เส้นทางแห่งการเผยแพร่ศาสนา

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

จำได้ว่าครั้งแรกตอนที่ผมเรียนรู้ที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐ ผมบังเอิญได้เจอกับพี่สวี สมาชิกของคริสตจักร ที่มณฑลหูเป่ย์ เราได้เริ่มคุยกันถึงเรื่อง การต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาบอกว่า ผู้นำของพวกเขามักจะพูดว่า ในปีสองพัน องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาบนเมฆเพื่อนำพวกเขาเข้าสู่ราชอาณาจักร ทุกคนเฝ้ารอด้วยความเชื่อเต็มเปี่ยม แต่ผ่านไปปีแล้วปีเล่า องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ยังไม่เสด็จมาบนเมฆ ผู้นำไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร ดังนั้นก็เลยเลี่ยงการพูดถึงการเสด็จมาของพระองค์ ผู้เชื่อจำนวนไม่น้อยก็สับสน บอกว่าความวิบัติเพิ่มมากขึ้น คำเผยพระวจนะเรื่องการเสด็จมาของพระองค์ก็ลุล่วงแล้ว ดังนั้นพระองค์ควรทรงกลับมาได้แล้ว พวกเขาสงสัยว่า ทำไมถึงไม่เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนเมฆสักที พี่สวีบอกว่า เขาเองก็ไม่รู้จะอธิบายพี่น้องชายหญิงอย่างไร ผมจึงสามัคคีธรรม “คำถามนี้ทำให้คนจำนวนมากในโลกศาสนาสับสน ความศรัทธาของหลายคนลดน้อยลงเพราะเรื่องนี้ บ้างก็ถามว่า พระองค์จะเสด็จมาก่อนความวิบัติ ระหว่างความวิบัติ หรือหลังจากนั้น บางคนบอกว่า ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า เราทำได้แค่รอ พี่สวี เคยฉุกคิดหรือเปล่า ว่าทรงกลับมาแล้ว และมีเหตุผลใดที่ตลอดหลายปีนี้เราไม่ได้ต้อนรับพระองค์? อาจเป็นเพราะแนวคิดที่ผิดของเราเอง เรื่องวิธีที่พระองค์จะทรงปรากฏ” ผมยกตัวอย่างให้เขาฟัง หากมีแขกสำคัญมาที่ประตูหน้า แต่เรารออยู่ที่ประตูหลัง ซึ่งเราอยู่คนละที่กัน เราก็คงรอเป็นร้อยปีโดยไม่ได้เจอ จากนั้นผมก็แบ่งปันสามัคคีธรรม เกี่ยวกับคำเผยพระวจนะเรื่องการเสด็จมา ผมบอกว่า ทุกคนที่คุ้นเคยกับพระคัมภีร์รู้ว่า ไม่เพียงมีคำเผยพระวจนะเรื่องที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนเมฆ แต่ยังมีเรื่องที่ทรงแอบเสด็จมาในฐานะบุตรมนุษย์ด้วย เช่น “เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’(มัทธิว 25:6)นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย(วิวรณ์ 16:15)เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา(มัทธิว 24:44)เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น(มัทธิว 24:27) ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ล้วนเผยพระวจนะถึง การเสด็จมาครั้งที่สองในฐานะบุตรมนุษย์ “บุตรมนุษย์” มักหมายถึงพระเจ้าในเนื้อหนัง หากเราจำกัดว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาบนเมฆเท่านั้น แล้วคำเผยพระวจนะเรื่องบุตรมนุษย์จะลุล่วงได้อย่างไร? จากนั้นผมก็บอกเขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาอย่างลับๆ ก่อน แล้วจึงทรงปรากฏอย่างเปิดเผย จากคำเผยพระวจนะของพระคัมภีร์ พระเจ้าจะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายก่อน ทรงแสดงความจริงและทรงงานพิพากษาในหมู่มนุษย์ ผู้ได้ยินพระสุรเสียงและยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย จะถูกยกขึ้นเบื้องพระบัลลังก์ของพระองค์ ผ่านการพิพากษาและการชำระให้สะอาดของพระวจนะ พระเจ้าจะทรงทำให้กลุ่มผู้ชนะบริบูรณ์ก่อนเกิดความวิบัติ หลังจากถูกพระเจ้าทำให้ครบบริบูรณ์ พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ในหมู่มนุษย์อย่างลับๆ จะเสร็จสิ้น พระองค์จะทรงกระหน่ำความวิบัติเพื่อปูนบำเหน็จคนดีและลงโทษคนชั่ว จากนั้น พระองค์จะทรงปรากฏบนเมฆอย่างเปิดเผยแก่ทุกประเทศและทุกคน ผู้ที่แหงนมองท้องฟ้า คอยเฝ้ารอให้พระองค์เสด็จลงมา จะพลาดงานแห่งความรอดของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และจะตกสู่ความวิบัติ ได้แต่ร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ซึ่งจะทำให้คำเผยพระวจนะจากวิวรณ์ลุล่วง ที่ว่า ‘นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์(วิวรณ์ 1:7)” ถึงตรงนี้ พี่สวีประหลาดใจมาก นั่นขัดกับแนวคิดเดิมๆ ของเขาอย่างสิ้นเชิง จากนั้นผมก็สามัคคีธรรม “เมื่อนานมาแล้ว องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับเราไว้ว่า การต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ต้องฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าเป็นหลัก องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา(ยอห์น 10:27) ในวิวรณ์กล่าวไว้ว่า ‘นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขา และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา(วิวรณ์ 3:20)ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ บทที่ 2, 3) ทำไมวิวรณ์กล่าวไว้ถึงเจ็ดครั้งว่า เราต้องฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันชี้ให้เห็นถึงเส้นทางของเรา การแสวงหาพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือกุญแจในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ต้องเงี่ยหูฟังเสียงของพระเจ้า เหล่าผู้ที่ฟังเสียงของพระเจ้า และต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า คือหญิงพรหมจารีมีปัญญา ส่วนผู้ที่ไม่ฟังเสียงของพระเจ้า คือหญิงพรหมจารีโง่ที่ไม่ได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า” ขณะที่พี่สวีฟัง ดวงตาเขาเป็นประกาย คอยพยักหน้า

จากนั้น ผมก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นที่รู้จักในนามพระยาห์เวห์ เรายังเคยถูกเรียกว่าพระเมสสิยาห์เช่นกัน และครั้งหนึ่งผู้คนเรียกเราว่าพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความรักและความเคารพยกย่อง อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ เราไม่ใช่พระยาห์เวห์หรือพระเยซูซึ่งผู้คนได้รู้จักในช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกต่อไป เราคือพระเจ้าผู้ที่ได้กลับมาในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ที่จะนำพายุคนี้ไปสู่บทอวสาน เราคือพระเจ้าพระองค์เองซึ่งลุกขึ้นมาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลก สมบูรณ์พร้อมด้วยอุปนิสัยครบถ้วนทั้งมวลของเรา และเต็มเปี่ยมไปด้วยสิทธิอำนาจ เกียรติ และสิริ ผู้คนไม่เคยเข้ามาร่วมสัมพันธ์กับเรา ไม่เคยได้รู้จักเรา และไม่รู้เท่าทันในอุปนิสัยของเราตลอดเวลา ตั้งแต่การสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ ไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่เคยเห็นเรา นี่คือพระเจ้าผู้ที่ทรงปรากฏต่อมนุษย์ในยุคสุดท้ายแต่ได้ทรงถูกซ่อนไว้ท่ามกลางมนุษย์ พระองค์ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ทรงเที่ยงแท้และเป็นจริง ดุจดวงสุรีย์ที่แผดเผาและเปลวเพลิงที่ลุกโชน ทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพและปริ่มล้นด้วยสิทธิอำนาจ ไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกพิพากษาโดยวจนะของเรา และไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ผ่านการแผดเผาของไฟ ในท้ายที่สุด ชนชาติทั้งมวลจะได้รับการอวยพรเพราะวจนะของเรา และจะถูกทุบจนแหลกเป็นชิ้นๆ เพราะวจนะของเราเช่นกัน ด้วยวิธีนี้ ผู้คนทั้งหมดในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายจะเห็นว่าเราคือพระผู้ช่วยให้รอดที่ได้กลับมา และเห็นว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวง และทุกคนจะเห็นว่าครั้งหนึ่งเราคือเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมนุษย์ แต่เห็นว่าในยุคสุดท้ายเรายังได้กลายเป็นเปลวเพลิงแห่งสุริยันซึ่งเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นจุณด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับองค์ตะวันแห่งความชอบธรรมซึ่งเปิดเผยทุกสรรพสิ่ง นี่คืองานของเราในยุคสุดท้าย เราใช้ชื่อนี้และครองอุปนิสัยนี้เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดจะได้เห็นว่าเราคือพระเจ้าที่ชอบธรรม ดวงสุรีย์ที่แผดเผา เปลวเพลิงที่ลุกโชน และเพื่อที่ทุกคนจะได้นมัสการเรา พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว และเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเรา เราไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น และเราไม่ใช่เพียงพระผู้ไถ่ เราคือพระเจ้าของสิ่งทรงสร้างทั้งมวลทั่วทั้งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและห้วงทะเล(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว) หลังจากนั้น เขาก็ตื่นเต้นและพูดว่า “โอ้โฮ ช่างมีสิทธิอำนาจเหลือเกิน ต้องมาจากพระเจ้าแน่ๆ ไม่มีมนุษย์คนใดที่จะพูดอะไรแบบนั้นได้แน่!” แล้วเขาก็บอกว่า “การรอองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ผมทำก็คือฟังนักบวชจากโลกศาสนา แต่ละเลยที่จะแสวงหาพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมนี่ช่างโง่เขลาเหลือเกิน!” ผมตื่นเต้นมากที่เห็นว่าเขาเข้าใจได้ดีแค่ไหน จากนั้น พวกเราก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกมากมาย เช่น “ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์” “พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง” “การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า” และ “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้” ขณะที่อ่าน พี่สวีพูดอย่างเปี่ยมอารมณ์ว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เปิดเผยความจริงและความล้ำลึกทั้งหมดนี้ ที่เราไม่เคยรู้หลังจากมีความเชื่อมาหลายปี นี่คือพระสุรเสียงและพระวจนะของพระเจ้า! องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว! ในที่สุด ผมก็ได้ต้อนรับพระองค์! ผมต้องแบ่งปันข่าวดีนี้กับพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ทันที” ดังนั้น พี่สวีและผมจึงเดินทางไปแบ่งปันข่าวประเสริฐด้วยกัน เราทำให้ผู้คนเปลี่ยนความเชื่อได้กว่ายี่สิบคนในเวลาไม่นาน ทุกคนบอกว่า ช่างโชคดีเหลือเกิน ที่ได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าในช่วงชีวิตของพวกเขา และพวกเขาก็อยากจะเข้าชุมนุมทุกวัน

แต่สองสามวันต่อมา ผมได้ไปร่วมการชุมนุมกับพี่หยาง ชั่วขณะที่ผมเดินเข้าไป ก็รู้สึกมีอะไรผิดปกติ มีพวกเขาคนหนึ่งวิ่งมาหาเราแล้วบอกว่า “พวกคุณเป็นมาเฟียหรือ? นี่คุณมาแบ่งปันข่าวประเสริฐ หรือพยายามหาเงิน? ถ้าไม่อธิบายทุกอย่างมา ผมจะแจ้งตำรวจ!” คนอื่นๆ ต่างก็เข้ามารุมล้อมเรา บ้างก็ว่าเราขโมยแกะจากคริสตจักรของพวกเขา เป็นครั้งแรกที่ผมประสบกับอะไรแบบนั้น ผมไม่รู้จะรับมืออย่างไร เห็นคนกว่ายี่สิบคนประจันหน้ากับเราอยู่แบบนี้ ผมประหม่าแล้วก็กลัวนิดหน่อย ผมคิดว่า พวกเขาตั้งใจจะรายงานเรื่องเรากับตำรวจ ถ้าเราถูกตำรวจจับไป ไม่รู้จะถูกทรมานแบบไหน ผมอยากจะออกมาจากที่นั่นให้เร็วที่สุด แล้วผมก็เรียกหาพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำเรา จากนั้นผมก็นึกถึงพระวจนะที่ว่า “เจ้าเคยฉุกคิดบ้างหรือไม่ว่าพระหทัยของพระเจ้าโทมนัสและกระวนกระวายเพียงใด? พระองค์ทรงทนเห็นมวลมนุษย์ซึ่งไร้เดียงสา ผู้ที่พระองค์ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองต้องทนทุกข์ทรมานเยี่ยงนี้ได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม เหล่ามนุษย์ก็คือเหยื่อซึ่งถูกวางยาพิษ และถึงแม้ว่ามนุษย์จะรอดชีวิตมาได้จนถึงเวลานี้ ใครเล่าที่จะรู้ว่ามวลมนุษย์ได้ถูกมารวางยาพิษมานานแล้ว? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าก็เป็นหนึ่งในเหยื่อเหล่านั้นด้วย? ด้วยความรักที่มีต่อพระเจ้า เจ้าไม่เต็มใจที่จะเพียรพยายามช่วยผู้ที่รอดชีวิตมาได้เหล่านี้ให้รอดหรอกหรือ? เจ้าไม่เต็มใจที่จะอุทิศพลังงานทั้งหมดที่มีเพื่อการตอบแทนพระเจ้าผู้ทรงรักมวลมนุษย์เฉกเช่นเลือดและเนื้อหนังของพระองค์เองหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรจะทำภารกิจในอนาคตของเจ้าอย่างไร?) สิ่งนี้กระทบใจผมอย่างมาก ผมเองก็เคยเป็นเหมือนกับพวกเขาหลังยอมรับข่าวประเสริฐ ฟังคำโกหกพวกนั้นจากโลกศาสนาและรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ มีความสงสัยและกังวล ทำให้พี่น้องชายหญิงเสี่ยงถูกจับ ที่จะสามัคคีธรรมกับผมหลายครั้งหลายหน ทำให้ผมลดความระวังลง จนในที่สุดได้เข้าใจความจริง ได้รับปัญญาแยกแยะ และได้มาอยู่ในพระนิเวศ พระเจ้าทรงยอมลำบากอย่างใหญ่หลวงเพื่อผม แต่พอผมเห็นอันตรายทีแรกก็อยากจะหนี ทอดทิ้งพี่น้องชายหญิงเหล่านั้น ช่างไร้มนุษยธรรม! พระเจ้าทรงต้องการให้ผมนำผู้เชื่อที่แท้จริง ที่ปรารถนาการทรงปรากฏของพระเจ้า มาอยู่เฉพาะพระพักตร์ เพื่อยอมรับความรอด นั่นเป็นพระประสงค์เร่งด่วน หากตอนนั้น ผมกลายเป็นผู้ละทิ้ง พระเจ้าคงจะทรงเจ็บปวดและผิดหวังมาก ผมรู้ว่าผมต้องอยู่ต่อ และสามัคคีธรรมกับพวกเขาให้ดี เพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง ด้วยแรงหนุนจากพระวจนะ ผมจึงรวมความกล้าแล้วพูดว่า “พี่น้องชายหญิง ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณ ทุกคนกลัวหลงผิดในความเชื่อของพวกคุณ พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องพระวจนะทุกวัน มากว่าสองสัปดาห์แล้ว พวกคุณเห็นพวกเราทำตัวเหมือนพวกมิจฉาชีพหรือเปล่า? ลองคิดดูให้ดี ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ เราได้เอาเงินจากพวกคุณสักบาทไหม? ไม่มีเลย เป็นเรื่องดีที่มีการระวังในเรื่องนี้ กุญแจสำคัญคือ การเข้าใจหลักธรรมแห่งการแยกแยะหนทางที่แท้จริง หากไม่มีสิ่งนั้น และไม่แสวงหาความจริง เอาแต่ฟังคนอื่นอยู่เสมอ พวกคุณก็จะต้องลงเอยบนเส้นทางที่ผิดๆ พวกเราทุกคนรู้ดีว่า ยามที่องค์พระเยซูเจ้าทรงงานอยู่ในยุคพระคุณ พวกฟาริสีสร้างข่าวลือทุกรูปแบบเกี่ยวกับพระองค์ เพื่อไม่ให้ผู้เชื่อติดตามพระองค์ บอกว่าราชาปีศาจช่วยพระเยซูขับไล่ปีศาจ และเป็นคำพยานเท็จว่าพระองค์ไม่ได้ฟื้นคืนพระชนม์ ชาวยิวที่ไม่ฟังความจริงขององค์พระเยซูเจ้า แต่ตามืดบอดคอยติดตามผู้นำศาสนา ต่อต้านและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าพร้อมกับพวกเขา สุดท้ายก็ตรึงกางเขนพระองค์ ถูกพระเจ้าสาปแช่งและลงโทษ บัดนี้องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงแสดงความจริงทั้งมวลเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้รอด พวกคุณได้ยินพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในการชุมนุมของเรา และได้ยอมรับว่าเป็นความจริง มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ ว่ามาจากพระเจ้าอย่างชัดเจน แต่กลับไม่คิดว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เป็นความจริงและเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า หรือคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และค้ำจุนความจริงหรือไม่ แต่กลับหลับหูหลับตาฟังนักบวช ไม่ยอมรับและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ นี่เป็นการตรึงกางเขนองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกครั้งมิใช่หรือ?” พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การทรงกลับมาของพระเยซูเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้ แต่สำหรับพวกที่ไร้ความสามารถที่จะยอมรับความจริงได้แล้ว นี่เองคือหมายสำคัญหนึ่งแห่งการกล่าวโทษ พวกเจ้าควรเลือกเส้นทางของพวกเจ้าเอง และไม่ควรหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์และปฏิเสธความจริง เจ้าไม่ควรเป็นคนที่ไม่รู้เท่าทันและโอหัง แต่เป็นคนที่เชื่อฟังการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และถวิลหาและแสวงหาความจริง พวกเจ้าจะได้รับประโยชน์ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เราแนะนำให้พวกเจ้าก้าวย่างบนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าด้วยความรอบคอบระมัดระวัง จงอย่าด่วนสรุป ยิ่งไปกว่านั้น อย่าทำตัวตามสบายและไร้ความคิดในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า พวกเจ้าควรรู้ว่าอย่างน้อยที่สุด บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรถ่อมใจและมีความเคารพ พวกที่เคยได้ยินความจริงทว่ากลับเชิดใส่ความจริงนั้นเป็นผู้ที่โง่เขลาและไม่รู้เท่าทัน พวกที่เคยได้ยินความจริงทว่ายังด่วนสรุปหรือกล่าวโทษความจริงนั้นโดยประมาทเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความโอหัง ไม่มีผู้ใดเลยที่เชื่อในพระเยซูจะมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะสาปแช่งหรือกล่าวโทษผู้อื่นได้ พวกเจ้าทั้งหมดควรเป็นคนที่มีสำนึกรับรู้และผู้ที่ยอมรับความจริง บางที เมื่อได้ยินหนทางแห่งความจริงและได้อ่านพระวจนะแห่งชีวิตแล้ว เจ้าเชื่อว่ามีเพียงหนึ่งใน 10,000 ของพระวจนะเหล่านี้ที่สอดคล้องกับความเชื่อมั่นอันแรงกล้าของเจ้าและพระคัมภีร์ เช่นนั้นแล้วเจ้าควรแสวงหาในพระวจนะลำดับที่ 10,000 ของพระวจนะเหล่านี้ต่อไป เรายังขอแนะนำให้เจ้าถ่อมใจ อย่ามั่นใจเกินไป และอย่ายกย่องตัวเองให้สูงส่งจนเกินไป ด้วยหัวใจของเจ้าซึ่งขาดแคลนความเคารพที่มีแด่พระเจ้าเช่นนั้น เจ้าจะได้รับความสว่างที่ยิ่งใหญ่กว่า หากเจ้าตรวจดูอย่างถี่ถ้วนและไตร่ตรองพระวจนะเหล่านี้ซ้ำๆ เจ้าจะเข้าใจว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่ และพระวจนะเหล่านี้คือชีวิตหรือไม่ บางทีหลังจากที่ได้อ่านเพียงไม่กี่ประโยค คนบางคนจะกล่าวโทษพระวจนะเหล่านี้อย่างหูหนวกตาบอด และพูดว่า ‘นี่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความรู้แจ้งบางส่วนของพระวิญญาณบริสุทธิ์’ หรือ ‘นี่คือพระคริสต์เทียมเท็จที่เสด็จมาเพื่อหลอกลวงผู้คน’ พวกที่พูดอะไรเช่นนั้นเป็นผู้ที่ตาบอดด้วยความไม่รู้เท่าทัน! เจ้าเข้าใจพระราชกิจและพระปรีชาญาณของพระเจ้าน้อยเกินไป และเราแนะนำให้เจ้าเริ่มใหม่อีกครั้งตั้งแต่ต้นเลย! พวกเจ้าต้องไม่หูหนวกตาบอดกล่าวโทษพระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงเพราะการทรงปรากฏของพระคริสต์เทียมเท็จในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย และพวกเจ้าต้องไม่เป็นคนที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์เพราะพวกเจ้ากลัวการหลอกลวง นั่นจะไม่เป็นความน่าเวทนาอย่างยิ่งหรอกหรือ? หลังจากการตรวจดูมากมาย หากเจ้ายังคงเชื่อว่าพระวจนะเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่หนทาง และไม่ใช่การแสดงออกของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะได้รับการลงโทษในท้ายที่สุด และเจ้าจะปราศจากพร หากเจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงที่ถูกกล่าวอย่างราบเรียบยิ่งนักและชัดเจนยิ่งนักดังกล่าวได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าไม่ใช่ไม่เหมาะสมสำหรับความรอดของพระเจ้าหรอกหรือ? เจ้าไม่ใช่ผู้ที่ไม่ได้รับพรเพียงพอที่จะกลับคืนสู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้าหรือ? จงตรองดูเถิด! อย่าหุนหันพลันแล่นและใจเร็ว และอย่าทำเหมือนว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเกม จงขบคิดเพื่อประโยชน์ของบั้นปลายของเจ้า เพื่อประโยชน์ของความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้า เพื่อประโยชน์ของชีวิตของเจ้า และอย่าเล่นกับตัวเจ้าเอง เจ้าสามารถยอมรับพระวจนะเหล่านี้ได้หรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว) พวกเขาผ่อนคลายลงมาก หลังฟังพระวจนะของพระเจ้า แล้วเดินจากไปเงียบๆ ทีละคน

ต่อมาพี่หลี่ที่เป็นเจ้าบ้านบอกเราว่า ผู้นำระดับสูงในคริสตจักร ได้ให้หนังสือต่อต้านฟ้าแลบจากทิศตะวันออกกับพวกเขา หนังสือที่บอกว่าเราเป็น กลุ่มมิจฉาชีพที่เอาเงินจากผู้คน ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนกลัว พี่หลี่พูดว่า “ถ้าคุณเป็นอย่างที่หนังสือว่าจริง ผมคงไม่ต้อนรับคุณ แต่เพราะสามัคคีธรรมของคุณดีมาก ผมไม่อยากไล่คุณออกไป แล้วในฤดูหนาวแบบนี้พวกคุณจะไปที่ไหน? เราพอมีอาหารเหลือที่พวกคุณสองคนกินได้ พวกคุณพักค้างคืนที่ห้องใต้หลังคาได้” ทีแรกเขาดูระวังตัวเล็กน้อย พี่หยางพูดมาว่า “วันนี้พวกเขาเกือบเรียกตำรวจแล้ว ถ้าเกิดผู้นำของพวกเขามา ไม่รู้พวกเขาจะทำอะไรกับเราบ้าง? ที่นี่อันตรายมาก เราไปดีกว่า” ผมเองก็กลัวเหมือนกัน แต่แล้วผมก็คิดว่า เราจะทิ้งผู้เชื่อใหม่กลุ่มนี้ไปเพราะพวกเขาหลงเชื่อข่าวลือไม่ได้ ถ้าเราจากไปในเวลาแบบนั้นคงเป็นจุดจบของพวกเขา แล้วผมก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ว่า “เจ้าควรรู้ว่า มีความเชื่อที่แท้จริงและความจงรักภักดีที่แท้จริงอยู่ภายในตัวเจ้าหรือไม่ รู้ว่าเจ้ามีบันทึกของการทนทุกข์เพื่อพระเจ้าหรือไม่ และรู้ว่า เจ้าได้นบนอบต่อพระเจ้าด้วยประการทั้งปวงหรือไม่ หากเจ้าขาดพร่องสิ่งเหล่านี้ไป เช่นนั้นแล้ว ความไม่เชื่อฟัง เล่ห์ลวง ความโลภ และการร้องทุกข์ก็จะยังคงอยู่ภายในตัวเจ้า เนื่องจากหัวใจของเจ้าอยู่ห่างไกลจากความซื่อสัตย์ เจ้าจึงไม่เคยได้รับการระลึกถึงในด้านบวกจากพระเจ้า และไม่เคยดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ) พอไตร่ตรองเรื่องนี้ ก็เห็นว่า ไม่ว่าในการประกาศจะมีอันตรายและความทุกข์มากแค่ไหน การไม่สนใจผลประโยชน์ส่วนตัวและความปลอดภัย ยอมลำบาก นำผู้คนไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ช่วยให้เรียนรู้ความจริงและยอมรับความรอดของพระเจ้า คือการมีความเชื่อในพระเจ้า และนั่นคือการมีใจศรัทธา ผมนึกถึงเหล่าอัครทูตและสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาทนทุกข์จากการถูกกดขี่มากมาย ขณะกำลังแบ่งปันข่าวประเสริฐ บ้างถูกจับกุมและถูกขังคุก บ้างก็สละชีวิต พระคัมภีร์กล่าวว่า “แต่โลกทั้งหมดอยู่ในมือของมารร้าย(1 ยอห์น 5:19) การแบ่งปันข่าวประเสริฐในโลกอันชั่วร้ายมืดมิดเช่นนี้ เป็นถนนที่เต็มไปด้วยอันตรายและยากลำบาก ใครบ้างจะไม่ต้องทนทุกข์และยอมลำบากในขณะที่ทำเช่นนั้น? ผมรู้ดีว่าผมหนีไม่ได้ แต่ผมต้องพึ่งพิงพระเจ้าเพื่อทำหน้าที่ จากนั้นผมก็ได้แบ่งปันความคิดของผมกับพี่หยาง เขาเองก็ตัดสินใจอยู่ทำงานต่อเช่นกัน เราสองคนอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยกัน ขอให้ทรงนำเรา ทรงมอบปัญญาและความแน่วแน่ให้เรา ทนต่อความทุกข์และเผชิญความลำบากต่างๆ

ในคืนนั้น พวกเรานอนไม่หลับเลย ในห้องใต้หลังคาที่หนาวเย็นนั้น เราจึงสามัคคีธรรมและให้กำลังใจกันและกัน พวกเรานึกถึงเพลงสรรเสริญประสบการณ์ชื่อ “ความรักของพระเจ้าได้หลอมละลายหัวใจของฉัน” “โอ พระเจ้า! ความรักของพระองค์เป็นจริงยิ่งนัก ความรักของพระองค์ได้หลอมละลายหัวใจของข้าพระองค์ พระองค์ทรงรอคอยการกลับใจของมนุษย์อย่างอดทน ดังนั้นแล้ว ข้าพระองค์จะลังเลอีกต่อไปได้อย่างไร? ข้าพระองค์ได้ชื่นชมความรักของพระองค์มามากมายยิ่งนัก และควรคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์มากขึ้นไปอีก ข้าพระองค์ตกลงใจแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์ให้ดี และตอบแทนความรักของพระองค์ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะสู้ทนบททดสอบ กระบวนการถลุง และความยากลำบาก ตั้งมั่นในคำพยานของข้าพระองค์ และทำให้พระองค์พึงพอพระทัย ข้าพระองค์จะรักพระองค์และดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระองค์อย่างแท้จริง ข้าพระองค์จะติดตามและเป็นพยานยืนยันแก่พระองค์ไปตลอดกาล” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) การร้องบทเพลงนี้ดลใจผมเหลือเกิน ผมรู้สึกว่าแม้เราจะต้องทนทุกข์ พระเจ้าก็ทรงอยู่เคียงข้างเราผ่านความยากลำบากเหล่านี้จริงๆ เทียบกับความรักของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงยอมลำบาก ความทุกข์เล็กน้อยของเราไม่ควรค่าให้พูดถึงเลย ผมคิดถึงการที่พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์สองครั้ง เพื่อความรอดของเรา ทรงทนทุกข์อย่างมากมาย แต่ผมกลับพร่ำบ่นถึงความยากลำบากอันน้อยนิด ตอนแบ่งปันข่าวประเสริฐ ผมอยากจะหนีไป ทอดทิ้งพี่น้องชายหญิงเหล่านั้น ผมมันไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลเลย ผมรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้าเหลือเกิน ผมกล่าวอธิษฐาน พร้อมจะมอบทุกสิ่งที่ผมมีเพื่อได้พวกเขาคืนมา พอผมคิดแบบนั้น ก็ไม่รู้สึกแย่มากนัก

ในวันรุ่งขึ้น เรากำลังช่วยพี่หลี่ตัดหญ้ามาให้หมูเหมือนอย่างเคย เราได้ยินเพื่อนร่วมงานคริสตจักรคนหนึ่งในครัวพูดกับพี่หลี่ว่า “เมื่อคืนผมนอนไม่หลับเลย ผมเอาแต่คิด เรื่องพี่น้องชายสองคนนั้น ที่มาแบ่งปันข่าวประเสริฐกับเรากว่าสองสัปดาห์ พวกเขาดูไม่เหมือนที่หนังสือนั้นพูดถึงพวกเขาเลย เรารวบรวมเงินเล็กน้อยให้เป็นค่าเดินทาง แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับอะไรเลย และยังให้หนังสือเราฟรีๆ พวกเขาบอกว่าน้ำแห่งชีวิตย่อมยกให้กันฟรีๆ สิ่งที่พวกเขาประกาศก็วิเศษมากด้วย มันบำรุงเลี้ยงพวกเราทุกคน เรามีความเชื่อแล้ว” เขาพูดอีกว่า “เคยเห็นพี่น้องชายหญิงตื่นเต้นที่จะเข้าร่วมชุมนุมขนาดนี้หรือ? นี่คือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่สำหรับนักบวชของเรา พวกเขาไม่ได้สามัคคีธรรมอะไรเลยจริงๆ เอาแต่ขอของถวายเพิ่มอยู่เสมอ เราต้องบริการอาหารดีๆ แก่พวกเขา พี่น้องชายพวกนี้เป็นตัวอย่างที่ดีกว่านักบวชของเรา” จากนั้นพี่หลี่พูดว่า “ผมเองก็นอนไม่หลับเหมือนกัน พี่น้องชายพวกนี้ ไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจเรื่องอาหารและเครื่องดื่มง่ายๆ และงานเล็กงานน้อยของเรา พวกเขาก็พร้อมช่วย ไม่เหมือนที่ผู้นำของเราพูดถึงพวกเขาเลย รู้สึกเหมือนครอบครัวด้วยซ้ำ เมื่อวาน เพราะอิทธิพลจากผู้นำ ผมเลยให้อาหารเหลือไปครึ่งชาม และให้นอนที่ห้องใต้หลังคาซอมซ่อนั่น ไม่รู้พวกเขาอยู่กันได้อย่างไรทั้งที่อากาศหนาวแบบนี้ ผมไม่ควรทำแบบนั้นเลย” จากนั้นเขาก็พูดว่า “ผมแสดงจุดยืน ต่อให้คนอื่นไม่ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่ผมยอมรับ” เพื่อนร่วมงานคนนั้นพูดว่า หลังมื้อเช้า เขาจะให้ทุกคนมาชุมนุมกัน พอได้ยินที่พวกเขาคุยกันเราก็ตื่นเต้นมาก ผมขอบคุณพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เงียบๆ จากการสามัคคีธรรมมากขึ้น พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นก็เริ่มชุมนุมกันตามปกติอีกครั้ง ไม่ขาดเลยสักคนเดียว พวกเขาบอกเราอย่างตื่นเต้น ว่าเกือบโดนนักบวชหลอกเอาแล้ว เกือบจะพลาดโอกาสต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า

เมื่อทางนักบวชเห็นว่าคำโกหกไม่ได้ผล ก็พยายามกีดกันการชุมนุมของพวกเขาจากหนทางที่แท้จริง วันหนึ่ง ตอนที่ไปเยี่ยมพี่สวี พอผมเดินเข้าไป เขาดูหวาดกลัวและพูดว่า “พวกคุณต้องไปซะ” ผมถามว่ามีเรื่องอะไร เขาบอกว่า พวกผู้นำระดับสูงรู้ว่าเราแบ่งปันข่าวประเสริฐที่นั่น ตั้งใจจะให้เราถูกจับกุมและพาตัวไปสถานีตำรวจ เขาคุ้มครองเราไม่ได้ เราจึงต้องไปซะ เขาบอกเราว่า ตอนพวกเราแบ่งปันข่าวประเสริฐที่บ้านเขา ผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งบอกว่าจะจับกุมเรา เขากำลังเดินทางมาแล้ว แต่ว่าเกิดเหตุร้ายบางอย่างขึ้นมาเสียก่อน เราเกือบจะถูกจับกุมแล้ว พูดตามตรง ตอนนั้นผมกลัวมาก ผมคิดจะจากไป แต่แล้วผมก็คิดว่า ถ้าพวกเราจากไปแล้วก็ยอมแพ้ ก็จะเป็นการยอมให้ซาตานชนะ แบบนี้ก็จะเผยแพร่ข่าวประเสริฐที่นี่ไม่ได้ พอคิดดังนั้น ผมก็กล่าวอธิษฐานในทันที แล้วผมก็นึกถึงพระวจนะบทตอนเหล่านี้ที่ว่า “ในบรรดาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาล ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย มีสิ่งใดหรือที่ไม่ได้อยู่ในมือของเรา?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 1)พวกเราเชื่อใจว่า ไม่มีประเทศหรือพลังอำนาจใดสามารถมาขวางทางในสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะสัมฤทธิ์ผล คนเหล่านั้นที่ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า ต่อต้านพระวจนะของพระเจ้า และก่อกวนและทำให้แผนการของพระเจ้าเสียไป จะต้องถูกพระเจ้าทรงลงโทษในท้ายที่สุด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง) พระวจนะนี้ทำให้ผมมีความเชื่อ ทุกสิ่งล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่มีกำลังบังคับใดหยุดพระราชกิจได้ ผู้นำศาสนาพวกนั้นจะมาหรือไม่ เราจะถูกจับกุมหรือไม่ ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ครั้งนั้นที่พวกเขาตั้งใจมาจับเรา แต่มาได้ครึ่งทางก็ต้องกลับไป นี่คือแผนการและการจัดการเตรียมการ คือกิจการอันมหัศจรรย์ของพระเจ้าไม่ใช่หรือ? ผมต้องผ่านมันไปโดยพึ่งพาความเชื่อและปัญญา และพึ่งพิงพระเจ้า ผมเห็นกิจการของพระเจ้าได้ผ่านความเชื่อเท่านั้น เมื่อเข้าใจน้ำพระทัยแล้ว ผมก็ใช้พระวจนะมาสามัคคีธรรมพี่สวี จากนั้นเขาก็ไม่รู้สึกกลัวมากนัก เขาบอกว่าเราควรไปซ่อนตัวที่บ้านพี่หลี่

วันหนึ่งระหว่างทางไปบ้านพี่หลี่ ผมก็ได้เจอกับเพื่อนบ้านเขาคนหนึ่ง เขารีบมาห้ามผม พูดว่า “คุณไม่กลัวเลยหรือไง? เมื่อวานตำรวจกลุ่มหนึ่งมาหาคุณ พวกนั้นยังอยู่แล้วคุณกลับมาทำไม?” ผมถึงรู้ว่า พวกเขาแจ้งตำรวจ ผมสงสัยว่าพี่หยางถูกจับหรือเปล่า ผมเลยรีบไปบ้านของพี่หลี่ แล้วผมก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นทุกคนอยู่ที่นั่น พวกเขาบอกว่า ตำรวจเคาะประตูทุกบ้าน เพื่อหาผู้เผยแพร่ศาสนาจากนอกเมือง และได้ตรวจค้นบ้านพี่หลี่ทั้งนอกทั้งใน ในตอนนั้น พี่หยางกำลังทำอาหารอยู่ในครัว พวกตำรวจไม่สนใจเขา เข้าใจผิดว่าเป็นคนท้องถิ่น พอผมได้ยินว่าพี่หยางรอดมาได้หวุดหวิด ผมก็ได้แต่ขอบคุณพระเจ้าซ้ำไปซ้ำมา เราเห็นกิจการของพระเจ้าได้ในทุกที่ทุกเวลา พวกผู้นำศาสนาและรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน พยายามอย่างมากที่จะหยุดการเผยแพร่ข่าวประเสริฐ แต่พี่น้องชายหญิงก็ไม่ถอยกลับ พวกเขาเห็นว่านักบวชเป็นพวกหน้าซื่อใจคด ว่าพวกนั้นต่อต้านพระเจ้า และมีปัญญาแยกแยะมากขึ้น ความแน่วแน่ของพวกเขา ที่จะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แข็งแกร่งขึ้น พระปัญญาของพระเจ้าได้ถูกทำให้ลุล่วง จากกลอุบายของซาตานจริงๆ ส่วนตัวผมเอง ได้ประสบกับความจริงในคำพูดนั้น

มันมักมีความเสี่ยงจะถูกรายงานเสมอ หรือถูกโจมตีโดยผู้นำศาสนาหรือถูกตำรวจจับ แต่ส่วนใหญ่ ผมได้เห็นการทรงนำของพระเจ้า เห็นกิจการอันมหัศจรรย์ในด้านการแบ่งปันข่าวประเสริฐ มีครั้งหนึ่ง ที่มณฑลหูหนาน พี่เจียงที่เป็นผู้นำระดับกลางในคริสตจักรบ้าน และพี่เฉินเพื่อนร่วมงานของเธอ ได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย แล้วแบ่งปันกับสมาชิกของคริสตจักรสองคน ไม่นานก็มีมากกว่าร้อยคนมาเข้าร่วม วันหนึ่ง มีน้องชายคนหนึ่งมาบอกเราว่า เมื่อผู้นำคริสตจักรอื่นๆ พบว่า มีหลายคนได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ก็โมโห วางแผนพาคนขึ้นรถบรรทุกกว่ายี่สิบคน เพื่อมาจับคนของฟ้าแลบจากทิศตะวันออก และพูดว่าจะจับไปทุกคน เรื่องนี้ฟังแล้วทำให้เครียดจริงๆ และผมอยากให้แน่ใจว่าคนของเราทุกคนปลอดภัย และไม่ให้ผู้เชื่อใหม่กลัวจนหนีไป ผมจึงกล่าวอธิษฐานต่อพระเจ้าทันทีว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! เมื่อก่อนยามข้าพระองค์เจออันตราย ก็มักปกป้องตัวเองอย่างเห็นแก่ตัว ข้าพระองค์ได้ประสบทั้งงานและได้เห็นกิจการของพระองค์มากมาย ข้าพระองค์เชื่อว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ ครั้งนี้ ข้าพระองค์จะไม่หนี แต่ข้าพระองค์จะรับผิดชอบและทำหน้าที่ของตัวเอง” พวกเราทำงานทั้งคืนเพื่อแจ้งกับทุกคน ที่กำลังแบ่งปันข่าวประเสริฐ และเตรียมพร้อมเผชิญการท้าทายนั้นโดยพึ่งพิงพระเจ้า เช้าวันต่อมาเมื่อผมเปิดประตู ทุกอย่างยังคงนิ่ง หิมะตกหนักขวางถนนทุกสาย ทุกอย่างเป็นน้ำแข็ง นักบวชทั้งหมดอยู่ด้านล่างภูเขา ไม่ว่าจะมีคนมามากแค่ไหนก็ขึ้นภูเขามาไม่ได้ เราจึงแบ่งปันข่าวประเสริฐต่อไปได้โดยไร้กังวล ผมได้เห็นจริงๆ ว่า สิ่งที่ทรงทำอัศจรรย์แค่ไหน ทุกคนต่างดีใจและขอบคุณพระเจ้าไม่หยุด

บ่ายวันต่อมา พวกเราเจ็ดคนไปชุมนุมที่บ้านพี่เจียง จู่ๆ ลูกชายเธอกับแฟนเขาก็กลับมา เพราะมีกันหลายคน บ้านเธอจึงเล็กไป เราเลยต้องไปชุมนุมที่บ้านใกล้เรือนเคียง พอย้ายมาไม่นาน ก็มีโทรศัพท์ถึงพี่เจียง พวกเราได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจตะโกนว่า “นี่คือตำรวจ! พวกแกอยู่ไหน? เราล้อมบ้านไว้หมดแล้ว” ตำรวจกำลังล้อมบ้านหลังที่เราเพิ่งไปชุมนุมมา ถ้าไม่เพราะการเปลี่ยนแปลงในนาทีสุดท้าย เราทุกคนคงถูกจับกุมแล้ว มีคนรายงานว่าพี่เจียงลักพาตัวหลิวจิ่ง หลิวจิ่งเธอเป็นผู้เชื่อใหม่ ที่คอยช่วยเราเผยแพร่ข่าวประเสริฐ พี่เจียงยื่นโทรศัพท์ให้หลิวจิ่ง ตำรวจก็ถามคำถาม เพื่อยืนยันว่าเธอไม่ได้ถูกลักพาตัวแล้วก็วางสาย พอพี่เจียงถามไป ตำรวจก็บอกว่า มีผู้เชื่ออีกคนหนึ่งรายงานไป พี่เจียงโกรธมากตอนที่วางสาย แล้วพูดว่า “นักบวชของเราล้ำเส้นแล้วจริงๆ กล้าเรียกตัวเองว่าผู้เชื่อได้อย่างไร? พวกนั้นโกหกเพื่อให้เราถูกจับกุมได้อย่างไร?” ผมจึงสามัคคีธรรมกับเธอ สองพันปีก่อน ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมา พวกฟาริสีอยากคุ้มครองสถานะตัวเอง เลยโกหกเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้า กล่าวหาในเรื่องเท็จและจับกุมพระองค์ พวกนั้นมอบพระองค์ให้กับข้าหลวงใหญ่ของโรมัน ทรงถูกตรึงกางเขน พวกนั้นถูกเปิดโปงผ่านพระราชกิจว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งเทียบเท่ากับสมัยใหม่ก็คือศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส พอเห็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงเพื่อช่วยผู้คนให้รอด พวกนั้นไม่เพียงไม่ยอมถวายแกะแก่พระเจ้าเท่านั้น แต่พอเห็นผู้คนมากมายติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็กลัวจะสูญเสียตำแหน่งของตัวเอง พวกนั้นก็เลยโมโห และรายงานกับตำรวจเพื่อให้จับกุมพี่น้องชายหญิง พวกนั้นแตกต่างจากพวกฟาริสีตรงไหนกัน? เป็นศัตรูของพระคริสต์ ทาสรับใช้อันชั่วร้าย ที่ถูกเปิดโปงโดยพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายไม่ใช่หรือ? เนื่องจากสถานการณ์ที่เร่งด่วน ไม่มีเวลาสามัคคีธรรมมากกว่านี้ มีผู้เชื่อใหม่เพิ่มขึ้นมากในหมู่บ้านบนภูเขานั้น ซึ่งยังไม่มีพื้นฐานที่เข้มแข็ง ถ้าถูกนักบวชของคริสตจักรทำให้หยุดชะงักหรือถูกจับกุม ก็ยากจะยืนอย่างเข้มแข็งได้ เราจึงเริ่มวางแผนเพื่อให้การสนับสนุนพวกเขาโดยเร็วที่สุด พวกเราแบ่งกันไปทีมละสามคน แล้วก็เดินจากหนึ่งทุ่มตลอดคืนนั้นจนถึงเก้าโมงเช้าวันถัดมา ถนนแต่ละสายเป็นน้ำแข็งจนแทบจะเดินไปไม่ได้ พวกเราพันสายรัดรอบรองเท้าให้เดินง่าย แต่ทุกย่างก้าวก็ยากลำบาก เราล้มลงนับครั้งไม่ถ้วน พี่น้องชายคนหนึ่งแขนบาดเจ็บจนมันบวมมาก พี่น้องหญิงคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนเนินเขา แล้วก็ไถลกลับลงมา เลี่ยงการตกเขาได้อย่างหวุดหวิด เมื่อเห็นว่าพี่น้องชายหญิงทำงานหนักกันแค่ไหน เพื่อให้การสนับสนุนพวกเขา ผู้เชื่อใหม่ก็ตื้นตันใจอย่างมาก และพูดว่าจะสำเร็จได้ ด้วยงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น พวกเขายิ่งรู้สึกแน่ใจมากขึ้น ว่านี่คือหนทางที่แท้จริง

เนื่องจากสภาพที่เป็นน้ำแข็งทำให้รถชนกันบ่อยครั้ง มีขบวนรถส่งเจ้าสาวที่ไถลออกจากถนน และมีหลายคนที่ตกเขาไป ไม่มีใครรอดชีวิตเลย พวกผู้นำศาสนาและตำรวจจึงไม่กล้าขึ้นเขามา เราจึงใช้โอกาสนั้นเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐเพิ่มขึ้น เพียงไม่นาน มีพี่น้องชายหญิงกว่าสองร้อยคน ที่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และค่อยๆ ได้รับพื้นฐานในหนทางที่แท้จริง เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลาย พวกนักบวชของคริสตจักรก็พากลุ่มคน มาหยุดพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ แต่ว่าพวกเขาล้วนได้รับปัญญาแยกแยะ และไม่รับฟังแล้ว เรื่องนี้ทำให้พวกนั้นโกรธมาก จนรายงานชื่อผู้เชื่อใหม่ทั้งหมดให้แก่ตำรวจ ตำรวจจึงไปที่บ้านของพวกเขา ขู่ว่าจะจับกุมและส่งพวกเขาเข้าคุก และบอกให้พวกเขารายงานทุกคนที่ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ว่าหากไม่แบ่งปันสิ่งที่รู้ พวกเขาก็จะต้องตกงาน มีครูคนหนึ่งที่ยอมละทิ้งความเชื่อเพราะคำขู่ของตำรวจ แต่ว่าส่วนใหญ่ยังคงเข้มแข็งด้วยการสนับสนุนในช่วงนั้น พวกเขามีความเชื่อให้ผ่านไปได้โดยไม่ถอย แถมยังช่วยให้พวกเขาเห็นนักบวชของคริสตจักรได้ชัดเจนขึ้น พี่เจียงจึงพูดใส่อารมณ์เต็มที่ว่า “ฉันเคยยกย่องผู้นำระดับสูงของคริสตจักรเราเสมอ ทุกครั้งที่พวกเขามาเยี่ยม ฉันก็จะรับรองด้วยสิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันมี แต่ตอนนี้ แค่เพราะฉันยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และต้อนรับการกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ติดตามและเลื่อมใสพวกเขาอีกต่อไป พวกเขากลับรายงานเท็จต่อตำรวจ ว่าฉันลักพาตัว ช่างชั่วร้ายเหลือเกิน! พวกนั้นไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริงที่จะได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เป็นกลุ่มศัตรูของพระคริสต์ที่ต่อสู้กับพระเจ้า เพื่อสถานะและประชากรของพระองค์ พวกเขาคือพวกฟาริสีในสมัยใหม่” ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่งให้เธอฟัง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์ พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘องค์ประกอบอันเพียบพร้อม’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า? ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า) การรวมกันของข้อเท็จจริงและพระวจนะของพระเจ้า ทำให้ทุกคนเห็นว่า ผู้นำศาสนารับใช้พระเจ้าในนาม แต่ในความเป็นจริงก็แค่โลภเพื่อประโยชน์จากสถานะ พวกเขาควบคุมผู้เชื่อเอาไว้แน่นภายใต้เงื้อมมือพวกเขา เมื่อได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา ก็ไม่สนใจที่จะแสวงหาหรือสืบค้น พวกเขาแค่กลัวจะสูญเสียสถานะและประโยชน์ของมัน พยายามใช้กลอุบายทุกอย่างในหนังสือ เพื่อไม่ให้ผู้เชื่อยอมรับหนทางที่แท้จริง กุเรื่องโกหกทำให้ผู้คนเข้าใจผิดและหวาดกลัว ถึงกับรายงานตำรวจเพื่อให้จับกุมผู้คนในคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกนี้คือ “เหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์” และ “เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง” ไม่ใช่หรือ? หากพระเจ้าไม่ทรงจัดวางสิ่งต่างๆ เพื่อเปิดโปงพวกเขา ใครจะมองเห็นธรรมชาติและแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ของพวกเขา ถึงแม้นักบวชจะพยายามอย่างมากที่จะขวางทาง ทุกคนก็ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง และเห็นว่าพวกนั้นเป็นคนประเภทใด นั่นคือพระปัญญาและพระมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมไม่เพียงได้รับปัญญาและเข้าใจ แต่ความเชื่อของผมยังแข็งแกร่งขึ้น และยิ่งชัดเจนขึ้นว่าในโลกศาสนานั้น นักบวชพยายามต่อต้านพระเจ้า ผมได้ประสบด้วยตัวเอง ว่าพระเจ้าคือผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และปกครองเหนือทุกสิ่ง ไม่ว่ากำลังบังคับชั่วของซาตานจะบ้าคลั่งแค่ไหน ก็ไม่อาจหยุดการแผ่ขยายพระราชกิจได้ ดังที่พระเจ้าตรัสว่า “มาวันนี้ พระเจ้าทรงกลับมาสู่โลกเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ จุดแรกที่พระองค์ทรงเริ่มงานก็คือ แบบอย่างของกลุ่มผู้ปกครองจอมเผด็จการ นั่นคือ ประเทศจีน ป้อมปราการอันเด็ดเดี่ยวแข็งขันในความเชื่อที่ว่าพระเจ้าไม่มีจริง พระเจ้าทรงได้ผู้คนมากลุ่มหนึ่งด้วยพระปรีชาญาณและฤทธานุภาพของพระองค์ ในระหว่างช่วงเวลานี้ พระองค์ทรงถูกตามล่าโดยพรรครัฐบาลของจีนในทุกวิถีทาง และตกอยู่ภายใต้ความทุกข์ทรมานแสนสาหัส โดยไม่มีสถานที่ให้พระศิระของพระองค์ทรงเอนพัก ไม่สามารถหาที่พำนักกำบังกาย ทั้งที่เป็นเช่นนั้น พระเจ้ายังคงทรงพระราชกิจที่พระองค์ทรงเจตนาที่จะทำต่อไป พระองค์ดำรัสพระสุรเสียงของพระองค์และเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ไม่มีสักคนที่สามารถหยั่งลึกในพระมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าได้อย่างลึกซึ้ง ในประเทศจีน ประเทศหนึ่งซึ่งถือพระเจ้าเป็นศัตรู พระเจ้ากลับไม่เคยหยุดทรงพระราชกิจของพระองค์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับมีประชาชนจำนวนมากขึ้นที่ยอมรับพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ อันเนื่องมาจากการที่พระเจ้าทรงช่วยสมาชิกของมวลมนุษย์ทุกคนให้รอดจนถึงขอบข่ายที่เป็นไปได้มากที่สุด พวกเราเชื่อใจว่า ไม่มีประเทศหรือพลังอำนาจใดสามารถมาขวางทางในสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะสัมฤทธิ์ผล คนเหล่านั้นที่ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า ต่อต้านพระวจนะของพระเจ้า และก่อกวนและทำให้แผนการของพระเจ้าเสียไป จะต้องถูกพระเจ้าทรงลงโทษในท้ายที่สุด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง) ตลอดหลายปีบนเส้นทางนี้ ผมได้เป็นพยานถึงพระมหิทธิฤทธิ์ พระปัญญา กิจการอันมหัศจรรย์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าเหลือเกิน!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การไม่พากเพียรในหน้าที่ทำร้ายผม

โดย เซี่ยวเหวิน สเปน ในปี 2018 ผมอยู่ฝ่ายตัดต่อวิดีโอในคริสตจักร ตอนแรก เพราะผมไม่เคยตัดต่อวิดีโอ และไม่คุ้นเคยกับหลักธรรมที่เกี่ยวข้อง...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger