พันธนาการแห่งความเสื่อมทราม

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย อู้ สือ, ประเทศจีน

เดือนมีนาคม ปี 2020 ฉันไปจัดการเลือกตั้ง ที่คริสตจักรที่รับผิดชอบ และพี่เฉินได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันรู้สึกว่าพี่เฉินเป็นคนมีความสามารถดี แต่เพราะเธอเพิ่งเริ่มทำหน้าที่ผู้นำ เลยไม่คุ้นกับงานของคริสตจักรนัก ฉันจึงตัดสินใจอยู่ต่อสักระยะ จะได้ฝึกเธอ เพื่อช่วยให้เธอคุ้นเคยและสันทัดงานของคริสตจักรโดยเร็วที่สุด ฉันจึงไปพบปะตามกลุ่มกับเธอทุกครั้ง และบอกหลักธรรมบางอย่าง เรื่องงานของคริสตจักรกับเธอ ในไม่ช้าเธอก็คุ้นเคยกับงานทุกอย่างของคริสตจักร และมุ่งเน้นที่จะแสวงหาความจริง เมื่อเผชิญกับปัญหา การสามัคคีธรรมตามพระวจนะก็ให้ความรู้แจ้ง พี่น้องชายหญิงบางคนที่เข้าร่วมการพบปะถามคำถามขึ้นมา บางครั้งฉันยังไม่ทันคิดให้ถี่ถ้วน แต่พี่เฉินก็โต้ตอบได้ทันที เธอหาพระวจนะมาสื่อสารเรื่องวิธีแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ตอนหารือเรื่องงาน เธอยังรวบรวมปัญหา และหาหลักธรรมที่เกี่ยวข้องมาแก้ไขมันได้ด้วย พอเห็นว่าพี่เฉินค่อนข้างมีความสามารถในการทำงาน และก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จู่ๆ ฉันก็รู้สึกกดดันขึ้นมา ฉันมีหน้าที่รับผิดชอบงานของเธอ ก็ต้องหาทางออกให้ได้ก่อนสิ แต่มีบางเรื่องที่ฉันพิจารณาได้ไม่ถี่ถ้วนเท่าเธอ แล้วคนอื่นจะพบว่า ผู้นำที่เพิ่งถูกเลือกมา มีความสามารถมากกว่าฉันไหม ตอนนั้นฉันคิดว่า “ไม่สิ ฉันต้องพิสูจน์ความสามารถในการทำงานของตัวเอง จะปล่อยให้พี่น้องชายหญิงมาดูถูกฉันไม่ได้” นับแต่นั้น เวลาที่ฉันไปพบปะพร้อมพี่เขา ฉันจะสนใจการสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหญิงเป็นพิเศษ พยายามหาว่า สุดท้ายแล้วปัญหาเรื่องสภาวะของพวกเขา กับต้นเหตุของมันคืออะไร ฉันหมกมุ่นอยู่กับการเร่งแก้ปัญหาให้ได้ก่อนพี่เฉิน แต่ยิ่งรีบเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งเครียด และยิ่งคิดไม่ออก ฉันไม่อาจเข้าใจสภาวะของพี่น้องชายหญิงได้ชัดเจน สุดท้าย การสามัคคีธรรมของพี่เฉินก็แก้ปัญหาได้ เวลาได้ฟังพี่น้องชายหญิงยกย่องพี่เฉินว่าสื่อสารได้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ และได้เห็นว่าพวกเขาหวังพึ่งคำตอบจากเธอแค่ไหน ฉันยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วน ฉันเกลียดตัวเอง ทำไมถึงโง่แบบนี้ ทำไมฉันถึงไม่เก่งเท่าพี่เฉิน ฉันรู้สึกคิดลบขึ้นมารางๆ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันกลัวตัวเองจะถูกทิ้งห่างแบบไม่เห็นฝุ่น

ฉันจำได้ว่า วันหนึ่งฉันพบปะอยู่กับพี่เฉิน และมัคนายกอีกหลายคนที่เพิ่งถูกเลือกมา ซึ่งฉันพบว่า พวกเขายังไม่เข้าใจหลักธรรมในการเลือกคน จนทำให้บางคนที่ไม่เหมาะสม ได้รับเลือกเป็นผู้นำกลุ่ม ฉันมองดูปัญหาพวกนี้ และค่อนข้างรู้สึกกังวล พอคิดถึงข้อเท็จจริงว่าฉันเป็นผู้นำมานานกว่าพี่เฉิน และเข้าใจเรื่องหลักการเลือกคนมากกว่าเธอ ฉันคิดว่า ฉันคงอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนี่อาจเป็นโอกาสที่พี่น้องชายหญิงจะได้เห็นว่า ฉันเข้าใจความจริงและเรื่องต่างๆ อย่างชัดเจน และเห็นว่าฉันยังเก่งกว่าพี่เฉิน ฉันเลย หาหลักธรรมที่เกี่ยวข้อง และทุกคนก็หารือกัน พี่เฉินรวบรวมหลักธรรมพวกนี้ และหารือว่าคนแบบไหนที่ควรถูกเลือกเป็นผู้นำกลุ่ม ฉันฟังพี่เฉินสามัคคีธรรม โดยที่ไม่ยกตัวอย่างจริงขึ้นมา และแอบชอบใจอยู่ลับๆ พี่เฉินอยู่ในตำแหน่งผู้นำได้ไม่นาน และไม่มีประสบการณ์มากนัก ต่อไปฉันจะยกตัวอย่างจริงให้ฟังเอง พี่น้องชายหญิงก็จะได้ยินว่า ฉันยกตัวอย่างและรายละเอียดได้มากมาย ต้องรู้สึกว่า ฉันคู่ควรที่จะรับผิดชอบงานนี้ และการสามัคคีธรรมของฉันละเอียดและครอบคลุมแน่ๆ พอคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกพอใจในตัวเอง ฉันกระแอมอยู่ในคอ ยิ้มหวาน แล้วฉัน ก็พูดถึงตัวอย่างและข้อผิดพลาดต่างๆ ที่คริสตจักรอื่นพบในการเลือกตั้ง พูดอยู่พักใหญ่เลยค่ะ พอพูดจบ ฉันก็รอให้พี่น้องชายหญิงยกย่องฉัน แต่จู่ๆ พี่เฉินก็พูดว่า ตอนนี้ ปัญหาหลักของคริสตจักรคือผู้คนไม่รู้หลักธรรมในการเลือกผู้นำกลุ่ม เราต้องสามัคคีธรรมตามความจริงในเรื่องนั้นให้ชัดเจน เธอพูดว่าตัวอย่างที่ฉันยกมาไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แล้วพอพี่เฉินพูดจบ มัคนายกอีกคนก็บอกว่าเห็นด้วยกับเธอ ตอนนั้นฉันรู้สึกไม่ดีเลย สิ่งที่พวกเธอพูดทำให้ฉันติดอยู่ในความคิดลบ และสับสนไปหมด มัคนายกพวกนั้นต่างมองมาที่ฉัน ทำให้ฉันรู้สึกละอายใจ ตอนแรกฉันคิดว่าคงพอรักษาหน้าเอาไว้ได้บ้าง แต่ฉันคิดผิด รักษาหน้าไม่ได้ไม่พอ ยังขายหน้ากว่าเดิมอีก คนอื่นจะคิดไหมว่า ถึงฉันจะเป็นผู้นำมานาน แต่ผู้นำคนใหม่กลับเก่งกว่า จะคิดว่าฉันไม่ได้เรื่องบ้างไหม พอนึกถึงเรื่องนี้ ฉันก็หลบตาทุกคน และนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความกระอักกระอ่วน เพียงครู่เดียว ก็มีมัคนายกคนหนึ่งถามคำถามพี่เฉิน และเธอก็สามัคคีธรรมกลับไปแบบชัดเจนมาก ฉันรู้สึกว่า ฉันแพ้เธอแบบไม่มีชิ้นดี และความวิตกกังวลทั้งหมดก็ทำให้ฉันรู้สึกแย่ มันเหมือนฉันแพ้เธอหมดท่า จนโงหัวขึ้นมาไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันนึกถึงการที่พี่เฉินก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและมีความสามารถดี เธอเก่งกว่าฉันหลายด้านเลย ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งรู้สึกแย่ลง เธอแย่งความสนใจไปจากฉันหมดเลย ฉันเริ่มเกิดอคติต่อเธอ ถึงกับไม่อยากทำหน้าที่คู่กับเธออีกต่อไป หลังการชุมนุม พี่เฉินแนะนำให้เราเข้าร่วมการชุมนุมกลุ่มในอีกสองวันข้างหน้าด้วยกัน ฉันตอบด้วยความเย็นชา โดยไม่มองเธอด้วยซ้ำว่า “ฉันกับพี่จ้าวจะไปเยี่ยมอีกกลุ่มด้วยกันวันนั้น” เธอหน้าแดงขึ้นมา และดูไม่ค่อยสบายใจ พอเห็นว่าฉันเอาแต่เมิน เธอเลยจากไป

ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันนึกถึงการชุมนุมที่พี่เฉินต้องไปคนเดียว เธอไม่ได้รู้จักคนกลุ่มนั้นดีนัก ถ้าเกิด มีเรื่องที่ต้องช่วยกันหารือแก้ไขตามประสาคนรู้จักล่ะ ถ้าฉันไม่ไป แล้วเกิดเธอเจอเรื่องที่ไม่รู้จะจัดการยังไง มันจะทำให้งานของเราชะงักไหม ฉันอยากย้อนกลับไปตามหาเธอ แต่พอนึกว่าฉันอับอายแค่ไหนในการชุมนุมครั้งนั้น ฉันก็ไม่พอใจ และเริ่มอยากทดสอบเธอขึ้นมา “ไหนๆ เธอก็ความสามารถดีและเก่งไปเสียทุกเรื่อง ก็จัดการเองแล้วกัน” และแล้ว อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันก็ชนะมโนธรรมจนได้ ฉันปั่นจักรยาน และตรงกลับบ้านอย่างไม่ลังเล คืนนั้นฉันหลับไม่ลงเลย ได้แต่นอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ฉันหยุดคิดไม่ได้ ว่าพี่เฉินก้าวหน้า และทุกคนชื่นชมเธอมากแค่ไหน ถ้าอยู่ที่คริสตจักรนั้น ฉันจะไม่เป็นแค่เครื่องประดับของเธอเหรอ ฉันคิดว่าอาจจะออกจากคริสตจักรนี้ด้วย แต่ความคิดนี้ ทำให้ฉันไม่สบายใจเลย พี่เฉินช่วยงานของคริสตจักรได้ดีมาก แต่เธอและมัคนายกบางคนยังใหม่กันอยู่ มีหลักธรรมมากมายที่พวกเขายังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความผิดพลาดได้ สิ่งนั้นคงไม่ดีต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ฉันรู้ว่าฉันควรอยู่ช่วยเหลือพวกเขาต่ออีกหน่อย การปุบปับออกมาแบบนั้น มันไร้ความรับผิดชอบ ฉันตระหนักได้ว่าฉันอยู่ในสภาวะที่ผิด เลยมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ขอพระองค์ทรงนำ ให้ฉันได้เข้าใจน้ำพระทัยและรู้จักตัวเอง

วันต่อมา ฉันบังเอิญเจอพระวจนะบทตอนหนึ่ง ใน “หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน” ย่อหน้า 5 ค่ะ “ขออย่าให้บุคคลใดคิดว่าตัวพวกเขาเองนั้นสมบูรณ์แบบ หรือโดดเด่นและประเสริฐ หรือแตกต่างจากผู้อื่นอย่างชัดแจ้ง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากอุปนิสัยโอหังและความไม่รู้เท่าทันของมนุษย์ การคิดว่าตนเองเด่นเป็นพิเศษอยู่เสมอ—นี่คืออุปนิสัยโอ้อวด การไม่เคยสามารถยอมรับข้อบกพร่องของตนเอง และไม่เคยสามารถเผชิญหน้าความผิดพลาดและความล้มเหลวของตนเอง—นี่เกิดจากอุปนิสัยที่โอ้อวด การไม่ยอมให้ผู้อื่นสูงส่งกว่าตนเอง หรือดีกว่าตนเอง นี่เกิดจากอุปนิสัยที่โอหัง การไม่ยอมให้ผู้อื่นเหนือกว่าหรือแข็งแกร่งกว่าตนเอง—นี่เกิดจากอุปนิสัยที่โอ้อวด—การไม่ยอมให้ผู้อื่นมีความคิด ข้อเสนอแนะ และทัศนะที่ดีกว่าตนเองในเรื่องหนึ่งๆ และเมื่อพวกเขามี ก็กลายเป็นคิดลบ ไม่ปรารถนาที่จะพูด รู้สึกคับแค้นใจและหม่นหมอง และกลายเป็นอารมณ์ไม่ดี—ทั้งหมดนี้เกิดจากอุปนิสัยที่โอ้อวด อุปนิสัยโอหังสามารถทำให้เจ้าทะนุถนอมความมีหน้ามีตาของเจ้า ไม่สามารถที่จะยอมรับการชี้นำของผู้อื่น ไม่สามารถที่จะเผชิญหน้าข้อบกพร่องของเจ้าเอง และไม่สามารถที่จะยอมรับความล้มเหลวและความผิดพลาดของเจ้าเอง ที่มากกว่านั้นก็คือเมื่อใครบางคนดีกว่าเจ้า นั่นก็สามารถทำให้ความเกลียดและความอิจฉาริษยาบังเกิดในหัวใจของเจ้า และเจ้าสามารถรู้สึกว่าถูกจำกัดควบคุมจนถึงขั้นที่เจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำหน้าที่ของเจ้า และกลายเป็นเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ อุปนิสัยโอหังสามารถทำให้พฤติกรรมและวิธีปฏิบัติเหล่านี้บังเกิดในตัวเจ้า(บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนมาก เมื่อผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในความโอหัง พวกเขาจะอยากอยู่สูงสุด อยากดีเด่นกว่าคนอื่นเสมอ คนประเภทนั้นวางชื่อเสียงและสถานะไว้เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อพวกเขาไม่อาจเอาชนะ หรือได้รับความเห็นชอบจากผู้อื่น พวกเขาก็จะคิดลบและสิ้นหวัง ถึงขั้นไม่อยากทำหน้าที่อีกต่อไป ฉันได้เห็นว่า ฉันเป็นคนแบบที่พระเจ้าทรงเปิดโปง ฉันมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม และโหยหาชื่อกับสถานะจริงๆ ทีแรกตอนที่ฉันได้รู้จักพี่เฉิน ฉันคิดว่า ฉันเก่งกว่าเธอเรื่องงานและการสามัคคีธรรมตามความจริงเพื่อแก้ปัญหา และฉันมีความสุขที่ได้สามัคคีธรรมและช่วยเหลือเธอ แต่ต่อมา พอเห็นว่าเธอมีความสามารถดี และเรียนรู้ได้เร็วแค่ไหน เห็นว่าคนอื่นต่างเคารพเธอ ฉันก็รู้สึกเหมือนตำแหน่งของตัวเองถูกคุกคาม ฉันจึงเริ่มเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเธอ พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ดูเก่งกว่าเธอ ฉันอยากพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง โดยเฉพาะกับปัญหาเรื่องการเลือกผู้นำทีม ฉันอยากใช้การสามัคคีธรรมตามหลักธรรม เพื่ออวดัวและเป็นที่ชื่นชม แต่บางครั้งมันก็ไม่เข้าเป้า พี่เฉินเลยต้องเตือนฉันแต่เนิ่นๆ ฉันไม่ได้ทบทวนตัวเอง แถมยังรู้สึกเคืองเธอ และไม่อยากทำงานกับเธออีก ฉันถึงกับอยากทิ้งสิ่งที่ได้รับมอบหมาย และออกจากคริสตจักรนั้น ฉันได้เห็นผ่านการทบทวนตัวเอง ว่าฉันหมกมุ่นอยู่กับชื่อเสียงและสถานะโดยสิ้นเชิง และไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเลย ฉันตระหนักได้ว่า ฉันทิ้งขว้างหน้าที่ของตัวเอง การถูกตีแผ่ในทางนั้น คือพระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนฉัน ให้ฉันได้ทบทวนตัวเอง กำหนดแรงจูงใจและมุมมองที่ผิดให้ถูกต้อง พอเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้าแล้ว จิตใจของฉันก็สงบมากขึ้น

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะที่ทรงเปิดโปงอุปนิสัยแห่งศัตรูของพระคริสต์เพิ่มเติม “ในยามที่พวกศัตรูของพระคริสต์กำลังลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาภายในกลุ่ม ความคิดแรกของพวกเขาไม่ใช่การแสวงหาหลักธรรมซึ่งพ่วงมากับหน้าที่ของพวกเขา สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ หรือสิ่งที่เป็นกฎเกณฑ์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับถามว่า การลุล่วงหน้าที่ของพวกเขานั้นจะส่งผลลัพธ์ให้มีผู้คนชื่นชมยกย่องพวกเขาเป็นจำนวนมากขึ้นหรือไม่ ว่าเบื้องบนจะรู้การนั้นหรือไม่ ใครในกลุ่มเก่งที่สุดในงานของพวกเขา และใครคือหัวหน้างาน ทันทีที่พวกเขาเข้าสู่สภาพแวดล้อมที่พวกเขาจะต้องลุล่วงหน้าที่ของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาคิดถึง สิ่งที่พวกเขาต้องการที่จะรู้และเข้าใจ โดยเบื้องต้นแล้วไม่มีความสัมพันธ์กับความจริง อีกทั้งก็ยังไม่ใช่การแก้ไขประเด็นปัญหาเกี่ยวกับวิธีลุล่วงหน้าที่ของพวกเขา อีกทั้งไม่ใช่วิธีหลีกเลี่ยงการเป็นเหตุให้เกิดการขัดจังหวะและการก่อความไม่สงบ อีกทั้งไม่ใช่วิธีที่พวกเขาจะมีความสามารถที่จะลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาได้ดีและสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ความคิดแรกของพวกเขากลับเป็นเรื่องเกี่ยวกับการหาฐานที่มั่นให้กับตัวเองภายในกลุ่ม การรักษาตำแหน่งของพวกเขาไว้ การเอาชนะใจจนได้รับความเลื่อมใส และการโดดเด่นจากกลุ่ม พวกเขาคิดเกี่ยวกับว่าพวกเขาจะสามารถอยู่เหนือผู้คนอื่นๆ ได้อย่างไร และว่าพวกเขาจะสามารถกลายเป็นผู้นำกลุ่มได้อย่างไร ในการทำเช่นนั้น พวกเขากำลังลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาอยู่หรือไม่? (พวกเขาไม่ใช่กำลังลุล่วงหน้าที่ของพวกเขา) พวกเขาได้มาเพื่อทำสิ่งใดหรือ? (เพื่อดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่) พวกเขาพูดว่า ‘สำหรับฉันแล้ว ในโลกปุถุชนนั้นฉันต้องการที่จะเอาชนะคนอื่นทุกคน ไม่ว่าฉันจะอยู่ในกลุ่มใด ฉันจะเป็นนายเสมอ ฉันจะไม่มีวันเป็นมือรอง ไม่ควรมีใครลองพยายามที่จะให้ฉันทำตาม ไม่ว่าฉันจะไปยังกลุ่มใด ฉันก็กำลังจะไปเป็นหัวหน้า และฉันต้องการมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย หากพวกเขาไม่รับฟังฉัน เช่นนั้นแล้ว ฉันก็จะหาหนทางที่จะโน้มน้าวพวกเขาทุกคนและให้พวกเขาเลือกฉัน และทันทีที่พวกเขาได้เลือกฉันขึ้นมาแล้ว เมื่อนั้นสิ่งที่ฉันพูดก็เป็นไปตามนั้น และฉันก็จะทำสิ่งใดก็ตามที่ฉันชอบ’ ในกลุ่มใดก็ตาม เมื่อศัตรูของพระคริสต์ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาไม่พอใจที่จะเป็นผู้ตามที่ไร้นัยสำคัญ พวกเขามุ่งมาดปรารถนาที่สุดเกี่ยวกับสิ่งใดหรือ? การออกคำสั่งและการทำให้ผู้อื่นทำสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขาไม่มุ่งมาดปรารถนาเกี่ยวกับการลุล่วงหน้าที่ของตัวเอง การทำงานหนักขึ้น การยอมลำบากที่ใหญ่หลวงขึ้น การอุทิศเวลาและพลังงานมากขึ้น หรือการลุล่วงส่วนแบ่งซึ่งตกมาถึงพวกเขา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับศึกษาวิธีที่จะกลายเป็นผู้คนที่นำทางผู้อื่นในธุระเกี่ยวกับคนทำงานและในอาชีพของพวกเขา พวกเขาไม่เต็มใจที่จะถูกผู้อื่นนำทาง พวกเขาไม่เต็มใจที่จะเป็นผู้ตามหรือที่จะเริ่มทำการลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาอย่างเงียบๆ โดยไม่มีการประโคม ไม่ว่าหน้าที่ของพวกเขาจะเป็นสิ่งใด หากพวกเขาไม่สามารถอยู่ด้านหน้าและตรงศูนย์กลาง หากพวกเขาไม่สามารถเป็นผู้นำ พวกเขาก็หาจุดประสงค์ไม่ได้เลยในการลุล่วงหน้าที่ของพวกเขา หากพวกเขาไม่สามารถมีสิ่งทั้งหลายในหนทางของพวกเขาได้ นั่นก็ยิ่งน่าสนใจน้อยลงไปอีกสำหรับพวกเขา และพวกเขาก็ยิ่งมีความพึงปรารถนาน้อยลงไปอีกที่จะลุล่วงหน้าที่ของพวกเขา แต่หากพวกเขาสามารถอยู่ด้านหน้าหรือตรงศูนย์กลางในขณะกำลังทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงและได้มีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะทำส่วนของพวกเขาด้วยความกร้าวแกร่งมากกว่าผู้ใด ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาเข้าใจว่าหน้าที่ของพวกเขาเหนือกว่าผู้อื่นมาก อันเป็นการสนองความต้องการของพวกเขาที่จำเป็นจะต้องล้ำเลิศกว่าผู้อื่น และสนองความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานของพวกเขา(“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่เจ็ด)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พระวจนะชำแหละว่าทำไมผู้คนถึงไม่อยากเป็นรองจากคนอื่น ทำไมพวกเขาถึงวิ่งไล่ตามสถานะ พวกเขาถูกขับเคลื่อนด้วยความปรารถนาจะเป็นที่นิยมชมชอบ นี่คือเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ สำหรับศัตรูของพระคริสต์ สถานะสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาไม่เคยทำหน้าที่เพื่อเข้าใจความจริง หรือนำหลักธรรมมาใช้ และไม่ใส่ใจที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย พวกเขาแค่วางแผนเพื่อเป็นนายเหนือผู้อื่น ทำให้คนมาชื่นชม เพื่อให้บรรลุความทะเยอทะยานอันป่าเถื่อนที่จะยึดผู้คนไปจากพระเจ้า เมื่อเปรียบเทียบกับพระวจนะเรื่องศัตรูของพระคริสต์ ฉันก็เห็นว่าตัวเองยังไม่ไปถึงจุดที่ร้ายแรงขนาดนั้น แต่ฉันกำลังแสดงสัญญาณแห่งศัตรูของพระคริสต์ออกมา เวลาฉันเห็นพี่เฉินก้าวหน้าไปมาก แถมได้รับการยกย่องจากพี่น้องชายหญิง ฉันก็เริ่มไม่ชอบ และผลักไสเธอ ฉันรู้สึกเหมือนเธอทำให้ฉันไม่ได้เฉิดฉาย เธอขโมยจุดสนใจไปจากฉัน ฉันใช้ชีวิตอยู่ด้วยยาพิษเยี่ยงซาตาน อย่าง “จงยืนอยู่เหนือทุกคน” และ “จ่าฝูงมีได้เพียงหนึ่งเดียว” ฉันต่อสู้เพื่อสถานะ เพื่อเป็นที่หนึ่งมาตลอด ฉันรู้สึกเหมือนคนที่อยู่สูงสุดนั้นมีอำนาจ และมีสิทธิ์ชี้ขาด รู้สึกว่าอำนาจและสถานะนั้น สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ฉันถึงขั้นปฏิบัติกับคริสตจักรของพระเจ้า ราวกับเป็นสังเวียนส่วนตัวที่ใช้ต่อสู้เพื่อสถานะ เพื่อสนองความปรารถนาอันวิปลาสของฉัน ฉันอยู่บนเส้นทางศัตรูของพระคริสต์ ต่อต้านพระเจ้า และล่วงเกินพระอุปนิสัยอย่างร้ายแรง ฉันได้เห็นว่าเส้นทางที่เดินอยู่นั้นอันตราย และพระเจ้าทรงเกลียดมันแค่ไหน แถมยังมีข้อเท็จจริงที่ว่า พี่เฉินยังใหม่กับหน้าที่นี้ ดังนั้นถ้าเธอถูกจำกัดควบคุม ทำให้งานล่าช้า และเรื่องนี้สร้างความเสียหายต่อหน้าที่ที่ทำอยู่ ฉันคง ทำเรื่องชั่ว ฉันรู้สึกผิดจริงๆ และได้เห็นว่าฉันใช้ชีวิตอยู่โดยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน และเอาแต่ดิ้นรนเพื่อสถานะยังไง ไม่ใช่แค่สร้างความเสียหายและขัดขวางผู้อื่น แต่ฉันจะถูกกำจัดเพราะทำชั่ว และสร้างความเสียหายต่องานของคริสตจักรด้วย ฉันเห็นจริงๆ ว่า การไล่ตามสถานะส่วนตัว ไม่ใช่เส้นทางที่ดี ฉันรู้สึกกลัวจริงๆ และไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยที่เสื่อมทรามนั้นแล้ว ฉันอยากกลับใจกับพระเจ้าค่ะ

จากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะ เพื่อหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติค่ะ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “หากพระเจ้าได้ทรงทำให้เจ้าโง่เขลา เช่นนั้นแล้ว ก็ย่อมมีความหมายในความโง่เขลาของเจ้า ทั้งนี้ หากพระองค์ได้ทรงทำให้เจ้าสดใส เช่นนั้นแล้วก็ย่อมมีความหมายในความสดใสของเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าทรงมอบความเชี่ยวชาญใดแก่เจ้า ไม่ว่าจุดแข็งของเจ้าคืออะไร ความฉลาดทางเชาว์ปัญญาของเจ้าสูงเพียงใด สิ่งเหล่านั้นล้วนมีจุดประสงค์สำหรับพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว บทบาทที่เจ้าแสดง หน้าที่ที่เจ้าลุล่วง—พระเจ้ายังได้ทรงกำหนดพิจารณาสิ่งเหล่านี้นานมาแล้วด้วยเช่นกัน ผู้คนบางคนไม่เชื่อมั่น พวกเขาต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งทั้งหลายโดยการเรียนรู้มากขึ้น เห็นมากขึ้น และขะมักเขม้นมากขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่สามารถก้าวข้ามได้ เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจะเรียนรู้การนี้จากประสบการณ์ ไม่สำคัญว่าเจ้าต่อสู้มากเพียงใด เจ้าไม่สามารถต่อสู้โชคชะตาได้ พระเจ้าได้ทรงกำหนดพิจารณาแล้วว่าเจ้าจะเป็นอะไร และการที่เจ้าต่อสู้การนี้ก็หาประโยชน์มิได้ ไม่ว่าเจ้าจะเก่งในสิ่งใด นั่นก็คือที่ที่เจ้าจะต้องทำความพยายาม จงอย่าลองพยายามที่จะทุ่มเทใช้กำลังทำงานหนักกับสาขาที่อยู่นอกเหนือชุดทักษะของเจ้า และจงอย่าอิจฉาผู้อื่น ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบของตน จงอย่าคิดว่าเจ้าสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ว่าเจ้าเพียบพร้อม ว่าเจ้าเก่งกว่าผู้อื่น โดยอยากอยู่เสมอที่จะรับงานในส่วนของคนอื่นมาทำ และทำให้ผู้คนมองเห็นแต่ตัวเองและไม่เห็นใครอื่นเลย นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามอย่างหนึ่ง ตัวอย่างเช่น บางทีเจ้าอาจจะค่อนข้างเก่งเลยทีเดียวในการคุมเวลาตอนที่เจ้าเต้นรำ—ตรงนี้เองที่เจ้าควรกลายเป็นผู้ตัดสิน สัมฤทธิ์การพัฒนาฝ่าฟันอันยิ่งใหญ่ เชี่ยวชาญหลักธรรมทั้งหลาย และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดี ผู้คนบางคนชอบที่จะออกแบบเสื้อผ้าและค่อนข้างมีทักษะกับการนั้น เช่นนั้นแล้ว ตรงนี้เองคือที่ซึ่งเจ้าควรทำความพยายามและทำให้การศึกษาของเจ้ารุดหน้าไป มีพวกเหล่านั้นที่คิดว่าพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ดีเลย หากเป็นกรณีเช่นนั้น เจ้าก็แค่ควรเป็นบุคคลที่รับฟังทิศทางจากผู้อื่นอย่างมีมโนธรรม จงทำสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้และทำสิ่งนั้นให้ดี ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดของเจ้า นั่นก็มากพอแล้ว พระเจ้าจะพึงพอพระทัย(“หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) การอ่านพระวจนะ ทำให้ฉันเห็นว่า ไม่ว่าใครจะมีความสามารถดียังไง หรือมีพรสวรรค์อะไร พระเจ้าก็ทรงลิขิตไว้หมดแล้ว ทั้งหมดล้วนบรรจุพระปัญญาของพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้เราเข้าใจทุกอย่าง ทำทุกอย่าง และดีกว่าทุกคน พระองค์ทรงต้องการให้เราทำบทบาทที่มีให้ดี ถ้าเราเอาจุดแข็งและส่วนต่างๆ ของเราไปใช้ให้ดีที่สุด พระองค์ก็จะทรงมีความสุข หากเราโอหังและมั่นใจในตัวเอง อยากสู้เพื่อตัวเองเสมอ เราจะได้แค่ทำตัวโง่เขลา และใช้ชีวิตที่แสนทุกข์ระทม ฉันยังพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติในพระวจนะ ที่กล้าพอที่จะยอมรับข้อบกพร่องของฉันด้วย ฉันไม่ได้มีความสามารถและทักษะการทำงานแบบพี่เฉิน นั่นคือข้อเท็จจริง ที่พระเจ้าทรงกำหนด ฉันต้องมีเหตุผล และนบนอบต่อกฎและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เป็นคนดีตามหน้าที่ ทุ่มเทหัวใจในการทำหน้าที่ รวมถึงคิดว่าจะทำงานร่วมกับพี่เฉินยังไง ถึงจะทำงานของคริสตจักรแบบเป็นทีมได้ นั่นคือน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ พระวจนะยังกล่าวถึงว่า งานแห่งพระนิเวศไม่อาจทำได้โดยใครคนใดคนหนึ่ง ทุกคนต้องทำงานร่วมกัน เราล้วนมองสิ่งต่างๆ ต่างกัน เมื่อเราชดเชยจุดอ่อนของกันและกันได้ จึงจะเห็นสิ่งต่างๆ จากมุมมองที่กว้างขึ้น เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงนำเรา และเราก็ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พอตระหนักทั้งหมดนี้ได้ ฉันก็ไปหาพี่เฉิน และเปิดใจถึงสภาวะของฉันในช่วงเวลานั้น แถมฉันยังขอโทษเธอไปด้วย นับจากนั้นมา ในการชุมนุมด้วยกัน ฉันก็ไม่ได้พยายามสามัคคีธรรมให้ดีกว่าเธออีกต่อไป แต่กลับฟังสิ่งที่เธอพูดอย่างตั้งใจ แบบสุดหัวใจเลยค่ะ ถ้าเธอพลาดอะไรไป ฉันก็จะพยายามหยิบมาพูดตอนสามัคคีธรรม ฉันจะแบ่งปันแค่สิ่งที่เข้าใจเท่านั้น การร่วมมือแบบนั้น ทำให้สามัคคีธรรมของเรามีประสิทธิภาพขึ้นเรื่อยๆ ฉันกับพี่เฉินสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิมอีกค่ะ

สองเดือนต่อมา พี่เฉินได้เลื่อนขั้น และเราก็ทำงานเคียงข้างกัน เราช่วยกันจัดการงานที่คริสตจักรอีกสองสามแห่ง วันหนึ่ง เราได้รับข้อความจากผู้นำว่า งานส่วนหนึ่งของเราประสบความสำเร็จมาก เรื่องนี้ค่อนข้างทำให้ฉันรู้สึกแย่ เพราะถ้าผู้นำรู้ว่า พี่เฉินเป็นคนจัดการดูแล เธอก็อาจชื่นชมพี่เฉินมากกว่าหรือเปล่า ค่ำวันนั้น พี่พี่เฉินถามฉันว่า จะทำงานนั้นให้มีประสิทธิภาพขึ้นได้ยังไง ฉันคิดว่า “งานนี้ก็มีผลออกมาแล้วนี่ แต่ถ้าเราคุยกัน งานก็จะมีแต่ดีขึ้นเรื่อยๆ นั่นจะไม่ยิ่งทำให้เธอดูเก่งกว่าฉันเหรอ” พอคิดแบบนนั้น ฉันก็ไม่อยากหารือเรื่องนี้กับเธออีก แต่ฉันก็ตระหนักได้ว่า ฉันตกสู่สภาวะของการต่อสู้เพื่อชื่อและผลประโยชน์อีกแล้ว ฉันเลยพยายามอธิษฐานต่อพระเจ้า ละทิ้งเนื้อหนังของตัวเอง แล้วพระวจนะเหล่านี้ก็ผุดขึ้นมาในความคิด “จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าพิจารณาสถานะ เกียรติยศ หรือความมีหน้ามีตาของตัวเจ้าเอง จงอย่าพิจารณาถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน อันดับแรกเจ้าต้องพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และทำให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นที่หนึ่ง เจ้าควรมีความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่าเจ้าได้มีราคีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือไม่ ว่าเจ้าได้ทำจนถึงที่สุดของเจ้าที่จะจงรักภักดีต่อพระเจ้า ทำดีที่สุดของเจ้าที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และให้ทั้งหมดของเจ้าไปแล้วหรือยัง รวมไปถึงการที่ว่าเจ้าได้ให้ความคิดโดยหมดทั้งหัวใจต่อหน้าที่ของเจ้าและงานในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ จงคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่เนืองนิจ และจะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ได้ดี(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระเจ้าตรัสว่า เราจะคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนไม่ได้ ผลประโยชน์และงานแห่งพระนิเวศต้องมาเป็นที่หนึ่ง เราต้องทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้อื่น นั่นเป็นทางเดียวที่จะแสดงได้ว่า เราอุทิศตนให้หน้าที่ ฉันรู้ว่า ฉันต้องทำสิ่งที่พระเจ้าประสงค์ ฉันจึงคุยกับพี่เฉินว่าเราจะทำอะไรกับงานนั้นได้บ้าง รวมถึงทุกปัญหาในตอนนั้น และวิธีจัดการมัน ที่การชุมนุมในวันรุ่งขึ้น ฉันสามัคคีธรรมตามสภาวะล่าสุดของตัวเอง รวมถึงทุกสิ่งที่ฉันเข้าใจจากเรื่องนั้น ยิ่งแบ่งปัน ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่า การไล่ตามชื่อและสถานะไม่ใช่เส้นทางที่ดีเลยจริงๆ ฉันรู้สึกรังเกียจและเกลียดตัวเองมาก ฉันไม่อยากถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตัวเองควบคุมอีกต่อไป ฉันยอมรับการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้าแต่โดยดี ทำหน้าที่ และเป็นจริง นับแต่นั้น เมื่อเจอปัญหา ฉันก็จะอธิษฐานต่อพระเจ้าและคิดว่าอะไรจะเป็นประโยชน์ต่อพระนิเวศ ฉันเรียนรู้ที่จะรับเอาจุดแข็งของพี่เฉินมา เราจึงจะเติมเต็มจุดอ่อนให้กันและกันได้ การทำแบบนี้ ทำให้ฉันสบายใจและสงบสุข เราก็ยิ่งมีประสิทธิภาพในการทำหน้าที่มากขึ้น การที่ฉันได้เปลี่ยนแปลงไปบ้าง เป็นเพราะการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้าล้วนๆ ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การถอดหน้ากากออก

โดย ทิง ฮั่ว, ฝรั่งเศส เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ในตอนแรก ฉันพูดฝรั่งเศสและสื่อสารกับสมาชิกใหม่ได้โดยตรง...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger