราบใดที่ฉันมุ่งเน้นการแสวงหาความจริง ฉันก็จะได้ประโยชน์บางอย่าง สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับผู้คน สามารถกลายเป็นสิ่งดีได้ ตัวอย่างเช่น ตอนที่โยบเผชิญกับการทดลองของซาตาน เขาสูญเสียทรัพย์สมบัติอันมากมาย ลูกๆ ของเขาถูกทับจนตาย และตัวเขาเองเต็มไปด้วยฝีร้าย จากมุมมองของมนุษย์ เหตุการณ์ต่างๆ ที่โยบเผชิญอย่างต่อเนื่องดูเหมือนโชคร้ายและไม่มีวาสนาอย่างมาก แต่จากมุมมองของพระเจ้า พระองค์ทรงอนุญาตให้โยบเผชิญการทดลองเหล่านี้ เพื่อให้เขามีโอกาสเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า เพื่อพิสูจน์ให้ซาตานเห็นว่าโยบเป็นคนชอบธรรมที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ซึ่งทำให้ซาตานไม่สามารถกล่าวหาหรือโจมตีเขาต่อไปได้ ด้วยความเชื่อและความยำเกรงต่อพระเจ้า โยบตั้งมั่นในคำพยานของเขาระหว่างบททดสอบเหล่านี้ และได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างยิ่ง! ผ่านประสบการณ์ของโยบ เราจะเห็นได้ว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโชคดีหรือโชคร้าย และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะอธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า ซึ่งออกแบบมาเพื่อสอนบทเรียนต่างๆ ให้เราในท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย แต่ทว่า ฉันกลับไม่ยอมรับอธิปไตยของพระเจ้า และวัดทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันไปตามโชคอยู่เสมอ นี่เป็นเพราะว่าฉันให้ความสำคัญกับเนื้อหนังมากเกินไป อยากทำหน้าที่ให้ราบรื่นอยู่ตลอดโดยไม่ให้เนื้อหนังต้องทนทุกข์ ตราบใดที่เป็นประโยชน์ต่อเนื้อหนังและฉันไม่ต้องทนทุกข์ ฉันก็รู้สึกว่าฉันโชคดี ในทางกลับกัน หากฉันเผชิญกับความลำบากยากเย็นกับปัญหา และต้องทนทุกข์กับยอมลำบาก ฉันรู้สึกว่าฉันโชคร้ายและมักพร่ำบ่นอยู่ในใจ ทัศนะของฉันในการตัดสินสิ่งต่างๆ บิดเบี้ยวไปมาก! ความลำบากยากเย็นและปัญหาที่ฉันเผชิญอยู่อย่างต่อเนื่องในตอนนี้ ดูเผินๆ แล้วเหมือนจะไม่เอื้ออำนวย แต่พระเจ้าทรงใช้ความลำบากยากเย็นเหล่านี้เพื่อสอนให้ฉันพึ่งพาพระองค์ แสวงหาความจริง ขัดขืนเนื้อหนัง และเรียนรู้บทเรียนบางอย่าง เมื่อก่อน เวลาฉันทำหน้าที่ของฉันในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบาย และเพียงแค่ทำตามกิจวัตรเดิมๆ ทุกวัน ดูเผินๆ แล้วเหมือนจะง่าย แต่ฉันได้รับประโยชน์น้อยมาก ฉันไม่เข้าใจหลักธรรมความจริงหลายอย่าง และการเติบโตทางชีวิตของฉันก็ช้า แต่ตอนนี้ สภาพแวดล้อมในปัจจุบันกลับเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของฉัน เมื่อเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้ว ฉันก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก ไม่จมอยู่ในความท้อแท้และการต้านทานอีกต่อไป ฉันเต็มใจที่จะนบนอบต่อสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดวางไว้ให้ฉัน และมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง หลังจากนั้น ฉันเริ่มทำหน้าที่ของฉันอย่างเอาจริงเอาจัง ดำเนินงานตามข้อพึงประสงค์ของพระนิเวศของพระเจ้า หลังจากช่วงระยะเวลาหนึ่ง งานบางส่วนของคริสตจักรก็เริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ฉันเริ่มคุ้นเคยกับบุคลากรและงานในหลายส่วนมากขึ้น และฉันเข้าใจหลักธรรมของการทำงานดีกว่าแต่ก่อน ทำให้ได้รับความมั่นใจขึ้นมาบ้าง เป็นตอนนั้นเองที่ฉันได้มีประสบการณ์โดยตรงกับความใส่พระทัยของพระเจ้าในการจัดวางสภาพแวดล้อมเหล่านี้ ฉันได้เห็นว่าเมื่อฉันไม่ตัดสินผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายรอบตัวจากมุมมองของโชคดีหรือโชคร้าย และยอมรับทุกอย่างจากพระเจ้าและแสวงหาความจริง ฉันก็ไม่รู้สึกเหนื่อยกับหน้าที่ของฉัน กลับกัน ฉันรู้สึกอิ่มเอมใจและสงบสุขแทน
หลังจากการชุมนุมหนึ่ง ผู้นำได้จัดแจงให้ฉันไปจัดการบางอย่างที่คริสตจักรแห่งหนึ่ง เดิมทีฉันวางแผนจะทำให้เสร็จภายในวันเดียว แล้วจากนั้นก็ไปที่คริสตจักรอีกแห่งเพื่อดำเนินงาน แต่ไม่นึกว่าเมื่อฉันมาถึงที่คริสตจักรแห่งนี้ ผู้ดูแลคริสตจักรบอกฉันอย่างกระวนกระวายว่า “เกิดเรื่องขึ้นแล้ว พี่น้องชายหญิงหลายคนถูกจับไปเมื่อวานนี้” หลังจากฟังเรื่องราวของเขา ฉันก็ได้รู้ว่าคนที่ถูกจับเกือบทั้งหมดเป็นผู้นำและคนทำงาน ซึ่งนั่นหมายความว่าตอนนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดำเนินงานของคริสตจักรให้ได้ตามปกติ ผู้นำคริสตจักรก็ต้องซ่อนตัวเช่นกัน เพราะพวกเขาติดต่อกับผู้คนเหล่านั้นและไม่สามารถออกไปทำหน้าที่ได้ หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็ได้รับจดหมายจากผู้นำระดับสูง สั่งให้ฉันอยู่ที่คริสตจักรนี้ชั่วคราว เพื่อจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากการจับกุม ตอนแรก ฉันสามารถยอมรับสิ่งนี้จากพระเจ้าและนบนอบได้ ในเวลานั้น มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยมากมายสำหรับครอบครัวเจ้าบ้านและพี่น้องหลายชายหญิงคน และมีงานของคริสตจักรหลายอย่างที่ต้องจัดการ ฉันยุ่งตลอดทั้งวัน และเมื่อกลับถึงบ้านของเจ้าบ้านในตอนกลางคืน ฉันก็ต้องตอบจดหมายจากคริสตจักรอื่น ฉันต้องนอนดึกเกือบทุกคืน สภาพแวดล้อมก็เลวร้าย และแทบทุกวัน ฉันได้รับจดหมายที่แจ้งว่าพี่น้องชายหญิงหลายคนถูกจับกุมเพิ่มเติม ทุกครั้งที่ฉันออกไปข้างนอก หัวใจของฉันก็สั่นระทึก ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะกลับมาอย่างปลอดภัยหรือไม่ เวลาผ่านไปสักพัก และฉันก็รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ เมื่อเห็นว่าผู้นำสองคนรอบตัวฉันเพียงแค่ตอบจดหมายและทำงานบางอย่างที่บ้าน ในขณะที่ฉันต้องออกไปวิ่งเต้นตลอดเวลา เหมือนลูกข่างที่หมุนอยู่ไม่หยุด มีงานมากมายที่ต้องทำจนมีเวลาไม่พอ และความเครียดของฉันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฉันคิดกับตัวเองว่า “หน้าที่ที่พวกเขาทำนั้นง่ายมาก พวกเขาไม่ต้องกังวลหรือวิ่งวุ่นไปมา ไม่เหมือนกับฉันที่ไม่มีโอกาสได้พักผ่อนเลย ทำไมฉันถึงต้องมาพัวพันกับการจับกุมในคริสตจักรอยู่ตลอดด้วยนะ? ฉันช่างโชคร้ายจริงๆ! ทำไมเรื่องพวกนี้ถึงเกิดขึ้นกับฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า?” แม้ว่าฉันจะไม่กล้าบ่นออกมาอย่างเปิดเผย แต่ในใจลึกๆ ฉันรู้สึกต้านทานมาก และจำใจรับและไม่เต็มใจอยู่เสมอเมื่อทำหน้าที่ ในขณะที่ฉันจมอยู่ในสภาวะที่ผิดนี้ ฉันอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกถึงประสบการณ์ในอดีตของฉัน แล้วก็เริ่มรู้สึกอย่างคลุมเครือว่า พระเจ้าทรงจัดวางสภาพแวดล้อมนี้ไว้เพื่อให้ฉันได้เรียนรู้บทเรียน ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า ตอนที่สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยังคงมองสิ่งเหล่านั้นจากมุมมองของโชคดีหรือโชคร้ายโดยไม่รู้ตัว และยังรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะข้าพระองค์โชคร้ายและไม่มีวาสนา ข้าพระองค์ไม่สามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ได้อย่างแท้จริง ข้าแต่พระเจ้า โปรดให้ความรู้แจ้งและทรงชี้นำข้าพระองค์เพื่อให้ได้เรียนรู้ที่จะมีประสบการณ์ในสภาพแวดล้อมนี้ด้วยเถิด”
หลังจากนั้น ฉันตั้งใจค้นหาพระวจนะของพระเจ้าเพื่ออ่าน ต้องการที่จะเข้าใจว่าการไล่ตามเสาะหาโชคดีอยู่เสมอนั้นผิดอย่างไรกันแน่ ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนนี้ที่ว่า “ผู้คนที่ใช้โชคมาประเมินว่าสิ่งต่างๆ ดีหรือไม่ดีนั้นมีความคิดและมุมมองว่าอย่างไร? แก่นแท้ของผู้คนแบบนี้เป็นเช่นไร? เหตุใดพวกเขาจึงสนใจเรื่องโชคดีและโชคไม่ดีมากขนาดนั้น? ผู้คนที่มุ่งสนใจเรื่องโชคเป็นอย่างมากนั้นหวังให้ตนโชคดีหรือหวังให้ตนโชคไม่ดี? (พวกเขาหวังให้ตนโชคดี) ถูกต้อง อันที่จริง พวกเขาไล่ตามโชคดีและไขว่คว้าให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับตน และพวกเขาก็เพียงแต่ฉวยโอกาสหาประโยชน์จากสิ่งดีๆ เหล่านั้น พวกเขาไม่ได้ใส่ใจว่าผู้อื่นทนทุกข์เพียงใด หรือผู้อื่นต้องสู้ทนความทุกข์ยากหรือความยากลำบากเพียงใด พวกเขาไม่อยากให้สิ่งที่พวกเขาเข้าใจว่าเป็นความโชคร้ายเกิดขึ้นกับตน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาไม่อยากให้สิ่งไม่ดีใดๆ เกิดขึ้นกับตน ซึ่งก็คือ ไม่มีความติดขัด ไม่มีความล้มเหลวหรือเรื่องน่าอับอาย ไม่มีการถูกตัดแต่ง ไม่สูญเสียอะไร ไม่มีการพลั้งพลาด และไม่ถูกหลอกลวง ถ้ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น พวกเขาย่อมถือว่าเป็นโชคไม่ดี ไม่ว่าใครจัดเตรียมไว้ให้ก็ตาม ถ้ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น นั่นก็คือโชคไม่ดี พวกเขาหวังให้สิ่งดีๆ ทั้งปวงเกิดขึ้นกับตน—ตั้งแต่การได้เลื่อนตำแหน่ง การโดดเด่นเหนือฝูงชน การได้ประโยชน์บนความลำบากของผู้อื่น ไปจนถึงการได้ผลประโยชน์จากบางสิ่งบางอย่าง การทำเงินได้มากๆ หรือการกลายเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง—และพวกเขาคิดว่านั่นคือความโชคดี พวกเขาใช้เรื่องโชคมาประเมินผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ตนพบเจออยู่เสมอ พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าโชคดี ไม่ใช่โชคไม่ดี ทันทีที่มีอะไรผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว พวกเขาก็โกรธ หงุดหงิด และไม่พอใจ กล่าวตามตรงก็คือ ผู้คนจำพวกนี้เห็นแก่ตัว พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าประโยชน์ของตนบนความลำบากของผู้อื่น แสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด และโดดเด่นเหนือฝูงชน พวกเขาจะพอใจถ้าเรื่องดีๆ ทุกเรื่องเกิดขึ้นกับตนเพียงคนเดียว นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา เป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันรู้สึกละอายใจอย่างมาก ปรากฏว่าการที่ฉันไล่ตามเสาะหาโชคดีและหลบเลี่ยงความลำบากยากเย็นหรือความทุกข์ยากอยู่ร่ำไป แท้จริงแล้วมาจากธรรมชาติที่เห็นแก่ตัวของฉันเอง ฉันยึดมั่นในปรัชญาของโลกที่ว่า “ได้ประโยชน์โดยไม่ต้องสูญเสียอะไร” โดยมักจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตัวเองก่อนเสมอ ฉันมักต้องการให้สิ่งดีๆ ทั้งหมดเกิดขึ้นกับฉัน ให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีโดยไม่ต้องสู้ทนกับความยากลำบากใดๆ นั่นเป็นสิ่งที่จะทำให้ฉันมีความสุข แต่พอฉันเผชิญกับอุปสรรคหรือความลำบากยากเย็น ที่กระทบต่อผลประโยชน์ทางเนื้อหนังและทำให้ฉันต้องทนทุกข์ ฉันก็เริ่มบ่นและรู้สึกรำคาญใจ เสียสมดุลไปโดยสิ้นเชิง ก่อนที่ฉันจะเชื่อในพระเจ้า เวลาฉันเห็นเพื่อนร่วมงานที่มาจากพื้นเพดี มีคนในครอบครัวที่มีการงานมั่นคงและมีบ้านสวยๆ ขณะที่ฉันต้องใช้ชีวิตอย่างยากจนและไม่มีแม้แต่บ้านเป็นของตัวเอง และคนในครอบครัวที่บ้านก็ว่างงานและต้องให้ฉันคอยดูแล ฉันรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก คิดว่าเป็นโชคร้ายของฉันที่มีครอบครัวแบบนี้ ฉันอิจฉาและริษยาเพื่อนร่วมงานของฉันเป็นพิเศษ ฉันรู้สึกอยู่ตลอดว่าเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับคนอื่นเท่านั้น และฉันเป็นคนที่โชคร้าย เมื่อคิดทบทวนถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา ตอนที่คริสตจักรทั้งสองแห่งที่ฉันรับผิดชอบเผชิญกับการจับกุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งทำให้ฉันต้องทนทุกข์และยอมลำบาก และกระทบต่อผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของฉัน แล้วฉันก็เริ่มบ่นให้กับทุกอย่าง และโยนความผิดให้ความโชคร้ายและความไม่มีวาสนาของฉัน ไม่เพียงแค่ฉันไม่คิดจะทำหน้าที่ของฉันให้ดีอย่างจริงจัง แต่ฉันยังเกิดความท้อแท้และการต้านทาน พร่ำบ่นว่าพระเจ้าจัดวางสภาพแวดล้อมแบบนี้ให้กับฉันอยู่เรื่อย การไล่ตามเสาะหาความโชคดีของฉัน โดยเนื้อแท้แล้วก็เพื่อสนองผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของฉัน ฉันปรารถนาให้ทุกสิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับฉัน และต้องการได้ประโยชน์จากการสละตนของผู้อื่นอยู่เสมอ สำหรับงานที่ต้องเสี่ยงและทนทุกข์ ฉันคิดว่าคนอื่นควรจะรับไปทำทั้งหมด ตราบใดที่ฉันสามารถอยู่ได้อย่างสบายและเนื้อหนังของฉันได้รับประโยชน์ ฉันก็พอใจ ฉันช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน! ดูผิวเผิน ก็เหมือนว่าฉันทำหน้าที่ของฉันในพระนิเวศของพระเจ้า แต่หัวใจของฉันกลับคิดถึงผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของตัวเอง มากกว่างานของคริสตจักรและเจตนารมณ์อันกระตือรือร้นของพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงสำหรับพระเจ้า และการทำหน้าที่ของฉันในหนทางนี้ สุดท้ายแล้วฉันจะไม่ได้รับการเห็นชอบจากพระองค์
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมที่กล่าวว่า “การออกจากความหดหู่นี้ง่ายหรือไม่? ที่จริงแล้วเป็นเรื่องง่าย เพียงปล่อยมือจากมุมมองที่ผิดของเจ้า ไม่คาดหวังให้ทุกสิ่งดำเนินไปด้วยดี หรือเป็นอย่างที่เจ้าต้องการโดยแท้ หรือราบรื่น จงอย่ากลัว ต้านทาน หรือปฏิเสธสิ่งที่ผิดพลาด แต่จงปล่อยมือจากการต้านทานของเจ้า สงบใจ และมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยท่าทีที่นบนอบ และยอมรับทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมการไว้ให้ จงอย่าไล่ตามไขว่คว้าสิ่งที่เรียกกันว่า ‘โชคดี’ และอย่าปฏิเสธสิ่งที่เรียกกันว่า ‘โชคไม่ดี’ จงมอบหัวใจและตัวตนทั้งหมดของเจ้าแด่พระเจ้า ยอมให้พระองค์เป็นผู้ลงมือทำและจัดวางเรียบเรียง และจงนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมการของพระองค์ พระเจ้าจะประทานสิ่งที่เจ้าต้องการในสัดส่วนที่เหมาะสมเมื่อเจ้าจำเป็นต้องใช้สิ่งนั้น พระองค์จะทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพแวดล้อม ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าต้องการ ตามความต้องการและความขาดแคลนของเจ้า เพื่อให้เจ้าสามารถเรียนรู้บทเรียนที่เจ้าพึงเรียนรู้จากผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าพบเจอ แน่นอนว่าเงื่อนไขเบื้องต้นของทั้งหมดนี้ก็คือเจ้าต้องมีวิธีคิดที่นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมการของพระเจ้า ดังนั้นจงอย่าไล่ตามความสมบูรณ์แบบ อย่าปฏิเสธหรือกลัวการเกิดขึ้นของสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา น่าอับอาย หรือไม่น่าพอใจ และจงอย่าใช้ความหดหู่ของเจ้ามาต้านทานการเกิดขึ้นของสิ่งไม่ดีทั้งหลายภายในใจ” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ สภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดวางให้ฉันล้วนดีทั้งสิ้น และล้วนถูกออกแบบมาเพื่อสอนบทเรียนให้ฉัน ฉันไม่ควรไล่ตามเสาะหาสิ่งที่เรียกว่าความโชคดีนี้ และไม่ควรอยากทำหน้าที่ในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายอยู่ตลอดอีกแล้ว การทำเช่นนั้นต่อไปมีแต่จะนำไปสู่การทำงานที่ไร้ผลเท่านั้น ฉันควรเรียนรู้ที่จะนบนอบสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดวางไว้แทน และไม่ว่าจะเอื้ออำนวยหรือไม่ ฉันควรแสวงหาความจริงจากสิ่งเหล่านั้น โดยมุ่งเน้นการคิดทบทวนถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ฉันเผยออกมา และเป็นกบฏต่อเนื้อหนัง พร้อมทั้งกระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า ตอนนี้พี่น้องชายหญิงหลายคนถูกจับ ผู้นำคริสตจักรทั้งสองมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย และมีงานบางอย่างที่ไม่สามารถทำได้ ในฐานะผู้นำ ฉันควรลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของฉันในช่วงเวลาวิกฤตนี้ แม้ว่าการจัดการงานของคริสตจักรจะเป็นเรื่องยากและต้องทนทุกข์ทางเนื้อหนังบ้าง ตราบใดที่เป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักร ฉันก็ควรให้ความร่วมมืออย่างดีที่สุด เมื่อเข้าใจได้อย่างนี้แล้ว ฉันก็ไม่ใช้ชีวิตอยู่ในความคิดลบอีกต่อไป และเข้าใจจากหัวใจว่านี่คือหน้าที่ของฉัน เป็นความรับผิดชอบที่ฉันพึงลุล่วง หลังจากนั้น ขณะที่ฉันทำหน้าที่ ฉันได้สามัคคีธรรมอย่างกระตือรือร้นเพื่อแก้ไขปัญหาหรือความเบี่ยงเบนต่างๆ ในงานของคริสตจักร หากฉันเจอปัญหาที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ฉันก็นำมาปรึกษากับผู้นำทั้งสอง เพื่อให้พวกเขาจับความเข้าใจอย่างรวดเร็ว และจากนั้นเราก็จะแสวงหาหลักธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ด้วยการปฏิบัติในหนทางนี้ แม้ว่าฉันจะยุ่งทุกวัน แต่ตราบใดที่ฉันจัดแจงสิ่งทั้งหลายอย่างมีเหตุผล ฉันก็สามารถจัดการได้และไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องลำบากยากเย็นหรือทนไม่ไหว
วันหนึ่ง ผู้นำระดับสูงส่งจดหมายมาขอให้พวกเราจัดเตรียมเอกสารเกี่ยวกับการชำระให้สะอาดและการขับไล่อย่างรวดเร็ว โดยเน้นย้ำว่าเป็นเรื่องค่อนข้างเร่งด่วน และจำเป็นต้องให้คนที่ไม่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเป็นผู้รวบรวมและจัดการ เมื่ออ่านจดหมายนี้ ฉันรู้ว่าฉันเหมาะสมที่สุดที่จะทำ แต่เมื่อคิดว่าฉันต้องยืนยันกับพี่น้องหลายคน และคงจะต้องวิ่งไปมาทุกวัน ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดแบบเดิมๆ ว่า “เฮ้อ ผู้นำขอมาอย่างชัดเจนว่าให้คนที่ไม่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทำ ต่อให้อยากเลี่ยงฉันก็คงจะเลี่ยงไม่ได้ ต้องเร่งรีบกลับไปกลับมาแบบนี้ ใครจะรู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนในการรวบรวมและยืนยันเอกสารเหล่านี้” ฉันรู้สึกว่าฉันโชคร้าย เมื่อฉันมีความคิดนี้ ฉันก็จำได้ถึงพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวไว้ว่า “จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าคำนึงถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ และอย่าได้คำนึงถึงความภาคภูมิใจ ความมีหน้ามีตา และสถานะของตัวเจ้าเอง ก่อนอื่นเจ้าต้องคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นอันดับแรก เจ้าควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่ามีสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์อยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไม่ เจ้าจงรักภักดี ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และทุ่มเททั้งหมดที่เจ้ามีหรือยัง รวมทั้งเจ้าได้คำนึงถึงหน้าที่ของเจ้าและงานของคริสตจักรด้วยหัวใจทั้งดวงหรือไม่ เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น) พระวจนะของพระเจ้าทำให้จิตใจของฉันแจ่มใส ไม่ว่าฉันจะเผชิญกับหน้าที่ใด ก็ล้วนมีเจตนารมณ์ของพระเจ้าอยู่ในนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากงานนี้มีความสำคัญมาก โอกาสที่จะได้ทำงานนี้ เป็นการยกชูจากพระเจ้าไม่ใช่หรือ? แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหน้าที่ สิ่งแรกที่ฉันคำนึงถึงคือเนื้อหนังของฉันต้องทนทุกข์อีกครั้ง และฉันก็คิดว่าฉันโชคร้าย ฉันช่างเห็นแก่ตัวเกินไปจริงๆ! ฉันควรให้ความสำคัญกับงานของคริสตจักร แทนที่จะคิดถึงความลำบากยากเย็นทางเนื้อหนังก่อน และทำให้ดีที่สุดเพื่อพึ่งพาพระเจ้าและร่วมมือ เมื่อตระหนักได้อย่างนี้แล้ว ฉันจึงไม่ต้านทานหน้าที่นี้อย่างมากอีกต่อไป และได้ปรึกษากับผู้นำคริสตจักรถึงวิธีหาคนมายืนยันเอกสาร ในระหว่างกระบวนการยืนยัน ฉันเผชิญกับความลำบากยากเย็นบางอย่าง แต่ฉันก็ยอมรับสิ่งเหล่านั้นจากพระเจ้าและไม่พร่ำบ่นอีกต่อไป ขณะเดียวกัน ฉันก็ได้ทบทวนถึงความเบี่ยงเบนต่างๆ และพึ่งพาพระเจ้าเพื่อร่วมมือกันต่อไป ในที่สุดเอกสารก็ถูกรวบรวมได้สำเร็จ ฉันขอบคุณพระเจ้าด้วยความจริงใจสำหรับการชี้นำของพระองค์!
ผ่านประสบการณ์นี้ ฉันได้เข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับทัศนะที่ผิดพลาดในการไล่ตามเสาะหาความโชคดี และเห็นว่ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจอยู่เบื้องหลังการไล่ตามเสาะหานี้ ความจริงแล้ว สภาพแวดล้อมทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดวางไว้ให้ฉัน ไม่ว่าฉันจะมองว่าดีหรือร้าย ก็ล้วนจัดวางไว้ตามวุฒิภาวะและสิ่งที่จำเป็นต่อฉัน สิ่งเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ฉันแสวงหาความจริง และตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง และเรียนรู้บทเรียนจากสภาพแวดล้อมเหล่านี้ มีทั้งพระปัญญาและเจตนารมณ์อันอุตสาหะของพระเจ้าอยู่ในนั้น ในภายภาคหน้า ฉันไม่อยากตัดสินผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ฉันพบเจอจากทัศนะที่ขึ้นอยู่กับโชคอีกต่อไป ฉันอยากเรียนรู้ที่จะนบนอบสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดวางและมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ซู่เจี๋ย, ประเทศจีน เมื่อตุลาคมที่ผ่านมา คริสตจักรมอบหมายให้ฉันดูแลทีมออกแบบกราฟิก โดยร่วมกับหวางหลี่...
โดย หมิน รุย, ประเทศจีน ฉันเข้ารับตำแหน่งผู้นำในปี 2009 เมื่อไรที่ ผู้นำของฉันมาเพื่อจัดการชุมนุม...
โดย หย่งจื้อ เกาหลี เดือนมีนาฯที่แล้ว ผมรับผิดชอบงานวิดีโอของคริสตจักร ผมไม่เข้าใจหลักธรรมหลายอย่างเพราะยังใหม่อยู่ ผมเลยกังวลอยู่ทุกวัน...
โดย เฉินหย่วน ประเทศจีน เดือนกันยายน ปี 2018 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันมีความสุขมากเลยตอนนั้น ฉันรู้สึกว่า ที่เป็นอย่างนี้...