วิธีอธิษฐานต่อและวางใจในพระเจ้าเพื่อก้าวผ่านเวลาที่ยากลำบาก

วันที่ 27 เดือน 08 ปี 2020

โดย เจ้าจีฮั่น ประเทศจีน

ขณะที่พวกเราเดินทางผ่านชีวิต พวกเราทุกๆ คนจะได้รับประสบการณ์กับเหตุการณ์เหนือธรรมดาบางอย่างซึ่งกลายเป็นจารึกไว้ในความทรงจำของพวกเราและจะไม่มีวันถูกลืม ประสบการณ์ที่ได้ทิ้งความประทับใจอันลึกซึ้งที่สุดให้ฉันก็คือครั้งที่สามีของฉันมีส่วนเกี่ยวข้องในอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งเป็นเวลาที่ไม่มีใครเลยรู้ว่าเขาจะฟื้นคืนสู่ปกติหรือไม่ และหลายวันถัดมาเป็นช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกสับสนไปหมดและสุดทนแล้ว แต่สิ่งที่แตกต่างไปสำหรับฉันก็คือว่า เพราะพระเจ้าทรงอยู่กับฉันและฉันมีการทรงนำของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงมีการสนับสนุน และโดยผ่านทางการอธิษฐานต่อพระเจ้าและการวางใจในพระองค์ ฉันจึงได้เป็นพยานถึงปาฏิหาริย์ในท่ามกลางความสิ้นหวังของฉัน ในช่วงระหว่างเวลาอันวิบัตินั้น สิ่งที่ฉันได้รับมากขึ้นก็คือการเข้าใจสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้า และการซึ้งคุณค่าที่แท้จริงของความรักของพระเจ้า…

ในเย็นวันที่ 13 สิงหาคม 2014 ฉันกำลังกลับบ้านหลังจากที่ทำธุระเสร็จและมันก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เป็นเวลาพอดีกับที่ฉันไปถึงประตูของชุมชน พี่สาวคนโตของฉันและสามีของเธอและสามีของพี่สาวคนที่สองของฉันได้เรียกฉันให้หยุดโดยไม่คาดคิด ฉันคิดว่านี่มันแปลกมาก กล่าวคือ พวกเขาทั้งหมดกำลังทำอะไรกันที่นี่ดึกป่านนี้แล้ว? ก่อนที่ฉันจะสามารถคิดอะไรได้อีกเกี่ยวกับการนี้ พี่สาวคนโตของฉันก็รีบวิ่งมาหาฉันแล้วพูดขึ้นว่า “จีฮั่น เธอไปอยู่ไหนมา? พวกเรากำลังจะบ้าตายด้วยความกังวล สามีของเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ พี่ชายของเราโทรมา เขาต้องการให้เธอไปที่โรงพยาบาลโดยด่วน” เมื่อฉันได้ยินข่าวร้ายปัจจุบันทันด่วนนี้ แน่นอนว่าฉันแทบไม่เชื่อหูของตัวเองและแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ฉันคิดกับตัวเองว่า “สามีของฉันประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์หรือ? นั่นมันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน? เขายังโทรศัพท์คุยกับลูกชายของเราอยู่เลยช่วงอาหารค่ำ…” ตอนนั้นพี่เขยสองคนของฉันบอกฉันว่าเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์และบอกให้ฉันรู้สิ่งที่คุณหมอได้บอก ว่าสามีของฉันอาการหนักมากและต่อให้เขาจะโชคดีรอดชีวิต ก็มีโอกาสถึง 99 เปอร์เซ็นต์ที่เขาจะมีอาการสมองตาย...ฉันร่ำไห้อย่างที่ไม่อาจปลอบโยนได้เมื่อฉันได้ฟังและรู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา ฉันไม่รู้เลยว่าจะเผชิญหน้ากับการนั้นทั้งหมดอย่างไร

เพราะว่ามันดึกมากแล้ว จึงใช้เวลาพอสมควรที่จะหารถแท็กซี่สักคันที่จะพาพวกเราไปยังโรงพยาบาลประจำเมือง นั่นได้ทำให้ฉันบ้าคลั่งยิ่งเข้าไปอีก โดยกังวลว่าฉันจะไม่ได้เห็นสามีของฉันโดยยังมีชีวิตอีก พอดีกับที่ฉันกำลังรู้สึกท่วมท้นและตื่นตระหนก จู่ๆ ฉันก็คิดถึงเรื่องราวของโยบที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เมื่อการทดสอบทั้งหลายได้เกิดขึ้นกับเขา ทรัพย์สินทั้งหมดของเขาได้ถูกขโมยไป ลูกๆ ของเขาได้มาถึงบทอวสานอันอาภัพอับโชค และตัวเขาเองได้กลายเป็นถูกปกคลุมไปทั่วด้วยฝีที่เลวร้าย แม้ว่าการทดสอบนี้ได้นำพาความเจ็บปวดและความคับแค้นใจอันใหญ่หลวงมาสู่โยบ แต่เขาก็มีพระเจ้าในหัวใจของเขา และเขาได้เลือกที่จะสาปแช่งวันเกิดของเขาเองมากกว่าที่จะพูดอย่างเต็มไปด้วยบาป เขาเชื่อฟังต่อพระเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด ไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงให้ หรือว่าพระเจ้าได้ทรงพรากไป โยบไม่ได้พูดคำพูดพร่ำบ่นแม้แต่คำเดียว แต่ได้ถวายสาธุการแด่พระนามของพระยาห์เวห์และได้เป็นพยานที่กังวานก้องต่อพระเจ้า และดังนั้น ฉันจึงเร่งรีบอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า! เมื่อข้าพระองค์ได้ยินเรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์ของสามีของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ตะลึงจนปากค้างและรู้สึกงุนงงที่สุดเป็นอย่างยิ่ง และข้าพระองค์ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรในขณะนี้ แต่เมื่อข้าพระองค์คิดถึงว่าโยบได้เคารพและเชื่อฟังพระองค์อย่างไร ข้าพระองค์เข้าใจว่าข้าพระองค์ควรจะพยายามเป็นเหมือนเขาและมีความเชื่อในพระองค์ โอ พระเจ้า! ทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ว่าจะมีความหวังใดๆ หรือไม่ที่สามีของข้าพระองค์จะได้รับการรักษาจนหาย ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงรักษาหัวใจของข้าพระองค์ไม่ให้โทษพระองค์ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการตระเตรียมของพระองค์ และวางใจมอบหมายสามีของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” หลังจากที่ฉันได้อธิษฐานแล้ว หัวใจของฉันก็ค่อยๆ สงบลง

หลังจากนั้น พี่เขยของฉันก็หารถแท็กซี่ได้คันหนึ่งและพวกเราก็รีบไปยังโรงพยาบาล เมื่อถึงตอนนั้น มันเลยเวลา 5 นาฬิกาไปแล้ว และสามีของฉันก็ถูกรับตัวไว้ในห้องผู้ป่วยหนักแล้ว ฉันพบเจอหมอคนหนึ่งโดยเร็วและถามเกี่ยวกับอาการของสามีของฉัน คุณหมอพูดอย่างยอมรับว่า “อาการบาดเจ็บของคนไข้รุนแรงมากเกินไป หากเขาโชคดีพอที่จะรอดชีวิต มีโอกาส 99 เปอร์เซ็นต์ที่เขาจะมีอาการสมองตาย คุณต้องเตรียมตัวเองสำหรับความเป็นไปได้นี้และหาเงินอย่างน้อยสองแสนหยวนเป็นค่ารักษาพยาบาล” เมื่อได้ยินการนี้ ฉันแทบจะเป็นลม ฉันรู้สึกวิตกกังวลมาก กล่าวคือ “มันไม่แน่ว่าสามีของฉันจะรอดชีวิต และมันจะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลมากเหลือเกิน หากเป็นว่าการรักษาของเขานั้นไม่ได้ผล เช่นนั้นแล้วไม่เพียงแต่ฉันจะสูญเสียสามีของฉันเท่านั้น แต่ฉันยังจะใช้เงินนั้นทั้งหมดหมดไปโดยไม่ได้อะไรเลยอีกด้วย หากปราศจากผู้ที่เป็นหลักในการหาเงินเลี้ยงครอบครัวในครอบครัวของพวกเรา ลูกชายของฉันกับฉันจะจัดการอย่างไร? หากสามีของฉันกลายเป็นสมองตายจริงๆ ฉันจะรักษาครอบครัวนี้ไว้ได้อย่างไร?” ในตอนนั้น ฉันรู้สึกเหมือนว่าน้ำหนักอันมหาศาลกำลังกดทับมาที่ฉัน กดทับหนักมากจนฉันหายใจไม่ได้ ฉันรู้สึกหมดหนทางอย่างสิ้นเชิงและรู้สึกสับสนว่าจะทำสิ่งใด ทุกสิ่งทุกอย่างมืดมนต่อหน้าต่อตาของฉัน และฉันก็ทรุดตัวลงพิงกำแพงอย่างอ่อนแรง

ในสภาวะหมดหนทางของฉัน ฉันสามารถเพียงเทความเจ็บปวดของฉันออกไปให้พระเจ้าเท่านั้น และดังนั้น ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า โดยพูดว่า “โอ พระเจ้า! วุฒิภาวะของข้าพระองค์นั้นเล็กน้อยยิ่งนัก ตอนนี้ข้าพระองค์อ่อนแอเหลือเกินที่การนี้ได้เกิดขึ้นกับข้าพระองค์ และข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใด โอ พระเจ้า! ขอทรงโปรดให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากที่อธิษฐาน ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง—มนุษย์ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างเงียบเชียบและไม่รู้ตัว ด้วยความอ่อนหวานและหยาดฝน ตลอดจนหยดน้ำค้างจากพระเจ้า เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง—มนุษย์อยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระหัตถ์พระเจ้าโดยไม่รู้ตัว หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกอย่างในชีวิตของเขาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าสิ่งใดและทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง สร้างขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือทุกสรรพสิ่ง(“พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์”) ใช่แล้ว พระเจ้าได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ยังได้ทรงให้ชีวิตแก่พวกเราด้วยเช่นกัน พระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราจำเป็นต้องมีให้พวกเรา และพระองค์ทรงตัดสินและทรงจัดการเตรียมการชะตาลิขิตของพวกเราทุกๆ คน ชีวิตและความตายเป็นเช่นนั้นมากกว่าเสียด้วยซ้ำในพระหัตถ์ของพระองค์ เพราะนี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้า สิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งเช่นฉันไม่มีการควบคุมเหนืออนาคตและชะตาลิขิตของฉัน ดังนั้นฉันจึงควรวางสิ่งนั้นทั้งหมดไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าและนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ แล้วฉันก็นึกถึงเวลาที่โมเสสนำทางคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ เมื่อพวกเขามาถึงถิ่นทุรกันดารและไม่มีสิ่งใดที่จะกิน พระยาห์เวห์ทรงยอมให้มานาตกจากสวรรค์และทรงจัดเตรียมนกกระทาที่เอาไว้กินให้พวกเขา และพระองค์ทรงสัญญากับพวกเขาว่าพระองค์จะทรงให้พวกเขาเพียงพอที่จะกินทุกๆ วัน กระนั้นบางคนก็ไม่มีความเชื่อในพระเจ้าและกลัวว่าพวกเขาจะไม่มีอาหารในวันถัดไป และดังนั้น พวกเขาจึงเก็บมานาบางส่วนเอาไว้กินวันถัดไป แต่เมื่อวันถัดไปมาถึง พวกเขาก็พบว่ามานาไม่เหมาะที่จะกินอีกต่อไปแล้ว จากการนี้ ฉันได้มาเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างผู้ทรงจัดหาและทรงบำรุงเลี้ยงมวลมนุษย์ และตราบเท่าที่พวกเราเชื่อในพระองค์และเชื่อฟังพระองค์อย่างจริงใจ เช่นนั้นแล้วการจัดเตรียมของพระองค์สำหรับพวกเราจะไม่มีวันแห้งเหือด แต่กระนั้นผู้คนก็ไม่มีความเชื่อในพระเจ้าและวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาและวางอุบายสำหรับผลประโยชน์ของพวกเขาเองอยู่เสมอ ณ จุดนี้ ฉันได้ตระหนักโดยผ่านทางการสะท้อนภาพตนเองว่า ฉันไม่ได้มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าและวิตกกังวลและรู้สึกร้อนใจเกี่ยวกับชีวิตในอนาคตของฉันอยู่เสมอ ไม่เพียงแต่การนี้จะไม่สามารถแก้ปัญหาของฉันได้เท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้ามมันยังมีแต่เพิ่มความกดดันและภาระที่ฉันรู้สึก เมื่อคิดถึงการนี้ ฉันได้อธิษฐานต่อพระเจ้า โดยวางใจมอบหมายชีวิตในอนาคตของครอบครัวของฉันไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าได้ทรงทำสิ่งใด ฉันได้พูดในการอธิษฐานของฉัน ฉันได้ปรารถนาเพียงที่จะสามารถนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์เท่านั้น พอดีกับตอนนั้น ความหนักใจและความตึงเครียดที่ฉันรู้สึกก็บรรเทาลงบางส่วน

ฉันมาถึงห้องผู้ป่วยหนักและได้เห็นสามีของฉัน เพราะเขากระดูกศีรษะแตก เลือดจึงไหลออกมาจากหูทั้งสองข้างของเราอยู่เรื่อยๆ เขายังซี่โครงหักอีกด้วย กระดูกต้นขาที่ขาขวาของเขาหัก นิ้วเท้าทั้งหมดบนเท้าซ้ายของเขาหัก ปอดทั้งสองข้างของเขาได้รับบาดเจ็บ และส่วนใหญ่ของร่างกายของเขานั้นมีรอยฟกช้ำดำเขียว ฉันนึกถึงว่าสามีของฉันมีความสุขเหลือเกินอย่างไรเมื่อเช้าวานนี้ และเขาได้โทรศัพท์คุยกับลูกชายของเราเมื่อเย็นวานอย่างไร และตอนนี้เขาเป็นอย่างนี้... ยิ่งฉันคิดถึงการนั้นมากขึ้นเท่าใด ฉันก็ยิ่งรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เจาะหัวใจของฉันมากขึ้นเท่านั้น

ในวันที่สามนับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุ อาการของสามีของฉันจู่ๆ ก็แย่ลง การหายใจของเขากลายเป็นตื้นมากและใบหน้าของเขากลับกลายเป็นซีด ราวกับว่าเขากำลังจะตาย เมื่อมองดูสามีของฉัน ครอบครัวของเราก็ร่ำไห้และพูดว่าเขาอาจจะอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งวัน เมื่อคิดว่าสามีของฉันกำลังจะจากพวกเราไป หัวใจของฉันก็ถูกผ่าออกด้วยความเศร้าโศกและฉันก็เจ็บปวดสุดขีด ในเวลาเดียวกัน ฉันได้ล่วงรู้ว่าผู้คนนั้นไม่สำคัญเพียงใด และพวกเราไร้หนทางและไร้พลังเพียงใดในขณะที่เผชิญหน้ากับการเจ็บป่วย ทั้งหมดที่ฉันจะสามารถทำได้คืออธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ และมองไปที่พระองค์และวางใจมอบหมายสามีของฉันให้พระองค์ ในเวลานั้น ฉันคิดถึงเพลงสรรเสริญเพลงหนึ่ง “ทางแห่งพระเจ้าไม่สามารถหยั่งลึกได้” ซึ่งกล่าวว่า “พระองค์ทรงดำรงอยู่กับฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ใครเล่าที่รู้จักเข็มทิศของกิจการของพระองค์? ทั้งหมดที่พวกเราเห็นคือธัญพืชหนึ่งเมล็ดบนชายหาดทราย โดยไม่พูดมาก พวกเรารอคอยการใช้งานของพระองค์” ฉันฮัมเพลงนี้อย่างเงียบๆ ในหัวใจของฉันและเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง ว่าพระองค์ทรงตัดสินและทรงดำเนินการทุกสรรพสิ่ง ว่าพระเจ้าทรงกำหนดชีวิต ความตาย ความเจ็บป่วย และอายุที่แก่ชราไว้ล่วงหน้า ตลอดจนกฎเกณฑ์ที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงในทุกสรรพสิ่ง และว่าไม่มีมนุษย์คนใดสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้นได้ นับประสาอะไรที่จะทำลายสิ่งเหล่านั้น เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ตรัสเพียงพระวจนะหนึ่งคำอันเป็นการต่อว่าแก่ลมและทะเล และลมและทะเลก็สงบลง ด้วยพระวจนะหนึ่งคำ องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงเรียกลาซารัสออกมาจากหลุมฝังศพของเขา และเขาได้มามีชีวิตอีกครั้งหลังจากที่ตายไปเป็นเวลาสี่วัน พระเจ้าทรงเก็บกุญแจสู่นรกไว้และทรงควบคุมชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำพาผู้คนกลับสู่ชีวิต เปลี่ยนสิ่งที่ไม่ใช่อะไรเลยเป็นบางสิ่งและบางสิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่อะไรเลย—สิทธิอำนาจของพระเจ้าไม่สามารถประเมินได้! ขณะที่ฉันไตร่ตรองกิจการของพระเจ้า ฉันพบความเชื่อของฉันในพระเจ้าและฉันมาเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า การที่สามีของฉันจะตื่นขึ้นมาอีกหรือไม่นั้น และการบาดเจ็บของเขาจะพัฒนาไปถึงระดับใดนั้น ขึ้นอยู่กับพระเจ้า จากนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า โดยวางใจมอบหมายสามีของฉันให้พระองค์และเต็มใจที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้า

ในเช้าของวันที่สี่ ลูกชายของฉันกับฉันมาที่ห้องผู้ป่วยหนักและถามพยาบาลคนหนึ่งเกี่ยวกับอาการของสามีของฉัน เธอพูดว่าไม่มีพัฒนาการใหม่ๆ แต่ว่าเขาดีขึ้นกว่าที่เขาเคยเป็นเล็กน้อย ฉันร้องไห้ออกมาเป็นน้ำตาแห่งความกตัญญู และฉันมอบถวายคำขอบคุณของฉันและการสรรเสริญของฉันแด่พระเจ้าอย่างเงียบๆ

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป และสามีของฉันก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา คุณหมอพูดกับฉันว่า “เนื่องจากสามีของคุณยังไม่ตื่นขึ้นมา เราต้องย้ายเขาไปยังโรงพยาบาลอีกแห่งเพื่อทำการผ่าตัด คุณจำเป็นที่จะต้องหาเงินอีกหลายแสนหยวนเพื่อชำระค่าผ่าตัด” ขณะที่เขาพูด เขาชี้ไปยังคนไข้อีกรายหนึ่งในห้องผู้ป่วย แล้วพูดว่า “ดูเขาสิ การบาดเจ็บของเขาไม่รุนแรงเท่ากับของสามีของคุณ แต่เขาได้รับการรักษาเป็นเวลาเกิน 10 วันแล้วตอนนี้ และอาการบวมของเขาก็ไม่ได้ลดลง และเขายังไม่รู้สึกตัว เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะย้ายเขาไปยังโรงพยาบาลอีกแห่ง” เมื่อได้ยินคุณหมอพูด ฉันไม่รู้ว่าต้องทำสิ่งใดถึงจะดีที่สุด ฉันวิตกกังวลว่าสามีของฉันจะกลายเป็นคนสมองตาย และฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปหาเงินจากไหนเพื่อชำระค่าผ่าตัดของเขา ในเวลานั้น ฉันกำลังจ่ายค่าธรรมเนียมโรงพยาบาลของสามีของฉันโดยการถอนเงินบัญชีจากบัตรเครดิตของฉัน หากการรักษาของเขาถูกทำให้ล่าช้าเพราะฉันหมดเงิน เช่นนั้นแล้วฉันจะทำอย่างไรเล่า? ในชั่วขณะนั้น ความวิตกกังวล ความร้อนใจ ความเจ็บปวด และการไร้หนทางเอาชนะฉันทั้งหมดในคราวเดียวกัน ทั้งหมดที่ฉันจะสามารถทำได้คืออธิษฐานต่อพระเจ้า มองไปยังพระองค์ และวางใจมอบหมายพระองค์ด้วยสิ่งนั้นทั้งหมด และขอความช่วยเหลือและการทรงนำของพระองค์

ในวันที่สิบ คุณหมอที่เข้าเวรพูดกับฉันว่า “ผมจะติดต่อโรงพยาบาลอื่นให้คุณ หากสามีของคุณไม่รู้สึกตัวในสองวันข้างหน้า เช่นนั้นแล้วเขาจำเป็นที่จะต้องถูกย้าย นี่เป็นเพราะกระดูกต้นขาของสามีของคุณต้องได้รับการผ่าตัดภายในสองสัปดาห์ มิฉะนั้นเขาจะพิการเป็นการถาวร คุณต้องเตรียมเงินประมาณสี่แสนหยวนโดยเร็วเพื่อจ่ายค่าผ่าตัด มันไม่สามารถรอได้จริงๆ...” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉันกลายเป็นวิตกกังวลอย่างไม่น่าเชื่อ และฉันไม่รู้เลยว่าฉันจะสามารถไปหยิบยืมเงินมากขนาดนั้นได้ที่ไหน ครอบครัวได้ให้ของขวัญแก่ตำรวจจราจรเพื่อที่พวกเขาจะสามารถช่วยพวกเราหาผู้ที่ขับรถชนสามีของฉัน แต่ก็เปล่าประโยชน์ ญาติๆ และเพื่อนๆ ของพวกเราเห็นสภาพการณ์ของพวกเราและรู้ว่าพวกเราจะไม่มีวันสามารถจ่ายเงินคืนได้เลย และดังนั้นพวกเขาจึงแค่ให้คำพูดปลอบใจ และไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่เต็มใจจะให้พวกเรายืมเงินใดๆ ความแปรผันของโลกและของความรู้สึกของมนุษย์ทำให้ฉันสิ้นหวัง ขณะที่ร้องไห้อยู่นั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าและพูดว่า “โอ พระเจ้า! ทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ แม้ว่าสามีของข้าพระองค์ไม่รู้สึกตัวเป็นเวลา 10 วันแล้ว แต่เขายังคงมีชีวิตอยู่ และในการนี้ข้าพระองค์สามารถเห็นพระองค์ทรงคุ้มครองปกป้องเขา แต่วันนี้ คุณหมอต้องการให้พวกเราย้ายไปยังโรงพยาบาลอีกแห่ง และการผ่าตัดก็จะแพงเหลือเกิน ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดจริงๆ โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงเสริมกำลังความเชื่อของข้าพระองค์และทรงเปิดหนทางสำหรับข้าพระองค์ ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใด ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะได้รับประสบการณ์กับสิ่งนั้นด้วยหัวใจที่เชื่อฟังดวงหนึ่ง” หลังจากที่อธิษฐานแล้ว ฉันรู้สึกสงบลงเล็กน้อย ตลอดสองสามวันที่ผ่านมานี้ ฉันได้กลายเป็นใกล้กับพระเจ้ามากขึ้นโดยผ่านทางการอธิษฐาน และฉันได้เป็นประจักษ์พยานกิจการอันน่ามหัศจรรย์ของพระเจ้าด้วยตาของฉันเอง ถึงแม้ว่ามีความเป็นไปได้น้อย สามีของฉันก็ยังคงมีชีวิตอยู่ และการนี้ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการเอาพระทัยใส่และการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า ฉันเชื่อว่า ตราบเท่าที่ฉันยังคงอธิษฐานต่อพระเจ้าและวางใจในพระองค์เรื่อยไป พระเจ้าจะทรงนำฉันอย่างแน่นอน ฉันต้องมีความเชื่อในพระเจ้าและไม่ควรจะกลายเป็นท้อใจและไร้หนทางเพราะความล้มเหลวเล็กๆ น้อยๆ เพราะหากฉันเป็น เช่นนั้นแล้วฉันจะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าอย่างไร?

ภายหลัง ฉันได้กลับบ้านเพื่อพยายามหาเงินจำนวนหนึ่ง โดยไม่ได้คาดคิด ลุงของฉันเต็มใจที่จะให้ฉันยืมเงินจำนวนหนึ่ง และที่ดีไปกว่านั้นก็คือ เราเจอตัวผู้ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ พอดีกับตอนนั้น ลูกชายของฉันโทรศัพท์มาหาฉันและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “แม่ พ่อตื่นขึ้นมาแล้ว คุณหมอพูดว่าเขาไม่จำเป็นต้องถูกย้ายไปยังโรงพยาบาลอีกแห่งอีกแล้ว และกำลังจัดการเตรียมการวันที่จะให้พ่อได้รับการผ่าตัด รีบมาโรงพยาบาลเลย...” ขณะที่ฉันฟังลูกชายของฉัน ฉันตื่นเต้นเร้าใจยิ่งนัก น้ำตารินไหลจากตาของฉันและความโศกเศร้าของฉันก็กลายเป็นผสมเข้ากับความชื่นบาน ในหัวใจของฉัน ฉันยังคงขอบคุณพระเจ้าและสรรเสริญกิจการอันน่ามหัศจรรย์ของพระองค์เรื่อยไป

ก่อนที่สามีของฉันเข้ารับการผ่าตัดกระดูกต้นขา คุณหมอได้ให้ฉันเซ็นเอกสารรับรองและหนังสือบอกกล่าวภาวะเจ็บป่วยวิกฤต และพูดกับฉันว่า “แม้ว่าสามีของคุณจะรู้สึกตัวแล้ว แต่เนื่องจากธรรมชาติที่รุนแรงของการบาดเจ็บของเขา ร่างกายของเขาอ่อนแอสุดขีด ตอนนี้เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดซึ่งใช้เวลานานและหากเขาไม่สามารถทนได้ เช่นนั้นแล้วเขาก็จะเริ่มเข้าๆ ออกๆ เตียงผ่าตัด ดังนั้น เราต้องให้ยาระงับความรู้สึกแบบทั่วตัวแก่เขา โดยการทำเช่นนี้ เราเผชิญกับความเสี่ยงที่เขาจะไม่ฟื้นคืนสติหลังการผ่าตัด เราได้เห็นการนี้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วในโรงพยาบาลนี้ ในฐานะญาติของคนไข้ คุณต้องคิดให้รอบคอบเกี่ยวกับว่าคุณต้องการที่จะเสี่ยงครั้งนี้หรือไม่ หรือแค่ปล่อยเขาไว้ในสภาวะปัจจุบันของเขา” หลังจากที่คุณหมอพูดจบ ฉันก็ถูกทิ้งให้อยู่ในความวุ่นวายจากความไม่แน่ใจ ฉันรู้สึกสับสนและชั่ววูบหนึ่งนั้นฉันไม่รู้ว่าฉันจะสามารถตัดสินใจครั้งนี้ได้อย่างไร แล้วฉันก็นึกถึงว่าสามีของฉันผ่านพ้นเวลา 10 วันที่ผ่านมาในโรงพยาบาลอย่างไรโดยไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายมากเกินไป ไม่เพียงแต่เขาไม่ได้ถูกย้ายไปยังโรงพยาบาลอีกแห่งเท่านั้น แต่กลับรู้สึกตัวขึ้นก่อนการผ่าตัดแทน—เหล่านี้ไม่ได้เป็นกิจการอันน่ามหัศจรรย์ของพระเจ้าหรอกหรือ? ในขณะที่คนไข้ที่ไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงเท่ากับสามีของฉันยังไม่รู้สึกตัวขึ้นมาทั้งๆ ที่ได้รับการรักษามาเกิน 10 วันแล้ว ในท้ายที่สุด คนไข้รายนั้นก็ต้องถูกย้ายไปยังโรงพยาบาลอีกแห่ง และก็ไม่แน่ว่าเขาจะรอดชีวิตหรือไม่ ฉันนึกถึงว่าสามีของฉันได้รับการคุ้มครองปกป้องโดยพระเจ้ามาโดยตลอดอย่างไร ดังนั้นสิ่งใดก็ตามที่ตามมาเป็นลำดับถัดไปก็จะยังคงตัดสินโดยพระเจ้าด้วยเช่นกัน ชีวิต ความตาย ความมีโชค โชคร้ายของมนุษย์ล้วนแล้วแต่ถูกอุ้มไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และฉันต้องนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการตระเตรียมของพระเจ้า และดังนั้นฉันจึงไม่คิดสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีก และขณะที่ฉันเซ็นชื่อในแบบฟอร์มทั้งหลาย ฉันพูดต่อพระเจ้าในการอธิษฐานโดยเงียบว่า “โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์เชื่อว่าชีวิตและความตายของสามีของข้าพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ใช่บรรดาคุณหมอที่มีอำนาจสุดท้ายเด็ดขาด ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะวางใจในพระองค์และมองพระองค์ขณะที่ข้าพระองค์ได้รับประสบการณ์กับสภาพการณ์นี้ ไม่สำคัญว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับสามีของข้าพระองค์ในท้ายที่สุด ข้าพระองค์เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำนั้นเป็นไปเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด และสิ่งมีชีวิตทรงสร้างขนาดจิ๋วมากอย่างตัวข้าพระองค์เองก็ควรจะเชื่อฟังพระผู้สร้าง”

ฉันไม่ได้คาดหวังว่าการผ่าตัดของสามีของฉันจะผ่านไปด้วยดีนัก และขณะที่ฉันเฝ้ามองเขาถอยออกจากอันตรายทีละนิดๆ ความหนักอึ้งในหัวใจของฉันในที่สุดก็ยอมแพ้ คุณหมอพูดกับฉันด้วยความประหลาดใจว่า “การที่สามีของคุณตื่นขึ้นมานั้นเกินสิ่งที่เราจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง มันคือปาฏิหาริย์จริงๆ!” ฉันรู้ลึกลงไปข้างในว่าทั้งหมดนี้คือการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า และฉันขอบคุณความใจดีมีเมตตาของพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจของฉัน อย่างไรก็ตาม หลังการผ่าตัดสามีของฉันสูญเสียความทรงจำไปทั้งหมดและเขาจำฉันไม่ได้เสียด้วยซ้ำ เขาอารมณ์เสียง่ายและมีไอคิวของเด็กทารก และฉันก็วิตกกังวลอย่างสุดขีด ฉันปรึกษาคุณหมอและถามว่าสามีของฉันจะเป็นเหมือนที่เขาเคยเป็นได้หรือไม่ แต่คุณหมอพูดว่า “เขากำลังทนทุกข์จากความจำเสื่อมหลังการผ่าตัดและมันยากที่จะบอกว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะฟื้นคืนสู่สภาพปกติ เมื่อการบาดเจ็บของสามีของคุณหายเป็นปกติแล้ว เขาสามารถไปที่ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพเพื่อพักฟื้นได้...” ขณะที่ฉันได้ยินเขาพูดเรื่องนี้ ฉันก็เริ่มอ่อนแรงด้วยความวิตกกังวลอีกครั้ง: “หากสามีของฉันยังคงเป็นอย่างนี้ เขาจะเป็นเหมือนคนโง่คนหนึ่ง ฉันสามารถทำสิ่งใดได้?” ด้วยความวิตกกังวลนี้ ฉันไม่สามารถกินหรือนอนได้ และขณะที่ฉันจนปัญญาอยู่นั้นเอง ฉันก็คิดถึงพระวจนะของพระเจ้าว่า “นั่นคือ ผู้คนจะไปที่ใดหลังจากที่พวกเขาตายและมาจุติใหม่ พวกเขาจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง พันธกิจของพวกเขาคืออะไร พวกเขาจะผ่านพบสิ่งบ้างในชีวิต พวกเขาจะสู้ทนกับความล้มเหลวใดบ้าง พวกเขาจะชื่นชมกับพรใดบ้าง พวกเขาจะได้พบใครบ้าง และจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับพวกเขา—ไม่มีใครสามารถทำนายสิ่งเหล่านี้ หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ หรือซ่อนเร้นจากสิ่งเหล่านี้ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทันทีที่ชีวิตของเจ้าได้ถูกกำหนดขึ้น ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นกับเจ้า—ไม่ว่าเจ้าจะพยายามหลีกเลี่ยงมันอย่างไร และไม่ว่าโดยวิธีการใดก็ตาม—เจ้าไม่มีหนทางที่จะฝ่าฝืนครรลองชีวิตที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้เจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณได้(“พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10”) พระวจนะของพระเจ้าได้นำพาฉันให้เข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงกำหนดสรรพสิ่งทั้งมวลที่พวกเราจะได้รับประสบการณ์ในชีวิตของพวกเราไว้ล่วงหน้านานมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความยากลำบากหรือโชควาสนาดี มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเราว่าจะเกิดอะไรขึ้น และพวกเราไม่สามารถคาดการณ์สิ่งนั้นได้ แต่ทุกช่วงระยะที่พวกเราได้รับประสบการณ์โดยตลอดครรลองแห่งชีวิตของพวกเราได้รับการจัดการเตรียมการโดยพระเจ้าอย่างพิถีพิถัน และเจตนารมณ์อันดีของพระองค์อยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด พระเจ้าทรงหวังว่าพวกเราจะมามีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ขณะที่พวกเราได้รับประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมเหล่านี้ และพระองค์ทรงหวังว่าสิ่งเหล่านั้นจะทำให้ชีวิตของพวกเราสามารถเติบโตได้ เมื่อคิดย้อนกลับไปยังประสบการณ์ทั้งหลายของฉันในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา พอดีกับที่ชีวิตของสามีของฉันกำลังจะดับสูญเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้นและฉันกำลังรู้สึกถึงความไร้หนทางและเจ็บปวด ความรู้แจ้งและการทรงนำอันทันกาลทันเวลาของพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่ทำให้ฉันเข้าใจอธิปไตยและสิทธิอำนาจของพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นฉันจึงได้ปล่อยวางความวิตกกังวลในหัวใจของฉันและฉันได้พบความเชื่อที่จะวางใจในพระเจ้า เมื่อฉันกำลังเผชิญหน้ากับค่าใช้จ่ายก้อนโตสำหรับการผ่าตัดและฉันไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใด ฉันได้อธิษฐานอย่างจริงใจต่อพระเจ้าและพระเจ้าได้ทรงเปิดหนทางให้กว้างที่สุดสำหรับฉัน ไม่เพียงแต่พระองค์จะได้ทรงแก้ปัญหาเรื่องการขาดเงินของฉันเท่านั้น แต่พระองค์ยังได้ทรงทำให้สามีของฉันรู้สึกตัวขึ้นมาอีกด้วย หลังจากนั้น ฉันได้รับประสบการณ์กับความรักและการทรงนำของพระเจ้าอย่างแท้จริง พระเจ้าไม่เคยทรงทอดทิ้งฉันแม้ชั่วขณะหนึ่ง และทุกครั้งที่ฉันรู้สึกไร้หนทางและอ่อนแอ พระเจ้าทรงอยู่ที่นั่นเพื่อทรงนำฉันข้ามอุปสรรคทั้งหลายด้วยพระวจนะอันทันกาลทันเวลาของพระองค์ หากปราศจากการทรงนำของพระเจ้า ฉันคงจะไม่ได้รู้ว่าจะก้าวผ่านความเจ็บปวดทั้งหมดนั้นอย่างไร มีเพียงตอนนี้เท่านั้นที่ฉันเข้าใจว่า หากฉันไม่ได้รับประสบการณ์กับสภาพการณ์นี้ เช่นนั้นแล้วฉันคงจะไม่มีวันสามารถรู้จักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ความเข้าใจของฉันเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าคงจะยังคงเป็นทฤษฎีไปตลอดกาล และความเชื่อของฉันในพระเจ้าคงจะไม่ได้เพิ่มขึ้น สภาพการณ์เหล่านี้นำมาซึ่งประโยชน์มากที่สุดต่อชีวิตของฉัน และฉันไม่ปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป และฉันเต็มใจที่จะวางใจในพระเจ้าเพื่อติดตามเส้นทางไปข้างหน้า และฉันเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงนำฉัน

สามีของฉันอยู่ในโรงพยาบาลประจำเมืองเป็นเวลา 21 วันก่อนที่เขาจะถูกย้าย หลังจากนั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าทุกวันและวางสามีของฉันไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และฉันสอนเขาให้พูดและจำสิ่งทั้งหลายทุกประเภทและผู้คนรอบๆ ตัวเขาได้อย่างอดทน โดยที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เขาไม่อารมณ์เสียอีกต่อไปและสามารถจำบรรดาญาติๆ ได้ เมื่อได้เห็นสามีของฉันดีขึ้นวันแล้ววันเล่า ฉันดีใจเหลือเกิน และบรรดาคุณหมอต่างก็พูดกับฉันด้วยความประหลาดใจว่า “มันเหลือเชื่อ ไม่มีใครเลยที่จะคิดว่าเขาจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วเช่นนี้ มันคือปาฏิหาริย์จริงๆ! คนไข้ที่อยู่ถัดไปจากเขาได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์คล้ายๆ กับเขา และยังคงไม่รู้สึกตัวหลังอุบัติเหตุผ่านไป 6 เดือน ยังคงตอบไม่ได้ว่าเขาจะรอดชีวิตหรือไม่ คุณโชคดีอย่างแท้จริง!” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉันยังคงขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าต่อไปในหัวใจของฉัน ด้วยเหตุที่เป็นเพราะการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้าเท่านั้นที่ได้อนุญาตให้สามีของฉันรอดชีวิต

หลังจากสามีของฉันได้รับการปล่อยตัวจากโรงพยาบาลแล้ว การฟื้นตัวของเขาก็เร็วขึ้น ไม่เพียงแต่เขาจะสามารถเดินบนไม้ค้ำยันได้เท่านั้น แต่ความทรงจำพื้นฐานของเขาก็กลับมา ฉันบอกเขาเกี่ยวกับทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ที่เขาถูกรับตัวไว้ในโรงพยาบาล ฉันได้วางในใจพระเจ้าอย่างไร และพระเจ้าได้ทรงนำฉันผ่านพ้นวันแห่งความเจ็บปวดและความอ่อนแอสุดขีดเหล่านั้นอย่างไร ตาของเขาเอ่อล้นด้วยน้ำตาขณะที่เขาพูดกับฉันว่า “เมื่อฉันดีขึ้น ฉันจะเป็นคำพยานว่าพระเจ้าได้ทรงช่วยฉันให้รอด เพื่อที่ผู้คนมากขึ้นจะได้รู้เกี่ยวกับความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าและกิจการอันน่ามหัศจรรย์ของพระองค์” เมื่อฉันได้ยินสามีของฉันพูดเช่นนี้ ฉันรู้สึกถึงความกตัญญูอันแท้จริงสำหรับความรอดของพระเจ้า

โดยผ่านทางประสบการณ์เหนือธรรมดานี้ ฉันได้เห็นกิจการอันน่ามหัศจรรย์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง และฉันได้เห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ปกครองแห่งทุกสรรพสิ่ง อันที่จริงแล้วพระเจ้าทรงควบคุมชีวิตและความตายของบุคคลทุกๆ คน และไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดสามารถล้ำเลิศกว่าฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระองค์ได้โดยเด็ดขาด ตามที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ “ชีวิตของมนุษย์มีกำเนิดที่มาจากพระเจ้า การมีอยู่ของสวรรค์ก็เพราะพระเจ้า และการมีอยู่ของแผ่นดินโลกก็มีต้นกำเนิดมาจากพลังอำนาจของชีวิตของพระเจ้า ไม่มีวัตถุใดที่ครอบครองพลังชีวิตสามารถอยู่เหนืออำนาจอธิปไตยของพระเจ้า และไม่มีสิ่งใดที่มีเรี่ยวแรงสามารถหลบหลีกจากอำนาจครอบครองของพระเจ้า เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ทุกคนจำต้องหมอบราบภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า ทุกคนจำต้องใช้ชีวิตภายใต้การบัญชาของพระเจ้า และไม่มีใครสามารถหลีกหนีจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้(“พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่ทรงสามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้”)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger