การเป็นพยานให้พระเจ้าคือการทำหน้าที่อย่างแท้จริง
โดย จูดี, ประเทศเกาหลีใต้ไม่นานมานี้ ฉันได้ดูวิดีโอคำพยานของผู้มาใหม่บางตอน ซึ่งทำให้ฉันได้รับการดลใจอย่างมาก...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ในปี 2021 ฉันมีหน้าที่ดูแลงานให้น้ำในคริสตจักร ช่วงนั้น ผู้นำของพวกเราจะถามถึงความคืบหน้าของงานอยู่บ่อยๆ เพื่อที่จะกำกับดูแลและติดตามงานของพวกเรา ผู้นำจะถามฉันเช่นกันว่ามีปัญหาอะไรในการทำงานหรือไม่ ตอนแรก ฉันจะตอบอย่างตั้งใจ แต่พอผ่านไปสักพัก ฉันก็เริ่มหมดความอดทน ฉันคิดว่า “การต้องรายงานความคืบหน้าช่างกวนใจจริงๆ และทำให้เสียเวลามากด้วย นี่จะไม่ส่งผลกับประสิทธิภาพการทำงานของฉันหรือ? ถ้าผลการทำงานของฉันแย่ ผู้นำจะไม่ปลดฉันหรือ?” พอเข้าใจแบบนี้ ฉันก็เริ่มต่อต้านการกำกับดูแลงานของผู้นำอย่างมาก
ครั้งหนึ่ง ผู้นำส่งจดหมายหาฉัน ถามว่างานเป็นอย่างไรบ้าง เขาถามว่าเดือนนั้นมีคนที่ยอมรับข่าวประเสริฐแล้วกี่คน มีสมาชิกกี่คนที่ไม่ร่วมชุมนุมอย่างสม่ำเสมอ และทำไม พวกเขามีมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาอย่างไร และเราแก้ไขผ่านการสามัคคีธรรมอย่างไร การต้องมาเจอคำถามทั้งหมดนี้ทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย มีเนื้อหาให้พูดถึงเยอะมาก และฉันต้องหารือและช่วยกันคิดกับคนทำงานให้น้ำทุกคน นี่จะทำให้งานล่าช้าเกินไป ฉันรู้สึกต่อต้านว่า “คุณถามหารายละเอียดเยอะมาก—นี่จะทำให้เราล่าช้ากันไปถึงไหน? ถ้าพวกเราไม่มีผลลัพธ์ในงานให้น้ำ คุณจะพูดว่าฉันไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและไม่มีความสามารถรึเปล่า?” พอฉันสังเกตว่าพี่น้องหญิงที่ฉันทำงานด้วยก็สงสัยเช่นกัน ฉันก็คิด “ถ้าพวกเขาคิดว่าสิ่งนี้จะทำให้เกิดความล่าช้า บางทีเราอาจเสนอแนะอะไรด้วยกันก็ได้ แล้วผู้นำจะได้ไม่ถามคำถามที่ละเอียดขนาดนั้นเวลาตามงาน แบบนั้นความขาดตกบกพร่องในงานของฉันจะได้ไม่ถูกเปิดโปงมากนัก” ฉันเลยพูดอย่างติดตลกว่า “ผู้นำจะต้องเป็นห่วงพวกเราแน่เลยถึงได้คอยถามซะละเอียดลออแบบนี้” พอพูดแบบนั้น พี่น้องหญิงคนหนึ่งเห็นด้วยว่า “นี่มันเหมือนกับการไต่สวนเลย!” ทันทีที่ฉันได้ยินพี่น้องหญิงคนนั้นเห็นด้วยกับฉัน ฉันก็ตอบว่า “พวกเราก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว การต้องมาตอบคำถามที่ละเอียดขนาดนี้ กวนใจกันเกินไป นี่จะไม่มีอิทธิพลกับงานให้น้ำของเราหรือ?” พี่น้องหญิงคนอื่นพยักหน้าเห็นด้วย ฉันแอบปลื้มใจว่า “ดูเหมือนฉันจะไม่ใช่คนเดียวที่ต่อต้านเรื่องนี้ เราจะได้เสนอคำแนะนำให้ผู้นำด้วยกัน แบบนั้นเขาจะได้ไม่คอยถามหาความคืบหน้าในงานกับเราตลอด” ด้วยการยุยงของฉัน เมื่อไรก็ตามที่ผู้นำมาเพื่อตามดูความคืบหน้าในงานของเรา คู่ทำงานของฉันจะชักสีหน้า และถึงแม้พวกเธอจะตอบ พวกเธอก็แสดงความคิดเห็นอย่างขอไปที พวกเธอไม่ได้รายงานเกี่ยวกับปัญหาในงานของเราอย่างละเอียด และผลก็คือ ผู้นำไม่สามารถเข้าใจปัญหาที่พวกเรากำลังพบเจออยู่ และงานให้น้ำก็ไม่พัฒนาดีขึ้น
มีอีกครั้งหนึ่ง ผู้นำสังเกตว่าพวกเราไม่มุ่งบ่มเพาะคนทำงานให้น้ำ เขาส่งจดหมายสามัคคีธรรมความสำคัญของงานด้านนี้ และให้เส้นทางปฏิบัติสองสามเส้นทางกับเรา เขายังชี้ให้เห็นว่าพวกเราไม่มีความรับผิดชอบในโครงการนี้ พวกเราเอาเท้าราน้ำและไม่มีประสิทธิผล ผลก็คือ ผู้มาใหม่ไม่ได้รับการฝึกฝนและสิ่งนี้ส่งผลโดยตรงกับงานให้น้ำ เขาขอให้พวกเราเริ่มมุ่งเน้นปัญหานี้ และฝึกฝนผู้มาใหม่บางคนให้เป็นคนให้น้ำโดยเร็ว พออ่านจบ ฉันรู้สึกต่อต้านว่า “นี่ขอกันมากเกินไปแล้ว ผู้มาใหม่เหล่านี้เพิ่งจะเริ่มหน้าที่ของพวกเขา—การจะบ่มเพาะพวกเขาไม่ง่ายอย่างนั้น คุณมีประสบการณ์มากมายกับการบ่มเพาะผู้คน เอาเราไปเทียบไม่ได้!” แล้วฉันก็คิดว่า “ถ้าหากฉันร้องเรียนไปตรงๆ เขาจะคิดว่าฉันเป็นคนทำงานที่ไม่มีความสามารถรึเปล่า? ไม่ได้! ฉันต้องแสดงให้เขาเห็นว่าพวกเราทั้งทีมทำตามข้อเรียกร้องนี้ไม่ได้ แบบนั้นเขาจะไม่มีทางเลือกนอกจากอ่อนข้อให้ และฉันจะไม่ต้องเป็นคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบ” ฉันจึงทำคิ้วขมวด และพูดด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นว่า “ข้อเรียกร้องของผู้นำนั้นมากเกินไป เราไม่มีประสบการณ์มากเท่าเขา” พี่น้องหญิงคนอื่นพยักหน้าเห็นด้วยทันที พี่น้องคนหนึ่งพูดว่า “ผู้นำมีขีดความสามารถที่ดีและทำงานได้มีประสิทธิภาพมาก เราจะเทียบกับเขาได้อย่างไรกัน?” อีกคนว่า “ผู้นำขอจากพวกเรามากเกินไปแล้ว เราจะทำงานนี้ให้เสร็จได้อย่างไร?” ฉันดีใจมากที่ได้เห็นว่าทุกคนเห็นตรงกัน ผู้นำก็จะไม่มีทางเลือกนอกจากอ่อนข้อให้ ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ปลดทั้งทีมไม่ได้! วันถัดมา ฉันตอบจดหมายของผู้นำ และอธิบายปัญหาที่พวกเรามีในการทำงาน พยายามให้เขาเข้าใจสถานการณ์ ท้ายสุด ฉันเติมอีกประโยคว่า “นี่คือปริมาณงานที่เราทำให้เสร็จได้มากที่สุดในขณะนี้ มากกว่านี้จะยาก” และฉันเน้นคำว่า “พวกเรา” ในจดหมาย ผู้นำจะได้รู้ว่านี่เป็นความเห็นร่วมกันของพวกเรา แบบนี้ผู้นำจะได้ไม่ใช้มาตรฐานสูงๆ กับพวกเรา แต่แล้วฉันก็ต้องแปลกใจ ในการชุมนุมครั้งถัดมา ผู้นำจัดการและเปิดโปงฉัน บอกว่าฉันไม่แบกรับภาระในหน้าที่ ไม่มีแรงจูงใจที่จะปรับปรุง คอยเผยแพร่ความคิดลบในหมู่พี่น้องชายหญิง ตั้งกลุ่มและกระตุ้นให้คนอื่นต่อต้านผู้นำด้วยกันกับฉัน บอกว่าฉันไม่ค่อยบ่มเพาะผู้มาใหม่ ขัดขวางงานของคริสตจักร และไม่มีส่วนร่วมใดๆ กับงานของทีม สุดท้าย ฉันก็โดนปลด
พอโดนปลด ฉันก็รู้สึกผิดและอารมณ์เสีย ฉันรู้ว่าฉันได้ก่อปัญหา ทำชั่ว และล่วงเกินพระเจ้า ฉันไม่แสวงหาความจริงเวลาเกิดปัญหาขึ้น เผยแพร่มโนคติอันหลงผิดที่พาทุกคนใช้ชีวิตในสภาวะคิดลบและนิ่งเฉย ฉันได้ขัดขวางงานของคริสตจักรจริงๆ ต่อมา ในขณะที่ไตร่ตรองอยู่ ฉันก็ได้เจอพระวจนะบทตอนนี้ “เพราะในหัวใจของพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์กังขาในแก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์เสมอ และมีอุปนิสัยที่ไม่เชื่อฟังเสมอ เมื่อพระคริสต์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาจึงพินิจพิเคราะห์และหารือถึงสิ่งเหล่านี้เสมอ และขอให้ผู้คนกำหนดว่าสิ่งเหล่านี้ถูกหรือผิด นี่คือปัญหาที่หนักหนาสาหัสมิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาไม่ได้เข้าหาสิ่งเหล่านี้จากมุมมองของการเชื่อฟังความจริง แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับเข้าหาสิ่งเหล่านี้เพื่อต่อต้านพระเจ้า นี่คืออุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ เมื่อพวกเขาได้ฟังพระบัญชาและการจัดการเตรียมงานของพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่ยอมรับและไม่เชื่อฟังสิ่งเหล่านี้ แต่เริ่มหารือกัน และสิ่งที่พวกเขาหารือกันคืออะไร? พวกเขาหารือกันว่าพระวจนะและพระบัญชาของพระคริสต์ถูกหรือผิด และตรวจสอบว่าควรนำสิ่งเหล่านี้ไปดำเนินการหรือไม่ ท่าทีของพวกเขาคือท่าทีที่ต้องการนำสิ่งเหล่านี้ไปดำเนินการจริงๆ หรือไม่? ไม่—พวกเขาต้องการยุยงให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นเป็นเหมือนพวกเขา ยุยงให้ไม่ทำสิ่งเหล่านี้ และการไม่ทำสิ่งเหล่านี้คือการปฏิบัติความจริงว่าด้วยการเชื่อฟังกระนั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ ดังนั้นพวกเขากำลังทำอะไรอยู่? (กำลังกบฏ) พวกเขาไม่เพียงกำลังกบฏต่อพระเจ้าด้วยตนเองเท่านั้น พวกเขากำลังมองหาการกบฏร่วมกันอีกด้วย นี่คือธรรมชาติของการกระทำของพวกเขามิใช่หรือ? การกบฏร่วมกันคือการทำให้ทุกคนเป็นเหมือนตน ทำให้ทุกคนคิดอย่างเดียวกับตน พูดอย่างเดียวกับตน ตัดสินใจเหมือนอย่างตน รวมตัวกันต่อต้านการตัดสินพระทัยและพระบัญชาของพระคริสต์ นี่คือวิธีปฏิบัติการของศัตรูของพระคริสต์ ศัตรูของพระคริสต์เชื่อว่า ‘นั่นไม่ใช่อาชญากรรมถ้าทุกคนทำเหมือนกัน’ ดังนั้นพวกเขาจึงรบเร้าให้ผู้อื่นกบฏต่อพระเจ้า โดยคิดว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ พระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ นี่ไม่โฉดเขลาหรอกหรือ? ความสามารถของพวกศัตรูของพระคริสต์เองในการต่อสู้กับพระเจ้ามีอยู่จำกัดอย่างที่สุด พวกเขาล้วนโดดเดี่ยว ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามเกณฑ์ผู้คนให้มาร่วมกันต่อต้านพระเจ้า โดยคิดอยู่ในหัวใจของตนว่า ‘ฉันจะหลอกผู้คนกลุ่มหนึ่ง ทำให้พวกเขาคิดและทำในหนทางเดียวกันกับฉัน พวกเราจะร่วมกันปฏิเสธพระวจนะของพระคริสต์ ปิดกั้นพระวจนะของพระเจ้า และหยุดยั้งพระวจนะไม่ให้บังเกิดผล และเมื่อใครบางคนมาตรวจงานของฉัน ฉันจะบอกว่าทุกคนตัดสินใจทำแบบนี้—และจากนั้นพวกเราจะดูว่าพระองค์จะทรงรับมือการนั้นอย่างไร ฉันจะไม่ทำงานเพื่อพระองค์ ฉันจะไม่ดำเนินการให้สิ่งนี้เสร็จสิ้น—และมาดูกันว่าพระองค์จะทรงทำอะไรฉัน!’…สิ่งเหล่านี้ที่สำแดงอยู่ในหมู่ศัตรูของพระคริสต์ไม่น่ารังเกียจหรอกหรือ? (สิ่งเหล่านี้น่ารังเกียจเป็นที่สุด) และอะไรทำให้สิ่งเหล่านี้น่ารังเกียจ? ศัตรูเหล่านี้ของพระคริสต์ปรารถนาที่จะยึดอำนาจในพระนิเวศของพระเจ้า ในที่ที่พวกเขาอยู่ไม่มีการนำพระวจนะของพระคริสต์ไปดำเนินการ พวกเขาจะไม่นำพระวจนะไปดำเนินการให้เสร็จสิ้น แน่นอนว่าเมื่อผู้คนไม่สามารถเชื่อฟังพระวจนะของพระคริสต์ก็อาจมีสถานการณ์อีกประเภทหนึ่งเกี่ยวข้องด้วย กล่าวคือ ผู้คนบางคนมีขีดความสามารถอ่อนด้อย พวกเขาไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าเมื่อได้ฟังพระวจนะ และไม่รู้ว่าจะนำพระวจนะไปดำเนินการอย่างไร ต่อให้เจ้าสอนวิธีแก่พวกเขา พวกเขาก็ยังคงทำไม่ได้ นี่คือเรื่องที่ต่างออกไป หัวข้อที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่ในตอนนี้คือแก่นแท้แห่งศัตรูของพระคริสต์ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการที่ผู้คนสามารถทำสิ่งทั้งหลายได้หรือไม่ หรือขีดความสามารถของพวกเขาเป็นเช่นไร นี่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาต่อต้านพระคริสต์ การจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และหลักธรรมของความจริงอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่เชื่อฟัง มีแต่ต่อต้านเท่านั้น ศัตรูของพระคริสต์เป็นเช่นนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบ: พวกเขาดูหมิ่นความจริง ทำผิดหลักธรรมอย่างเปิดเผย และเพิกเฉยต่อการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า (ภาคที่สี่)) พออ่านพระวจนะจบ ฉันถึงรู้ตัว ว่าสิ่งที่ฉันทำเป็นการล่วงเกินที่รุนแรงขนาดนั้น ฉันสะดุดใจเป็นพิเศษกับการเปิดโปงของพระเจ้าว่าศัตรูของพระคริสต์มีอุปนิสัยที่เป็นกบฏ ไม่ยอมรับหรือไม่เต็มใจที่จะนบนอบต่อ คำขอของพระเจ้าและการจัดเตรียมงานของพระนิเวศ เต็มไปด้วยการต่อต้านและการประท้วง และถึงกับหลอกลวงผู้อื่นให้ต่อต้านด้วยกัน พอคิดย้อนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันแสดงพฤติกรรมแบบนั้นเช่นกัน เวลาผู้นำอยากตรวจสอบความคืบหน้าของงานอย่างละเอียด ฉันจะรำคาญและกังวลว่าจะทำให้ฉันล่าช้าในหน้าที่และส่งผลต่อปริมาณงานที่ฉันทำเสร็จ ฉันเลยยอมรับไม่ได้และเผยแพร่อคติเกี่ยวกับผู้นำ ปลุกระดมพี่น้องหญิงคนอื่นให้ลุกขึ้นและกบฏต่อผู้นำร่วมกับฉัน พอผู้นำชี้ว่าพวกเราทำงานช้าเกินไปและไม่มีผลลัพธ์ และแบ่งปันวิธีปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน ฉันก็ต่อต้าน เถียง และไม่นบนอบ ฉันคิดว่าผู้นำคาดหวังมาตรฐานที่สูงเกินไปจากพวกเราไม่เข้าใจปัญหาจริงของเรา พอผู้นำสามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีปรับปรุงประสิทธิภาพของพวกเรา ฉันก็ไม่ฟัง เพื่อให้ผู้นำอ่อนข้อและลดมาตรฐานที่คาดหวังลง และเพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่ไม่ดีในงานของเราไม่ได้มาจากฉันคนเดียว ฉันจึงเผยแพร่ความคิดให้คนอื่นว่าข้อเรียกร้องของผู้นำนั้นสูงเกินไป ยุยงพวกเขาให้เชื่อว่าผู้นำกำลังผลักดันพวกเรามากเกินไป และปลุกระดมพวกเขาให้ต่อต้านกับฉันเพื่อที่ฉันจะไม่ต้องรับผิดชอบคนเดียว ฉันนั้นเจ้าเล่ห์และพูดด้วยเจตนาแอบแฝงและการทรยศเยี่ยงซาตาน ฉันคิดได้แต่ว่าจะใช้คนอื่นอย่างไรให้สัมฤทธิ์เจตนาของฉัน ผู้นำถามถึงรายละเอียดของงานของเรา เพื่อที่จะรู้และแก้ไขปัญหาที่พวกเราเจออย่างทันท่วงที ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเรา และฝึกฝนผู้มาใหม่ให้เริ่มทำหน้าที่ได้อย่างเร็วที่สุด เขาเพียงแค่ทำงานตามข้อเรียกร้องของพระเจ้าและการจัดแจงของคริสตจักร แต่ฉันต่อต้าน ไม่นบนอบ นี่ไม่ใช่การไม่เห็นด้วยกับผู้นำของฉัน นี่คือการต่อต้านงานของคริสตจักรและข้อเรียกร้องของพระเจ้า ฉันทำตัวต่อต้านพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง ฉันหลอกลวงและปลุกปั่นทุกคนให้เข้าข้างฉัน เพื่อให้พวกเราเชื่อและพูดเรื่องเดียวกันในการต่อต้านการจัดแจงของคริสตจักร ฉันได้แสดงอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์และทำตัวเป็นลูกสมุนของซาตาน ฉันพูดในแง่ลบเพื่อหลอกลวงพี่น้องชายหญิง ทำให้พวกเขาไม่มุ่งมั่นที่จะพัฒนา เต็มใจที่จะอยู่ในระดับปัจจุบัน และทำงานอย่างสุกเอาเผากินและฉาบฉวย ผลคืองานให้น้ำไร้ผลอย่างต่อเนื่อง การขัดขวางและก่อกวนการฝึกฝนผู้มาใหม่นั้นคือการทำความชั่ว! พอรู้ตัวแบบนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกกลัวนิดหน่อย ถ้าฉันยังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันจะทำชั่วยิ่งกว่านี้ และสุดท้ายจะเป็นศัตรูของพระคริสต์ ถูกเปิดโปงและขับออกไป การที่คริสตจักรปลดฉันเป็นเครื่องหมายของความชอบธรรมและการทรงคุ้มครองของพระเจ้า ฉันอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ว่า “พระเจ้า การปลดลูกคือ ความชอบธรรมของพระองค์ พอถูกพระวจนะเปิดโปงและพิพากษา ลูกถึงรับรู้อุปนิสัยศัตรูของพระคริสต์ของตัวเอง พระองค์ทรงปกป้องและช่วยลูกให้รอดด้วยการปลดนี้ ขอบคุณพระองค์!”
หลังจากนั้น ฉันเจอพระวจนะของพระเจ้าอีกสองบทตอนที่เปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามแบบนี้ “พวกศัตรูของพระคริสต์เผยแพร่ทฤษฎีเพื่อหลอกผู้คนให้หลงกลบ่อยๆ ไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์จะกำลังดำเนินงานชิ้นใด พวกเขาก็ต้องเป็นผู้ชี้ขาดเสมอ พวกเขาฝ่าฝืนหลักธรรมของความจริงอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเมื่อตัดสินจากสิ่งที่สำแดงอยู่ในหมู่ศัตรูของพระคริสต์ อุปนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์คืออะไรกันแน่? พวกเขารักสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่ พวกเขารักความจริงหรือไม่? พวกเขาเชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่? (ไม่) แก่นแท้ของพวกเขาคือแก่นแท้ของความเหนื่อยหน่ายและเกลียดชังความจริง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังโอหังมากเสียจนพวกเขาสูญสิ้นเหตุผลทั้งมวล และไม่มีแม้แต่มโนธรรมและสำนึกขั้นต่ำสุด พวกเขาไม่เหมาะที่จะเรียกว่าผู้คน ทั้งหมดที่กล่าวได้ก็คือพวกเขาเป็นพวกเดียวกันกับซาตาน—พวกเขาคือปีศาจ ทุกคนที่ไม่ยอมรับความจริงคือปีศาจ ซึ่งไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้เลย” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบ: พวกเขาดูหมิ่นความจริง ทำผิดหลักธรรมอย่างเปิดเผย และเพิกเฉยต่อการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า (ภาคที่สี่)) “ในหัวใจของศัตรูของพระคริสต์ ท่าทีที่พวกเขามีต่อการปฏิบัติความจริงและการเชื่อฟังพระคริสต์คืออะไร? คำเดียว นั่นคือการต่อต้าน พวกเขาต่อต้านไม่หยุด และมีอุปนิสัยเช่นไรอยู่ในการต่อต้านนี้? อะไรก่อให้เกิดการต่อต้าน? การไม่เชื่อฟังคือสิ่งที่ก่อให้เกิดการต่อต้าน ในแง่ของอุปนิสัยแล้ว นี่คือความเหนื่อยหน่ายความจริง คือการมีความไม่เชื่อฟังอยู่ในหัวใจของพวกเขา คือการที่พวกเขาไม่ต้องการเชื่อฟัง และดังนั้น พวกศัตรูของพระคริสต์คิดอะไรอยู่ในหัวใจของตน เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าขอให้ผู้นำและคนทำงานเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกันอย่างกลมเกลียว แทนที่จะเป็นบุคคลคนเดียวมีอำนาจตัดสินใจทุกเรื่อง และขอให้พวกเขาเรียนรู้วิธีหารือสิ่งต่างๆ? ‘การหารือทุกสิ่งกับผู้คนนั้นยุ่งยากเกินไป! ฉันสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ การทำงานร่วมกับผู้อื่น พูดคุยเรื่องนี้กับพวกเขา ทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรม—ช่างโฉดเขลาและน่าขายหน้าเสียจริง!’ พวกศัตรูของพระคริสต์นึกว่าพวกเขาเข้าใจความจริง นึกว่าทุกสิ่งชัดเจนสำหรับพวกเขา ว่าพวกเขามีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและหนทางทำสิ่งต่างๆ ของตนเอง และดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น พวกเขาไม่หารือสิ่งใดกับผู้คน พวกเขาทำทุกสิ่งในหนทางของตนเองและไม่ฟังผู้อื่นเลย! แม้ว่าปากของพวกศัตรูของพระคริสต์จะบอกว่าพวกเขาเต็มใจเชื่อฟังและเต็มใจทำงานร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าภายนอกแล้วคำตอบของพวกเขาจะดูดีเพียงใด ไม่ว่าคำพูดของพวกเขาจะฟังเพราะเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะที่เป็นกบฏของตน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตน อย่างไรก็ตาม ภายในนั้นพวกเขาเป็นกบฏอย่างดุดัน—ถึงเพียงใดกัน? หากอธิบายด้วยภาษาของความรู้ นี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อของสองสิ่งที่มีธรรมชาติแตกต่างกันถูกนำมารวมกัน นั่นคือการปฏิเสธ ซึ่งพวกเราสามารถตีความเป็น ‘การต้านทาน’ นี่คืออุปนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์โดยแท้ กล่าวคือการต่อต้านเบื้องบน พวกเขาชอบต่อต้านเบื้องบนและพวกเขาไม่เชื่อฟังผู้ใด” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบ: พวกเขาดูหมิ่นความจริง ทำผิดหลักธรรมอย่างเปิดเผย และเพิกเฉยต่อการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า (ภาคที่สี่)) พระเจ้าตรัสว่าธรรมชาติและเนื้อแท้ของศัตรูของพระคริสต์คือการเกลียดความจริงและต่อต้านพระเจ้า ฉันเลยรู้ตัวว่าอุปนิสัยของฉันนั้นเหมือนกับศัตรูของพระคริสต์เลย ฉันรำคาญและต่อต้านการกำกับดูแลของผู้นำ คิดว่าจะทำให้งานของฉันล่าช้า และคิดว่าเขาขอมากเกินไปที่เรียกร้องให้พวกเราทำงานให้เสร็จมากขึ้นอีก ฉันเลยไม่นบนอบและโวยวายและประท้วงอย่างต่อเนื่อง ความจริง ฉันควรเปิดใจยอมรับการที่ผู้นำ ชี้ให้เห็นปัญหาในงานของเรา และไตร่ตรองตามหน้าที่ว่าทำไมเราถึงล้มเหลวที่จะสร้างผลลัพธ์ในงาน นี่เป็นเพราะทำตัวตามสบายเกินไปในหน้าที่ หรือเพราะขาดความเข้าใจเชิงลึกและไม่สามารถใช้ความจริงเพื่อแก้ปัญหาของพี่น้องชายหญิงได้ หลังจากระบุปัญหาแล้ว ฉันควรจะเร่งแก้ไขปรับปรุง แต่ฉันไม่ยอมรับความจริงหรือไตร่ตรองแม้แต่น้อย และไม่โทษตัวเองหรือรู้สึกผิดกับการไม่ทำหน้าที่ให้ดี เพื่อเลี่ยงการถูกปลด ฉันพยายามอย่างหนักที่จะยุยงคนอื่นให้ต่อต้านผู้นำไปกับฉัน การที่ผู้นำตามดูแลงานเป็นเรื่องบวกและเป็นสิ่งที่ทรงเรียกร้อง แต่ฉันต่อต้านและประท้วง มองภายนอก ฉันปะทะกับผู้นำ แต่ที่จริง ฉันกลับหน่ายความจริงและเกลียดสิ่งที่เป็นบวก ฉันก่อความไม่สงบและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก เมื่อเห็นตัวเองหน่ายความจริง ถึงกับกบฏต่อพระเจ้า ฉันก็หวาดกลัวอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตัวเอง ฉันนึกถึงศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกไล่ออกจากคริสตจักร เวลาผู้คนวิจารณ์ ช่วยเหลือ ตัดแต่ง และจัดการ พวกนั้นจะไม่เคยยอมรับความจริงหรือทบทวนตัวเอง ถ้าผู้คนกำกับดูแลงานของพวกเขาหรือให้คำแนะนำ พวกเขาก็จะอับอายจนโกรธและจะเห็นคนเหล่านั้นเป็นศัตรู พวกเขาจะประท้วงอย่างดื้อดึง และต่อต้านจนถึงที่สุด ต่อให้ทำความชั่วที่ทำให้งานของคริสตจักรเสียหายร้ายแรง พวกนั้นก็ยังไม่กลับใจ สุดท้ายก็ถูกไล่ออกจากคริสตจักร ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอุปนิสัยศัตรูของพระคริสต์ของพวกนั้นที่หน่ายและเกลียดชังความจริง อุปนิสัยที่ฉันแสดง ก็เหมือนอุปนิสัยศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? ถ้าฉันไม่กลับใจ ฉันจะถูกเปิดโปงและถูกขับออกในที่สุด
ต่อมา ฉันใคร่ครวญว่า ทำไมฉันถึงปลุกปั่นเหล่าพี่น้องให้ต่อต้านผู้นำ อะไรคือรากเหง้าของทั้งหมดนี้? พอค้นหา ฉันก็เจอพระวจนะว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในไปจนกว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและเข้าใจความจริงแล้ว สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ? ตัวอย่างเช่น เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว? เหตุใดพวกเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีภาวะอารมณ์รุนแรงเช่นนั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคนชั่วพวกนั้น? อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว? สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้? ถึงตอนนี้พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่าเหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งทั้งปวงนี้ก็คือว่า มีพิษของซาตานอยู่ภายในตัวมนุษย์ ดังนั้น อะไรคือพิษของซาตาน? สามารถแสดงมันออกมาในทางใดได้บ้าง? ตัวอย่างเช่น หากเจ้าถามว่า ‘ผู้คนควรดำรงชีวิตอย่างไร? ผู้คนควรดำรงชีวิตเพื่อสิ่งใด?’ ผู้คนก็จะตอบว่า ‘เพราะมนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา ปรัชญาและตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว ไม่สำคัญว่าผู้คนไล่ตามเสาะหาสิ่งใด พวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อตัวพวกเขาเอง—ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเองเท่านั้น ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือปรัชญาชีวิตของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย คำพูดเหล่านี้ได้กลายเป็นธรรมชาติของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว เป็นภาพเหมือนของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามโดยแท้ และธรรมชาติเยี่ยงซาตานนี้ได้กลายเป็นบาทฐานสำหรับการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามดำรงชีวิตตามพิษของซาตานนี้มาเป็นเวลาหลายพันปีจวบจนปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานทำก็เพื่อความหิว ความทะเยอทะยาน และจุดมุ่งหมายของมันเอง มันปรารถนาที่จะล้ำเลิศกว่าพระเจ้า หลุดพ้นจากพระเจ้า และยึดอำนาจการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสร้าง วันนี้ขอบข่ายที่ผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามเป็นดังนี้คือ พวกเขาล้วนมีธรรมชาติเยี่ยงซาตาน พวกเขาทั้งหมดพยายามปฏิเสธและต่อต้านพระเจ้า พวกเขาต้องการควบคุมชะตากรรมของตนเอง และพยายามต่อต้านการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า—ความทะเยอทะยานและความหิวของพวกเขาก็เหมือนกับของซาตานอย่างไม่ผิดเพี้ยน เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของมนุษย์จึงเป็นธรรมชาติของซาตานนั่นเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร) หลังอ่านพระวจนะ ฉันก็เข้าใจ ที่ฉันสามารถทำสิ่งที่ต่อต้านพระเจ้าอย่างรุนแรงนี้ได้ ไม่ได้เป็นแค่การแสดงอุปนิสัยเสื่อมทรามของฉัน แต่เป็นเพราะธรรมชาติเยี่ยงซาตานและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของฉัน ผลก็คือ ฉันสามารถต่อต้านพระเจ้าเมื่อไรก็ได้ ฉันเห็นว่าฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก ฉันใช้ชีวิตตามปรัชญาซาตาน “มนุษย์ทำเพื่อตัวเอง ใครรั้งท้ายให้มารไป” กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว หลอกลวงมาก ทุกอย่างที่ทำและพูดก็เพื่อปกป้องตัวเองและรักษาผลประโยชน์ของฉัน พอผู้นำค้นพบปัญหาต่างๆ ในงานของฉันในขณะที่เขามากำกับดูแลงาน และเพราะฉันกังวลว่าผู้นำจะบอกว่าฉันไม่มีความสามารถและปลดฉัน ฉันเลยใช้เล่ห์และวางแผน คอยหว่านให้เกิดความไม่พอใจผู้นำ โน้มน้าว ปลุกระดมคนอื่นให้เข้าข้างฉัน รวมตัวต่อต้าน ประท้วงการกำกับดูแลของผู้นำ และให้เขารู้ว่าฉันไม่ใช่คนเดียวที่ทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ รู้ว่านี่เป็นปัญหาที่เรามีร่วมกันทุกคน เพื่อที่จะรักษาสถานะของฉัน ฉันคิดวางแผนอย่างละเอียดเพื่อสู้กับผู้นำและปกป้องตัวเอง นี่ทำให้งานของคริสตจักรเสียหายอย่างหนัก ยิ่งฉันไตร่ตรอง ฉันยิ่งเห็นว่าฉันนั้นเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และไม่ละอายขนาดไหน การที่สามารถทำอะไรที่ชั่วร้ายขนาดนี้—ฉันช่างไม่มีความเป็นมนุษย์เลย! ฉันรู้สึกผิดอย่างลึกซึ้งและอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า! ลูกได้ทำชั่วและก่อความไม่สงบให้งานคริสตจักร ลูกพร้อมที่จะกลับใจเต็มที่ ยอมรับการกำกับดูแลของผู้นำ และทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างจริงจัง”
จากนั้น ฉันอ่านพระวจนะอีกสองบทตอน ที่แสดงให้ฉันเห็นท่าทีที่ถูกต้องต่อการนำและกำกับดูแลของผู้นำ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แม้ว่าในปัจจุบันนี้จะมีผู้คนมากมายปฏิบัติหน้าที่ แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง น้อยนักที่ผู้คนจะไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงขณะที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ยังคงไม่มีหลักธรรมในหนทางที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขายังคงไม่ใช่ผู้คนที่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริง ปากของพวกเขาเอาแต่พูดว่าพวกเขารักความจริง และเต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริงและเต็มใจเพียรพยายามเพื่อความจริง แต่ก็ยังคงไม่รู้กันว่าความแน่วแน่ของพวกเขาจะคงอยู่นานเท่าใด ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหมิ่นเหม่ที่จะพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาไม่ว่าเวลาใดหรือสถานที่ใด ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงไร้ซึ่งสำนึกรับผิดชอบใดๆ ในหน้าที่ของตน พวกเขาสะเพร่าและสุกเอาเผากินบ่อยๆ พวกเขากระทำการตามที่ตนปรารถนาและถึงกับไม่สามารถยอมรับการตัดแต่งและการจัดการ ทันทีที่พวกเขากลายเป็นคิดลบและอ่อนแอ ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็หมิ่นเหม่ที่จะโยนผ้ายอมแพ้—นี่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และเป็นเรื่องปกติที่สุด นี่คือหนทางในการประพฤติตนของทุกคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และดังนั้น เมื่อผู้คนยังไม่ได้รับความจริง พวกเขาจึงไม่น่าเชื่อถือและไม่น่าไว้วางใจ ที่ว่าพวกเขาไม่น่าไว้วางใจหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเมื่อพวกเขาเผชิญความลำบากยากเย็นหรือความถดถอย พวกเขามีแนวโน้มที่จะล้มลงและกลายเป็นคิดลบและอ่อนแอ ใครบางคนที่คิดลบและอ่อนแอบ่อยๆ คือคนที่น่าไว้วางใจหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน แต่ผู้คนที่เข้าใจความจริงย่อมต่างออกไป ผู้คนที่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริงย่อมมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าและมีหัวใจที่เชื่อฟังพระเจ้า และเฉพาะผู้คนที่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเท่านั้นคือผู้คนที่น่าไว้วางใจ ผู้คนที่มีหัวใจไม่ยำเกรงพระเจ้านั้นไม่น่าไว้วางใจ ควรเข้าหาผู้คนที่หัวใจไม่ยำเกรงพระเจ้าอย่างไร? แน่นอนว่าพวกเขาควรได้รับความช่วยเหลือและการเกื้อหนุนที่เปี่ยมรัก พวกเขาควรได้รับการตรวจสอบมากขึ้นในยามที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน และควรได้รับความช่วยเหลือและการชี้แนะมากขึ้น เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะรับประกันได้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างมีประสิทธิผล และจุดมุ่งหมายของการทำเช่นนี้คืออะไร? จุดมุ่งหมายหลักคือการค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า รองจากนี้คือเพื่อระบุชี้ปัญหาอย่างทันท่วงที เพื่อจัดเตรียมให้พวกเขา เกื้อหนุนพวกเขา จัดการและตัดแต่งพวกเขาอย่างทันท่วงที พลางแก้ไขความเบี่ยงเบนของพวกเขาให้ถูกต้อง ชดเชยจุดอ่อนและความขาดตกบกพร่องของพวกเขา นี่ย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้คน นี่ไม่มีความมุ่งร้ายอยู่เลย การกำกับดูแลผู้คน จับตาดูพวกเขา ค้นหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังทำ—ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อช่วยพวกเขาให้เข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้า เพื่อทำให้พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่พระเจ้าทรงขอและตามหลักธรรม เพื่อให้พวกเขาไม่ก่อความไม่สงบหรือทำให้หยุดชะงัก เพื่อให้พวกเขาไม่ทิ้งเวลาให้สูญเปล่า จุดมุ่งหมายของการทำเช่นนี้เกิดจากความรับผิดชอบต่อพวกเขาและต่องานในพระนิเวศของพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่มีความมุ่งร้ายในการนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน) “พระนิเวศของพระเจ้ากำกับดูแล เฝ้าสังเกตและตรวจสอบผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ พวกเจ้าสามารถยอมรับหลักธรรมข้อนี้แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? (สามารถ) หากเจ้าสามารถเปิดโอกาสให้พระนิเวศของพระเจ้ากำกับดูแล เฝ้าสังเกต และตรวจสอบเจ้า นั่นย่อมเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ การทำเช่นนั้นจะช่วยเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้เป็นที่น่าพอใจและในการสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่ย่อมเป็นประโยชน์และช่วยเหลือผู้คนโดยไม่มีข้อเสียแต่อย่างใด ทันทีที่ใครบางคนเข้าใจหลักธรรมในแง่มุมนี้ เมื่อนั้นพวกเขาควรหรือไม่ควรที่จะรู้สึกต้านทานหรือระแวดระวังการกำกับดูแลของผู้นำ คนทำงาน และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต่อไป? เจ้าอาจถูกตรวจสอบและถูกจับสังเกตเป็นครั้งคราว และงานของเจ้าอาจถูกสอดส่อง แต่นี่ไม่ใช่บางสิ่งให้ถือสา เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะกิจทั้งหลายที่เป็นของเจ้าในตอนนี้ หน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ และงานใดๆ ที่เจ้าทำไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวหรืองานส่วนตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง พวกเขาแตะต้องงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและเกี่ยวข้องกับส่วนหนึ่งของพระราชกิจของพระเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ใดก็ตามใช้เวลาสอดส่องหรือเฝ้าสังเกตเจ้าอยู่บ้าง หรือถามคำถามที่ลึกซึ้งกับเจ้า โดยลองพยายามที่จะสนทนาแบบใจแลกใจกับเจ้าและค้นหาจนพบว่าสภาวะของเจ้าเป็นเช่นใดในระหว่างเวลานี้ และแม้กระทั่งบางครั้งที่ท่าทีของพวกเขากร้าวกระด้างขึ้นเล็กน้อย และพวกเขาจัดการและตัดแต่งเจ้าเล็กน้อย และบ่มวินัยเจ้า และตำหนิเจ้า ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะพวกเขามีท่าทีที่มีมโนธรรมและรับผิดชอบต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าไม่ควรมีความคิดหรือความรู้สึกเชิงลบต่อการนี้ หากเจ้าสามารถยอมรับการจับตามอง การเฝ้าสังเกต และการตั้งคำถามของผู้อื่น นี่ย่อมมีความหมายเช่นไร? หมายความว่าในหัวใจของเจ้า เจ้ายอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า หากเจ้าไม่ยอมรับการจับตามอง การเฝ้าสังเกต และการตั้งคำถามเกี่ยวกับเจ้าจากผู้อื่น—หากเจ้าปฏิเสธที่จะยอมรับทั้งหมดนี้—เจ้ามีความสามารถที่จะยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้หรือไม่? การพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้านั้นละเอียด ลึกซึ้ง และถูกต้องแม่นยำกว่าการตั้งคำถามของผู้คน สิ่งที่พระเจ้าตรัสถามมีลักษณะเฉพาะเจาะจง เข้มงวด และลึกซึ้งกว่านี้ ดังนั้น หากเจ้าไม่สามารถยอมรับการสอดส่องของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร การกล่าวอ้างของเจ้าที่ว่าเจ้าสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้ย่อมเป็นคำพูดที่ว่างเปล่ามิใช่หรือ? การที่เจ้าจะสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์และการตรวจสอบของพระเจ้าได้นั้น เจ้าต้องสามารถยอมรับการสอดส่องโดยพระนิเวศของพระเจ้า โดยบรรดาผู้นำและคนทำงาน และเหล่าพี่น้องชายหญิงให้ได้เสียก่อน” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน) เพราะพระวจนะ ฉันถึงเข้าใจ ว่าเพราะมีอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน เราถึงมักจะทำตัวดื้อรั้นในการทำงาน ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากธรรมชาติที่เกียจคร้านและขอไปทีของเรา เราเลยมักทำหน้าที่อย่างลวกๆ ไม่สร้างผลลัพธ์ที่ดี เรายังไม่ทำตามหลักธรรมในหลายทาง เราจึงต้องมีผู้นำและคนทำงานเพื่อกำกับดูแลและตรวจสอบ เพื่อให้แน่ใจว่างานของคริสตจักรดำเนินไปได้อย่างราบรื่น นี่คือสิ่งที่พระเจ้าเรียกร้องจากผู้นำและคนทำงาน และเป็นแง่มุมที่สำคัญของงานของพวกเขา ฉันจึงควรนบนอบและยอมรับการนำและกำกับดูแลของผู้นำและคนทำงาน นอกนั้น ฉันยังมีมโนคติอันหลงผิดที่ไม่ถูกต้อง คิดว่าการกำกับดูแลและตรวจสอบของผู้นำจะทำให้ฉันทำหน้าที่ล่าช้า กระทบประสิทธิภาพงานของฉัน แต่ที่จริง ผู้นำเพียงตรวจสอบรายละเอียดในงานของพวกเราเพื่อ ช่วยแก้ไขปัญหาของเราและทำให้ถูกต้อง นี่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของเราจริงๆ—ไม่ถ่วงความคืบหน้าให้งานช้าลงด้วย อย่างเช่น ครั้งหนึ่งเวลาผู้นำกำลังตรวจงานของพวกเรา เขาสังเกตว่าเราไม่ได้ให้น้ำกับผู้มาใหม่ด้วยความรักและความอดทน และข้อเรียกร้องที่เรามีต่อพวกเขาสูงเกินไป ซึ่งนำไปสู่การที่ผู้มาใหม่บางคนคิดลบและไม่ทำหน้าที่ ด้วยการสามัคคีธรรมของผู้นำเท่านั้นที่ทำให้เรารับรู้ปัญหาที่มีในงานของเราได้ หลังจากนั้น พวกเราสามัคคีธรรมกับผู้มาใหม่โดยใช้พระวจนะจัดการปัญหา แจ้งให้พวกเขาทราบถึงความหมายของหน้าที่ และมอบหมายงานให้ผู้มาใหม่ตามวุฒิภาวะของพวกเขา จากนั้น สภาวะของพวกเขาก็เลยดีขึ้นและพวกเขาสามารถทำหน้าที่ได้อย่างปกติ ฉันเห็นว่าการนำและกำกับดูแลของผู้นำนั้นไม่เพียงจะไม่ส่งผลด้านลบกับงานของพวกเรา แต่ยังทำให้ฉันเข้าใจหลักธรรมในหน้าที่ของฉันดีขึ้นด้วย สิ่งเหล่านี้คือผลประโยชน์จากการยอมรับการกำกับดูแลและการนำของผู้นำในการทำงาน ฉันเข้าใจแล้วว่า การยอมรับการกำกับดูแลของผู้นำเป็นท่าทีของการมีความรับผิดชอบต่องานของคริสตจักร และเป็นหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่เราต้องมีในหน้าที่
ผ่านไปสักพัก ผู้นำก็มอบหมายให้ฉันให้น้ำผู้มาใหม่ต่อ และฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าเหลือเกิน หลังจากนั้น พอผู้นำมาตรวจและนำพวกเราในการทำงาน ฉันก็ไม่รู้สึกต่อต้าน และสามารถจดบันทึกปัญหาที่ผู้นำเจอได้ หารือและสรุปปัญหาที่พบในหน้าที่ร่วมกับคู่ทำงานของฉันอย่างแข็งขัน พอพวกเราเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับปัญหาที่มีในงาน ประสิทธิภาพในการทำงานของพวกเราก็ค่อยๆ ดีขึ้น ฉันรู้สึกจริงๆ ว่า เฉพาะเมื่อเรายอมรับการนำและกำกับดูแลของผู้นำในหน้าที่ของเรา มีท่าทีที่พร้อมยอมรับความจริงและดำเนินงานตามหลักธรรม เราถึงจะมีผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ได้ ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย จูดี, ประเทศเกาหลีใต้ไม่นานมานี้ ฉันได้ดูวิดีโอคำพยานของผู้มาใหม่บางตอน ซึ่งทำให้ฉันได้รับการดลใจอย่างมาก...
โดย โรซาลี, ประเทศเกาหลีใต้วันพุธที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2022 ฟ้าโปร่งวันนี้ฉันได้เริ่มต้นหน้าที่ใหม่ นั่นคืองานที่เกี่ยวกับต้นฉบับ...
โดย หลี่ยี่, ประเทศจีนในเดือนสิงหาคมปี 2015 ฉันกับครอบครัวย้ายไปยังเขตปกครองตนเองซินเจียง ฉันได้ยินว่าที่นั่น...
โดย สี่ น่อ, ประเทศจีน เดือนสิงหาคม 2019 พี่ลิน ผู้นำของคริสตจักรหนึ่ง เขียนจดหมายลาออก ผู้นำฉันจัดการให้ฉันไปตรวจสอบที่คริสตจักรนี้...