ฉันเกือบยืนอยู่ฝั่งศัตรูของพระคริสต์เสียแล้ว
โดย เจสสิก้า ฟิลิปปินส์ สิงหาคมปี 2021 ฉันยอมรับงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สามเดือนต่อมา...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การเข้าสู่ความจริงนั้น คนเราต้องหันทุกสิ่งไปหาชีวิตจริง หากในการเชื่อในพระเจ้า ผู้คนไม่สามารถมารู้จักตัวเองโดยผ่านทางการเข้าสู่ชีวิตจริง และหากพวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติในชีวิตจริงได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นความล้มเหลว บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าคือทุกคนที่ไม่สามารถเข้าสู่ชีวิตจริงได้ พวกเขาทั้งหมดคือผู้คนที่พูดถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่ใช้ชีวิตตามธรรมชาติของปีศาจ พวกเขาทั้งหมดคือผู้คนที่พูดถึงความจริง แต่ใช้ชีวิตตามคำสอนแทน บรรดาผู้ที่ไม่สามารถใช้ชีวิตตามความจริงในชีวิตจริงได้คือผู้ที่เชื่อในพระเจ้า แต่ถูกเกลียดชังและปฏิเสธจากพระองค์ เจ้าต้องปฏิบัติการเข้าสู่ของเจ้าในชีวิตจริง ต้องรู้ข้อบกพร่อง การไม่เชื่อฟัง และความไม่รู้เท่าทันของเจ้าเอง และรู้จักสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ผิดปกติและจุดอ่อนของเจ้า ด้วยวิธีนั้น ความรู้ของเจ้าจะถูกรวมเข้าไปในสภาพเงื่อนไขและความยากลำบากจริงๆ ของเจ้า ความรู้เช่นนี้เท่านั้นที่เป็นจริงและสามารถเปิดโอกาสให้เจ้าจับความเข้าใจสภาพเงื่อนไขของเจ้าเองและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนสภาพอุปนิสัยได้อย่างแท้จริง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเสวนาเรื่องชีวิตคริสตจักรและชีวิตจริง) “ในการไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิต คนเราต้องตรวจสอบคำพูดและความประพฤติ ความคิด และแนวคิดทั้งหลายของเราเองกับทุกเรื่องที่คนเราเผชิญในชีวิตประจำวัน และจับความเข้าใจสภาวะของคนเราเอง และหลังจากการนั้น คนเราต้องตรวจดูสภาวะเหล่านั้นโดยอิงกับความจริง แสวงหาความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งความจริงทั้งหลายที่คนเราเข้าใจ ในช่วงระหว่างครรลองของการเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งความจริงนั้น คนเราต้องจับความเข้าใจสภาวะของเราเอง และมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยๆ เพื่ออธิษฐานต่อพระองค์และอ้อนวอนพระองค์ คนเรายังต้องสามัคคีธรรมให้บ่อยกับบรรดาพี่น้องชายหญิงด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง แสวงหาเส้นทางเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งความจริง และแสวงหาหลักการทั้งหลายของความจริง ในท้ายที่สุดแล้ว คนเราก็จะมารู้ว่า อุปนิสัยใดที่คนเราเปิดเผยออกมาในชีวิตประจำวัน ว่าพระเจ้าทรงชื่นบานไปกับอุปนิสัยเหล่านั้นหรือไม่ ว่าเส้นทางที่คนเราฝึกฝนปฏิบัตินั้นถูกต้องแม่นยำหรือไม่ ว่าคนเราได้ตรวจดูสภาวะที่พบภายในตัวคนเราโดยผ่านทางการตรวจสอบตัวเองซึ่งอิงกับพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ ว่าพวกเขาได้ตรวจดูสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้องแม่นยำหรือไม่ ว่าสิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ และว่าคนเราได้สร้างผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริงและได้ทำการเข้าสู่ด้านบวกในเรื่องสภาวะทั้งหลายที่สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ เมื่อเจ้าดำรงชีวิตภายในสภาวะเหล่านี้ ภายในภาวะเหล่านี้บ่อยๆ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะค่อยๆ มามีการจับใจความพื้นฐานต่อความจริงบางอย่างและต่อสภาวะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงทั้งหลายของเจ้า” (“การรู้จักอุปนิสัยของคนเราคือรากฐานของการเปลี่ยนแปลงการนั้น” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้เราเห็นเส้นทางในการเข้าสู่ชีวิต ที่ตรวจสอบทุกๆ ความคิดและการกระทำของเรา ในทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง และจากนั้นก็ใช้มันยืนหยัดต่อการเปิดเผยของพระวจนะของพระเจ้า สะท้อนให้เห็นและรู้ถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเรา และแสวงหาการใช้ความจริงเพื่อเปิดเผยพวกมัน นี่คือหนทางเดียวในการรู้จักตัวเราเองอย่างแท้จริง และเข้าสู่ความจริงของพระวจนะของพระเจ้า
พี่ชายเฉินได้แบ่งปันหนึ่งในประสบการณ์ของเขาในการชุมนุม เมื่อ 6 เดือนก่อน เมื่อเขาพูดจบ ฉันคิดว่า เขาออกนอกลู่นอกทางในหน้าที่ของเขา และขัดต่อหลักปฏิบัติพื้นฐาน และจำเป็นต้องถูกตัดแต่งและจัดการ เขาแค่ควบคุมตัวเองโดยไม่หาข้ออ้าง และเขาก็ดูยอมนบนอบ แต่สำหรับเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงออกนอกลู่นอกทางในงานของเขา อุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดที่ควบคุมเขา หรืออะไรคือสาเหตุที่มา เขาไม่ได้สะท้อนมันออกมาจริงๆ หรือพยายามจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ และไม่พยายามแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขพวกมัน ความเชื่อฟังของเขาเป็นแค่การทำตามกฎ มันไม่สามารถเรียกได้ว่าเขายอมนบนอบอย่างแท้จริง ฉันนึกสงสัยว่า “ฉันควรจะพูดเรื่องข้อบกพร่องนี้กับเขารึเปล่า?” แต่แล้วฉันก็คิด “พี่ชายเฉินเป็นผู้เชื่อมานานกว่าฉัน และความเข้าใจและประสบการณ์ของเขาก็เหนือกว่าฉัน ถ้าฉันแนะนำบางอย่างให้เขา ฉันจะไม่เหมือนเด็กที่พยายามพูดเกินตัวหรอกหรือ? มันจะทำให้ฉันดูเย่อหยิ่งรึเปล่า? ฉันไม่พูดอะไรน่าจะดีกว่า” เมื่อเขาจบการสามัคคีธรรมของเขา เขาขอให้เราบอกข้อบกพร่องใดๆ ก็ตามที่เราสังเกตเห็นให้เขาฟัง ฉันอยากชี้ถึงปัญหาของเขา แต่ฉันพูดไม่ออกเลยค่ะ ฉันคิดว่า “เขาแก่กว่าฉันมาก ถ้าฉันพูดว่าเขาไม่ได้ยอมนบนอบอย่างแท้จริง และแค่ทำตามกฎเฉยๆ เขาจะต้องเสียหน้ามาก และฉันก็จะเป็นคนที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนั้น ถ้าเขาไม่ยอมรับและบอกว่าฉันเย่อหยิ่งและไร้ประสบการณ์เกินไป ฉันจะอายมาก ฉันไม่ได้รู้จักเขาจริงๆ และมันก็ไม่คุ้มค่า ในการทำให้เขามีความประทับใจที่ไม่ดีต่อฉัน” ฉันลังเลอยู่พักใหญ่ แล้วจากนั้นก็พูดว่า “คุณมีประสบการณ์และความเข้าใจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากค่ะ”
ฉันรู้สึกอึดอัดหลังจากที่ฉันพูดแบบนี้ไป ฉันสามารถมองเห็นปัญหาของเขาได้อย่างชัดเจน แต่ไม่ได้พูดออกมาเลยสักคำ แทนที่จะทำอย่างนั้น ฉันกลับพูดแต่เรื่องดีๆ ที่ตรงกันข้ามกับมโนธรรมของฉัน มันไม่มีความจริงใจหรือความซื่อสัตย์เลย จากนั้น ฉันก็คิดถึงการชุมนุมของเราในช่วงนั้น ที่ทุกคนแบ่งปันการสามัคคีธรรม เราควรจะพิจารณาและรู้จักตัวเองในทุกๆ วัน เพื่อให้เห็นว่า เราได้พูดคำโกหกหรือความจริงที่ถูกเจือจางมากแค่ไหน เราพูดโดยมีแรงจูงใจจากเป้าหมายส่วนตัวไปเท่าไร และสิ่งที่เราพูดหรือทำที่ขัดต่อความจริงมีอะไรบ้าง ฉันตระหนักว่า ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากโกหกพี่ชายเฉิน ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงเตือนสติเราครั้งแล้วครั้งเล่าให้ซื่อสัตย์ ให้พูดไปตามตรง พูดในสิ่งที่เป็น แต่แล้ว ฉันกลับไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดที่พื้นฐานที่สุดได้ เมื่อถึงจุดนี้ ฉันเริ่มไม่สบายใจ ฉันไม่เสียเวลาที่จะรีบไปอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพื่อขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้รู้จักตัวเอง จากนั้นฉันก็อ่านพระวจนะนี้ของพระเจ้า “พวกเจ้าล้วนมีการศึกษาดี พวกเจ้าล้วนให้ความสนใจต่อการได้รับการถลุงและการสงบเสงี่ยมเจียมตัวในวาทะของพวกเจ้า ตลอดจนต่อลักษณะที่พวกเจ้าใช้พูดจา นั่นคือ พวกเจ้ารู้กาลเทศะ และได้เรียนรู้ที่จะไม่ทำให้ผู้อื่นเสียศักดิ์ศรีและเสียความนับถือตัวเอง ในคำพูดและการกระทำทั้งหลายของเจ้า เจ้าเหลือห้องว่างให้ผู้คนได้หลอกใช้ เจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าสามารถทำได้เพื่อให้ผู้คนสบายใจ เจ้าไม่เปิดโปงรอยแผลเป็นหรือข้อบกพร่องของพวกเขา และเจ้าพยายามที่จะไม่ทำร้ายพวกเขาหรือทำให้พวกเขาตะขิดตะขวงใจ ที่กล่าวนั้นคือหลักธรรมที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ปฏิบัติตน แล้วหลักธรรมนี้เป็นประเภทใดหรือ? มันเป็นการสมคบคิด ปลิ้นปล้อน เจ้าเล่ห์และเคลือบแฝง ที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังใบหน้ายิ้มแย้มของผู้คนก็คือสิ่งมากมายที่มุ่งร้าย เคลือบแฝง และน่ารังเกียจ ตัวอย่างเช่น เมื่อกำลังมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทันทีที่เห็นว่าบุคคลอีกคนมีสถานะมากพอสมควร ผู้คนบางคนก็จะเริ่มการพูดคุยในหนทางซึ่งลื่นไหล น่าฟัง และยกยอเพื่อที่จะทำให้บุคคลอีกคนรู้สึกชูใจ ว่าแต่ว่า อันที่จริงแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขากำลังคิดอยู่หรือ? แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาเก็บงำความตั้งใจและสิ่งจูงใจแอบแฝงทั้งหลายเอาไว้ ผู้คนดังกล่าวมีความมืดในหัวใจของพวกเขา และน่ารังเกียจยิ่งนัก หนทางที่ผู้คนเช่นนั้นประพฤติปฏิบัติตนในชีวิตนั้นน่าขยะแขยงและน่าเกลียด” (“หกข้อบ่งบอกความก้าวหน้าในชีวิต” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสภาวะที่ฉันเป็นในตอนนี้อย่างแม่นยำ คำพูดของฉันไม่ได้ใกล้เคียงกับความซื่อสัตย์เลย แต่มันหลอกลวงอย่างยิ่ง ฉันพูดแบบอ้อมๆ เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ทำร้ายใคร และฉันก็เอาแต่พูดเรื่องดีๆ มองจากภายนอก มันดูเหมือนว่าฉันคิดถึงคนอื่น แต่แรงจูงใจที่แท้จริงของฉัน คือการทำให้คนอื่นพูดถึงฉันในทางที่ดี และเพื่อปกป้องเกียรติและสถานะของฉัน จากการฟังประสบการณ์ของเขา ฉันรู้ดีว่าพี่ชายเฉินยึดติดกับกฎเกณฑ์มากเกินไป และรู้ว่านี่ไม่ได้ช่วยในการเข้าสู่ชีวิตของเขาเลย แต่ฉันคิดว่าการพูดเรื่องนี้จะทำให้เขาอับอาย และทำให้เขามีความประทับใจที่ไม่ดีต่อฉัน ฉันก็เลยปิดปากเงียบเอาไว้ แม้แต่ตอนที่เขาขอคำแนะนำจากฉัน ฉันก็ไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมา แต่ฉันกลับยกยอและหลอกลวงเขาแทน ฉันช่างเหลี่ยมจัดและหลอกลวง! พี่ชายเฉินขอให้เราชี้ข้อเสียของเขา เพราะเขาต้องการชดเชยสิ่งที่ตัวเองยังขาดอยู่ และข้อบกพร่องต่างๆ ของเขา แต่ฉันไม่ได้แค่ไม่รับผิดชอบหน้าที่ในการช่วยเหลือเขาเท่านั้น ฉันยังชื่นชมเขาเพื่อหลอกลวงเขา และปิดหูปิดตาเขาอีกด้วย ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนัก ว่าฉันฟังดูดีและรู้จักกาลเทศะ และไม่มีใครขุ่นเคือง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา ฉันไม่ได้ปฏิบัติความจริง นั่นไม่ใช่การทำตัวเป็นคนดีเลยจริงๆ แต่เป็นการทำตัวเหลี่ยมจัดและหลอกลวง ฉันเคยคิดว่าฉันยังเด็กและไร้ประสบการณ์ ว่าฉันยังไม่รู้วิถีทางของโลก เมื่อถูกเปิดเผยโดยข้อเท็จจริงเท่านั้นที่ทำให้ฉันได้เห็นว่า จริงๆ แล้วฉันมีเล่ห์เหลี่ยมมาก และฉันก็เริ่มเกลียดชังตัวเอง ฉันไม่อยากเป็นคนหลอกลวงและไม่ซื่อตรงอีกต่อไป ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า อยากกลับใจ เพื่อบอกความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์อย่างที่พระองค์ทรงกำหนด
ฉันวางแผนที่จะเขียนปัญหาต่างๆ ที่ฉันพบในตัวของพี่ชายเฉินและส่งไปให้เขา แต่ระหว่างที่เขียน ฉันก็เริ่มลังเลอีกครั้ง ฉันกังวลว่า ถ้าฉันไม่เลือกใช้คำอย่างเหมาะสม เขาก็อาจจะรับมันได้ไม่ดีนัก แล้วเขาก็จะคิดว่าฉันกำลังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากฉันไม่ได้พูดถึงมันตั้งแต่ตอนนั้น ถ้าทำให้เป็นเรื่องขึ้นมาในตอนนี้ เขาจะไม่คิดว่าฉันโวยวายทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องอะไรหรอกหรือ? “บางที ครั้งนี้ฉันไม่ควรจะทำอะไร” ฉันคิด “แต่รอไว้พูดคราวหน้า” แต่ความคิดนั้นก็ทำให้ฉันไม่สบายใจอีกครั้ง พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการเหตุการณ์นี้เพื่อความเข้าใจของฉันเองโดยเฉพาะ ไม่มีอย่างอื่นอีก พระองค์ทรงหวังว่าฉันจะยอมรับพระวจนะของพระองค์และนำไปปฏิบัติ ถ้าฉันยอมแพ้เฉยๆ แล้วปล่อยผ่านไป นั่นจะไม่เป็นการโกงพระเจ้าหรอกหรือ? ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าอีกครั้งว่า “ข้าพระองค์ไม่อยากกังวลกับความหยิ่งทะนงของพี่ชายเฉิน หรือใคร่ครวญว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับข้าพระองค์อีกแล้ว ได้โปรดเถิดพระเจ้า ทรงช่วยนำให้ข้าพระองค์ได้ปฏิบัติความจริงด้วย” หลังจากนั้น ฉันได้ใคร่ครวญประสบการณ์ของพี่ชายเฉิน และผนวกมันเข้ากับพระวจนะของพระเจ้า ฉันเขียนปัญหาต่างๆ ที่ฉันสังเกตเห็น และความเข้าใจของฉันนิดหน่อยลงไป และส่งมันไปให้พี่ชายเฉิน ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมากเมื่อฉันได้ปฏิบัติในวิถีทางนั้น ฉันได้รับการตอบกลับจากพี่ชายเฉินในวันต่อมา เขาบอกว่าเขาตื้นตันใจมากเมื่อได้อ่านจดหมายของฉัน และว่าการเขียนเกี่ยวกับปัญหาของเขาส่งมาให้เขามาจากความรักของพระเจ้า เขาตระหนักว่า เขาไม่ได้จดจ่ออยู่กับการค้นหาความจริงเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น และเมื่อเขาได้รับการตัดแต่งและจัดการ เขาก็แค่คลำๆ ทางให้ผ่านไปแบบสับสน เขาเขียนว่า เขาพร้อมที่จะแก้ไขข้อบกพร่องของเขาในหนทางที่เขาได้มีประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ เมื่อฉันอ่านจดหมายตอบของเขาจบ ฉันก็ตื้นตันใจมาก ฉันรู้สึกว่าฉันไม่จำเป็นต้องกังวลมากนักเรื่องปฏิกิริยาที่ฉันมีต่อพี่น้องชายหญิง ฉันก็แค่ต้องมีแรงจูงใจที่ถูกต้องอยู่เบื้องหลังการชี้แจงปัญหา และจากนั้นพวกเขาก็จะยอมรับมัน ความกังวลทั้งหมดของฉันคือสิ่งที่ฉันจินตนาการเอง และฉันก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน ฉันยังเข้าใจด้วยว่า ความสัมพันธ์ในคริสตจักรไม่ได้ขึ้นอยู่กับปรัชญาในการใช้ชีวิต หรือกลหลอกลวง แต่ถูกสร้างขึ้นด้วยการนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ และความซื่อสัตย์ซึ่งกันและกัน
แต่ฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันก็หยั่งรากลึกเหลือเกิน และเมื่อเกียรติและผลประโยชน์ของฉันถูกสั่นคลอน ฉันก็พบว่ามันยากที่จะปฏิบัติความจริง
ไม่นานหลังจากนั้น ฉันพบว่าน้องสาวอายุน้อยคนหนึ่งอ่านนิยายออนไลน์อยู่บ่อยๆ หัวใจของฉันเริ่มเต้นแรงและคิดว่า “นิยายออนไลน์พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นแค่เรื่องแต่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ถ้าในหัวของเธอเต็มไปด้วยเรื่องพวกนั้น เธอจะไม่อยากอ่านพระวจนะของพระเจ้า หรือทำหน้าที่ของเธอ จากนั้น เธอก็จะสูญเสียงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนั่นก็จะเป็นการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของเธอ ฉันต้องยกปัญหานี้มาคุยกับเธอ” แต่ตอนที่ฉันกำลังจะเปิดปากพูดนั้นเอง ฉันก็ลังเล “เธอจะไม่พอใจ และคิดว่าฉันไปยุ่งในเรื่องที่ไม่ควรรึเปล่า? ถ้าเธอไม่ยอมรับสิ่งที่ฉันพูด ทุกอย่างก็จะกระอักกระอ่วนมากในการที่ต้องเจอกันทุกวัน บางทีฉันควรจะรายงานต่อหัวหน้าคริสตจักร และปล่อยให้หัวหน้าสามัคคีธรรมเรื่องนี้กับเธอ” แต่ฉันรู้ว่าการคิดแบบนี้มันผิด ฉันมีความรับผิดชอบในการสามัคคีธรรมเรื่องนี้กับเธอ เพราะว่าฉันเป็นคนค้นพบเรื่องนี้ ฉันไม่ควรจะปัดภาระนี้ให้กับคนอื่น ฉันคิดเรื่องการยกปัญหานี้ขึ้นมาพูดกับเธอหลายครั้งหลังจากนั้น แต่ทุกครั้ง ฉันก็ไม่สามารถเอ่ยปากออกไปได้ และฉันก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน มันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง หัวหน้าคริสตจักรถามฉันเกี่ยวกับสถานะของน้องสาว ตอนนั้นเองที่ฉันได้บอกหัวหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ฉันก็ต้องแปลกใจ เมื่อหัวหน้าพูดว่าเธอกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องอื่น และขอให้ฉันไปสามัคคีธรรมกับน้องสาว ฉันตระหนักว่า พระเจ้ากำลังทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์นี้เพื่อฉัน เพื่อดูว่าฉันจะสามารถละทิ้งเนื้อหนังของฉันและปฏิบัติความจริงได้หรือไม่ ฉันคิดว่าฉันก็รู้สึกไม่สบายใจมาสักพักแล้ว โดยเฉพาะเมื่อฉันเจอน้องสาว ฉันก็ถูกหลอกหลอนจากการที่ไม่ได้พูดกับเธอ ฉันไม่ได้แสดงความรักหรือความรับผิดชอบต่อเธอ และมโนธรรมของฉันก็กำลังเป็นทุกข์ ฉันรู้ถึงอันตรายของการติดนิยายออนไลน์ดีมาก ซาตานมารร้ายใช้กระแสที่ชั่วร้ายเหล่านี้เพื่อหลอกลวงและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม เพื่อควบคุมความคิดของพวกเขา และทำให้พวกเขาหันหนีจากพระเจ้า เพื่อที่พวกเขาจะได้เสื่อมโทรมและหมดกำลังใจลงเรื่อยๆ จนกระทั่งในท้ายที่สุด มันก็กลืนกินพวกเขา ฉันไม่ได้คิดแม้แต่นิดเดียวว่า ชีวิตของน้องสาวจะสามารถเสียหายได้แค่ไหน หรือว่าการที่เธอเสียสมาธิในการทำหน้าที่ของเธอ สามารถทำอันตรายต่องานของคริสตจักรได้อย่างไร ฉันมัวแต่กลัวที่จะพูดมันขึ้นมาและทำให้เธอไม่พอใจ และเอาแต่ระมัดระวังเพื่อรักษาความสัมพันธ์ของเรา ฉันช่างเห็นแก่ตัวและชั่วร้ายนัก!
จากนั้น ฉันก็ได้อ่านพระวจนะนี้ของพระเจ้า “ผู้คนมากมายเชื่อว่า การเป็นบุคคลที่ดีงามนั้นอันที่จริงแล้วง่ายดายและเพียงพึงต้องมีการพูดจาที่น้อยกว่าและการทำให้มากกว่า การมีหัวใจที่ดีงาม และการไม่มีความตั้งใจร้ายอันใด พวกเขาเชื่อว่า นี่จะทำให้มั่นใจว่า พวกเขาจะจำเริญในทุกหนแห่งที่พวกเขาไป เชื่อว่าผู้คนจะชอบพอพวกเขา และเชื่อว่า นั่นดีพอแล้วที่จะเป็นบุคคลเช่นนั้น พวกเขาไปไกลถึงขั้นไม่ต้องการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาพึงพอใจแค่ได้เป็นผู้คนที่ดีงาม พวกเขาคิดว่าประเด็นปัญหาของการไล่ตามเสาะหาความจริงและการรับใช้พระเจ้านั้นก็แค่ซับซ้อนเกินไป นั่นพึงต้องมีความเข้าใจความจริงมากมายหลายประการ พวกเขาคิดว่า แล้วใครเล่าที่สามารถทำการนั้นสำเร็จลุล่วง? พวกเขาแค่ต้องการใช้เส้นทางที่ง่ายกว่า—การเป็นผู้คนที่ดีและการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา—และคิดว่านั่นจะเพียงพอแล้ว สถานภาพนี้สมเหตุสมผลหรือ? การเป็นบุคคลที่ดีนั้นเรียบง่ายยิ่งนักจริงหรือ? เจ้าจะพบผู้คนที่ดีงามเป็นจำนวนล้นหลามในสังคมที่พูดจากันในในลักษณะที่สูงส่งมาก และแม้ว่าภายนอกแล้ว พวกเขาดูว่าไม่ได้ทำชั่วใหญ่หลวงอันใด แต่ลึกลงไปนั้นพวกเขาเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและปลิ้นปล้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขามีความสามารถที่จะมองเห็นว่ากระแสลมพัดพาไปในหนทางใด และในวาทศิลป์ของพวกเขานั้น พวกเขาลื่นไหลและเข้าใจโลก ตามที่เรามองเห็น ‘บุคคลที่ดีงาม’ ดังกล่าว เป็นคนเท็จ คนหน้าซื่อใจคด บุคคลดังกล่าวก็แค่กำลังเสแสร้งที่จะเป็นคนดี พวกที่ติดหนึบอยู่กับความครึ่งๆ กลางๆ นั้นส่อแววร้ายที่สุด พวกเขาพยายามที่จะไม่ทำให้ผู้ใดขุ่นเคือง พวกเขาเป็นพวกเอาใจทุกคน พวกเขาเออออไปกับสิ่งทั้งหลาย และไม่มีใครอ่านพวกเขาออกเลย บุคคลเยี่ยงนี้คือซาตานที่มีชีวิตนั่นเอง!” (“มีเพียงโดยการนำความจริงไปปฏิบัติเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถสลัดทิ้งพันธะของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าแทงทะลุหัวใจของฉัน เพราะฉันมองเห็นว่าฉันคือคนที่ “เห็นด้วย” ผู้ที่เลือกทางสายกลางอยู่เสมอ ไม่เคยทำให้ใครไม่พอใจ และไม่เคยชี้ถึงปัญหาของใคร ตรงตามที่พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดเผยอย่างที่สุด ถ้าฉันเคยพูดอะไรบ้าง ฉันก็ต้องพิจารณาว่าฉันกำลังคุยกับใครและสถานการณ์เป็นอย่างไร ฉันไม่เคยทำร้ายมิตรภาพหรือยอมให้ใครมาจับผิดฉันได้เลย ฉันเห็นว่าน้องสาวคนนี้มีปัญหา และฉันก็ต้องการบอกมันกับเธอ แต่ทันทีที่ฉันคิดว่ามันอาจจะทำให้เธอไม่พอใจ ฉันก็หลีกเลี่ยงครั้งแล้วครั้งเล่า แทนที่จะส่งเรื่องต่อให้กับหัวหน้าคริสตจักร ฉันตระหนักว่าฉันแค่คิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น ว่าฉันให้คนอื่นรับงานที่มีความขัดแย้ง และฉันไม่ต้องการให้ผลประโยชน์ของฉันถูกทำร้ายในทางไหนเลย นั่นคือวิธีที่ฉันประพฤติตัวต่อพี่น้องชายหญิงของฉันในช่วงที่ผ่านมา บางครั้ง เมื่อฉันเห็นใครสักคนอยู่ในสถานะที่เลวร้ายหรือเปิดเผยความเสื่อมทราม ฉันก็จะหลับตาลงไม่มองมัน ไม่พูดถึงมัน หรือไม่สามัคคีธรรมมัน เผินๆ แล้ว ฉันดูจะเข้ากับทุกคนได้ดี ฉันดูเอาใจใส่จริงๆ แต่ทั้งหมดนั้นมันเป็นเท็จ เป็นแค่การแกล้งทำ ฉันซ่อนคำพูดจริงๆ จากใจจริงของฉันเอาไว้ และแค่ใส่หน้ากาก ฉันมันช่างเสแสร้ง! ฉันหลอกลวงพี่น้องชายหญิงของฉันอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็ยังต้องการให้พวกเขาคิดถึงฉันในทางที่ดี ฉันช่างหน้าไม่อาย! ฉันเห็นว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากคนร้ายกาจและหลอกลวงที่ตอบรับทุกอย่าง และจอมปลอม
แล้วจากนั้นฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม “ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในจนกว่าพวกเขานั้นได้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและได้รับความจริงแล้ว สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ? ตัวอย่างเช่น เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว? เหตุใดพวกเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีภาวะอารมณ์รุนแรงเช่นนั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคนชั่วพวกนั้น? อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว? สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้ ถึงตอนนี้ พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่า เหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็คือว่า พิษของซาตานอยู่ภายในตัวพวกเจ้า สำหรับสิ่งที่พิษของซาตานเป็นนั้น มันสามารถแสดงออกมาอย่างครบถ้วนด้วยคำพูด ตัวอย่างเช่น หากพวกเจ้าถามพวกคนทำชั่วว่าเหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติตนในหนทางที่พวกเขาทำ พวกเขาก็จะตอบว่า ‘เพราะมนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา ตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว พวกเขาอาจทำสิ่งทั้งหลายเพื่อจุดประสงค์นี้นั้น แต่พวกเขาก็แค่กำลังทำมันเพื่อตัวพวกเขาเอง ทุกคนคิดว่าในเมื่อ มันเป็นว่ามนุษย์ทุกคนทำเพื่อตนเองและมารก็เอาตัวคนรั้งท้ายไป ผู้คนก็ควรดำรงชีวิตเพื่อประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง และทำทุกสิ่งทุกอย่างในอำนาจของพวกเขาเพื่อที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับสถานภาพที่ดีเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอาหารและเครื่องนุ่งห่มอันวิจิตร ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือชีวิตและปรัชญาของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย คำพูดเหล่านี้ของซาตานเป็นพิษของซาตานอย่างแน่แท้ และเมื่อผู้คนรับมันไว้ภายใน มันจึงกลายเป็นธรรมชาติของพวกเขา ธรรมชาติของซาตานนั้นถูกเปิดโปงโดยผ่านทางคำพูดเหล่านี้ คำพูดเหล่านี้เป็นตัวแทนซาตานอย่างครบบริบูรณ์ พิษนี้กลายเป็นชีวิตของผู้คนเช่นเดียวกับเป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา และมนุษยชาติซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามก็ได้ถูกครอบงำโดยพิษนี้เป็นเวลาหลายพันปี” (“วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะเหล่านี้ทำให้ฉันเข้าใจถึงสาเหตุที่มาของการเป็นคนที่ตอบรับทุกอย่าง โดยหลักๆ แล้วมันคือปรัชญาของซาตาน และพิษที่ฝังลึกอยู่ในตัวฉัน ถูกวางยาพิษด้วยคำพูดอย่าง “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “จงนิ่งเงียบต่อความผิดของเพื่อนสนิทเพื่อสร้างมิตรภาพอันดีงามและยาวนาน” และ “ในเมื่อพูดตรงไม่เป็นที่ชอบใจ ก็จงกล่าวคำพูดเอออวยเอาใจไปกับความรู้สึกและเหตุผลของผู้อื่นเสียเถิด” ฉันเอาแต่คิดถึงเกียรติและสถานะของฉันเอง ฉันอยากให้คนอื่นพูดถึงฉันดีๆ ในทุกอย่างที่ฉันทำ และฉันได้กลายมาเป็นคนที่เห็นแก่ตัว เหลี่ยมจัด และหลอกลวงมาก ตั้งแต่เด็ก พ่อแม่บอกกับฉันเสมอ ให้ฟังมากกว่าพูด และยิ่งพูดน้อยก็ยิ่งดี พวกเขาบอกฉันไม่ให้เถรตรงกับคนอื่นจนเกินไป เพราะพวกเขาอาจจะไม่ชอบ ฉันใช้ชีวิตอยู่กับปรัชญาเยี่ยงซาตานพวกนี้ และแทบจะไม่ได้เป็นคนที่เปิดเผยและซื่อตรงกับคนอื่นๆ เลย แม้แต่กับเพื่อนรักของฉัน ฉันแทบจะไม่เปิดใจเพื่อชี้ถึงข้อบกพร้องของพวกเขา กลัวว่าจะทำให้พวกเขาไม่พอใจ และทำลายภาพลักษณ์ของฉัน แทนที่จะทำอย่างนั้น ฉันชอบที่จะเออออไปตามสิ่งที่พวกเขารู้สึกและประจบประแจงพวกเขามากกว่า แต่ทั้งหมดคือการโกหก ทั้งหมดคือการเสแสร้ง! ฉันตระหนักว่าการใช้ชีวิตอยู่โดยปรัชญาเยี่ยงซาตานเหล่านี้มาตลอดชีวิต มีแต่จะทำให้ฉันจอมปลอม เจ้าเล่ห์ เห็นแก่ตัว และเลวทรามอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของฉันเอง และไม่ได้คิดถึงคนอื่นๆ เลย ฉันไม่ได้จริงใจกับผู้คน และไม่ได้มีความรักให้กับพวกเขา คนอย่างฉันไม่สามารถช่วยเหลือหรือทำประโยชน์ให้กับใครได้เลยสักทาง และก็แค่ไม่มีค่าพอที่จะมาใกล้ชิด ฉันเห็นว่าปรัชญาเยี่ยงซาตานพวกนี้ช่างไร้สาระจริงๆ และมันไม่ควรเป็นหลักในการปฏิบัติตนเลย ฉันเห็นว่าการใช้ชีวิตโดยปรัชญาเยี่ยงซาตานพวกนี้ไปตลอดชีวิต มีแต่จะทำให้เราเสื่อมทรามมากขึ้น และมีความเป็นมนุษย์น้อยลง ฉันคิดถึงว่า ทุกครั้งที่ฉันสังเกตเห็นปัญหาและไม่ได้พูดอะไร ฉันจะรู้สึกผิดในภายหลัง และเหมือนกับมีก้อนหินอยู่ในหัวใจ ที่ไม่สามารถยกออกไปได้ ฉันรู้สึกเหมือนกับได้รู้ความจริง แต่ไม่สามารถนำมันไปปฏิบัติได้ ฉันช่างเป็นคนขี้ขลาด ที่ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีและความสมบูรณ์พร้อม อายุอย่างฉัน ฉันยังไม่สามารถเป็นคนที่ดีได้ และไม่รู้ถึงหลักการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ กลับกัน ฉันไล่ตามเส้นทางทางโลก ที่ถูกสอนและเผยแพร่โดยซาตาน ชั่วขณะนั้น ฉันเกลียดตัวเองจริงๆ ฉันไม่อยากใช้ชีวิตด้วยปรัชญาเยี่ยงซาตานพวกนี้อีกต่อไปแล้ว ฉันแค่อยากจะกระทำและประพฤติตัวให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า
จากนั้นฉันก็ได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า “การปฏิบัติที่สำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์คืออะไร? มันคือว่าหัวใจของเจ้าต้องเปิดกว้างต่อพระเจ้า อะไรหรือที่เราหมายถึง ‘เปิดกว้าง’? มันหมายถึงการให้ทรรศนะที่โปร่งใสชัดเจนแก่พระเจ้าเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เจ้าคิด สิ่งที่เป็นเจตนาทั้งหลายของเจ้า และสิ่งที่ควบคุมเจ้า สิ่งที่เจ้าพูดนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า โดยปราศจากความแตกต่างแม้เพียงเสี้ยวที่เล็กที่สุดและไม่ปกปิดสิ่งใด พูดโดยปราศจากด้านมืด ปราศจากการทำให้ผู้อื่นจำเป็นต้องคาดเดาหรือตั้งคำถามเพื่อซอกซอนให้ลึกขึ้น และปราศจากการที่เจ้าจำเป็นต้องพูดจาวกไปวนมา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าก็แค่พูดสิ่งที่เจ้าคิด โดยปราศจากความตั้งใจอื่นใด นี่จึงหมายความว่าหัวใจของเจ้านั้นเปิดกว้าง บางครั้งความตรงไปตรงมาของเจ้าอาจทำร้ายผู้อื่นและทำให้พวกเขาไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม มีใครคนใดหรือที่จะพูดว่า ‘ท่านกำลังพูดในหนทางที่ช่างซื่อสัตย์นัก และท่านได้ทำร้ายฉันจริงๆ ฉันไม่อาจยอมรับความซื่อสัตย์ของท่านได้’ ไม่หรอก คงไม่มีใครพูดเลย ต่อให้เจ้าทำร้ายผู้คนในบางครั้งคราว หากเจ้าสามารถเปิดกว้างต่อพวกเขาให้สุดและขออภัย ยอมรับว่าเจ้าพูดโดยปราศจากสติปัญญาและไม่คำนึงถึงความอ่อนแอของพวกเขา พวกเขาก็จะเห็นว่าเจ้าไม่มีความคับข้องใจ ว่าเจ้าเป็นบุคคลซื่อสัตย์คนหนึ่ง และว่าเจ้าก็เพียงแค่ไม่ได้ให้ความสนใจในวิธีที่เจ้าพูด และแค่ตรงไปตรงมาอย่างมากก็เท่านั้นเอง ไม่มีใครเลยที่จะถือโทษโกรธเจ้า…ส่วนสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลซื่อสัตย์ก็คือว่า หัวใจของเจ้าต้องเปิดกว้างต่อพระเจ้า หลักจากนั้น เจ้าก็สามารถที่จะเปิดกว้างต่อผู้คนอื่น ที่จะพูดจาอย่างซื่อสัตย์และถูกต้องแท้จริง ที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจเจ้า ที่จะเป็นบุคคลซึ่งมีศักดิ์ศรี มีความสัตย์สุจริต และมีบุคลิกภาพ และที่จะไม่พูดจาอย่างคุยโวโอ้อวดเกินจริงหรืออย่างเป็นเท็จ หรือใช้คำพูดที่ปลอมแปลงตัวเจ้าเอง หรือหลอกลวงผู้อื่น” (“โดยการซื่อสัตย์เท่านั้นคนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเหมือนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ระหว่างที่ฉันใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตื้นตันใจขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันรู้สึกว่า พระเจ้ายื่นพระหัตถ์มารับฉัน เพื่อทรงสอนว่าฉันควรจะประพฤติตัวอย่างไรในฐานะของมนุษย์คนหนึ่ง ในการเป็นคนซื่อสัตย์ การพูดและกระทำด้วยความซื่อสัตย์ เปิดหัวใจของฉันต่อพระเจ้าโดยสมบูรณ์ เปิดเผยกับพี่น้องชายหญิง และไม่ใช้ชั้นเชิงหรือเล่นเล่ห์กล การใช้ชีวิตแบบนี้ไม่เหน็ดเหนื่อย ภายหลัง ฉันได้ยกปัญหาของน้องสาวไปพูดกับเธอ และสามัคคีธรรมกับเธอเกี่ยวกับอันตรายของการติดนิยายออนไลน์ ตอนแรก เธอดูไม่ค่อยมีความสุขนัก และมันก็กระอักกระอ่วนนิดหน่อย แต่เมื่อเปิดใจและสามัคคีธรรมกับเธอ เธอก็ตระหนักได้ว่าเธออยู่ในสภานะที่อันตราย เธอบอกว่าเธอจะไม่อ่านนิยายออนไลน์อีกแล้ว และจะใช้ความคิดของเธอไปกับหน้าที่ของเธอ การได้ยินเธอพูดแบบนี้ ทำให้ฉันสามารถถอนหายใจด้วยความสบายใจได้ในที่สุด แต่ฉันก็ตำหนิตัวเองด้วย ถ้าฉันพูดขึ้นมาเร็วกว่านี้ อย่างนั้น บางทีเธออาจจะได้รับการแก้ไขเร็วขึ้น มันเป็นแค่เพราะฉันต้องการจะอะลุ้มอล่วยอยู่เสมอ เมื่อฉันยอมตามใจตัวเอง และไม่ปฏิบัติความจริง และสิ่งต่างๆ ก็ยืดเยื้อ การเป็นคนที่ตกลงทุกอย่างอันตรายจริงๆ หลักจากนั้น เมื่อฉันเห็นปัญหาในหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง บางครั้งฉันก็ยังเป็นกังวลที่จะทำให้พวกเขาไม่พอใจ แต่เมื่ออธิษฐานต่อพระเจ้า ปฏิบัติความจริงอย่างตั้งใจ และเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ฉันก็สามารถชี้ปัญหาออกมาตามความเป็นจริงได้ในภายหลัง ด้วยการนำของพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ที่ฉันสามารถเรียนรู้ว่าจะทำตัวอย่างไรและปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงอย่างไร ฉันเพิ่งได้เข้าใจว่า พระวจนะของพระเจ้ามีค่าแค่ไหน พระวจนะเหล่านั้นเป็นหลักในการปฏิบัติตัวและการกระทำของเรา ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่หรือการปฏิบัติตัวของเรา เราก็ต้องมีพระวจนะของพระเจ้านำเสมอ ตราบเท่าที่เราค้นหาความจริงเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เช่นนั้น เราก็จะมีเส้นทางให้เดิน
เมื่อคิดย้อนไป ฉันเคยเห็นด้วยกับทฤษฎีที่ว่าฉันเป็นคนหลอกลวง แต่ฉันก็ไม่เคยเปรียบเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจัง เพื่อตรวจสอบและชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันเลย นอกจากนี้ฉันยังแทบไม่ได้ค้นหาเส้นทางในการปฏิบัติ หรือหลักปฏิบัติจากพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้น อุปนิสัยอันหลอกลวงของฉันจึงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แม้กระทั่งเมื่อฉันได้รับประสบการณ์ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต เมื่อฉันจดจ่ออยู่กับการตรวจสอบตัวเอง และแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เก็บเกี่ยวและได้มีความเข้าใจ ฉันยังรู้สึกถึงความสงบภายในที่แท้จริง และได้รับเส้นทางเล็กๆ ในการเข้าสู่ชีวิต การได้รับความเข้าใจนี้และได้เก็บเกี่ยวพืชผล ก็ล้วนแต่มาจากการนำของพระวจนะของพระเจ้า! ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย เจสสิก้า ฟิลิปปินส์ สิงหาคมปี 2021 ฉันยอมรับงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สามเดือนต่อมา...
โดย เฉินหย่วน ประเทศจีน เดือนกันยายน ปี 2018 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันมีความสุขมากเลยตอนนั้น ฉันรู้สึกว่า ที่เป็นอย่างนี้...
โดย Li Jie, สหรัฐอเมริกา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าทรงพระราชกิจในบุคคลทุกๆ คน และไม่สำคัญว่าวิธีการของพระองค์คือสิ่งใด ผู้คน...
ในปี 2020 ฉันเป็นผู้นำคริสตจักร ฉันเห็นพี่น้องบางคนเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ดีๆ อยู่บ้าง แล้วก็อิจฉาพวกเขา ยังไงก็ตาม...