คำพยานเกี่ยวกับความเชื่อ: หญิงอาวุโสคนหนึ่งหายเป็นปกติจากโรคท้องมานจากภาวะตับแข็งอย่างน่าอัศจรรย์หลังจากพึ่งพิงพระเจ้า

วันที่ 08 เดือน 09 ปี 2020

โดย จง ฉิน

ยอมผ่อนปรนให้กับโรคภัยไข้เจ็บของเธอเพื่อที่ลูกๆ ของเธอจะได้ไม่ยุ่งยาก

ผู้หญิงสองสามคนกำลังพูดคุยกันอย่างสบายๆ ใต้ต้นไทรตรงท้ายหมู่บ้าน ไม่ไกลออกไป หยวน ซิ่วกำลังกระเถิบเดินทีละก้าวด้วยความช่วยเหลือของหลี่ จวิน ลูกชายของเธอ

มิสซิสจาง ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นว่า “นี่ๆ นั่นไม่ใช่หยวน ซิ่วหรอกหรือ? ผลตรวจจากโรงพยาบาลประจำมณฑลของเธอไม่ได้บอกว่าเธอเป็นโรคท้องมานจากภาวะตับแข็งหรอกหรือ? เธอออกจากโรงพยาบาลเร็วมากได้อย่างไร?

“โรคท้องมานจากภาวะตับแข็งหรือ? ไม่ว่าจะคุณจะมีเงินมากแค่ไหนสำหรับใช้รักษา ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าคุณจะรอด! แม้แต่กับคนไข้ที่รับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาลก็ยังไม่มีความหวัง หนำซ้ำหยวน ซิ่วก็แก่ชรามาก ลูกสาวของฉันก็เป็นโรคท้องมานจากภาวะตับแข็งเมื่อสองสามปีที่แล้ว และพวกเราก็จ่ายเงินของครอบครัวทั้งหมดให้กับโรงพยาบาล แต่พวกเราก็เสียเธอไปและเงินของพวกเราด้วย!” มิสซิสฝูพูดถึงเรื่องนี้พร้อมกับส่ายศีรษะของเธออย่างเศร้าใจ

ด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นเธอเดินไม่มั่นคงนัก หลี่ จวิน ขอร้องแม่ของเขาด้วยความสะเทือนใจว่า “แม่ ออกจากโรงพยาบาลในสภาพเช่นนี้ ผมก็ยังเป็นกังวลเกี่ยวกับแม่อยู่ดี พวกเรากลับไปโรงพยาบาลไม่ได้หรือ แม่จะได้รับการรักษาไงล่ะ? ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าผมจะต้องเป็นหนี้ไปตลอดชีวิต ผมทนเฝ้าดูแม่นั่งอยู่ที่บ้านรอวันตายอย่างนี้ไม่ได้!”

“จวิน แม่ไม่ต้องการเป็นภาระให้ลูก แม่จะรับยาและกลับมาฟื้นตัวที่บ้าน และแม่ก็จะไม่เป็นไร บางทีแม่อาจจะดีขึ้นก็ได้” ทั้งๆ ที่ทั่วทั้งตัวของเธอบวมไปหมดแบบนั้น หยวน ซิ่วก็บังคับตัวเองให้พูดออกมาเช่นนี้อย่างไม่ตั้งใจเพื่อปลอบใจลูกชายของเธอ

ในอาการป่วยที่วิกฤต เธอมอบความหวังของเธอไว้ในพระเจ้า

เมื่อเธอกลับถึงบ้าน หยวน ซิ่วนอนบนเตียงรู้สึกไร้เรี่ยวแรงและอ่อนกำลังไปหมด ความเจ็บปวดที่เธอรู้สึก แผ่ไปทั่วร่างกายของเธอจนแทบจะทนไม่ไหว ขณะที่เธอจ้องมองขึ้นไปบนเพดานอย่างว่างเปล่า น้ำตาไหลอาบแก้มของเธอเหมือนสร้อยมุกเส้นเล็กๆ และคำพูดของคุณหมอก้องอยู่ในหัวของเธอว่า “คุณเป็นโรคท้องมานซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวะตับแข็ง แนวทางการรักษาครั้งหนึ่งต้องใช้ยาจากต่างประเทศที่ราคามากกว่า 10,000 หยวน และคุณจำเป็นต้องทำการรักษาอย่างน้อยสามหรือสี่ครั้ง แต่นั่นก็แค่ควบคุมอาการของคุณได้เท่านั้น ไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของโรค” เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และพูดกับตัวเองว่า “ปัดโธ่เอ๋ย! ฉันก็สบายดีอยู่แท้ๆ เชียว—ฉันมาเกิดเป็นโรคร้ายแรงอย่างมากแบบนี้ได้อย่างไร? จะเป็นอย่างไรถ้าฉันกำลังจะตายจริงๆ? ไม่หรอก เป็นเช่นนั้นไม่ได้! แม้ว่าอาการป่วยของฉันจะรุนแรงมากจริงๆ แต่ฉันเชื่อในพระเจ้า พระองค์จะทรงดูแลฉัน”

หยวน ซิ่วนึกถึงการที่หลังจากที่เธอได้กลายเป็นผู้เชื่อไม่นาน หลานสาวของเธอซึ่งอายุ 14 ปีในตอนนั้นก็เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ลูกสาวของเธอและลูกเขยรวบรวมเงินทั้งหมดที่พวกเขาสามารถหาได้เพื่อการรักษาของเธอ แต่เมื่อพวกเขาพาเธอไปโรงพยาบาลใหญ่ คุณหมอทุกคนต่างก็พูดว่าอาการป่วยของเธอรุนแรงจริงๆ และพวกเขาทำอะไรไม่ได้ หยวน ซิ่วได้กล่าวคำอธิษฐานจากใจจริงต่อพระเจ้าและปล่อยเรื่องนี้ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์—หลานสาวของเธออาการดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์และอาการก็ยังไม่ได้กำเริบขึ้นอีก เธอได้คิดเกี่ยวกับการที่เธอไอเป็นเลือดมาเป็นเวลาหลายปี และโดยการพึ่งพาพระเจ้า อาการไอก็ดีขึ้นอย่างทันทีทันใด การนึกถึงสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดได้ทำให้ความเป็นห่วงของเธอบรรเทาลง—เธอเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงคุ้มครองปกป้องเธออีกครั้งและจะทรงนำเธอออกจากช่วงเวลาลำบากยากเย็นช่วงนี้ ดังนั้นเอง หยวน ซิ่วจึงได้อธิษฐานอย่างมั่นใจมากต่อพระเจ้าและมอบความไว้วางใจเรื่องโรคภัยไข้เจ็บของเธอไว้กับพระองค์ ขณะที่ทานยาตามคำแนะนำของคุณหมอของเธอด้วย

อาการเจ็บป่วยของเธอแย่ลงและเธอติเตียนพระเจ้า

อย่างไรก็ตาม อาการของหยวน ซิ่วทรุดลงหลังเวลาผ่านไป เธอเกิดอาการบวมน้ำทั่วทั้งตัวและกลายเป็นอ่อนแอลงเรื่อยๆ ถึงขั้นที่จำเป็นต้องใช้ไม้เท้าเพียงเพื่อที่จะเดิน เธอทนทุกข์จากการอาเจียรและท้องเสียอยู่บ่อยครั้งและไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสงบตอนกลางคืน

ตกดึก หยวน ซิ่วลูบใบหน้าและขาที่บวมเป่งของเธอ ทนต่อความเจ็บปวดจากโรคบวมน้ำในช่องท้องของเธอที่ประดังขึ้นเป็นระลอก เธอเจ็บปวดทางอารมณ์ด้วยเช่นกัน และเต็มไปด้วยการติเตียนพระเจ้า “ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าทุกวัน ดังนั้นเหตุใดฉันจึงไม่เพียงแต่ไม่ฟื้นตัวเท่านั้น ทว่ายังอาการแย่ลงเรื่อยๆ อีกด้วย? เหตุใดพระเจ้าไม่ทรงกำลังช่วยฉันกับโรคภัยไข้เจ็บของฉัน? ฉันควรที่จะแค่นั่งอยู่ที่บ้านและรอคอยความตายหรือ?” ขณะที่เธอคิดเช่นนี้ เธอก็เริ่มร้องไห้อย่างช่วยอะไรไม่ได้เลย

วันหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกันได้แวะมาหาหยวน ซิ่วและพูดกับเธอ พร้อมส่ายศีรษะด้วยความเสียใจ “หยวน ซิ่ว คุณควรยอมรับการนี้และดำเนินชีวิตต่อไป คุณรู้สึกอยากกินและดื่มอะไรก็ตาม คุณก็บอกลูกๆ ของคุณไปเถอะ” แล้วเธอก็ถอนหายใจและจากไป นี่คือสิ่งที่เจ็บปวดอย่างแท้จริงสำหรับหยวน ซิ่วและคำพร่ำบ่นของเธอก็ท่วมท้นอีกครั้ง พูดว่า “ฉันเป็นผู้เชื่อมามากกว่า 10 ปีและฉันก็ทำหน้าหน้าที่ของฉันตลอดมาในคริสตจักร ฉันรุดหน้าต่อไปแม้จะต้องฝ่าลมและฝน แต่ตอนนี้ฉันเป็นโรคที่รักษาไม่หาย เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงคุ้มครองปกป้องฉัน ยอมให้ฉันได้หายป่วย?” ยิ่งเธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าใด เธอก็ยิ่งทนทุกข์มากขึ้นเท่านั้น เธอไม่สามารถกลั้นน้ำตาของเธอไว้ได้ เธอรู้สึกราวกับว่าความตายกำลังใกล้เข้ามาทุกที—เธอเศร้าใจและสิ้นหวัง

พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยมุมมองที่ผิดของเธอเรื่องความเชื่อ

ในความทุกข์แสนสาหัสของเธอ เธอนึกถึงบทตอนหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้าขึ้นมาทันทีทันใดว่า “ทุกสิ่งทุกอย่าง จากสภาพแวดล้อมรอบตัวผู้คน กิจธุระทั้งหลาย และสิ่งทั้งหลาย ล้วนดำรงอยู่ด้วยการอนุญาตของพระบัลลังก์ของพระองค์ทั้งสิ้น จงอย่าปล่อยให้ความคับข้องใจเกิดขึ้นในหัวใจของเจ้าด้วยประการใดๆ หาไม่แล้วพระเจ้าจะไม่ประทานพระคุณแก่เจ้า…การพักพิงอยู่ในอาการป่วยคือการเจ็บป่วย แต่การพักพิงอยู่ในจิตวิญญาณคือการมีสุขภาพดี(“บทที่ 6” ของ ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล)

พระวจนะของพระเจ้าส่องสว่างในหัวใจของเธอ ขับไล่ความมืดภายในตัวเธอ เธอตระหนักว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยของเธอได้เกิดขึ้นพร้อมด้วยพระสัญญาของพระเจ้า และน้ำพระทัยอันเปี่ยมความกรุณามากมายของพระองค์อยู่ภายในพระวจนะเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้เรียนรู้สิ่งใดจากการนี้ ตรงกันข้ามกลับติเตียนพระเจ้าเมื่อเธอเห็นว่าอาการเจ็บป่วยของเธอรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หยวน ซิ่วนึกถึงการที่พระเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างและตัวเธอเองก็เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างผู้หนึ่ง หนำซ้ำก็ไม่สำคัญมากไปกว่าเศษเสี้ยวธุลีเดียว เธอมีสิทธิใดที่จะใช้เหตุผลกับพระเจ้าหรือติเตียนพระองค์ได้อย่างไร? นั่นช่างไม่มีเหตุผลยิ่งนัก! เมื่อเธอตระหนักถึงทั้งหมดของการนี้ เธอก็ไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เมื่อเธอกล่าวคำอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “โอ้ พระเจ้า น้ำพระทัยของพระองค์อยู่ภายในโรคภัยไข้เจ็บที่ข้าพระองค์ได้รับนี้ แต่ข้าพระองค์เป็นกบฏเกินไปและไม่รู้จักที่จะหมายพึ่งพระองค์ในการแสวงหา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับเข้าใจผิดและติเตียนพระองค์แทน ข้าแต่พระเจ้า โปรดคุ้มครองปกป้องหัวใจของข้าพระองค์ด้วยเถิด เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้ไม่ทำบาปด้วยคำพูดของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ที่อยู่ในการนี้ด้วยเถิด”

หยวน ซิ่วน้ำตาคลอหลังจากกล่าวคำอธิษฐานนี้ เธอดึงตัวเองให้ลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก และหยิบหนังสือพระวจนะของพระเจ้าจากโต๊ะข้างเตียง เธออ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า “ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้รักษาพวกเขาเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้ใช้ฤทธานุภาพของเราขับวิญญาณสกปรกออกจากร่างของพวกเขาเท่านั้น และผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงแค่ว่าพวกเขาอาจจะได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดีจากเรา ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อเรียกร้องทรัพย์สมบัติทางวัตถุจากเราให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตนี้อย่างสันติสุขและเพื่อที่จะอยู่อย่างปลอดภัยคลายกังวลในโลกที่จะมาถึง ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์จากนรกและเพื่อได้รับพรจากสวรรค์ ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อสิ่งชูใจชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ได้พยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใดในโลกที่จะมาถึง เมื่อเราได้ปล่อยความพิโรธต่อมนุษย์ของเราออกมาและได้ยึดเอาความชื่นบานยินดีและสันติสุขที่พวกเขาเคยมีไป มนุษย์ก็กลับคลางแคลงใจ เมื่อเราได้ให้ความทุกข์จากนรกแก่มนุษย์และได้เอาพรจากสวรรค์กลับคืน ความละอายของมนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ เมื่อมนุษย์ได้ขอให้เรารักษาเขา แต่เราไม่ได้ให้ความสนใจและรู้สึกชิงชังต่อเขา มนุษย์ได้ออกห่างจากเราเพื่อแสวงหาวิธีการของยาและวิทยาคมอันชั่วร้ายแทน เมื่อเราได้เอาทุกอย่างที่มนุษย์เรียกร้องจากเรากลับไป ทุกคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ เราจึงบอกว่ามนุษย์มีความเชื่อในเราเพราะเราให้พระคุณมากเกินไป และมีมากเกินไปที่จะได้รับ” (“เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?”)

พระวจนะของพระเจ้าเขย่าหัวใจของเธอและตอนนั้นเท่านั้นที่เธอตระหนักว่ามุมมองของเธอเรื่องความเชื่อได้ผิดไป เธอได้เชื่อในพระเจ้าและสละตัวเธอเองเพื่อพระองค์เพียงเพื่อที่จะได้รับพระคุณและพระพรของพระองค์ เธอคิดถึงตอนที่เธอได้กลายเป็นผู้เชื่อครั้งแรก โดยผ่านการอธิษฐาน อาการเจ็บป่วยของหลานสาวของเธอก็ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ และปัญหาเรื่องการไอเป็นเลือดมาแรมปีของเธอก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงคิดว่าตราบเท่าที่เธอเป็นผู้เชื่อที่ดี พระเจ้าก็จะทรงประทานพระคุณและพระพรให้กับเธอ เธอทุ่มเทตัวเองให้กับหน้าที่ของเธอในคริสตจักรเพื่อว่าพระเจ้าจะได้ทรงมอบพระคุณและพระพรแก่เธอมากยิ่งขึ้นไปอีก เธอออกไปไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไรก็ตามและเต็มใจเป็นอย่างมากที่จะทนทุกข์และจ่ายราคา เธอยอมผ่อนปรนให้กับการขาดความเข้าใจของครอบครัวของเธอ รวมทั้งการเยาะเย้ยถากถางและการเย้ยหยันของคนอื่นๆ ในโลก เมื่อหยวน ซิ่วเป็นโรคท้องมานจากภาวะตับแข็ง และคุณหมอของเธอพูดว่าเขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถรักษาหายได้ เธอก็หวังมากเกินควรว่าพระเจ้าจะรับเอาโรคภัยไข้เจ็บของเธอไป แต่เมื่ออาการเจ็บป่วยของเธอแย่ลงแทนที่จะดีขึ้น เธอก็ได้พัฒนาความเข้าใจผิดและติเตียนพระเจ้าแทน และถึงกับพยายามที่จะใช้เหตุผลกับพระองค์บนพื้นฐานของงานและการปรนนิบัติของเธอในอดีต ทำการเรียกร้องอย่างไร้เหตุผลจากพระองค์ ยิ่งเธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าใด เธอก็ยิ่งรู้สึกละอายใจและรู้สึกผิดมากเท่านั้น เธอได้มองเห็นว่าเธอเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจมากเพียงใด ว่าเธอได้เชื่อในพระเจ้ามาตลอดเวลาหลายปีแต่ก็ยังคงพยายามที่จะทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนกับพระองค์ ต้องการใช้การทำงานหนักภายนอกของเธอแลกเปลี่ยนกับพระคุณและพระพรของพระเจ้า เธอไม่ได้มีความเชื่อที่จริงแท้และความเชื่อฟังต่อพระเจ้าโดยสิ้นเชิง และเธอก็ยังขาดเหตุผลอย่างเต็มที่ว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรครอบครองสิ่งใด ความเชื่อประเภทนั้นจะสามารถได้รับการรับรองของพระเจ้าในท้ายที่สุดได้อย่างไร? แล้วหยวน ซิ่วก็เข้าใจในที่สุดว่าพระเจ้าได้ทรงปล่อยให้โรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นกับเธอเพื่อเปลี่ยนมุมมองที่ไม่ถูกต้องของเธอเรื่องการมีความเชื่อเพียงเพื่อที่จะได้รับพระพรและพระคุณของพระองค์ นอกจากนี้ยังเป็นการชำระเธอให้สะอาดจากแรงจูงใจอันน่ารังเกียจที่จะทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนกับพระเจ้า หยวน ซิ่วได้รับประสบการณ์ลึกซึ้งเกี่ยวกับเจตนารมณ์ที่เปี่ยมเมตตาของพระเจ้า และเธอก็ไม่สามารถหยุดมอบถวายคำขอบพระคุณและการสรรเสริญพระเจ้าจากหัวใจของเธอได้

หยวน ซิ่วรวบรวมพละกำลังของเธอเพื่อที่จะดึงตัวเธอเองออกจากเตียงและคุกเข่าลงต่อพระเจ้าในการอธิษฐานว่า “โอ้ พระเจ้า! ข้าพระองค์ขอขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงนำและให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ ที่ทรงเปิดโอกาสให้ข้าพระองค์ได้มองเห็นมุมมองที่ไม่ถูกต้องของข้าพระองค์เรื่องความเชื่อจากโรคภัยไข้เจ็บครั้งนี้ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะหันกลับมาหาพระองค์ และไม่ว่าอาการเจ็บป่วยของข้าพระองค์จะดีขึ้นหรือไม่ ไม่ว่าข้าพระองค์จะสามารถมีชีวิตต่อไปหรือไม่ ข้าพระองค์จะไม่มีวันติเตียนพระองค์อีกแล้ว ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์”

หลังจากการอธิษฐานเธอก็รู้สึกถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระที่มีนัยสำคัญในหัวใจของเธอและเธอได้หยุดคร่ำครวญเรื่องโรคภัยไข้เจ็บของเธอ เธอนอนลงและหลับไปหลังจากนั้นไม่นาน

ไม่ถูกบีบบังคับอีกต่อไปด้วยความความคิดเรื่องความตายโดยผ่านการทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า

หยวน ซิ่วตื่นขึ้นกลางดึกด้วยความเจ็บปวดอันน่าเหลือเชื่อ รู้สึกราวกับว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังทิ่มแทงไปที่กระดูกของเธอเลยทีเดียว เธอเหงื่อท่วมตัวและไม่ช้าก็เริ่มอาเจียร ความเจ็บปวดแสนทรมานยิ่งนักจนเธอไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิงที่จะกลับไปหลับต่อได้อีก เธอรู้สึกว่านั่นเป็นเหมือนโรคมะเร็งเลยทีเดียว โรคท้องมานจากภาวะตับแข็งกำลังขโมยชีวิตของเธอไปจากเธอ เธอยังรู้อีกด้วยว่าเธอไม่สามารถติเตียนพระเจ้าได้อีกต่อไปหรือทำการเรียกร้องจากพระองค์ได้อีก

แล้วเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้ดวงจิตของเธอสงบลงได้และผ่อนบรรเทาความทุกข์ของเธอได้ และดังนั้นเองโดยปราศจากการลังเล เธอได้ลุกขึ้นนั่ง คว้าหนังสือพระวจนะของพระเจ้า และอ่านข้อความนี้ “เนื่องจากพระผู้สร้างได้ทรงกำหนดชุดของรูปการณ์แวดล้อมที่ตายตัวสำหรับกำเนิดของบุคคลหนึ่งเอาไว้แล้ว มันจึงไม่จำเป็นต้องพูดว่า พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมชุดรูปการณ์แวดล้อมที่ตายตัวสำหรับความตายของคนเราไว้แล้วเช่นกัน พูดอีกอย่างว่า ไม่มีใครเลยที่เกิดมาโดยบังเอิญ ไม่มีความตายของใครเลยที่มาถึงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และทั้งการเกิดและความตายนั้นจำเป็นต้องเชื่อมโยงสัมพันธ์กับชีวิตในปัจจุบันและชีวิตก่อนหน้าของคนเรา ทั้งรูปการณ์แวดล้อมของการเกิดและความตายของคนเราได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วโดยพระผู้สร้าง นี่คือชะตาลิขิตของบุคคล ชะตากรรมของบุคคล…ทุกคนต้องการกำเนิดที่เด่นดัง ชีวิตที่เจิดจรัส และความตายที่มีเกียรติ แต่ไม่มีใครเลยที่สามารถไปไกลเกินกว่าชะตาลิขิตของพวกเขาเองได้ ไม่มีใครเลยที่สามารถหลีกพ้นอธิปไตยของพระผู้สร้างได้ นี่เป็นชะตากรรมของมนุษย์ มนุษย์สามารถวางแผนได้ทุกประเภทสำหรับอนาคตของพวกเขา แต่ไม่มีใครเลยที่สามารถวางแผนลักษณะและเวลาเกิดของพวกเขาและของการลาจากโลกนี้ของพวกเขา แม้ว่าผู้คนทำดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงและต้านทานการมาของความตาย ความตายก็ยังคงคืบคลานเข้ามาใกล้อย่างเงียบกริบโดยที่พวกเขาไม่รู้เลยอยู่ดี ไม่มีใครเลยที่รู้ว่าเมื่อไรหรืออย่างไรที่พวกเขาจะพินาศลง ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ว่าเมื่อไรมันจะเกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่มนุษยชาติที่กุมพลังอำนาจของชีวิตและความตายเอาไว้ ไม่ใช่ความเป็นอยู่บางอย่างในพิภพธรรมชาติ แต่เป็นพระผู้สร้างผู้ซึ่งทรงมีสิทธิอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์ ชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ไม่ใช่ผลงานของกฎบางอย่างแห่งพิภพธรรมชาติ แต่เป็นผลสืบเนื่องของอธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง(“พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3”)

พระวจนะของพระเจ้าเต็มไปด้วยสิทธิอำนาจ เปิดโอกาสให้หยวน ซิ่วเข้าใจว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเวลาการเกิดและการตายของทุกบุคคลได้รับการกำหนดและการจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า บางคนอ่อนแอและขี้โรคมาตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา แต่ก็ยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงวัยชรา ขณะที่บางคนโดยปกติแล้วมีสุขภาพดีมาก แต่แล้วก็กลับล้มป่วยและเสียชีวิตอย่างกระทันหัน ข้อเท็จจริงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนไม่มีการควบคุมเหนือชะตากรรมของพวกเขาเอง หยวน ซิ่วตระหนักว่าแม้ว่าอาการป่วยของเธอจะร้ายแรงมาก ไม่ว่าเธอจะดีขึ้นหรือไม่ เมื่อนั่นอาจเกิดขึ้นได้ และไม่ว่าเธอจะมีชีวิตอยู่หรือตาย ทั้งหมดก็ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า—พระองค์เป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย ถึงแม้ว่าเธอจะมีเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายเหลืออยู่ในตัวเธอ พระเจ้าก็คงจะทรงไม่ปล่อยให้เธอตายจนกว่าภารกิจที่เธอเกิดมาเพื่อดำเนินการจะครบบริบูรณ์เสียก่อน การนี้ได้นำความสว่างมาสู่หัวใจของหยวน ซิ่วทันที เธอรู้ว่าเธอควรพึ่งพาพระเจ้าและผ่านความเจ็บป่วยของเธอโดยให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า และนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ พระวจนะของพระเจ้าชูใจต่อหัวใจอันบอบบางของหยวน ซิ่ว มอบพละกำลังให้แก่เธอ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเต็มไปด้วยกำลังใจและได้รับความเชื่อที่จะผ่านประสบการณ์พระราชกิจของพระเจ้า

นับจากนั้นเป็นต้นมา หยวน ซิ่วก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างอุทิศตนและร้องเพลงสรรเสริญในการสรรเสริญพระเจ้าทุกวัน เธอทานยาเมื่อเธอควรจะทานและออกกำลังกายต่อไป ในส่วนของโรคภัยไข้เจ็บของเธอว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลง เธอก็กลายเป็นเต็มใจที่จะปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติและเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เมื่อโรคภัยไข้เจ็บของเธอทำให้เธอทรมานจนทนไม่ไหว เธอก็อธิษฐานต่อพระเจ้าและขอพระองค์ให้มอบพละกำลังที่จะไม่พร่ำบ่นต่อพระองค์ และไม่กลัวตาย เมื่อเธอแอบได้ยินญาติๆ หรือพวกเพื่อนบ้านของเธอซุบซิบนินทาอย่างไร้สาระเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของเธอ เธอก็จะสงบตัวเธอเองเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึ่งพาพระเจ้าเพื่อเธอจะไม่ถูกรบกวนหรือรู้สึกถูกบีบบังคับโดยการพูดของพวกเขา นี่คือวิธีที่หยวน ซิ่วรักษาท่าทีที่เต็มไปด้วยสันติสุขและจิตใจที่สงบในทุกๆ วันที่ผ่านไป อาการเจ็บป่วยของเธอเริ่มดีขึ้นทีละน้อย และเธอได้เริ่มทำงานบ้านจนถึงระดับที่เธอเคยสามารถทำได้

ไม่นานหลังจากนั้น คริสตจักรก็ได้จัดการเตรียมการให้พี่น้องชายหญิงบางคนจัดการชุมนุมที่บ้านของหยวน ซิ่ว เพราะอาการป่วยของเธอ ดังนั้นทุกๆ สองสามวันเธอสามารถมีส่วนร่วมในการชุมนุมและอ่านพระวจนะของพระเจ้ากับคนอื่นๆ และมีสามัคคีธรรมบนความเข้าใจและประสบการณ์จากพระวจนะของพระเจ้า เธอใช้ชีวิตทุกวันภายในการทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า และเธอเริ่มรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ เธอดูจะไม่ใช่คนที่เจ็บป่วยมากอีกต่อไป—เธอขอบคุณพระเจ้าจากหัวใจของเธอ

การระลึกรู้กฎเกณฑ์ของพระเจ้าหลังจากการฟื้นตัวอย่างน่าอัศจรรย์ของเธอ

หยวน ซิ่วไปโรงพยาบาลเพื่อไปตรวจอาการในวันหนึ่ง และเมื่อคุณหมอดูผลตรวจของเธอ เขาก็พูดด้วยความหลาดใจว่า “คุณได้ใช้ยาตัวใหม่บางชนิดมาหรือ? คุณสามารถฟื้นตัวดีมากได้อย่างไร? คุณฟื้นฟูการทำงานของตับของคุณได้และอาการท้องมานก็ไม่เกิดขึ้นแล้ว เหลือเชื่อจริงๆ!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ทำให้หยวน ซิ่วตื่นเต้นมาก และเธอรู้ดีจากส่วนลึกในหัวใจของเธอว่านี่คือการทรงกระทำที่มหัศจรรย์ของพระเจ้า ว่าพระองค์คือองค์หนึ่งเดียวที่รักษาเธอ เธอคิดถึงคนอื่นๆ ที่เป็นโรคท้องมานจากภาวะตับแข็งอีกด้วย ลูกสาวของมิสซิสฝูจากหมู่บ้านของเธอและมิสเตอร์วูจากหมู่บ้านถัดไป—พวกเขาได้ไปโรงพยาบาลใหญ่เป็นเวลาหลายเดือนเพื่อรับการรักษาและหมดเงินจำนวนมากไปกับการรักษา แต่พวกเขาก็ลงเอยด้วยการเสียชีวิต อีกนัยหนึ่งนั้น เธอได้พึ่งพาพระเจ้าและอยู่ภายใต้การทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า เธอฟื้นตัวอย่างน่าอัศจรรย์จากความเจ็บไข้ได้ป่วยของเธอ เธอได้ให้การขอบพระคุณที่แท้จริงต่อพระเจ้า!

ระหว่างทางกลับบ้าน หยวน ซิ่วเดินอย่างมั่นคงด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ ผู้คนจากหมู่บ้านของเธอทุกคนต่างก็มองดูตกตะลึง เมื่อพวกเขาได้ทราบข่าวการฟื้นตัวของเธอ เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของพวกเขา หยวน ซิ่วรู้อยู่ในหัวใจของเธอว่าการได้รับสุขภาพของเธอกลับมาอีกครั้งหนึ่งเป็นเพราะพระคุณของพระเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์—เป็นร่างทรงแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์อย่างแท้จริง! ดังที่พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่า “สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าไม่ถูกจำกัดโดยเวลา ภูมิประเทศ พื้นที่ หรือบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งใดๆ ความกว้างของสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์นั้นเหนือจินตนาการของมนุษย์ มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถหยั่งลึกได้ มนุษย์ไม่สามารถจินตนาการได้ และมนุษย์จะไม่มีวันรู้จักโดยครบบริบูรณ์(“พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1”)

หลังจากที่ได้ผ่านการทดสอบของการเผชิญหน้ากับความตายของเธอ มุมมองที่ผิดของหยวน ซิ่วเกี่ยวกับความเชื่อของเธอก็ถูกทำให้เปลี่ยนไปและเธอได้รับความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้า ความเชื่อของเธอได้รับการเสริมสร้างกำลัง เธอรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าพระวจนะของพระเจ้าล้ำค่ามากเพียงใดและว่าพระวจนะเป็นรากฐานของชีวิตของผู้คน เธอปรารถนาที่จะมุ่งเน้นกับการรับประสบการณ์จากพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ปฏิบัติหน้าที่ของเธอให้ดี และตอบแทนความรักของพระเจ้าไปตลอดช่วงเวลาที่เหลือของเธอ

ก่อนหน้า: หลังการโกหก

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การเปลี่ยนแปลงหลังจากถูกจัดการ

โดย หย่งจื้อ เกาหลี เดือนมีนาฯที่แล้ว ผมรับผิดชอบงานวิดีโอของคริสตจักร ผมไม่เข้าใจหลักธรรมหลายอย่างเพราะยังใหม่อยู่ ผมเลยกังวลอยู่ทุกวัน...

ในที่สุดฉันก็เห็นความจริงเกี่ยวกับตัวเอง

โดย เสินซินเว่ย ประเทศอิตาลี หน้าที่ของฉันในคริสตจักรเมื่อปี 2018 คือแปลเอกสาร ทำงานกับพี่น้องจางและพี่น้องหลิว เราเข้ากันได้ดีมากค่ะ...

ติดต่อเราผ่าน Messenger