ความเจ็บปวดที่ไม่อาจลบเลือน
วันหนึ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2002 ผมถูกตำรวจจับกุมตัวอย่างกะทันหันขณะกำลังทำหน้าที่ พวกนั้นเอาตัวผมไปที่เกสต์เฮาส์ และเอาภาพวิดีโอธุรกรรมธนาคารของผมมาให้ดู สอบสวนผมอย่างเอาเป็นเอาตายว่าผมได้เงินมาจากไหน อาศัยอยู่ที่ไหน ใครเป็นผู้นำคริสตจักร และอื่นๆ เมื่อผมไม่ยอมตอบ พวกตำรวจก็ทรมานผมด้วยวิธีต่างๆ นานา บังคับให้ผมนั่งยองๆ ใช้รองเท้าหนังตบหน้าผมอย่างโหดร้าย มีตำรวจสิบกว่าคนสอบสวนผม ใช้กลวิธี “อดนอน” กับผม หมายความว่าพวกเขาจะไม่ปล่อยให้ผมนอนหลับ ทุกครั้งที่ผมหลับตา พวกตำรวจก็จะตบหน้าผมอย่างแรงหรือเตะผมอย่างโหดร้าย หรือตะโกนเสียงดังใส่หูผมอย่างกะทันหัน จากการที่ต้องอดนอนเป็นเวลานานเช่นนี้ ผมเริ่มสับสน มีไข้สูง เวียนศีรษะ และหูอื้อ ผมถึงกับเริ่มมองเห็นภาพซ้อน จากที่ตำรวจทรมานผมมายี่สิบวัน ร่างกายของผมก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ผมทรุดลงกับพื้นและไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะลุกขึ้นมาได้ ผมลืมตาไม่ขึ้น และความรู้สึกตัวก็เริ่มเลือนลาง แม้แต่การหายใจก็ยังยากลำบาก รู้สึกว่าตัวเองอาจจะตายได้ทุกเมื่อ ผมเต็มไปด้วยความกลัว ไม่อาจหยุดคิดถึงแม่ ภรรยา และลูกๆ ของผมได้ ผมกังวลว่าหากผมตายไป พวกเขาอาจจะทำใจไม่ได้และจะเป็นทุกข์ด้วยความตรอมใจ หลังจากนั้นพวกเขาจะอยู่ต่อไปยังไง? ขณะสติเลือนราง ผมได้ยินตำรวจพูดว่า “พวกหัวดื้อแบบแก ตายไปก็ไม่มีใครสนหรอก! เราจะเอาแกไปฝังในที่ที่ไม่มีใครรู้!” พวกนั้นยังพูดอีกว่า “แค่บอกเรามาว่าแกอาศัยอยู่ที่ไหน แล้วเราจะปิดคดีนี้! เราไม่อยากอดนอนทรมานแกไปทั้งคืนหรอก” ผมคิดในใจว่า “ถ้าคืนนี้ฉันไม่พูดอะไรออกไป ดูท่าแล้วฉันคงจะไม่รอดแน่ บางทีฉันควรจะบอกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กับพวกมันไป” ผมนึกถึงพี่สาวที่ผมอาศัยอยู่ด้วย เธอรู้เรื่องภายในของคริสตจักรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากผมยอมรับว่าพักอยู่ที่บ้านเธอ ก็คงไม่เป็นอันตรายต่อคริสตจักรหรอกใช่ไหม? นี่ก็ผ่านมายี่สิบวันแล้วตั้งแต่ผมถูกจับ หนังสือพระวจนะของพระเจ้าที่บ้านเธอคงถูกย้ายออกไปนานแล้ว ถ้าพวกตำรวจหาหลักฐานอะไรไม่ได้ พวกนั้นก็ทำอะไรพี่สาวคนนั้นไม่ได้ถูกไหม? ผมเอ่ยถึงบ้านของพี่สาวคนนั้น ทันทีที่คำพูดหลุดออกจากปาก สติของผมกลับมาแจ่มชัดในทันใด และเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองได้กลายเป็นยูดาส ผมก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง ทั้งร่างกายของผมชาวาบไปหมด ผมโทษตัวเองและเสียใจอย่างหนัก เกลียดตัวเองที่กลายเป็นยูดาสและขายพี่สาวคนนั้น ผมหวังให้เวลาย้อนกลับไปได้เพื่อจะได้ถอนคำพูดนั้นคืนกลับมา แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ผมคิดถึงตอนที่พี่เขายอมให้ผมพักอยู่ด้วยโดยไม่ห่วงในความปลอดภัยของตัวเอง แต่ผมกลับขายเธอเพื่อช่วยให้ตัวเองรอด มโนธรรมทำให้ผมทุกข์ทรมานยิ่งขึ้น และเกลียดตัวเองที่ไม่มีความเป็นมนุษย์เลย โดยเฉพาะเมื่อผมนึกถึงพระวจนะของพระเจ้า “กับบรรดาผู้ที่ไม่ได้แสดงให้เราเห็นความจงรักภักดีแม้แต่น้อยในระหว่างช่วงเวลาของความทุกข์ลำบาก เราจะไม่ปรานีอีกต่อไป เพราะความปรานีของเราขยายเวลามาเพียงถึงตอนนี้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่มีความชอบให้กับใครก็ตามที่ครั้งหนึ่งเคยทรยศเรา นับประสาอะไรที่เราจะชอบเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาผู้ที่ขายผลประโยชน์ของผองเพื่อนของตน นี่คืออุปนิสัยของเรา ไม่ว่าบุคคลคนนั้นอาจเป็นใครก็ตาม เราจำต้องบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้าว่า ใครก็ตามที่ทำให้เราเสียใจจะไม่ได้รับความเมตตาผ่อนผันจากเราเป็นครั้งที่สอง และใครก็ตามที่สัตย์ซื่อต่อเราตลอดมาจะยังคงอยู่ในหัวใจของเราตลอดกาล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า) พระวจนะเหล่านี้ทิ่มแทงหัวใจผมเหมือนดังมีด ทั้งกล่าวโทษและประณามมโนธรรมของผมยิ่งขึ้น ผมรู้อยู่ในหัวใจว่า พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมและบริสุทธิ์ ไม่ทนต่อการก้าวล่วงของมนุษย์ พระเจ้าทรงเกลียดชังพวกที่ทรยศพระองค์และขายพี่น้องชายหญิงเพื่อเอาตัวรอด ผมกลายเป็นยูดาสที่น่าอับอายเพราะขายพี่สาวคนนั้น และทำร้ายพระหทัยของพระเจ้า ตอนนี้พระเจ้าคงไม่อาจทรงช่วยผมให้รอดได้อีกแล้ว เป็นผมเองที่ตัดขาดเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าของตัวเอง เมื่อคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ ผมรู้สึกเหมือนหัวใจขาดรอนด้วยความเจ็บปวด ผมไม่อาจข่มตาให้หลับได้คืนแล้วคืนเล่า และมีชีวิตอยู่ในความปวดร้าวและการโทษตัวเอง ผมเป็นหนี้ทั้งพระเจ้าและพี่สาวคนนั้น ผมไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ หลังจากนั้น เมื่อตำรวจเห็นว่าไม่สามารถเค้นอะไรเพิ่มเติมจากผมได้อีก พวกเขาก็สร้างข้อหาขึ้นมาและตัดสินโทษผมหนึ่งปีครึ่ง ตอนนั้นร่างกายของผมอ่อนแอมาก ผมจะเริ่มหายใจหอบหนักหลังจากเดินออกกำลังกายนอกห้องขังได้เพียงไม่กี่ก้าว ตำรวจเกรงว่าอาจทำให้ผมเสียชีวิตได้ ก็เลยปล่อยตัวผมด้วยเหตุผลทางการแพทย์หลังจากถูกคุมขังได้ห้าสิบวัน แต่พวกเขาไม่อนุญาตให้ผมออกนอกพื้นที่ ผมต้องรายงานที่อยู่ให้พวกเขารู้ทุกเดือน และไปรายงานเรื่องความนึกคิดของผมที่สถานีตำรวจทุกสามเดือน ในขณะเดียวกัน ตำรวจก็ไปเยือนบ้านของพี่สาวคนนั้น และเธอก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของเธอได้อีกต่อไป
ผมพักอยู่ที่บ้านนานกว่าหนึ่งเดือน แต่แล้วตำรวจก็กลับมาจับผมอีกครั้ง ผมจึงรีบหนีไปทำงานที่อีกเมืองหนึ่ง ไม่นานหลังจากนั้น ตำรวจก็ตามจับผมจนไปเจอที่ไซต์ก่อสร้าง และผมก็หนีออกจากไซต์งานในคืนนั้น นั่นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดสำหรับผม ผมขาดการติดต่อกับคริสตจักร ญาติมิตรก็ตัดขาดจากผม ผมไม่มีที่ให้หลบซ่อนและต้องพเนจรไปทั่ว โดยมักจะไปนอนอยู่ใต้สะพาน ผมรู้สึกสิ้นหวังอย่างยิ่งในเวลานั้น ราวกับว่าพระเจ้าไม่ต้องการผมอีกต่อไป ผมรู้ว่าผมได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า และกรรมสนองเช่นนี้ก็สมควรแล้ว ในความเป็นจริง ผมสามารถสู้ทนต่อความทุกข์ทางกายได้ แต่การสูญเสียพระเจ้า ชีวิตในคริสตจักร และความสามารถที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้า ทำให้ผมปรารถนาความตายมากกว่าการมีชีวิต ผมไม่กล้าที่จะอธิษฐานถึงพระเจ้า และไม่รู้สึกว่าตัวเองคู่ควรที่จะอธิษฐานถึงพระองค์ ผมรู้สึกว่าตัวเองได้กลายเป็นยูดาส คนที่พระเจ้าทรงรังเกียจ พระเจ้าจะยังทรงฟังคำอธิษฐานของผมอยู่ไหม? ผมไม่อาจข่มตาให้หลับได้คืนแล้วคืนเล่า และเต็มไปด้วยความเสียใจอย่างมาก จนผมไม่รู้ว่าตบหน้าตัวเองไปกี่ครั้งแล้ว และหลายครั้งผมต้องการยุติความเจ็บปวดด้วยการตาย ต่อมา ผมนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าและเริ่มเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์มากขึ้นเล็กน้อย พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “วันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้นั้น พวกเขาเชื่อว่าความทุกข์นั้นปราศจากคุณค่า พวกเขาถูกโลกประกาศตัดขาด ชีวิตในบ้านของพวกเขามีปัญหา พวกเขาไม่เป็นที่รักของพระเจ้า และความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของพวกเขามืดมัว ความทุกข์ของผู้คนบางคนไปถึงจุดขีดสุด และความคิดของพวกเขาหันเข้าหาความตาย นี่มิใช่ความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นเป็นคนขลาด พวกเขาไม่มีความเพียรพยายาม พวกเขาอ่อนแอและไร้กำลัง! พระเจ้าทรงใคร่กระหายที่จะให้มนุษย์รักพระองค์ แต่ยิ่งมนุษย์รักพระองค์มากขึ้นเท่าใด ความทุกข์ของมนุษย์ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งมนุษย์รักพระองค์มากขึ้นเท่าใด บททดสอบของมนุษย์ก็จะหนักหนาขึ้นเพียงนั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น) การไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ผมได้ตระหนักว่าสภาพการณ์ที่ผมเผชิญอยู่นั้นคือความชอบธรรมของพระเจ้า เป็นกรรมสนองที่สมควรแล้วสำหรับการกระทำเยี่ยงยูดาสของผม อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงสร้างผมมา ผมจึงไม่ควรเลือกความตายให้ตนเอง ผมควรยอมรับการลงโทษของพระเจ้า วันข้างหน้า เมื่อใดก็ตามที่ผมมีโอกาส ผมจะติดตามพระเจ้าต่อไป ต่อให้นั่นหมายถึงการรับใช้พระเจ้า ผมก็ยินดีที่จะทำ ดังนั้น ผมจึงสลัดความคิดที่จะตายทิ้งไป และคุกเข่าลงร้องไห้พลางอธิษฐานว่า “พระเจ้า! ข้าพระองค์สมควรตาย ข้าพระองค์สมควรถูกสาปแช่ง…” เป็นเวลานานแล้ว นี่คือสิ่งเดียวที่ผมสามารถพูดในการอธิษฐานถึงพระเจ้า ก่อนที่ผมจะสะอื้นจนพูดต่อไม่ได้
ในปี 2008 พี่น้องชายหญิงพบตัวผม และบอกว่าการขายพี่สาวคนนั้นเป็นช่วงจังหวะที่เนื้อหนังของผมอ่อนแอ ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียใหญ่หลวงแก่คริสตจักร พวกเขาบอกว่าผมปฏิบัติหน้าที่อย่างสม่ำเสมอได้ดี และคริสตจักรได้มอบหมายหน้าที่ให้ผมอีกครั้ง จังหวะนั้น ผมซาบซึ้งใจจนร้องไห้ออกมา ผมเชื่อว่าการทรยศพระเจ้าและการเป็นเหมือนยูดาส สมควรถูกลงโทษ ต่อให้นั่นจะหมายถึงการลงนรกก็ตาม แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อผมตามการกระทำผิดของผม พระองค์ประทานโอกาสให้ผมกลับใจ ผมรู้สึกเสียใจและเกลียดตัวเองมากยิ่งขึ้น เมื่อตระหนักว่าผมเป็นหนี้พระเจ้ามากขนาดไหน ผมตั้งมั่นในหัวใจว่า ไม่ว่าต่อไปภายหน้าคริสตจักรจะมอบหมายหน้าที่อะไรให้ผม ผมก็จะถนอมรักษาและลุล่วงหน้าที่เหล่านั้นเพื่อตอบแทนพระเจ้า ต่อมา พรรคคอมมิวนิสต์เริ่มจับกุมผู้เชื่อในหลายพื้นที่ และผู้นำสองคนจากคริสตจักรของเราก็ถูกจับเช่นกัน ไม่นานหลังจากนั้น ผมได้ยินว่าพวกเขาทำตัวเป็นยูดาสและถูกขับไล่ไปจากคริสตจักร ในขณะนั้น ผมคิดกับตัวเองว่า “หากพวกเขาถูกขับไล่เพราะกลายเป็นยูดาส และฉันเองก็เคยทำอย่างนั้น การที่ฉันจะถูกขับออกก็คงเป็นเพียงเรื่องของเวลาใช่ไหม?” เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ผมก็รู้สึกปวดหัวใจอยู่นิดๆ ผมรู้สึกว่าการกระทำผิดของผมนั้นใหญ่หลวงมาก และไม่ว่าผมจะไล่ตามเสาะหาแค่ไหน ความหวังในการได้รับความรอดก็ดูเหมือนจะริบหรี่ บางทีวันหนึ่ง หากผมทำผิดพลาดในการทำหน้าที่ คริสตจักรอาจขับไล่ผมออกไปก็ได้ ผมยิ่งเสียใจมากขึ้นอีก และเกลียดตัวเองที่ไม่ตั้งมั่นในคำพยานของตน หากตอนนั้นผมเพียงแต่ตั้งมั่นในคำพยานของตน ผมก็คงไม่ต้องทุกข์ใจเช่นนี้ ทั้งหมดนั่นก็เพราะผมกลัวความตายมากเกินไป และเลือกที่จะมีชีวิตแบบไร้ค่า ผมก่อเรื่องขึ้นมาเอง และตอนนี้ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา จะไปโทษใครที่ไหนได้ ดังนั้น ผมจึงทุ่มเททำหน้าที่ของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น หวังจะชดเชยการกระทำผิดของตนด้วยการทำความดีมากขึ้น สำหรับพร คำสัญญา คำชูใจและหนุนใจของพระเจ้าต่อผู้คน ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนกับสิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว ต่อมา ขณะที่ผมร่วมจัดระเบียบข้อมูลในการเอาตัวผู้คนออกไป ทุกครั้งที่ผมรวบรวมและจัดระเบียบข้อมูลเกี่ยวกับยูดาสเหล่านั้น นั่นย้ำเตือนให้ผมนึกถึงความเสียหายที่ตัวเองก่อแก่พี่สาวคนนั้นด้วยการทำตัวเป็นยูดาส เรื่องนี้เป็นเหมือนรอยเหล็กร้อนตีตราไว้ในหัวใจของผม ทุกครั้งที่ผมนึกถึง ผมรู้สึกถูกกล่าวโทษและเจ็บปวดเหมือนถูกมีดแทง เรื่องนี้ได้กลายเป็นมลทินและความเจ็บปวดอนันต์ในหัวใจของผม ต่อมา ผมเริ่มเป็นโรคต่างๆ อย่าง โรคหัวใจและความดันโลหิตสูง และสุขภาพของผมก็แย่ลงเรื่อยๆ ผมเริ่มสงสัยว่า นี่เป็นการประสบกับกรรมสนองหรือ? หรือว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งผมแล้ว? สิ่งนี้ทำให้ผมเป็นทุกข์และอ่อนแอในหัวใจหนักขึ้น บางครั้ง เมื่อผมเผยความเสื่อมทรามออกมาในการปฏิบัติหน้าที่ ผมรู้ว่าผมต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง แต่แล้วผมก็นึกถึงว่า การกระทำผิดของผมนั้นใหญ่หลวงเพียงใดและมีธรรมชาติร้ายแรงแค่ไหน และผมก็สงสัยว่า พระเจ้ายังสามารถทรงช่วยผมให้รอดได้หรือไม่? พระองค์จะยังทรงประทานความรู้แจ้งให้ผมเข้าใจความจริงหรือไม่? ด้วยเหตุนี้ ผมจึงใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของความหดหู่
วันหนึ่ง พี่สาวคนหนึ่งได้รู้ถึงสภาวะของผม และได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับประสบการณ์ของเธอเพื่อช่วยผม เธอยังอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ผมฟังอีกด้วย พระเจ้าตรัสว่า “การที่บุคคลจะถูกช่วยให้รอดหรือไม่นั้น พระเจ้าทรงพิจารณาจากระดับความเสื่อมทรามของพวกเขากระนั้นหรือ? พระองค์ทรงพิจารณาว่าจะพิพากษาและตีสอนพวกเขาหรือไม่ตามความร้ายแรงของการฝ่าฝืน หรือว่าตามจำนวนความเสื่อมทรามของพวกเขา? พระองค์ทรงกำหนดบั้นปลายและจุดจบของพวกเขาตามรูปลักษณ์ ภูมิหลังครอบครัว ระดับขีดความสามารถ หรือตามขนาดการทนทุกข์ของพวกเขา? พระเจ้าไม่ทรงใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นพื้นฐานในการตัดสินพระทัย พระองค์ไม่ทรงดูสิ่งเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้น เจ้าต้องเข้าใจว่าในเมื่อพระเจ้าไม่ทรงประเมินผู้คนตามสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็ไม่ควรใช้สิ่งเหล่านี้มาประเมินผู้คนเช่นกัน” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะได้รับความจริง คนเราต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายรอบตัว) จากพระวจนะของพระเจ้า ผมตระหนักได้ว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดจุดจบและบั้นปลายของคนคนหนึ่งตามขนาดของการกระทำผิดของพวกเขา หรือขอบเขตความเสื่อมทรามของพวกเขา กลับกัน พระเจ้าทรงพิจารณาว่ามนุษย์ได้กลับใจอย่างแท้จริงหลังจากการกระทำผิดหรือไม่ และทรงกำหนดจุดจบและบั้นปลายของคนคนหนึ่งในตอนสุดท้ายโดยอิงว่าพวกเขามีความจริงหรือไม่และอุปนิสัยของพวกเขาเปลี่ยนแปลงแล้วหรือไม่ ผมควรปล่อยวางจากมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง แสวงหาความจริง คิดทบทวนและแก้ไขปัญหาของตัวเอง นี่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า การตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ทำให้ผมได้ปลดปล่อยอารมณ์ที่อดกลั้นไว้มาหลายปี ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยน้ำตานองหน้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! หลายปีมานี้ ข้าพระองค์ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่เป็นลบ กังวลเกี่ยวกับโอกาสในอนาคตและบั้นปลายของตัวเอง และไม่คิดถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง ขอบคุณที่ทรงช่วยข้าพระองค์ผ่านทางพี่สาวคนนี้ ข้าพระองค์ยินดีที่จะกลับใจต่อพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า! โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้แก้ไขปัญหาของตังเองด้วยเถิด”
หลังจากอธิษฐาน ผมก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง “การที่ผู้คนจมอยู่ในภาวะอารมณ์ที่หดหู่ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งด้วย ซึ่งก็คือเรื่องจำเพาะบางอย่างที่เกิดขึ้นกับผู้คนก่อนที่พวกเขาจะมีวัยวุฒิ หรือหลังจากที่พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นั่นคือ พวกเขามีการกระทำผิดบางอย่างหรือทำสิ่งที่ไม่รู้จักคิด ทำเรื่องโง่เขลา และเรื่องไม่รู้ความบางอย่าง พวกเขาจมอยู่ในความหดหู่เพราะการกระทำผิดเหล่านี้ เพราะสิ่งที่ไม่รู้จักคิดและไม่รู้ความที่พวกเขาทำลงไป ความหดหู่แบบนี้คือการกล่าวโทษตนเอง และเป็นเครื่องบ่งชี้อย่างหนึ่งเช่นกันว่าพวกเขาเป็นคนแบบใด… เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาฟังคำเทศนาหรือสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง ความหดหู่นี้ย่อมคืบคลานเข้าไปในจิตใจและหัวใจส่วนลึกสุดของพวกเขาอย่างช้าๆ และพวกเขาก็ซักไซ้ไล่เลียงตัวเองโดยถามว่า ‘ฉันทำเช่นนี้ได้หรือ? ฉันสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? ฉันสามารถได้รับความรอดหรือเปล่า? ฉันเป็นคนเช่นใด? ฉันเคยทำเรื่องนั้นมาก่อน ฉันเคยเป็นคนแบบนั้น ฉันเกินจะช่วยให้รอดแล้วใช่ไหม? พระเจ้าจะยังทรงช่วยฉันให้รอดหรือไม่?’ บางคนสามารถปล่อยมือจากภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของตนและทิ้งมันไว้ข้างหลังได้ในบางครั้ง พวกเขาเอาความจริงใจและพละกำลังทั้งหมดที่พวกเขาสามารถรวบรวมได้มาใช้กับการปฏิบัติหน้าที่ ภาระผูกพันและความรับผิดชอบของตน และถึงขนาดสามารถทุ่มเทความรู้สึกนึกคิดและหัวใจทั้งดวงของตนให้กับการไล่ตามเสาะหาความจริงรวมทั้งการใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาก็ทุ่มเทพยายามให้กับพระวจนะของพระเจ้า อย่างไรก็ดี ทันทีที่มีสถานการณ์หรือรูปการณ์พิเศษบางอย่างผ่านเข้ามา ภาวะอารมณ์ที่หดหู่ก็เข้าควบคุมพวกเขาอีกครั้งหนึ่งและทำให้พวกเขารู้สึกอยู่ลึกๆ ในหัวใจของตนว่าถูกกล่าวโทษอีกครั้ง พวกเขาคิดในใจว่า ‘เธอเคยทำเรื่องนั้นมาก่อน และเธอก็เคยเป็นคนแบบนั้น เธอจะสามารถได้รับความรอดกระนั้นหรือ? การปฏิบัติความจริงมีประโยชน์อะไรหรือไม่? พระเจ้าทรงคิดอย่างไรกับสิ่งที่เธอทำลงไป? พระเจ้าจะทรงให้อภัยในสิ่งที่เธอทำลงไปหรือ? การจ่ายราคาแบบนี้ในตอนนี้สามารถชดเชยการกระทำผิดครั้งนั้นได้หรือ?’ พวกเขามักจะติเตียนตนเองและรู้สึกอยู่ลึกๆ ในใจว่าถูกกล่าวโทษ พวกเขานึกสงสัยอยู่เสมอและตั้งคำถามซักไซ้ไล่เลียงตนเองตลอดเวลา พวกเขาไม่เคยทิ้งภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้ไว้ข้างหลังหรือโยนทิ้งไปได้เลย และพวกเขารู้สึกไม่สบายใจตลอดเวลากับเรื่องน่าละอายที่ตนทำลงไป ดังนั้น แม้จะเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่ก็เหมือนพวกเขาไม่เคยฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้และไม่เคยเข้าใจเลย ราวกับพวกเขาไม่รู้ว่าการได้รับความรอดนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับตนหรือไม่ พวกเขาสามารถได้รับการอภัยบาปและการไถ่หรือไม่ หรือพวกเขามีคุณสมบัติที่จะได้รับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้า รวมทั้งความรอดจากพระองค์หรือไม่ พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้เลย ด้วยเหตุที่พวกเขาไม่ได้รับคำตอบใดๆ และเพราะพวกเขาไม่ได้คำวินิจฉัยที่ถูกต้อง พวกเขาจึงรู้สึกหดหู่อยู่ลึกๆ ในใจตลอดเวลา ในส่วนลึกสุดของหัวใจ พวกเขาหวนนึกถึงสิ่งที่ตนเคยทำครั้งแล้วครั้งเล่า ฉายภาพนั้นอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา จดจำทุกสิ่งได้ว่าเริ่มต้นอย่างไรและจบลงอย่างไร จดจำทุกสิ่งได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าพวกเขาจดจำเรื่องนั้นอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็รู้สึกผิดบาปอยู่เสมอ ดังนั้น ตลอดหลายปีมานี้ พวกเขาจึงรู้สึกหดหู่เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง แม้ในยามที่พวกเขากำลังทำหน้าที่ของตน แม้ในยามที่พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลงานบางอย่าง พวกเขายังคงรู้สึกเหมือนตนเองไม่มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงไม่เคยเผชิญหน้าเรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริงตรงๆ และไม่เคยถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องและสำคัญที่สุด พวกเขาเชื่อว่าความผิดพลาดที่พวกเขาได้ทำลงไปหรือสิ่งที่พวกเขาเคยทำไว้ในอดีตถูกผู้คนส่วนใหญ่มองไปในทางที่ไม่ดี หรืออาจถูกผู้คนกล่าวโทษและดูหมิ่น หรือถูกพระเจ้ากล่าวโทษด้วยซ้ำ ไม่ว่าพระราชกิจของพระเจ้าอยู่ในระยะใดหรือพระองค์ได้ตรัสถ้อยดำรัสไว้มากมายเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยเผชิญหน้ากับเรื่องของการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกต้อง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? พวกเขาไม่มีความกล้าที่จะทิ้งความหดหู่ของตนไว้ข้างหลัง นี่คือข้อสรุปสุดท้ายที่คนจำพวกนี้สรุปได้จากการมีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้ และเพราะพวกเขาสรุปความอย่างไม่ถูกต้อง พวกเขาจึงไม่สามารถทิ้งความหดหู่ของตนเอาไว้ข้างหลัง” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) พระวจนะของพระเจ้าแทงใจผม และสิ่งที่พระวจนะเปิดโปงมานั้นคือสภาวะที่แท้จริงของผม ผมถูกจับกุมและทำตัวเป็นยูดาส ทรยศพระเจ้าและขายพี่สาวคนนั้น เรื่องนี้ถูกตีตราลงในหัวใจของผม แม้ว่าคริสตจักรจะรับผมเข้ามาและให้ผมทำหน้าที่ แต่ผมก็ไม่เคยก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปได้เลย ทุกครั้งที่คิดถึงตอนที่ผมทำตัวเป็นยูดาสและความเสียหายที่ผมก่อไว้ให้พี่สาวคนนั้น ผมลงความเห็นว่าตัวเองไม่มีโอกาสได้รับความรอด ทุกครั้งที่ผมดูวิดีโอประสบการณ์ของพี่น้องชายหญิงที่ถูกจับกุมและทรมาน แต่ยังคงตั้งมั่นในคำพยานของตน ผมรู้สึกอับอายและผิดบาป และถูกมโนธรรมของผมกล่าวโทษ ทุกครั้งที่ผมรวบรวมและจัดระเบียบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเอาตัวยูดาสออกไป ผมรู้สึกเหมือนหัวใจถูกมีดแทง และผมเกลียดตัวเองที่ไม่ตั้งมั่นในคำพยานของผมในตอนนั้น หากเพียงแค่ผมตั้งมั่นได้ ผมคงไม่ทรมานหัวใจเช่นนี้ แม้ว่าภายนอกผมจะปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่ภายในผมรู้สึกหดหู่อยู่ตลอด รู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่น ผมได้ทรยศพระเจ้าและทำตัวเป็นยูดาส บุคคลที่พระเจ้าทรงรังเกียจ พระเจ้ายังทรงต้องการผมอยู่ไหม? พระองค์จะยังทรงช่วยผมให้รอดไหม? เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ผมก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความไม่สบายใจ ผมไม่กล้าอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกว่าพระเจ้าทรงรังเกียจผมและคงจะไม่ทรงฟังคำอธิษฐานของผม การอ่านพระวจนะของพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่ผมอ่านคำตักเตือน การชูใจ คำสัญญา หรือพรใดๆ ผมรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้มีไว้ให้คนอย่างผม ผมไม่สมควรได้รับคำสัญญาหรือพรจากพระเจ้า ผมสมควรได้รับเพียงคำสาปแช่งและการลงโทษ! ผมใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่เข้าใจพระเจ้าผิดมานาน โดยขาดความตั้งใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง พอใจแค่การทำงานให้ดีเพื่อชดใช้การกระทำผิดของผม ในความเป็นจริง พระเจ้าไม่ได้ทรงลิดรอนสิทธิ์ของผมในการกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ และทรงประทานโอกาสให้ผมได้ทำหน้าที่และไล่ตามเสาะหาความจริง ทั้งหมดนี้คือความโปรดปรานของพระเจ้า แต่ผมกลับใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่หดหู่ เมื่อความเสื่อมทรามเผยออกมาในการปฏิบัติหน้าที่ของผม ผมรู้ว่าควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข แต่ทุกครั้งที่ผมนึกถึงตอนที่ได้ทำตัวเป็นยูดาส ผมก็รู้สึกว่าไม่ว่าผมจะพยายามอย่างหนักแค่ไหน หรือไล่ตามเสาะหามากเพียงใด ทุกอย่างก็เปล่าประโยชน์ พระเจ้าจะยังทรงช่วยผู้ที่ทรยศพระองค์ให้รอดได้หรือ? หากผมทำงานให้หนักต่อไปและทำหน้าที่ให้ดีเพื่อชดใช้ความผิด บางที วันหนึ่งพระเจ้าจะทรงเห็นถึงความจงรักภักดีในการลงแรงของผม และการลงโทษก็อาจจะเบาลง ผมแบกการกระทำผิดนั้นอยู่ในใจตลอด และใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่หดหู่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้จะมีหลายสิ่งเกิดขึ้น แต่ผมก็พอใจแค่การได้ทุ่มแทแรงกายและทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จโดยไม่มุ่งเน้นการเข้าสู่ชีวิต ทำให้พลาดโอกาสในการได้รับความจริงไปหลายครั้ง
ขณะที่ผมคิดทบทวนตนเอง ผมได้พบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับพร การปูนบำเหน็จ และการสวมมงกุฎ เรื่องนี้มิได้มีอยู่ในหัวใจของทุกคนหรอกหรือ? เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องนี้มีอยู่ในหัวใจของทุกคน แม้ว่าผู้คนจะไม่พูดถึงเรื่องนี้บ่อยๆ และแม้กระทั่งปิดบังเหตุจูงใจและความอยากได้รับพร ความอยากและเหตุจูงใจนี้ซึ่งอยู่ลึกในหัวใจของผู้คนก็ไม่เคยสั่นคลอนได้เสมอมา ไม่ว่าผู้คนเข้าใจทฤษฎีฝ่ายวิญญาณเท่าไร พวกเขามีประสบการณ์หรือความรู้ใด พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ใด พวกเขาสู้ทนความทุกข์เท่าไร หรือพวกเขาจ่ายราคาไปเท่าไร พวกเขาก็ไม่เคยปล่อยมือจากแรงจูงใจในการได้รับพรซึ่งซ่อนเร้นอยู่ลึกในหัวใจของพวกเขา และออกแรงทำงานเพื่อรับใช้แรงจูงใจนี้อย่างเงียบๆ อยู่เป็นนิตย์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฝังอยู่ลึกที่สุดภายในหัวใจของผู้คนหรอกหรือ? หากไม่มีแรงจูงใจในการได้รับพรนี้ พวกเจ้าจะรู้สึกเช่นไร? พวกเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนและติดตามพระเจ้าด้วยท่าทีเช่นไร? หากแรงจูงใจในการได้รับพรนี้ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจของพวกเขาถูกกำจัดไป ผู้คนจะกลายเป็นอย่างไร? เป็นไปได้ว่าผู้คนจำนวนมากจะกลายเป็นคนคิดลบ ในขณะที่บางคนจะกลายเป็นคนที่ไม่มีแรงจูงใจในหน้าที่ของตน พวกเขาจะสูญสิ้นความสนใจในการเชื่อในพระเจ้าของตน ราวกับว่าวิญญาณของพวกเขาได้อันตรธานไป พวกเขาจะปรากฏออกมาราวกับว่าหัวใจของพวกเขาถูกกระชากไป นี่เป็นเหตุผลที่เรากล่าวว่าแรงจูงใจในการได้รับพรเป็นบางสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ลึกในหัวใจของผู้คน บางทีขณะที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือใช้ชีวิตคริสตจักร พวกเขารู้สึกว่าตนสามารถละทิ้งครอบครัวของตนและสละตนเองเพื่อพระเจ้าได้ด้วยความยินดี และตอนนี้พวกเขามีความรู้ในเรื่องแรงจูงใจของตนที่จะได้รับพร และได้ละวางแรงจูงใจนี้ และไม่ถูกแรงจูงใจนี้ปกครองหรือตีกรอบอีกต่อไป จากนั้นพวกเขาก็คิดว่าตนไม่มีแรงจูงใจที่จะได้รับพรอีกต่อไป แต่พระเจ้าทรงเชื่อเป็นอย่างอื่น ผู้คนมีทัศนะต่อเรื่องทั้งหลายเพียงผิวเผินเท่านั้น เมื่อไม่มีบททดสอบ พวกเขาก็รู้สึกดีกับตนเอง ตราบใดที่พวกเขาไม่ออกจากคริสตจักรหรือไม่ยอมรับพระนามของพระเจ้า และพวกเขายืนกรานในการสละเพื่อพระเจ้า พวกเขาก็เชื่อว่าตนได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว พวกเขารู้สึกว่าตนไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยความมีใจกระตือรือร้นส่วนตนหรือแรงดลใจชั่วขณะในการปฏิบัติหน้าที่ของตนอีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับเชื่อว่าตนสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ และสามารถแสวงหาและปฏิบัติความจริงได้อย่างต่อเนื่องขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน เพื่อให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และพวกเขาสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงบางประการ อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับบั้นปลายและจุดจบของผู้คน พวกเขาจะประพฤติตนอย่างไร? ความจริงถูกเผยให้เห็นอย่างครบถ้วน” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หกข้อบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตในชีวิต) พระเจ้าทรงเปิดโปงว่าความเชื่อของผู้คนในพระองค์มีแรงจูงใจแอบแฝงอยู่ ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์ต่อโชคชะตาและโอกาสในอนาคตของพวกเขา รวมถึงพรส่วนตัวด้วย หากวันหนึ่งพวกเขาไม่สามารถได้รับพร หรือไม่เห็นโชคชะตาหรือโอกาสในอนาคต พวกเขาก็จะรู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นไร้ความหมาย ส่งผลให้ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่หดหู่ใจ ผมนึกถึงเปาโล ตอนแรกเขาต่อต้านองค์พระเยซูเจ้า จับกุมและข่มเหงสาวกของพระองค์ จากนั้น ในระหว่างทางไปดามัสกัส พระเจ้าได้ทรงทำให้เปาโลล้มลงด้วยแสงสว่างอันยิ่งใหญ่ และทรงเรียกให้เขาเป็นอัครทูต เปาโลเผยแผ่ข่าวประเสริฐอยู่หลายปี ในตอนเริ่มต้นก็เพื่อไถ่โทษบาปของเขาและชดใช้ความผิด เขาไม่ได้แสวงหาความจริงเพื่อเปลี่ยนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเลย ผลก็คือ หลังจากทำงานมาหลายปี เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของการต่อต้านพระเจ้า แต่ก็ยังรู้สึกว่าการทำงานหนักหลายปีของเขาได้ไถ่โทษบาปของเขาแล้ว โดยที่คุณงามความดีของเขาหักลบกลบความผิดทั้งหมด และเขาได้ร้องขอมงกุฎจากพระเจ้าอย่างเปิดเผย สุดท้ายพระเจ้าก็ทรงกำจัดเขาออกไป เมื่อคิดทบทวนถึงตัวเอง ผมตระหนักว่าผมเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกับเปาโล เพราะผมขายพี่สาวคนนั้นและทำตัวเป็นยูดาส ผมคิดว่าความหวังที่จะได้รับพรนั้นริบหรี่ โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นผู้นำสองคนในคริสตจักรถูกขับไล่เพราะกลายเป็นยูดาส ผมกังวลว่าผมคงจะถูกขับไล่ออกจากคริสตจักรสักวันหนึ่งเช่นกัน ผมกลายเป็นคิดลบและหดหู่ ไม่มีความตั้งใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง และรู้สึกว่าพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยผมให้รอดอีกต่อไป ไม่ว่าผมจะพยายามหรือไล่ตามเสาะหาหนักแค่ไหน ก็คงไม่มีจุดจบหรือบั้นปลายที่ดีสำหรับผม ผมได้เห็นว่าจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของผมนั้นก็เพื่อให้ได้รับพร ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับความจริงและนบนอบพระเจ้า หรือเพื่อทำให้พระองค์พอพระทัยโดยการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมถูกการกระทำผิดของตัวเองหลอกหลอนอยู่เสมอ กังวลเกี่ยวกับโอกาสในอนาคตและจุดหมายปลายทางของตัวเอง แม้ว่าผมจะรู้สึกเสียใจและเกลียดชังการกระทำผิดของตนเองอยู่บ้าง แต่มุมมองที่ฝังรากลึกในการไล่ตามเลาะหาพรก็ไม่ได้ถูกแก้ไข สิ่งนี้ทำให้ผมตระหนักได้ว่าผมยังไม่ได้กลับใจต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่เป็นการพยายามไถ่โทษให้การกระทำผิดของตัวเองเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยการยอมลำบากและสละตนแทน เพื่อให้มโนธรรมของผมไม่กล่าวโทษตัวผมอีกต่อไป ผมเห็นว่าผมยังคงแสวงหาการทำธุรกรรมกับพระเจ้าหลังจากที่ได้กระทำความชั่วใหญ่หลวงเช่นนั้น นี่เป็นสิ่งที่น่าเกลียด เห็นแก่ตัว และแลวทรามโดยแท้ สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกสำนึกผิดและเกลียดตัวเองมากขึ้นอีก
ขณะกำลังแสวงหา ผมได้พบกับพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน ที่ช่วยให้ผมเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์มากขึ้นเล็กน้อย พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้คนส่วนใหญ่ฝ่าฝืนและทำให้ตัวเองมีมลทินในบางหนทาง ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนต้านทานพระเจ้าและพูดสิ่งที่เป็นการหมิ่นประมาททั้งหลาย ผู้คนบางคนปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้าและไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน และถูกพระเจ้าเดียดฉันท์ ผู้คนบางคนทรยศพระเจ้าเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับการทดลอง บางคนทรยศพระเจ้าด้วยการลงนามใน ‘จดหมายสามฉบับ’ เมื่อพวกเขาถูกจับกุม บางคนลอบลักเครื่องบูชา บางคนผลาญเครื่องบูชา บางคนก่อกวนชีวิตคริสตจักรและก่อความเสียหายให้แก่ผู้คนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอยู่บ่อยครั้ง บางคนแบ่งพรรคแบ่งพวกและจัดการกับคนอื่นอย่างหยาบคาย สร้างความโกลาหลให้กับคริสตจักร บางคนมักจะเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดและความตาย ทำความเสียหายให้พี่น้องชายหญิง และบางคนมีส่วนร่วมในการผิดประเวณีและความมักมาก และเป็นอิทธิพลที่เลวร้าย พอจะกล่าวได้ว่า ทุกคนมีการฝ่าฝืนและความด่างพร้อยทั้งหลายของตน แต่ผู้คนบางคนยังสามารถยอมรับความจริงและกลับใจ ในขณะที่คนอื่นไม่สามารถทำได้และคงตายเสียก่อนที่จะได้กลับใจ ดังนั้นผู้คนควรได้รับการปฏิบัติตามแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาและพฤติกรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพวกเขา บรรดาผู้ที่สามารถกลับใจคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง ผู้ที่ควรถูกคัดออกและไล่ออกไปจะถูกคัดออกและไล่ออกไป ผู้คนบางคนเลวทราม บางคนไม่รู้ความ บางคนโง่เขลา และบางคนเป็นสัตว์ร้าย ทุกคนแตกต่างกัน คนเลวบางคนถูกวิญญาณชั่วเข้าครอง ในขณะที่คนอื่นเป็นลูกสมุนของมารซาตาน บางคนร้ายกาจเป็นพิเศษตามธรรมชาติ ในขณะที่บางคนเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเป็นพิเศษ บางคนโลภในเรื่องของเงินเป็นพิเศษ และคนอื่นๆ ก็เพลิดเพลินกับการมักมากทางเพศ พฤติกรรมของทุกคนแตกต่างกัน ดังนั้นผู้คนควรถูกมองอย่างครอบคลุมโดยสอดคล้องกับธรรมชาติและพฤติกรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพวกเขา… การจัดการของพระเจ้าต่อบุคคลคนหนึ่งไม่ได้ง่ายอย่างที่ผู้คนคิดฝัน เมื่อท่าทีของพระองค์ต่อบุคคลคนหนึ่งคือท่าทีของความเกลียดหรือความรู้สึกรังเกียจ หรือเมื่อเป็นสิ่งที่บุคคลผู้นี้พูดในบริบทที่ได้รับมา พระองค์ทรงมีความเข้าใจอันดีต่อสภาวะของพวกเขา นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจและแก่นแท้ของมนุษย์ ผู้คนคิดอยู่เสมอว่า ‘พระเจ้าทรงมีเพียงเทวสภาพ พระองค์ทรงชอบธรรมและไม่ทนการล่วงเกินจากมนุษย์ พระองค์ไม่ทรงคำนึงถึงความลำบากยากเย็นของมนุษย์หรือดำริในมุมของผู้คน หากบุคคลคนหนึ่งต้านทานพระเจ้า พระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา’ นั่นไม่ใช่วิธีที่สิ่งทั้งหลายเป็นอยู่เลย หากนั่นคือวิธีที่ใครบางคนเข้าใจความชอบธรรมของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์ และการปฏิบัติต่อผู้คนของพระองค์ พวกเขาเข้าใจผิดมหันต์ การที่พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนแต่ละคนนั้นไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ แต่ยึดตามพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พระองค์จะทรงตอบแทนบุคคลแต่ละคนตามสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไป พระเจ้าทรงชอบธรรม และไม่ช้าก็เร็ว พระองค์จะทรงจัดการเรื่องนี้เพื่อให้ผู้คนทั้งหมดเชื่ออย่างทะลุปรุโปร่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) “แต่ละบุคคลที่ยอมรับการพิชิตจากพระวจนะของพระเจ้าย่อมจะมีโอกาสเกินพอที่จะได้รับความรอด ความรอดของพระเจ้าสำหรับผู้คนเหล่านี้แต่ละคนจะเป็นการให้ความกรุณาอันสูงสุดของพระองค์ กล่าวได้อีกนัยว่า พวกเขาจะมองเห็นการยอมผ่อนปรนอย่างถึงที่สุด ตราบเท่าที่ผู้คนหันหลังกลับจากเส้นทางที่ผิด และตราบเท่าที่พวกเขาสามารถกลับใจได้ พระเจ้าจะประทานโอกาสให้พวกเขาได้รับความรอดของพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรละมือจากพรเกี่ยวกับสถานะและทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเรื่องการนำความรอดมาสู่มนุษย์) จากพระวจนะของพระเจ้า ผมได้เข้าใจว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมอย่างแท้จริง ในความชอบธรรมของพระองค์ ไม่ได้มีเพียงการพิพากษาและพระพิโรธเท่านั้น แต่ยังมีความกรุณาและความผ่อนปรนอยู่ด้วย การปฏิบัติที่พระเจ้าทรงทำต่อผู้คนนั้นตั้งมั่นอยู่บนหลักธรรมเป็นพิเศษ พระองค์ไม่ทรงตัดสินโทษพวกเขาจากการกระทำผิดชั่วครั้งชั่วคราว แต่ทรงประเมินอย่างครอบคลุมถึงธรรมชาติและพื้นหลังการกระทำของพวกเขา รวมถึงวุฒิภาวะของพวกเขาและผลจากการกระทำของพวกเขา หากคนคนหนึ่ง ได้ขายใครบางคนด้วยความอ่อนแอชั่วขณะ โดยไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อคริสตจักร และไม่ได้ปฏิเสธหรือทรยศพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ และต่อมาพวกเขากลับใจอย่างแท้จริง พระเจ้าก็ยังทรงแสดงความกรุณาและประทานโอกาสให้พวกเขากลับใจ บางคน หลังจากถูกจับกุม ก็สมรู้ร่วมคิดกับพญานาคใหญ่แดงอย่างเต็มที่ ขายพี่น้องชายหญิงและผลประโยชน์ของคริสตจักร และถึงขั้นเป็นพวกเดียวกับพญานาคใหญ่แดงเลยทีเดียว คนเหล่านี้ถูกเปิดเผยว่าเป็นคนทำชั่วที่เกินกว่าจะไถ่บาปได้ สำหรับบุคคลเช่นนี้ พระเจ้าไม่ทรงแสดงความกรุณา ผมนึกถึงประสบการณ์ของตัวเองที่ถูกจับกุมและถูกทรมาน ถูกผลักให้ถึงขีดจำกัดทางกายจากการอดนอนเป็นเวลานาน จากนั้นจึงขายพี่สาวคนนั้นโดยไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายอย่างสำคัญต่อคริสตจักร หลังจากนั้น ผมรู้สึกสำนึกผิดและเกลียดตัวเองอย่างหนัก การกระทำของผมถือเป็นการกระทำผิดร้ายแรง แต่คริสตจักรก็ยังให้โอกาสผมในการกลับใจ สำหรับผู้นำคริสตจักรสองคนนั้น หลังจากที่พวกเขาถูกจับกุมและโดยไม่ทันได้ทนทรมานใดๆ พวกเขาก็ทำตัวเป็นยูดาสเพราะกลัวความทุกข์ทางกาย ไม่เพียงแต่ลงนามใน “จดหมายสามฉบับ” แต่ยังขายผู้นำและคนทำงานจากคริสตจักรมากกว่าสิบแห่ง ทำให้การทำงานของคริสตจักรหลายแห่งต้องหยุดชะงักและก่อให้เกิดความเสียหายอย่างสำคัญ การกระทำของพวกเขาไม่ใช่เพราะความอ่อนแอชั่วขณะ แต่แก่นแท้ของพวกเขาคือยูดาส และพวกเขาเป็นคนทำชั่วที่ไม่อาจไถ่บาปได้ การตัดสินใจของคริสตจักรในการขับไล่พวกเขาออกไปสอดคล้องกับหลักธรรมอย่างสมบูรณ์ นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า ผมตระหนักได้ว่าผมเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่ไม่รู้จักพระองค์ ผมใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่เข้าใจพระเจ้าผิดและระแวงพระองค์ เชื่อว่าพระเจ้าทรงใจแคบเหมือนมนุษย์ ว่าพระเจ้าจะทรงกล่าวโทษผู้คนทันทีที่พวกเขาก่อการกระทำผิด โดยไม่ประทานโอกาสให้พวกเขาได้รับความรอด ผมเห็นว่าผมได้กลายเป็นคนหลอกลวงและเลวร้ายเพียงใด
ต่อมา ผมได้พบเส้นทางแห่งการปฏิบัติผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “หากผู้คนต้องการแก้ไขความเข้าใจผิดของตนเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วในแง่มุมหนึ่งพวกเขาต้องตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองรวมทั้งชำแหละและเข้าใจความผิดพลาด เส้นทางที่ผิด การกระทำผิด และความประมาทเลินเล่อก่อนหน้านั้นของตน ในหนทางนี้พวกเขาจะสามารถเข้าใจและมองเห็นธรรมชาติของตนเองได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้พวกเขาต้องมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเหตุใดผู้คนจึงหลงออกนอกลู่นอกทางและทำสิ่งต่างๆ มากมายที่ละเมิดหลักธรรมความจริงและธรรมชาติของการกระทำเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต้องเข้าใจอย่างชัดเจนถึงเจตนารมณ์และข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าสำหรับมวลมนุษย์ เหตุใดผู้คนจึงไม่สามารถกระทำการตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเสมอ และเหตุใดพวกเขาจึงขัดกับเจตนารมณ์ของพระองค์และทำสิ่งที่ตนชอบอยู่เป็นนิตย์ จงนำสิ่งเหล่านี้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน เข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน แล้วเจ้าก็จะสามารถพลิกฟื้นสภาวะของตน เปลี่ยนกรอบความคิดของตน และแก้ไขความเข้าใจผิดของตนเกี่ยวกับพระเจ้าได้ บางคนเก็บงำเจตนาที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมเอาไว้เสมอไม่ว่าพวกเขาทำสิ่งใดก็ตาม มีแนวคิดชั่วอยู่ตลอดเวลา และไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าสภาวะภายในของตนถูกต้องหรือไม่ อีกทั้งไม่สามารถแยกแยะสภาวะดังกล่าวตามพระวจนะของพระเจ้า คนเหล่านี้เลอะเลือน ลักษณะเฉพาะที่ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งของคนที่เลอะเลือนก็คือ หลังจากที่พวกเขาทำบางสิ่งที่ไม่ดี พวกเขายังคงคิดลบเมื่อเผชิญกับการถูกตัดแต่ง ถึงขั้นยอมแพ้ให้กับความท้อแท้สิ้นหวังและลงความเห็นว่าตนจบสิ้นแล้วและไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด นี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่น่าเวทนาที่สุดของคนที่เลอะเลือนหรอกหรือ? พวกเขาไม่สามารถทบทวนตัวเองได้ตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่สามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็น นี่ไม่ใช่การเป็นคนเลอะเลือนอย่างยิ่งหรอกหรือ? การยอมแพ้ให้กับความท้อแท้สิ้นหวังสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือ? การดิ้นรนอยู่ในความคิดลบอยู่เสมอสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือ? ผู้คนควรเข้าใจว่าหากตนทำความผิดพลาดหรือมีปัญหา เช่นนั้นแล้วตนก็ควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความผิดพลาดหรือปัญหาดังกล่าว ก่อนอื่นพวกเขาจำเป็นต้องทบทวนและเข้าใจว่าเหตุใดตนจึงกระทำชั่ว เจตนาและจุดเริ่มต้นในการทำเช่นนั้นของตนคืออะไร เหตุใดตนจึงต้องการทำเช่นนั้นและเป้าหมายของตนคือสิ่งใด และมีใครบางคนหนุนใจ ยุยง หรือชักพาตนให้หลงผิดไปทำเช่นนั้นหรือไม่ หรือตนทำเช่นนั้นไปโดยรู้ตัว คำถามเหล่านี้ต้องได้รับการทบทวนและทำความเข้าใจอย่างชัดเจน แล้วพวกเขาจึงจะสามารถรู้ได้ว่าตนทำความผิดพลาดอะไรและตนเองนั้นเป็นอะไร หากเจ้าไม่สามารถตระหนักรู้แก่นแท้ของการทำชั่วของตนหรือเรียนรู้บทเรียนจากการทำชั่วดังกล่าว เช่นนั้นแล้วปัญหาย่อมไม่สามารถได้รับการแก้ไข คนมากมายทำสิ่งที่ไม่ดีและไม่เคยทบทวนตัวเองเลย แล้วคนเช่นนั้นสามารถกลับใจอย่างแท้จริงได้หรือ? มีความหวังใดสำหรับความรอดของพวกเขาหรือไม่? มวลมนุษย์คือผู้สืบสำดานของซาตาน และไม่ว่าพวกเขาได้ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือไม่ แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาก็เหมือนกัน พวกเขาควรทบทวนตัวเองและทำความเข้าใจตนเองให้มากขึ้น ควรมองเห็นอย่างชัดเจนว่าตนขัดขืนและกบฏต่อพระเจ้าในระดับใด และตนยังสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้หรือไม่ หากพวกเขามองเห็นการนี้อย่างชัดเจน พวกเขาย่อมจะรู้ว่าตนตกอยู่ในอันตรายมากเพียงใด ในข้อเท็จจริงแล้ว มนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งหมดตกอยู่ในอันตรายตามแก่นแท้ธรรมชาติของตน พวกเขาจำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการยอมรับความจริง และนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขา บางคนได้กระทำชั่วและเผยแก่นแท้ธรรมชาติของตนออกมา ในขณะที่บางคนยังไม่เคยกระทำชั่วแต่ก็ไม่จำเป็นต้องดีกว่าผู้อื่นนัก—พวกเขาก็แค่ยังไม่มีสถานการณ์หรือโอกาสที่จะทำเช่นนั้น เนื่องจากเจ้ามีการกระทำผิดเหล่านี้ เจ้าต้องมีความชัดเจนในหัวใจของตนเกี่ยวกับท่าทีที่เจ้าควรมีในขณะนี้ สิ่งที่เจ้าควรอธิบายเหตุผลเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ต้องประสงค์จะทอดพระเนตร เจ้าต้องอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้ชัดเจนผ่านทางคำอธิษฐานและการแสวงหา เมื่อนั้นเจ้าจึงจะรู้ว่าเจ้าควรไล่ตามเสาะหาอย่างไรในอนาคต และความผิดพลาดที่เจ้าเคยทำในอดีตก็จะไม่ตีกรอบหรือมีอิทธิพลต่อเจ้าอีกต่อไป” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงโดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น คนเราจึงสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดของ…) เมื่อได้ไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ปลาบปลื้มใจอย่างสุดซึ้ง พระเจ้าไม่ได้มองเพียงการกระทำผิดในอดีตของมนุษย์เท่านั้น ตราบใดที่คนคนหนึ่งมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ยอมรับความจริง ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภีกดีและความรับผิดชอบ และแสดงการกลับใจผ่านการกระทำจริง หากพระเจ้าเห็นการเปลี่ยนแปลงของบุคคลนี้ พระองค์จะประทานโอกาสแห่งความรอดให้ ตัวอย่างเช่น เปโตร เมื่อองค์พระเยซูเจ้าถูกจับ เปโตรปฏิเสธพระองค์ถึงสามครั้ง เขาเสียใจอย่างสุดซึ้ง และหลังจากนั้นก็มุ่งมั่นในการไล่ตามเสาะหาความจริง แสวงหาที่จะรักและนบนอบพระองค์ สุดท้าย เปโตรก็ถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้า เป็นคำพยานอันงดงาม อีกตัวอย่างหนึ่งคือดาวิด เขาได้ภรรยาของอุรียาห์มา และพบกับการลงโทษอย่างรุนแรงจากพระเจ้า เดวิดรู้สึกสำนึกผิดอย่างสุดซึ้ง และไม่เคยทำการล่วงเกินซ้ำอีก แม้ในวัยชราขณะมีเด็กสาวมานอนเคียงกายเพื่อให้ความอบอุ่น เขาใช้ชีวิตไปกับการเตรียมสร้างพระวิหาร และนำประชาชนอิสราเอลในการนมัสการพระเจ้า แสดงการกลับใจต่อพระเจ้าผ่านการกระทำจริง การทบทวนถึงประสบการณ์ของเปโตรและดาวิดทำให้ผมเห็นหนทางข้างหน้า ผมจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับการกระทำผิดของตนเองอย่างถูกต้อง คิดทบทวนตัวเองอย่างถ่องแท้ แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขการกระทำผิดของผม และกลับใจอย่างแท้จริงต่อพระเจ้า ต่อมา ผมตระหนักว่าการสูญเสียคำพยานของผมโดยการขายพี่สาวคนนั้นเกิดจากสองเหตุผลหลัก ประการแรก ความรักใคร่ผูกพันเข้าครอบงำผม เมื่อเจ้าหน้าที่ทรมานและคุกคามชีวิตผม ผมไม่สามารถปล่อยวางแม่ ลูกๆ และภรรยาของผมได้ ผมกลัวว่าหากผมตายไป พวกเขาจะทำใจรับเหตุร้ายนั้นไม่ไหว ดังนั้น ผมจึงทรยศพระเจ้าและขายพี่สาวคนนั้น ทำตัวเป็นยูดาสที่น่าละอาย ในความเป็นจริง ชะตากรรมของครอบครัวผมอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ความทุกข์หรือความเจ็บปวดใดๆ ที่พวกเขาจะต้องสู้ทนในชีวิตนั้นได้ถูกพระเจ้าลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว ต่อให้ผมจะอยู่เคียงข้างพวกเขา พวกเขาก็ยังคงต้องเผชิญความทุกข์ที่เป็นของพวกเขาอยู่ นี่คือสิ่งที่ผมไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้เลย แต่ผมมองไม่เห็นความจริงเหล่านี้ ผมยังคงถูกความรักใคร่ผูกพันบีบบังคับ ผมช่างโง่เขลาเสียจริง อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ผมไม่สามารถมองทะลุถึงเรื่องของความตาย ผมไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า เมื่อผมถูกตำรวจทรมานมาเป็นเวลายี่สิบวัน ความอดทนทางกายของผมมาถึงขีดจำกัด ในขณะนั้น ผมรู้สึกกลัวความตายเป็นพิเศษและยอมอ่อนข้อให้ซาตาน ผมคิดถึงสาวกขององค์พระเยซูเจ้า ที่เพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาถูกขว้างด้วยก้อนหินจนตาย ถูกลากด้วยม้า หรือถูกตรึงกางเขน พวกเขาทนต่อการข่มเหงเพื่อความชอบธรรม การตายของพวกเขาเป็นคำพยานแห่งการมีชัยชนะเหนือซาตานและทำให้มันอับอาย และพวกเขาก็เป็นที่จดจำของพระเจ้า องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า: “ใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด” (มัทธิว 16:25) แต่ผมรักตัวกลัวตาย จึงขายพี่สาวคนนั้นและยึดเกาะชีวิตที่ต่ำช้าเอาไว้ แม้ว่าร่างกายของผมยังมีชีวิตอยู่ แต่ทุกวันผมสู้ทนความทรมานใจ ใช้ชีวิตเหมือนซากศพที่เดินได้ ตอนนี้ผมตระหนักแล้วว่า ต่อให้ผมถูกตำรวจทำให้พิการหรือฆ่าจนตายเพราะความเชื่อของผม นั่นก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงชมเชย เมื่อรู้ได้เช่นนี้ ผมก็ตั้งมั่นในหัวใจว่า หากผมถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับอีกครั้ง ต่อให้ต้องพลีอุทิศชีวิต ผมก็จะตั้งมั่นในคำพยานของผมเพื่อพระเจ้าและชดใช้ให้การกระทำผิดในอดีตของผม
ไม่นานหลังจากนั้น คริสตจักรก็เผชิญกับการจับกุมครั้งใหญ่ และคริสตจักรได้จัดแจงให้ผมดูแลงานหลังเกิดเหตุ ผมมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นในระหว่างการหารือเกี่ยวกับงานต่างๆ เน้นการกระทำตามหลักธรรม และลุล่วงต่อหน้าที่รับผิดชอบของผมอย่างสุดความสามารถ ในระหว่างทำหน้าที่ เมื่อใดก็ตามที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผมเผยออกมา ผมก็แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอย่างกระตือรือร้น ผมยังฝึกเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์อีกด้วย ผมตั้งมั่นในหัวใจว่า ต่อให้ไม่มีจุดจบหรือบั้นปลายที่ดีในอนาคตของผม ผมก็จะยังคงพากเพียรลุล่วงหน้าที่ของตนและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างมุ่งมั่น เพื่อผ่อนคลายพระหทัยของพระเจ้าลงไปบ้าง
หลายปีมานี้ผมใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของความหดหู่ แม้ว่าผมจะรู้สึกสำนึกผิดและเกลียดตัวเอง แต่ผมไม่เคยแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของตัวเอง ผลก็คือ ชีวิตของผมไม่ก้าวหน้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และผมพลาดโอกาสในการได้รับความจริงอยู่หลายครั้ง ผ่านการชี้นำจากพระวจนะของพระเจ้า ผมได้แก้ไขความเข้าใจผิดและเครื่องกีดขวางระว่างผมกับพระเจ้า ปลดปล่อยตัวเองจากการผูกมัดและการบีบคั้นของการกระทำผิดของผม ทำให้ผมสามารถทำหน้าที่และไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างปกติ ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างแท้จริงจากก้นบึ้งของหัวใจผม
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ